Group Blog
 
 
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
8 เมษายน 2550
 
All Blogs
 
มีหรือ? ‘ยูโทเปีย’ !

มีหรือ? ‘ยูโทเปีย’ !
ความรู้ นิทาน ความฝัน: ท้องฟ้าแห่งนครเอเธนส์
ไชยันต์ ไชยพร

บทความชิ้นนี้เขียนโดยอาจารย์ไชยันต์ ไชยพร ชึ่งผมนำมาจากคอร์รัม Exit ในonopen.com เป็นงานเขียนตีพิมพ์ครั้งแรก: หนังสือยูโทเปีย จัดทำโดยนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ในงานจุฬาวิชาการ 2548 ซึ่งได้เล่าถึงยูโทเปีย ผ่าน คำว่าความรู้ นิทาน ความฝัน โดยเริ่มที่ความฝันของตัวละครตัวหนึ่งที่อยู่ในกรอบของImmanuel Kant ฝันไปในยุคต่างๆ ทั้ง pre modern,modernและpost modern สุดท้ายผู้เขียนได้สรุปสั้นเกี่ยวกับความรู้ นิทาน ความฝัน รวมทั้งยูโทเปียในทำนองที่ว่าว่ามันก็ขึ้นอยู่กับบริบทในขณะนั้นคือ"ยูโทเปีย’ คืออาการอย่างหนึ่ง (malaise) ของมนุษย์ในช่วงเวลาหนึ่งๆ"นั่นเอง

คำบอกเล่าความฝันสามยุค

“สัตว์ต่างๆ ที่ปรากฏนั้น มีลักษณะที่ผิดประหลาดกว่าที่เห็นในอดีตและปัจจุบัน พวกมันมีลักษณะหัวมังกุท้ายมังกร จะว่าเป็นเสือก็ไม่ใช่ จะเป็นปลาหรือชะนีก็ไม่เชิง ไม่มีสัตว์พันธุ์ใดที่จะคงลักษณะเดิมตามธรรมชาติอย่างที่มันเป็นเลยแม้แต่ชนิดเดียว ขณะเดียวกัน สัตว์ทั้งหลายนั้นมิได้อยู่ในป่าและก็มิได้อยู่ในสวนสัตว์เหมือนปัจจุบัน แต่ถูกเก็บไว้ในสถานที่ที่มีลักษณะกึ่งๆ ห้องทดลองและพิพิธภัณฑ์ เป็นพิพิธภัณฑ์สิ่งมีชีวิต แต่สถานที่ดังกล่าวก็หาใช่พิพิธภัณฑ์อย่างของเรา—เราในฐานะคนปัจจุบัน หรือ ‘คนโบราณ’ สำหรับพวกมนุษย์ในยุคนั้น

“มนุษย์ยุคนั้นไม่ต้องการเรียนรู้อะไรจากอดีตอีกต่อไป ความรู้สึกของคนปัจจุบัน/โบราณที่เดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ในยุคของเขาเอง ย่อมแตกต่างจากคนในโลกนั้นเมื่อยามพวกเขาเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ห้องทดลองของพวกเขา และแน่นอนว่า คนที่โบราณยิ่งกว่าคนปัจจุบันอย่างเรานั้น อาจไม่มีพิพิธภัณฑ์เลยด้วยซ้ำ และย่อมมีความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเราในโลกปัจจุบันที่มีพิพิธภัณฑ์แบบปัจจุบัน และย่อมแตกต่างไปจากคนในยุคดังกล่าวที่มีพิพิธภัณฑ์ในแบบห้องทดลอง

“ในพิพิธภัณฑ์ห้องทดลอง สัตว์มิได้มีหลากพันธุ์หลายชนิดอย่างที่เคยมี เหลือสัตว์อยู่เพียงไม่กี่ชนิด ขณะเดียวกัน สัตว์ก็มิได้มีความหมายความสำคัญต่อมนุษย์แม้แต่น้อย มนุษย์ไม่ต้องการสัตว์และพืช และพื้นที่ในโลกก็ถูกใช้ไปโดยมนุษย์จนไม่เหลือพื้นที่สำหรับสัตว์หรือพืชอีกต่อไป

“ไม่มีพื้นที่สำหรับ ‘ชีวิตตามธรรมชาติ’ ไม่มีอะไรที่เป็นธรรมชาติหลงเหลืออยู่ เพราะการมีอยู่ของธรรมชาติมีความหมายเท่ากับการมีอะไรบางอย่างที่อยู่เหนือมนุษย์ แต่ในยุคนั้น มนุษย์ไม่จำเป็นต้องพึ่งหรือขึ้นอยู่กับธรรมชาติอีกต่อไปแล้ว มนุษย์ ‘สร้าง’ สรรพสิ่งต่างๆ ตามเจตจำนงความต้องการของตน มนุษย์ ‘ออกแบบและให้กำเนิด’ สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตตามอำเภอใจของเขา ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมและการออกแบบของมนุษย์ แม้กระทั่ง ‘ท้องฟ้า สายลม และฝน’ ก็เป็นไปตามที่มนุษย์ต้องการจะให้มันเป็นหรือไม่เป็น

“การเมืองการปกครองที่เกิดขึ้นก็อยู่ภายใต้ระบบที่เรียกว่า ‘Technocracy’ หรือ ‘วิทยาการาธิปไตย’ ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้อาณัติของความรู้และวิทยาการ ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การบริโภค การสมรส การตาย การบันเทิง ล้วนแต่กำหนดให้เป็นไปตามบรรทัดฐานของความรู้และวิทยาการสมัยใหม่ โลกมีลักษณะคล้ายตู้ปลาครบวงจรที่ทุกอย่างหมุนเวียนไปอย่างสมดุล ไม่ใช่การสมดุลตามธรรมชาติ แต่เป็นสภาวะสมดุลตามวิทยาการสมัยใหม่

“แน่นอนว่า มนุษย์สมัยนั้นจะมีหน้าตารูปร่างที่แตกต่างไปจากปัจจุบัน แต่ไม่ว่ารูปลักษณ์จะเปลี่ยนไปเพียงไร พวกเขาก็สามารถสร้างภาพลักษณ์ของตัวเองตามแต่ที่พวกเขาต้องการ

“มนุษย์เก็บสัตว์ไว้บ้าง ก็เพื่อเอาไว้ทดลองในเชิงพันธุกรรมเท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว มนุษย์ไม่มีเหตุผลใดๆ เลยที่จะเก็บสัตว์หรือพืชไว้

“มนุษย์คือผู้อยู่เหนือพระผู้เป็นเจ้าและอยู่เหนือธรรมชาติ พัฒนาการของมนุษยชาติได้เดินทางมาถึงจุดหมายของมันแล้ว

“........ผมเดินอยู่ในโลกนั้นอย่างไม่มีใครเห็น ไม่ทราบด้วยเหตุผลอะไรที่ไม่มีใครเห็นผม ดูเหมือนว่าผมจะเป็นมนุษย์ล่องหน ไม่มีเครื่องมือในวิทยาการสมัยใหม่ใดจะสามารถตรวจสอบรับรู้การมีอยู่ของผมได้ แต่กระนั้น ยามผมเดินผ่านสัตว์ที่ถูกขังอยู่เหล่านั้น พวกมันกลับสามารถรับรู้ถึงตัวตนของผมได้ สังเกตจากปฏิกิริยาของมันเมื่อผมเข้าใกล้ แต่มนุษย์สมัยนั้นกลับมิสามารถรับรู้ได้อย่างสัตว์เหล่านั้น ดูเหมือนว่าผมกลับกลายมีอภิสิทธิ์บางอย่างจากการที่ไม่มีใครในโลกนั้นสามารถรับรู้การมีอยู่ของผม และแน่นอนว่า ไม่มีใครสามารถติดต่อกับผมได้

“ชีวิตมนุษย์ในวันนั้นน่าจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะทุกอย่างอยู่ในความสามารถของมนุษย์ที่จะควบคุมได้หมด แต่วันหนึ่ง สัตว์ทั้งหลายที่ยังหลงเหลืออยู่ไม่กี่ตัวนั้น ต่างพากันแสดงอาการแตกตื่นดิ้นรนทุรนทุรายภายในที่คุมขัง มนุษย์และเครื่องจักรที่ทำหน้าที่ควบคุมสัตว์เหล่านั้นต่างก็พยายามที่จะควบคุมให้สัตว์เหล่านั้นสงบ โดยใช้กระแสไฟฟ้าและสารเคมี

“พวกเขาไม่สามารถ ‘ตีความ’ อาการแตกตื่นของสัตว์เหล่านั้นได้ เพราะอย่างไรก็ตาม ในที่สุดพวกเขาก็สามารถควบคุมพวกมันให้อยู่ในความสงบได้ และพวกเขาไม่คิดว่าอาการแตกตื่นของสัตว์เหล่านั้นจะเป็น ‘ลางบอกเหตุร้าย’ อะไรบางอย่าง เหมือนกับที่มนุษย์สมัยโบราณเคยคิด และด้วยความที่พวกเขาสามารถควบคุมทุกอย่างได้อย่างเบ็ดเสร็จ พวกเขาจึงไม่สามารถที่จะคิดว่า ‘จะมีความไม่แน่นอน’ อะไรนอกเหนือไปจากการควบคุมของเขา พวกเขาเลิกใช้ความคิดหรือเลิกเชื่อในเรื่อง ‘มิคสัญญี’ ‘กลียุค’ หรือ ‘วิกฤต’ หรือ ‘Apocalypse’ ไปแล้ว คำเหล่านี้กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ตายไปแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักคำเหล่านี้ แต่พวกเขาไม่สามารถ ‘เข้าใจ’ ได้ในทางอารมณ์ความรู้สึกอีกต่อไป

“ผมเดินออกมาจากพิพิธภัณฑ์ห้องทดลองนั้นได้อย่างไรก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ คือ เมื่อผมเดินออกจากตัวตึก สิ่งแรกที่มนุษย์ธรรมดาๆ อย่างผมรู้สึก คือแสงสว่างจากท้องฟ้า ผมแหงนมองดูท้องฟ้า มันเป็นท้องฟ้าที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น คลับคล้ายคลับคลาว่าครั้งหนึ่งผมเคยเห็นมันจากรูปวิวทิวทัศน์จากเว็บไซต์ในอินเตอร์เน็ต

“ช่วงเวลานั้นผมรู้สึกมีความสุข เพราะในความเข้าใจของผมนั้น ท้องฟ้าที่ผมกำลังเห็นอยู่นั้นคือท้องฟ้าจริงๆ ไม่ใช่รูปท้องฟ้าในอินเตอร์เน็ต หรือถ้าเป็นสมัยเด็กๆ ที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ผมก็คงต้องนึกถึงรูปท้องฟ้าสวยๆ ที่พิมพ์ลงบนกระดาษติดฝาผนังหรือที่เรียกว่า ‘wallpaper’

“ท้องฟ้าสวยงามที่กำลังให้ความสุขทางอารมณ์และจิตใจแก่ผมอยู่นั้น มันคล้ายท้องฟ้าเหนือกรุงเอเธนส์

“พี่คนหนึ่งเคยถามผมว่า ในฐานะที่ผมชอบศึกษาความคิดของคนกรีกโบราณ ผมเคยไปเอเธนส์หรือยัง? ซึ่งจนบัดนี้ผมก็ยังไม่เคยไป เขาในฐานะที่สนใจเรื่องเดียวกันกับผม ได้เคยไปเห็นท้องฟ้าเหนือเอเธนส์มาแล้ว และมันทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า อาจเป็นเพราะบรรยากาศท้องฟ้าแบบนี้กระมัง ที่ทำให้โสกราติสและเพลโตคิดอะไรต่อมิอะไร เขากลับมากรุงเทพฯพร้อมกับแอบเอาก้อนหินเล็กๆ หน้าคุกที่จองจำโสกราติสมาด้วยก้อนหนึ่ง จากคำบอกเล่าของเขา ทำให้ผมต้องหาทางที่จะเห็นท้องฟ้าเหนือเอเธนส์ให้ได้ ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง ผมนึกขอบคุณวิทยาการสมัยใหม่ที่ทำให้ผมเห็นท้องฟ้าเอเธนส์ผ่านรูปวิวในอินเตอร์เน็ต

“มาบัดนี้ ผมอยู่ใต้ท้องฟ้าแบบเดียวกันนั้น ผมหวังว่าน่าจะสามารถจินตนาการอะไรต่อมิอะไรได้อย่างบรรเจิดเหมือนพวกนักคิดกรีกโบราณบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม สีมันช่างสวยงามเหลือเกิน ผมนึกว่าผมจะนั่งอยู่นอกตัวตึกจนกว่าจะเย็น เพื่อที่จะได้เห็นพระอาทิตย์และท้องฟ้ายามเย็นในแบบของเอเธนส์

“ทันใดนั้น ความรู้สึกดีๆ ของผมก็ต้องหยุดลงทันที เมื่อเริ่มมีเสียงคล้ายๆ อะไรปริแตกดังขึ้นอย่างน่ากลัว พร้อมกับมีบางสิ่งร่วงหล่นมาจากบนท้องฟ้า ใจผมดันไปนึกถึงนิทานโบราณเรื่องกระต่ายตื่นตูมได้อย่างไรก็ไม่ทราบ ‘ฟ้าถล่ม!’ ผมนึกอยู่ในใจดังๆ แต่ เอ! มันไม่น่าใช่! เพราะแม้ว่าผมจะรู้จัก ‘ฟ้าถล่ม’ ในนิทาน หรือพอเข้าใจมันบ้าง แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ ผมไม่เคยมีอารมณ์ความรู้สึกที่เข้าถึงมันได้จริงๆ ก็เพราะมันเป็นแค่นิทานสำหรับเด็กมิใช่หรือ?

“มันจะถูกเรียกว่าอะไรก็ช่าง หรือมันจะเป็นอะไรก็ช่าง แต่สำหรับผมในขณะนั้น มันคือฟ้าถล่มจริงๆ เพราะเมื่อแหงนมองฟ้า ผมเริ่มเห็นรอยปริแตกของมัน มันมีทั้งสิ่งที่เป็นของแข็งและของเหลวพรั่งพรูออกมาจากรอยปริแตกของท้องฟ้านั้น ผมรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนอย่างรุนแรง เกิดอาการขย้อนเมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า ท้องฟ้าที่ผมลืมไปว่ามันอาจไม่ใช่ท้องฟ้าธรรมชาติอย่างที่ผมคุ้นเคย มันกลับปริแตกเหมือนฝากระป๋องนมข้นหรือกระป๋องซุปที่ถูกเปิด ของเหลวและเศษโลหะที่หล่นลงมาทำให้ผมรู้สึกสับสนระหว่างธรรมชาติที่ผมเคยรู้จักกับสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น

“ในเสี้ยววินาทีนั้น ผมนึกถึงการร่วมหลับนอนอย่างมีความสุขกับคนรักของผม แต่ก็กลับพบว่าเธอไม่ใช่มนุษย์อย่างผม เธอเป็นแค่เครื่องจักรที่วิเศษที่สุดที่มนุษย์จะสร้างขึ้นมาได้ จะวิเศษเพียงไร เธอก็ไม่ใช่มนุษย์อย่างที่ผมรู้จัก

“สมัยหนึ่ง มนุษย์สร้างตุ๊กตายางขึ้นมา แม้มนุษย์จะพยายามจินตนาการให้เจ้าก้อนซิลิโคนนั้นเป็นคนจริงๆ แต่เขาก็ตระหนักรู้อยู่ดีว่า เธอก็คือแค่ ‘a real doll’

“แต่ถึงวันนี้ ผมไม่รู้ว่าท้องฟ้าที่ผมเห็น ท้องฟ้าที่ผมจินตนาการ ท้องฟ้าที่ผมประทับใจนั้น มันเป็นแค่ ‘ท้องฟ้าจำลอง’

“ผมสงสัยอย่างยิ่งว่า ทำไม? สุนทรียะความสวยงามของท้องฟ้าที่ผมเห็นผมชอบนั้น จำเป็นจะต้องสัมพันธ์กับธรรมชาติ และถ้ามันไม่ใช่ธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกสร้างและควบคุมได้ แล้วมันผิดแผกแตกต่างไปมากมายหรืออย่างไร? เพราะเมื่อเราไม่ต้องการธรรมชาติ ด้วยเหตุที่เราสร้างอะไรเมื่อไรก็ได้ ความเป็นจริงของท้องฟ้านั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติอีกต่อไป ความจริงคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาไม่ได้หรืออย่างไร?

“ผมได้แต่คิดตั้งคำถาม อาจจะโชคดีที่ผมเป็นคนชอบคิด เพราะคิดว่าสถานการณ์ที่ผมกำลังประสบอยู่นั้น คนที่ชอบคิดหรือรักที่จะคิดคงจะไม่ตระหนกมากไปกว่าการที่มันทำให้เกิดการครุ่นคิด แม้ว่าท้องฟ้าแบบเอเธนส์ที่อยู่เหนือผมขณะนั้นจะไม่ใช่ท้องฟ้าธรรมชาติก็ตาม แม้ว่ามันจะปริแตก แต่มันก็ยังดันทำให้ผมคิดต่อไปได้ แต่ก็คงต้องเชื่อมโยงกับความหมายของท้องฟ้าตามธรรมชาติของเอเธนส์
“การปรับตัวแทบจะไม่ทันกับสถานการณ์รอบๆ ตัวขณะนั้น ทำให้ผมเกือบจะอาเจียนออกมา มันปั่นป่วนเต็มทีกับภาพและเสียงที่เกิดขึ้น มันได้ทำลายความรู้สึกและความเข้าใจของผมอย่างหักมุมและทันทีทันใด ท้องฟ้าเริ่มปริแตกเป็นรอยร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ผมนึกออกทันทีว่าทำไมสัตว์ในตึกที่ผมเพิ่งเดินออกมานั้น มันถึงแสดงอาการทุรนทุรายเช่นนั้น มันมี ‘สัญชาตญาณที่เป็นลางบอกเหตุ’ นั่นเอง แต่ไม่มีใครในโลกนั้นให้ความสำคัญอีกต่อไป

“ผมเองคงไม่ใช่มนุษย์ในโลกสมัยนั้นกระมัง?

“ไม่แปลกใจว่ามนุษย์เหล่านั้นคงเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว จึงไม่เข้าใจ และยกเลิกความคิดความเชื่อเรื่อง ‘สัญชาตญาณลางบอกเหตุ’ ไป พวกเขาจึงไม่เข้าใจสัตว์เหล่านั้น ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ไม่มีสัญชาตญาณอะไรร่วมกับสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกต่อไป

“แต่... แล้วตัวผมล่ะ? ทำไมผมถึงไม่มีความรู้สึกล่วงหน้าถึงเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นบ้าง ทำไมผมไม่สามารถรู้สึกเอะใจกับอาการของสัตว์เหล่านั้น หรือผมไม่ได้มีธรรมชาติของความเป็นมนุษย์อย่างที่ผมเข้าใจ แล้วผมเป็นอะไร? มีอะไรที่เป็นธรรมชาติที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวผม ผมจำได้ว่าผมเคยเขียนงานที่บ่งบอกถึงการที่มนุษย์เป็นสัตว์ที่ไม่มีธรรมชาติของตัวมันเอง จริงอยู่ที่ผมเขียนมัน แต่ผมไม่ได้มีอารมณ์คล้อยตามกับสิ่งที่ผมเขียน......จนกระทั่งวินาทีนี้เอง...!

“ท้องไส้ผมเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาอย่างรุนแรงอีก

“ผมอยากจะร้องบอกมนุษย์คนอื่นๆ ถึงความวิบัติที่จะเกิดขึ้น ท้องฟ้ากำลังจะถล่ม มีเสียงน่ากลัวที่ทำให้รู้สึกเสียดหน้าอกและโหวงๆ ในหัวใจดังขึ้น มีลำแสงประหลาดพุ่งออกมาจากรอยแตกนั้นอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่า แม้ผมพยายามจะติดต่อกับมนุษย์ในโลกนั้นก็ติดต่อไม่ได้ ในทำนองเดียวกันกับที่พวกเขาไม่เห็นและไม่รับรู้การมีอยู่ของผมตั้งแต่ต้น ที่สำคัญคือ พวกเขาดูไม่อนาทรกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเท่าไรนัก พวกเขาทำให้ผมนึกถึงคนในยุคเดียวกับผมที่ไม่ค่อยจะรู้สึกอะไรมากนักยามรถเสีย ไฟดับ ลิฟต์ค้าง หรือเครื่องปรับอากาศเสีย

“ทุกวินาทีที่ผ่านไป ผมแน่ใจอย่างยิ่งว่าโลกจะต้องแตกแน่นอน ฟ้ามันเริ่มพังทลายมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มหายใจด้วยความลำบาก สำหรับพวกเขา แม้ว่าจะหายใจไม่สะดวก แต่พวกเขาก็ไม่มีปัญหามากเท่าผม และในที่สุดก็มีแสงที่สว่างที่สุดเท่าที่เคยเห็น และเสียงดังที่สุดเท่าที่เคยได้ยิน และความแรงที่ผมไม่สามารถบรรยายได้เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที ทุกอย่างมันรวมศูนย์เข้ามาและกระจายกลับออกไป กลับไปกลับมาอย่างรวดเร็ว

“................ผมลืมตาขึ้นมาท่ามกลางร่างกายที่โชกไปด้วยเหงื่อและความเหน็ดเหนื่อย มันเหนื่อยที่สุดในชีวิตจิตใจของผม

“ผมกลับมาอยู่ในโลกของผม โลกที่ผมคุ้นเคย โลกปรกติในปัจจุบัน

“ผมเริ่มรู้ตัว ผมเพียงฝันไปเท่านั้น แต่ความฝันนั้นทำให้ผมรู้จัก เข้าใจ และเกิดอารมณ์ความรู้สึกคล้อยตามกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมเคยแต่เพียงรู้จัก เข้าใจ แต่ไม่เคยรู้สึกกับมันได้ จนมาเมื่อฝันไปที่ผ่านมา

“ผมดีใจที่ยังไม่ตาย เพราะผมรู้สึกว่าความตายเป็นสิ่งที่ผมไม่ปรารถนาเลย แม้ว่าผมจะอ่านและศึกษาเรื่อง วาระสุดท้ายของโสกราติส (Phaedo) หรือได้เคยอ่านงานทางพุทธศาสนาเกี่ยวกับความเป็นอนิจจังของชีวิต แต่กระนั้น ความตายหรือวาระสุดท้ายที่ผมสัมผัสในฝันนั้น เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด เพราะมันไม่ใช่เป็นเพียงความตายส่วนตัวของผม

“แม้ว่าทุกๆ อย่างจะสิ้นสุดพร้อมๆ ไปกับผม แต่ผมก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวขนาดนั้นหรอก สิ่งที่ผมรับไม่ได้ที่สุดเกี่ยวกับความตายในฝันคือ มันไม่ใช่ความตายส่วนตัวของผม แต่มันเป็นการดับสูญของสรรพสิ่งทุกอย่างที่ผมรู้จัก และอย่างที่ผมบอกแล้วว่า ผมไม่เห็นแก่ตัวขนาดนั้น!

“ผมตื่นแล้ว แต่ยังนอนอยู่บนเตียงที่มีผ้าปูที่นอนสีขาว และเครื่องนอนทุกชิ้นก็เป็นสีขาว ห้องก็สีขาว เตียงอยู่ติดกับหน้าต่าง มองออกไปเห็นต้นไม้และท้องฟ้า.......

“....เอ๊ะ..! มันไม่ใช่ห้องนอนของผมนี่........

“...........ผมตื่นขึ้นมาอีกที และพบว่าตัวผมกำลังเมาอยู่ และเสื้อผ้าอาภรณ์ของผมก็เป็นเสื้อผ้าของคนยุโรปศตวรรษที่สิบห้า ผมเมาและพูดในภาษาอิตาเลียน ซึ่งมันก็เป็นภาษาของผมอยู่แล้ว เป็นภาษาของพ่อและแม่ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณตีสองกว่าแล้ว ล้อมรอบตัวของผมคือหญิงงามเมืองสองสามคนผู้คุ้นเคยกับผมเป็นอย่างดี ผู้คนที่เดินไปมาบนท้องถนนหัวเราะเยาะผม และบางคนเรียกผมว่าคนบ้า บางคนทำท่ารังเกียจผมอย่างชัดเจน

“ในมือของผมมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนั้นเป็นงานเขียนของผมเอง ผมพลิกมันออกดูราวกับว่าไม่รู้จักคุ้นเคยมันมาก่อน และแล้วผมก็จำได้ว่าข้อความถูกบันทึกไว้อย่างไร มันคือสิ่งที่ผมเล่าหรือฝันมาทั้งหมดนี้ มันเป็นนิทานในสายตาของคนบางคน แต่ก็กลับเป็นองค์ความรู้ที่มีสาระสำหรับบางคนด้วย

“ความทรงจำที่แท้จริงของผมเริ่มกลับมา ผมนึกออกแล้วว่าผมได้เล่าและเตือนผู้คนร่วมสมัยของผมถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในกาลข้างหน้า ผมได้เล่าเรื่องผ่านนิทาน ผ่านองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในสมัยของผม หรืออะไรก็ตามแต่ใครจะเรียกมัน มันซึ่งเป็นสิ่งที่ผมและคนแบบผมคิดและค้นพบ ไม่ใช่ใครทุกคนจะเชื่อผม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครสักคนที่จะเชื่อ ยิ่งกว่านั้น องค์ความรู้ที่เขียนขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่ผมเองเป็นผู้นำร่องในการค้นพบ ผมพบความรู้ใหม่ และที่สำคัญ ผมพบว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นตามมา แต่กระนั้น ความรู้สึกและความเป็นตัวตนของผมในศตวรรษที่สิบห้านั้นบังคับให้ผมดื่มเหล้าต่อไป และดึงแขนสาวสวยคู่ใจของผมคนนั้นไปร่วมรักในห้องพักของผม

“ผมพยายามที่จะลืมความฝันและผลงานความคิดทั้งหมดของตัวเอง ผมรีบร้อนที่จะทำรักกับเธออย่างหนักหน่วงและหวงแหน และดีใจว่า อย่างน้อย ขณะนี้ผู้หญิงที่ผมรักยังเป็นมนุษย์อย่างที่ผมเป็น และที่สำคัญ เธอไม่รังเกียจที่จะฟังนิทานจากความฝันของผม”

ความรู้ นิทาน ความฝัน: การตีความ

“หากฝันยังมีบริบท แล้ว ‘ยูโทเปีย’ เล่า?”

Nam Sotalp
หากเรื่องเล่าข้างต้นเป็นความฝัน คำถามที่เกิดขึ้นคือ ความฝันนั้นมียุคหรือบริบทกำกับเหมือนความคิดอื่นๆ หรือไม่?

ถ้าพูดถึงยุคสมัยหรือกาลเวลา เราสามารถตอบได้ทันทีว่า ชายผู้นั้นฝันถึงอนาคต ปัจจุบัน และอดีต ความฝันของเขาได้บรรยายภาพของสังคมในอนาคตตามจินตนาการความคิดหรือจิตใต้สำนึกที่เขามีอยู่ เขาฝันเห็นชัยชนะอย่างเด็ดขาดขององค์ความรู้สมัยใหม่ (modern) หรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถอยู่เหนือพลังอำนาจของธรรมชาติหรือสิ่งที่เหนือธรรมชาติใดๆ อย่างเช่น พระผู้เป็นเจ้า

องค์ความรู้สมัยใหม่ทำให้ธรรมชาติแทบจะไม่เหลือร่องรอยอะไรอีกต่อไป มนุษย์คือผู้กำหนดสรรพสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งการสร้างตัวตนของมนุษย์เองด้วย

ที่ว่าไม่เหลือธรรมชาติไว้เลยนั้น จะเห็นได้จากการที่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลที่อยู่เหนือหัวมนุษย์ ก็ยังอยู่ในความควบคุมของมนุษย์เอง ในส่วนนี้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของวิธีคิดแบบสมัยใหม่ที่มีต่อชายผู้ฝันนั้น และจะว่าไปแล้ว วิธีคิดสมัยใหม่ดังกล่าวก็ได้ปรากฏตัวเด่นชัดตั้งแต่ศตวรรษที่สิบเจ็ด-สิบแปดในยุโรปแล้ว โดยพิจารณาจากการวิวาทะระหว่างผู้ที่นิยมภูมิปัญญาโบราณและผู้ที่นิยมภูมิปัญญาสมัยใหม่ (the Quarrel between the Ancients and the Moderns) ภาพของสังคมในอนาคตของชายผู้นั้น คือบทสรุปของเส้นทางของความเป็นสมัยใหม่ของมนุษย์นั่นเอง

ผู้ที่ได้อ่านเนื้อหาความฝันของชายผู้นั้นย่อมทราบดีว่า ชัยชนะของสมัยใหม่ (modernity) ได้ลงเอยด้วยความปราชัยและความหายนะของมนุษยชาติ จากการที่เกิดความผิดพลาดที่ทำให้มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ฟ้าถล่ม’ เกิดขึ้นจริง และโลกจะต้องดับสูญเพราะฝีมือความอหังการในภูมิปัญญาสมัยใหม่ของมนุษย์เอง เห็นได้ว่า ในส่วนนี้ ความหายนะดังกล่าวได้สะท้อนความคิดความเชื่อแบบโบราณของชายผู้นั้น เพราะพวกนิยมภูมิปัญญาโบราณได้คาดการณ์ถึงผลร้ายที่จะตามมาจากการเชื่อมั่นในภูมิปัญญาสมัยใหม่อย่างสุดตัว ดังนั้น ในตัวของชายผู้นั้นจึงมีทั้งสองส่วน นั่นคือ ความเข้าใจในภูมิปัญญาสมัยใหม่และความเชื่อในภูมิปัญญาโบราณ

ชายผู้นั้นไม่เข้าใจสุนทรียะสมัยใหม่ในยุคหน้าของคนในอนาคตที่สามารถชื่นชมกับท้องฟ้าสวยงามได้ โดยที่ท้องฟ้านั้นไม่จำเป็นต้องเป็นท้องฟ้าตามธรรมชาติ แต่ขณะเดียวกัน จะว่าไปแล้ว ชายผู้นั้นจะต้องรับรู้และเข้าใจการเกิดสภาวะสุนทรียะสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี เพราะเขาเองก็ได้กล่าวเปรียบเทียบ ‘ท้องฟ้าจำลอง’ กับ ‘ท้องฟ้าในอินเทอร์เน็ต’ หรือ ‘ท้องฟ้าบนกระดาษติดฝาผนัง’

ซึ่งการกล่าวเช่นนี้แสดงถึงจุดประสงค์ที่เขาต้องการจะบอกว่า สุนทรียะในโลกหน้านั้นไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด ที่จริงแล้วมันได้เริ่มเกิดขึ้นในโลกปัจจุบันของเราทุกคนในขณะนี้ และมันอยู่ภายใต้ตรรกะเดียวกัน เพียงแต่รอเวลาที่มันจะพัฒนาก้าวหน้าขึ้นไปเท่านั้น สุนทรียะดังกล่าวเป็นสุนทรียะที่มิได้เป็นของแท้ดั้งเดิมอย่างที่เราเข้าใจ แต่เป็นของจำลองที่เป็นสัญลักษณ์เท่านั้น แม้ว่าเขายังไม่สามารถ ‘รู้สึกและสัมผัส’ มันได้จริงๆ กระนั้นเขาก็ยังพอคิดหรือจินตนาการได้ ขณะเดียวกัน การฝันของเขาช่วยให้เขาได้ ‘รู้สึกสัมผัส’ มันได้

นอกจากนี้ เขายังได้พูดถึงกระบวนการวิศวพันธุกรรม ที่ในที่สุดแล้ว อาจจะสามารถทำให้มนุษย์สร้างอะไรที่ไม่ใช่มนุษย์อย่างเดิมๆ เต็มร้อย แต่เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่เป็นมนุษย์จริงๆ ในโลกหน้า และจะว่าไปแล้ว วิทยาการสมัยใหม่ก็ทำให้มนุษย์มีส่วนประกอบอะไรที่ไม่ใช่มนุษย์อยู่บ้างแล้ว เช่น อวัยวะเทียมต่างๆ และรวมถึงการเอาเซลล์ของสัตว์มาใส่ในมนุษย์ หรือเอาเซลล์มนุษย์ไปใส่ในสัตว์หรือพืชก็ตาม ความฝันส่วนนี้ได้สะท้อน ‘ความเป็นสมัยใหม่’ ในตัวชายผู้นั้นอย่างเต็มที่

หลังจากโลกแตกสลายแล้ว ชายผู้นั้นก็ตื่นขึ้น การตื่นของเขาแท้จริงก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของการฝันของเขาอยู่ เขาตื่นกลับมาในเวลาปัจจุบันของเขา นั่นคือในเวลาร่วมสมัยขณะนี้ แต่เมื่อเขารู้ตัวว่าที่ที่เขาตื่นมานั้นหาใช่ห้องนอนของเขา เขาก็พบว่าเขายังไม่ได้ตื่นจริงๆ และชั่วพริบตา เขาก็รู้สึกว่าเขาตื่นขึ้นมาจริงๆ เป็นตัวตนที่ไม่ได้ฝันอีกต่อไป เมื่อเขาปรากฏตัวในเมืองเมืองหนึ่งของอิตาลีในยุคโบราณต่อสมัยใหม่ นั่นคือราวศตวรรษที่สิบห้า-สิบหก นั่นคือความรู้สึกว่าเขาได้ตื่นจริงๆ แล้ว และเขาพบว่า เขาคือหนึ่งในผู้ค้นพบหรือแผ้วทางให้กับองค์ความรู้หรือภูมิปัญญาสมัยใหม่ ที่จะนำมนุษย์มาสู่ปัจจุบันอย่างที่เราประสบอยู่ขณะนี้ และยังนำมนุษย์ไปสู่โลกอนาคตที่เขาได้ฝันถึง และจะว่าไปแล้ว คือการนำโลกไปสู่อวสานและหายนะด้วย

เขารู้ตัวว่าสิ่งที่เขาค้นพบนั้นจะนำอะไรมาสู่มวลมนุษย์ ทั้งผลดีและผลร้าย ในศตวรรษที่สิบห้า-สิบหกนั้น เขาได้พยายามที่จะบอกแก่คนร่วมสมัยของเขาว่า เขาได้พบอะไร และมันจะนำไปสู่อะไร ผู้คนก็มีทั้งที่เชื่อและไม่เชื่อเขา หรือไม่สนใจเขา ในส่วนนี้ดูเหมือนว่าความฝันได้สะท้อนความคิดความเชื่อแบบโบราณที่ไม่เห็นด้วยกับการยึดถือภูมิปัญญาสมัยใหม่ แต่ขณะเดียวกัน ฝันของเขาก็มิได้บอกให้ยึดถือภูมิปัญญาแบบโบราณ และให้หันหลังให้ภูมิปัญญาใหม่ๆ ที่กำลังก่อตัวเกิดขึ้น

ดูเหมือนว่าตัวเขาเองก็กำลังต้องการที่จะบอกถึงความไม่แตกต่างระหว่างความฝัน ภูมิปัญญาความรู้ และนิทาน ที่จะว่าไปแล้ว ความฝันในตอนแรกของเขาก็ได้เกริ่นไว้ในตอนแรกที่เขากล่าวถึง ‘ฟ้าถล่ม’ ในนิทานเรื่องกระต่ายตื่นตูม การไม่แบ่งแยกระหว่างความฝัน ความรู้ และนิทานของเขานั้น จะว่าไปแล้วก็เป็นการสะท้อนแนวคิดแบบ ‘หลังสมัยใหม่’ ที่มองความรู้ต่างๆ ว่าเป็นเพียง ‘คำอธิบายหรือเรื่องเล่า’

การไม่สนใจกับอะไรเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าของเขา คือการกลับไปสู่ความจริงของร่างกาย โดยหันไปเสพเสวนากับหญิงงามเมือง น่าจะเป็นส่วนสะท้อนแนวคิดที่เน้นสิ่งที่เป็นจริง ปฏิบัติได้ และได้ผลบัดเดี๋ยวนั้น

ส่วนที่ผมไม่ได้กล่าวต่อให้จบก็คือ ชายคนนั้นได้ตื่นขึ้นมาจริงๆ กลับมาสู่ความเป็นจริงของตัวเขาในปัจจุบัน ที่คุณและผมต่างก็มีชีวิตและเป็นคนร่วมสมัยกับเขา ดังนั้น ตัวตนของเขาในศตวรรษที่สิบห้า-สิบหกนั้นก็เป็นเพียงความฝันด้วย
ถ้ากลับมาที่คำถามที่เราตั้งไว้ว่า ‘ความฝันของชายคนนั้นสามารถบ่งบอกยุคสมัยได้หรือไม่?’ หรือ ‘ความฝันของคนเรามียุคสมัยหรือไม่ หรือถูกกำกับด้วยบริบทหรือไม่?’ คำตอบที่ได้จากการวิเคราะห์ความฝันของชายผู้นั้นก็คือ

ในชั้นแรก ความฝันของชายผู้นั้นสะท้อนถึงบริบทความคิดสามบริบท นั่นคือบริบทสมัยใหม่—ปัจจุบัน (present modern) ที่เชื่อมต่อถึงบริบทสมัยใหม่—อนาคต (future modern) และรวมถึงบริบทยุคโบราณและบริบทความคิดหลังสมัยใหม่

ในชั้นที่สอง ความฝันของชายผู้นี้สะท้อนเพียงวิธีคิดและจิตสำนึกแบบสมัยใหม่และหลังสมัยใหม่เท่านั้น เพราะจะว่าไปแล้ว การฝันย้อนกลับไปในอดีตดังกล่าว เป็นการฝันแบบสมัยใหม่และหลังสมัยใหม่ในเวลาเดียวกัน?!

การย้อนกลับไปในศตวรรษที่สิบห้า-สิบหกของชายผู้นั้น เป็นการย้อนกลับไปในลักษณะที่ว่า เขาคิดว่าเขาเข้าใจคนสมัยนั้นได้ดีกว่าคนในสมัยนั้นจะเข้าใจตัวเองหรือสถานการณ์ในสมัยนั้น เพราะเขากลับไปในยุคนั้นพร้อมกับประสบการณ์ของอนาคต ที่ตัวเขาคิดว่าเขารู้และเข้าใจว่า ทำไมผู้คนส่วนหนึ่งในสมัยนั้นที่ศรัทธาภูมิปัญญาสมัยใหม่ถึงไม่สามารถเข้าใจว่าภูมิปัญญาสมัยใหม่จะนำไปสู่อะไรๆ อีกหลายอย่างที่เขาไม่คาดคิดได้

ชายคนนั้นรู้และเข้าใจว่า ทำไมคนบางคนในสมัยนั้นที่ศรัทธาในภูมิปัญญาโบราณจึงไม่สามารถยอมรับภูมิปัญญาสมัยใหม่ และยังยึดติดกับอะไรที่ไม่สามารถจะให้คำตอบที่ชัดเจนกับมนุษยชาติได้ ที่อ้างไว้ว่า การฝันย้อนกลับไปในอดีตของชายผู้นั้นเป็นการฝันแบบสมัยใหม่ ก็เพราะวิธีคิดของนักคิดสมัยใหม่ตัวยงอย่าง Immanuel Kant นักปรัชญาชาวเยอรมันในศตวรรษที่สิบแปดนั้น เป็นวิธีคิดที่เชื่อว่า ‘คน—นักคิดปัจจุบัน—จะสามารถเข้าใจคน—นักคิดในอดีต—ได้ดีกว่าคน—นักคิดในอดีต—เข้าใจตัวเอง’ ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นในความก้าวหน้าและพัฒนาการของภูมิปัญญาความรู้ โดยมั่นใจว่าความรู้ในปัจจุบันล่าสุดย่อมก้าวหน้ากว่าความรู้ก่อนหน้า

ในขณะที่วิธีคิดแบบโบราณจะไม่เห็นด้วยกับทรรศนะดังกล่าว เพราะวิธีคิดแบบโบราณเชื่อว่า ภูมิปัญญาโบราณได้พัฒนาจนถึงจุดสมบูรณ์สุดยอดแล้ว ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความก้าวหน้าอะไรไปได้มากกว่าจุดสูงสุดที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วในอดีตกาล ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ ‘คน—นักคิดปัจจุบัน—จะเข้าใจคน—นักคิดโบราณ—ได้ดีกว่าคน—นักคิดโบราณ—เข้าใจตัวเองและสรรพสิ่งต่างๆ’ และวิธีคิดของคนที่เชื่อในภูมิปัญญาโบราณคือ ‘ทำอย่างไรที่จะเข้าใจคนในอดีต (ที่พบความรู้ภูมิธรรมอันประเสริฐสมบูรณ์แล้ว) ได้อย่างที่คน—นักคิดเหล่านั้น—เข้าใจตัวเองและสรรพสิ่งต่างๆ’

ดังนั้น การฝันย้อนยุคแบบซ่อนความเข้าใจที่เหนือกว่าของชายผู้นั้น ก็คือภาพสะท้อนวิธีคิดและวิสัยทัศน์ต่ออดีตในแบบของ Kant นั่นเอง และจะว่าไปแล้ว ส่วนหนึ่งของความฝันในส่วนอนาคตของเขาก็สะท้อนวิธีคิดของ Kant ด้วยเช่นกัน เพราะในฝันนั้น เขาแสดงความไม่เข้าใจในตรรกะและความเป็นไปในเรื่องเหตุผลและสุนทรียะของคนสมัยใหม่—อนาคต—ไว้ด้วย ขณะเดียวกัน เขาได้บอกเป็นนัยๆ ไว้เช่นกันว่า คนในโลกอนาคตคงจะอธิบายให้เขาเข้าใจได้ว่า ทำไมเขาถึงอยากจะอาเจียนกับท้องฟ้าจำลองที่เขาหลงชื่นชมมันในฐานะของท้องฟ้าธรรมชาติ

อย่างที่ให้เหตุผลไปแล้วว่า การฝันย้อนกลับไปในอดีตของชายผู้นั้นเป็นการฝันแบบสมัยใหม่ไปแล้ว และในส่วนที่กล่าวว่าการฝันดังกล่าวเป็นฝันที่สะท้อนความเป็นหลังสมัยใหม่ล่ะ?

ในส่วนนี้จะเห็นได้ว่า การที่ชายคนนั้นมิได้วิพากษ์หรือปฏิเสธอะไรในโลกอดีต อย่างที่คนที่เชื่อในภูมิปัญญาสมัยใหม่จะกระทำต่อความรู้โบราณว่าเป็นสิ่งที่งมงายไร้สาระไม่มีเหตุผล ขณะเดียวกัน ตัวเขาก็มิได้จัดอันดับความสำคัญ หรือความยิ่งใหญ่ หรือต่ำต้อยของสิ่งที่เรียกว่าความรู้ ปัญญา นิทาน และความฝัน แต่เขากลับสรุปลงไปว่า

“...................มันคือสิ่งที่ผมเล่าหรือฝันมาทั้งหมด มันเป็นนิทานในสายตาของคนบางคน แต่ก็กลับเป็นองค์ความรู้ที่มีสาระสำหรับคนบางคนด้วย ความทรงจำที่แท้จริงของผมเริ่มกลับมา ผมได้เล่าและเตือนผู้คนร่วมสมัยของผมว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นจากนิทาน หรือองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ใครจะเรียกมัน ที่ผมและคนแบบผมได้คิดค้นพบขึ้น แต่ไม่ใช่ใครทุกคนจะเชื่อผมเท่าไรนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเชื่อผมเลย ยิ่งกว่านั้น องค์ความรู้ที่เขียนขึ้นนั้น ก็เป็นสิ่งที่ผมเองเป็นผู้นำร่องในการค้นพบ ผมพบความรู้ใหม่ๆ และยิ่งกว่านั้น ผมพบว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่กระนั้น ความรู้สึกและความเป็นตัวตนของผมในศตวรรษที่สิบห้า-สิบหกนั้น ทำให้ผมดื่มเหล้าต่อไป และดึงแขนสาวสวยคู่ใจของผมคนนั้นไปร่วมรักในห้องพักของผม โดยพยายามที่จะลืมความฝันและผลงานความคิดทั้งหมดของผม ผมรีบร้อนที่จะทำรักกับเธออย่างหนักหน่วงและหวงแหน และดีใจว่า อย่างน้อย ขณะนี้ผู้หญิงที่ผมรักอยู่นั้นก็ยังเป็นมนุษย์อย่างผมอยู่ และที่สำคัญ เธอชอบฟังนิทานจากความฝันของผม”

ในส่วนที่เน้นเป็น ‘ตัวเข้ม’ นี้เองที่สะท้อนส่วนหนึ่งของ ‘อารมณ์แห่งสภาวะหลังสมัยใหม่’ ที่คนหลายคนในปัจจุบันถวิลหา เพราะทุกอย่างมีค่าเท่าเทียมกันในฐานะของความทรงจำของคนคนหนึ่ง!! และด้วยเหตุนี้เอง ที่เรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความฝัน นิทาน ความรู้วิชาการ วิทยาศาสตร์ ตำนาน ฯลฯ มีสถานะที่เท่าเทียมกันในฐานะที่เป็นหนึ่งในความทรงจำของคนเรา

ไม่ว่าจะเป็น Utopia ของ Thomas More, Abbey of Theleme ของ Rabelais, Of the Cannibals ของ Montaigne หรือ Gonzalo’s Speech, from the Tempest ของ Shakespeare, City of the Sun ของ Campanella, New Atlantis ของ Francis Bacon หรือ ความฝันของชายคนนั้น ต่างก็เป็นเพียงเรื่องเล่าแห่งความทรงจำที่มีทั้งข้อจำกัดภายใต้บริบทและไม่มีข้อจำกัดในฐานะที่ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่ากัน หรือทุกเรื่องมีความพิเศษในตัวของมันเองทั้งสิ้น!

“ ‘ยูโทเปีย’ คืออาการอย่างหนึ่ง (malaise) ของมนุษย์ในช่วงเวลาหนึ่งๆ”




Create Date : 08 เมษายน 2550
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2550 17:18:28 น. 3 comments
Counter : 1162 Pageviews.

 


ยังอ่านไม่จบเลยแล้วจะแวะมาอ่านใหม่ครับ ชอบแนวนี้มากๆ ครับ



โดย: ฟ้าสดใส ทะเลสีคราม วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:14:36:23 น.  

 
ขอบคุณครับ


โดย: Darksingha วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:10:04:56 น.  

 
สิ่งที่เราไม่รู้ สิ่งที่เราไม่เห็น มิใช่ว่ามันไม่มีอยู่ หรือหากแม้มันไม่มีอยู่จริงก็ไม่ผิดไม่ใช่หรือที่เราจะฝันถึง ในเมื่อโลกปัจจุบันที่เป็นอยู่มันเริ่มอยู่ยากขึ้นทุกวัน


โดย: The Fringer IP: 124.120.12.153 วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:19:40:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Darksingha
Location :
สมุทรสงคราม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]





Click for use Graphics comment


Darksingha ที่แสดงถึงอำนาจและความมืดมัว ผมให้แทนคำว่า Age of Doubt หรือยุคแห่งความสงสัยก็แล้วกัน ดังนั้นBlogนี้จึงเป็นแดนสนธยาที่เต็มไปด้วยหมอกควันแห่งคำถาม และการละเล่น เพื่อแสวงหา ?


TV3 Live CH5 Live CH7 Live Modernine TV Live NBT LIVE - CH11 TPBS - Public Channel ASTV1 New11 - Online News 24 hours Nation Channel DMC.TV - Buddhistic Television ASTV5 - Suvarnbhumi ASTV7 - Buddhistic Television  True New 24 Channel  skynew  cnnibn Channel  cnn Channel  bbcnews_island Channel  cctv  Channel  bfmtv  Channel  ntv  Channel  fox8 Channel  foxnews5 Channel  cspan  Channel  france24 Channel  world_explorer Channel  discovery_channel Channel  nasa  Channel kimeng-channel dmc-channel ebr-channel research-channel utv-channel michigan-channel at-florida-channel islam-channel peace-usa-channel bbc-panorama-channel CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live

music is life

ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต

Friends' blogs
[Add Darksingha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.