คุณธรรมกลวง
ยุคสมัยนี้เป็นยุคคุณธรรมคู่อำนาจ จะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่เราได้ยินอย่างนั้นอยู่บ่อยๆ เสียจนกระทั่งแม้แต่ตั้งข้อสงสัยว่าจริงหรือไม่ ก็ดูจะเป็นบาปไปแล้ว
เท่าที่ผมเคยถูกสอนมาในคนรุ่นผมก็คือ คุณธรรมเป็นเรื่องของความคิด และการกระทำ ไม่ใช่เรื่องของการพูด คือตัวจะมีคุณธรรมหรือไม่ อย่าได้พูดเอง ปล่อยให้คนอื่นเขาเป็นคนพูด
ผมก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละครับ ที่คนมีคุณธรรมต้องคอยประกาศความมีคุณธรรมของตนเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ประกาศโดยตรงก็โดยอ้อม คุณธรรมจึงไม่ใช่เรื่องของกายกับใจเท่านั้น แต่ยังมีคุณธรรมทางวาจาอีกด้วย
ไม่นานมานี้ผมได้ยินโฆษกทีวีพูดอะไรทำนองว่า เขาจัดการประชุมสัมมนาอะไรเกี่ยวกับเรื่องคุณธรรมนี่แหละครับ จุดมุ่งหมายก็เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีคุณธรรมมากๆ แล้วจะสำเร็จหรือไม่ผมก็ไม่ทราบ
แต่ตามการประเมินของโฆษก คงยังไม่สำเร็จดีแท้ โฆษกจึงบอกว่า ถึงอย่างไรสังคมไทยก็มีจิตวิญญาณด้านคุณธรรมเข้มแข็งอยู่แล้ว จึงไม่ยากที่จะสร้างสังคมคุณธรรมขึ้น
โดยวิธีอะไรผมก็ไม่ทราบ คงจะจัดประชุมสัมมนาเกี่ยวกับคุณธรรมบ่อยๆ กระมัง เพราะผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้เห็นว่า คนมีอำนาจล้วนมีคุณธรรมทั้งนั้น อย่างน้อยก็เพราะเขาประกาศเช่นนั้น แสดงว่าคุณธรรมกับอำนาจต้องสัมพันธ์เชื่อมโยงกันแหงแซะ ฉะนั้น หากอยากมีอำนาจ ก็ต้องมีคุณธรรม ด้วยการประกาศย้ำบ่อยๆ ถึงคุณธรรม
ก่อนที่ผมจะเพลิดเพลินกับการเสียดสีจนลืมไป ผมอยากกลับมาคุยประเด็นที่ผมตั้งใจไว้ นั่นคือจริงหรือที่สังคมไทยมีจิตวิญญาณด้านคุณธรรมเข้มแข็งอยู่แล้ว
ผมคิดว่าไม่จริงครับ
คุณธรรมคืออะไรครับ? มักนิยามกันง่ายๆ ว่าคือการทำความดี ไม่นานมานี้เหมือนกันผมได้ยินผู้ใหญ่คนหนึ่งในบ้านเมือง อบรมเรื่องคุณธรรมว่า ให้ปฏิบัติตามศีลของศาสนาต่างๆ ที่ตัวนับถือ
ฉะนั้น ถ้าเป็นชาวพุทธก็คือไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ขโมย, ไม่ผิดลูกเมียเขา, ไม่โกหก และไม่เสพของมึนเมา ส่วนจะเลยไปถึงไม่นอนที่สูง, ไม่ดูการละเล่น และไม่ใช้ของหอมลูบไล้หรือไม่ ก็ได้ไม่ขัดข้อง ก็เป็นอันใช้ได้
แต่อะไรคือไม่ฆ่า, ไม่ขโมย, ไม่ผิดลูกเมีย, ฯลฯ ในชีวิตยุคปัจจุบัน เมื่อชีวิตของทุกสิ่งและของทุกคน เชื่อมโยงกันอย่างสลับซับซ้อนไปหมดเช่นนี้ การเอาสถานะและเกียรติยศของตนเองไปปกป้องบริษัทธุรกิจบางแห่ง ด้วยการรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์ ทั้งๆ ที่ธุรกิจของบริษัทนั้นคือการฆ่าสัตว์, เอาเปรียบเกษตรกร และขายสารเคมีทางการเกษตร จะเท่ากับการฆ่า(ทั้งสัตว์และคน), การขโมย, การโกหก ฯลฯ หรือไม่
ผมคิดว่าศีลกับกฎหมายต่างกันตรงนี้ ศีลต้องสมาทานด้วยปัญญา คือคิดและเห็นนัยยะที่เชื่อมโยงไปกว้างขวางกว่าข้อห้ามเฉพาะ ในขณะที่กฎหมายเขาสั่งอะไรก็ทำตามนั้นเป็นอันรอดตัว แค่ดูรายการ "คนหัวหมอ" อย่างเดียวก็ทำตามกฎหมายได้ครบถ้วนแล้ว
ศีลในศาสนาต่างๆ จึงเชื่อมโยงไปถึงอะไรที่ลึกกว่า และสำคัญกว่าพฤติกรรมทางกายและวาจาเท่านั้น พูดอีกอย่างหนึ่งคือมีฐานที่จิตใจ เช่น ศีลในพระพุทธศาสนานั้น ที่จริงแล้วเป็นวัตรปฏิบัติที่เอื้อต่อสมาธิและปัญญา สามอย่างนี้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ถือศีลก็ต้องมีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลาไม่ล่วงละเมิดเพราะหลงหรือลืม มีปัญญาที่ให้แสงสว่างมองไปได้ทั่วถึงผลแห่งการกระทำของตนเอง
มุสลิมไม่กินหมู ไม่ใช่เพราะเป็นมุสลิมต้องไม่กินหมู แต่ไม่กินหมูบนฐานของการยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างราบคาบต่างหาก กล่าวคือ ยินดีที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้าอย่างไม่บิดพลิ้วหรือฉ้อฉล... นี่คือฐานแห่งจิตวิญญาณของศีลในศาสนาอิสลาม
ผมเคยพูดหลายครั้งและขอพูดซ้ำอีกว่า หัวใจของธรรม, คุณธรรม, ศีลธรรม ฯลฯ คือการนึกถึงคนอื่นและสิ่งอื่นซึ่งไม่ใช่ตัวเรา พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือยกจิตใจตนเองให้พ้นจากความเห็นแก่ตัวหรือการยึดมั่นต่อตนเองไปสู่สิ่งอื่น จะเป็นมนุษย์, สัตว์, พืช, หรือสิ่งแวดล้อม
ไม่ใช่เฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้นนะครับ ในทุกศาสนาก็ว่าได้ ล้วนมีฐานทางจิตวิญญาณอันเดียวกันนี้ คือการยกระดับจิตใจตนเองให้พ้นไปจากอัตตาของตัว ศาสนาที่นับถือพระเจ้า คือพ้นจากอัตตาของตัวไปสู่เทวภาวะอันสูงส่งซึ่งเราศรัทธานับถือ
และตรงนี้แหละครับที่ผมสรุปว่า สังคมไทยไม่ใช่สังคมที่มีจิตวิญญาณทางคุณธรรมเข้มแข็งนัก ไม่ใช่เพราะสังคมไทยไม่รู้ว่า อะไรคือคุณธรรม แต่เพราะสังคมไทยได้พยายามตัดเอาส่วนที่เป็นฐานทางจิตวิญญาณของคุณธรรมออกไป
ตัดตั้งแต่เริ่มปฏิรูปศาสนากันใน ร.5 แล้ว คือตัดคำอธิบายที่เป็นด้านจิตวิญญาณของศีลหรือคุณธรรมอื่นๆ ออกไปหมด แต่ใช้คำอธิบายที่ "เป็นเหตุเป็นผล" แบบฝรั่ง (หลังยุค "สว่าง") คือเหตุผลของโลกนี้ ซึ่งมีปัจเจกแต่ละคนเป็นศูนย์กลางของจักรวาลของตนเอง
มีคุณธรรมเพื่อเป็นที่ยอมรับของสังคม, เพื่อทำให้มีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น, เพื่อก้าวหน้าในอาชีพการงาน เพื่อเป็นที่รัก, เพื่อคนที่ตนรัก, เพื่อด่าทักษิณ ฯลฯ
ยังไงๆ ก็วนอยู่กับตัวกูของกูอยู่แค่นี้แหละครับ
ผมไม่ได้หมายความว่า ทำความดีเพื่อตอบสนองความเห็นแก่ตัว เป็นไปไม่ได้เสียเลยนะครับ เพียงแต่ว่า เมื่อขาดความลึกก็ทำให้ไม่ต้องใช้ปัญญามากนัก มองศีลไม่ต่างจากกฎหมาย เขาไม่ให้ฆ่าก็อย่าฆ่า แต่ใช้ชีวิตที่ส่งเสริมการฆ่าก็ไม่เป็นไร ฯลฯ
ยังจำข้อถกเถียงเมื่อช่วง พ.ศ.2517-2519 ได้ไหมครับ เมื่อนักศึกษา "ค้นพบ" ความยากจน (ตามสำนวนของ อาจารย์อรรถจักร สัตยานุรักษ์) เมื่อต้นทศวรรษ 2510 นักศึกษาพยายามเข้าไปช่วยเหลือ ทีแรกก็การตั้งค่ายในภาคฤดูร้อน ต่อมาก็หันไปสู่การแก้ปัญหาของระบบ ซ้ำรับเอาลัทธิเหมามาเป็นคำตอบเสียอีก
"ผู้ใหญ่" ในตอนนั้นก็บอกว่า นั่นไม่ใช่หน้าที่ของนักศึกษา เพราะหน้าที่ของนักศึกษาคือเล่าเรียน ตามความคาดหวังของพ่อแม่ แต่นักศึกษากลับบอกว่าการลงไปต่อสู้แทนชาวนาและกรรมกรนั่นแหละคือหน้าที่โดยตรงเลยทีเดียว เพราะเป็นการเรียนรู้ทางวิชาการควบคู่กันไปกับการเรียนรู้การเสียสละ
ผมรู้สึกว่าทั้งสองฝ่ายมองคุณธรรมกันจากคนละมุม ฝ่าย "ผู้ใหญ่" มองจากคุณธรรมที่ต้องมีฐานทาางจิตวิญญาณ ในขณะที่นักศึกษามองจากฐานของการรู้จักคิดถึงคนอื่น นักศึกษาในช่วงนั้นจึงเป็นคนแปลกหน้าของสังคมไทย กลายเป็นคนเลวร้ายไปเลย
(ผมทราบครับว่าเบื้องหลังของข้อถกเถียงนี้ คือการเมืองและผลประโยชน์ที่ขัดกันของคนหลายกลุ่ม แต่ผมต้องการจะพูดถึงตัวตรรกะที่ใช้ในการถกเถียง ไม่ใช่แรงจูงใจครับ)
แต่ในขณะเดียวกัน คนไทยก็รู้สึกเหมือนกันว่าคุณธรรมที่ขาดฐานทางจิตวิญญาณเสียเลยนี้ ทำให้คุณธรรมกับการปฏิบัติตามกฎหมายไม่ต่างอะไรกันเลย ทำให้มีความพยายามจะหาฐานของคุณธรรม ที่อยู่นอกผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่เหมือนกัน
น่าอัศจรรย์ที่ฐานของคุณธรรมที่สังคมไทยปัจจุบันค้นพบ กลับเป็นเพียงสัญลักษณ์ของอะไรที่ถือว่าดีในทางโลกิยะ ไม่ใช่โลกุตตระ
สามอย่างนั้นคือพระสงฆ์, พระเจ้าอยู่หัว และชาติ
การเข้าหาพระสงฆ์ก็เป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเข้าไปทำไม และไม่ว่าพระสงฆ์จะแปลว่าอะไร (สงฆ์ในพระพุทธศาสนาที่เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย ไม่ได้หมายถึงพระภิกษุ) ขอแต่ให้เข้าหา และกราบกรานได้ถูกต้องตามที่กระทรวงศึกษาฯ ตั้งเป็นแบบมาตรฐานเอาไว้ก็แล้วกัน
ผู้คนได้รับการเรียกร้องให้ทำความดี "ถวายในหลวง" หรือเพื่อ "ชาติ" อยู่ตลอดเวลา
สัญลักษณ์ทั้งสามอย่างนี้ล้วนพ้นออกไปจากอัตตาทั้งนั้นนะครับ แต่เป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณที่ไม่เกี่ยวกับความสูงส่ง ที่มุ่งหมายในศาสนานะครับ คือไม่ใช่พระนิพพาน และไม่ใช่พระเจ้า
ฉะนั้น สัญลักษณ์ทั้งสามนี้จะสามารถดึงจิตใจให้พ้นไปจากผลประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่ ผมไม่แน่ใจ
เพราะผมงงเป็นไก่ตาแตกเลย เมื่อโฆษกทีวีเรียกร้องผู้ชมของเขาว่า ให้เรามาร่วมกันทำความดีด้วยการสวมเสื้อเหลืองทุกวันจันทร์
งงเพราะไม่รู้ว่าเสื้อเหลืองเกี่ยวกับความดีได้อย่างไร
ตราบเท่าที่เรายังไม่มีฐานทางจิตวิญญาณของคุณธรรม ผมเชื่อว่าคุณธรรมก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องประกาศให้คนอื่นรู้อยู่ตราบนั้น ใครมีอำนาจก็พึงพร่ำพูดถึงคุณธรรมไม่ขาดปากอยู่อย่างนี้แหละครับ
ที่มา นิธิ เอียวศรีวงศ์ มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 27 ฉบับที่ 1385 หน้า 41
Create Date : 26 มิถุนายน 2550 |
|
0 comments |
Last Update : 26 มิถุนายน 2550 15:36:52 น. |
Counter : 712 Pageviews. |
|
|
|