หอมกลิ่นหวาน...และขมของชีวิต
Group Blog
 
<<
เมษายน 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
30 เมษายน 2552
 
All Blogs
 
คนชั้นล่าง


“โอ๊ย! อิจฉา”
เสียงเพื่อนสาวกรี๊ดผ่านโทรศัพท์มือถือ หล่อนนิ่วหน้ารีบเอาโทรศัพท์ออกให้ห่างตัว เลี่ยงเพื่อไม่หูแตกเพราะเสียงกรี๊ด
ก่อนที่จะหนีบโทรศัพท์ไว้กับไหล่และหูต่อ


“มันหามาได้ยังไงน่ะฮึ ผู้ชายที่โรแมนติคขนาดนั้น”
เพื่อนยังเสียงแว้ดๆไม่เลิก หัวข้อที่เจ้าหล่อนโทรมาเม้าท์คือเพื่อนอีกคนมีหนุ่มมาขอแต่งงาน หอบกุหลาบช่อใหญ่มาเซอร์ไพรซ์
จองร้านอาหารเพื่อขอแต่งงาน และที่เด็ดสุด ...แหวนเพชรในแก้วแชมเปญ


“ผู้ชายดีๆมันไปไหนกันหมด”
คนปลายสายร้องโหยหวน หล่อนได้แต่ยิ้มบางๆมือก็หยิบผ้าขึ้นตากบนราวหลังห้อง
“ผู้ชายดีๆน่ะมันก็มีอยู่หรอกแก แต่มันไม่ได้รักเรา”
เพื่อนจึงบ่นเสียอีกหลายกระบุงในเรื่องความอาภัพอับโชคเรื่องผู้ชาย หล่อนตัดสายโทรศัพท์มือถือแล้ว หลังจากนั้นจึงนำชุดชั้นในไปตาก


วันหยุดสำหรับสาวโสดมักหมดไปกับการซักผ้ากองโตบ้าง ทำความสะอาดห้องบ้าง
หญิงสาวมองดูภาพของตัวเองในกระจกห้องน้ำ ผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียน ผมยาวรวบเป็นหางม้า อกเป็นอก เอวเป็นเอว
หล่อนมีคนมาจีบมากแต่ไม่ได้เรื่องสักราย มีแต่ผู้ชายเจ้าชู้จับปลาสองมือ


‘แกน่ะอคติ’
เพื่อนๆและคนรอบข้างเคยค่อนขอด แต่หล่อนไม่สน ความซื่อสัตย์ต่อคนรักเป็นหนึ่งในความดีเล็กๆน้อยๆที่สามารถทำได้
...เรื่องเล็กน้อยที่หากยังละเลย แล้วเรื่องใหญ่ๆจะไปเหลืออะไร


‘ก๊อก...ก๊อก’
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น หญิงสาวละมือจากการกวาดห้องเดินไปดูที่ช่องตาแมว ตาแว่นนั่น! คนห้องชั้นล่างที่เป็นคู่กรณีของหล่อน
เขายืนหน้าเฉยเมยอยู่หน้าห้องหล่อน


“คุณซักผ้าหรือเปล่าวันนี้”
ชายหนุ่มตรงหน้าถามทันทีเมื่อหล่อนเปิดประตูห้องออกไป
“น้ำมันหยดลงไปที่ระเบียงหลังห้องผม”
นี่คือปัญหากระทบกระทั่งกันระหว่างคนอาศัยอยู่หอเกือบจะทุกที่


“ขอโทษค่ะ”
หญิงสาวเลือกที่จะขอโทษและรีบยุติบทสนทนา ในใจนึกว่าพลาดไปแล้ว เห็นห้องเขาเงียบๆเหมือนไม่มีคนอยู่
คิดว่าเจ้าของห้องไปทำธุระจึงซักผ้าตากได้อย่างสบายอารมณ์ หล่อนไม่ชอบผู้ชายคนห้องชั้นล่างเอาเสียเลย
ตัวสูงผอม ผมยาวระต้นคอ ใส่แว่น แก้มตอบ ทำเอาหล่อนนึกถึงพวกนักวิทยาศาสตร์โรคจิตในนิยาย


“ทำไมคุณไม่ใช้เครื่องซักผ้าล่ะ น้ำจะได้ไม่หยด”
เขาแนะนำ หล่อนเพียงแต่ยิ้มให้ตามมารยาท ใครจะบ้าเอาชุดชั้นในบอบบางไปใส่เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญได้ล่ะ
แม้ว่าจะมีถุงใส่ชุดชั้นสำหรับซักผ้ากับเครื่องก็ตาม ยังไงก็เป็นเรื่องน่าอายสำหรับผู้หญิง เห็นชุดชั้นในเท่ากับรู้ขนาด


“ขอบคุณค่ะที่แนะนำ ผ้าบางชิ้นต้องซักด้วยมือน่ะค่ะ”
หล่อนตอบเขาทิ้งท้ายก่อนที่จะปิดประตูห้อง รีบนำชุดชั้นในทั้งหลายไปตากในห้องน้ำในบัดดล
คนห้องชั้นล่างมักจะมีปัญหากับหล่อนเสมอตั้งแต่ย้ายมา ปัญหาเรื่องน้ำหยดจากการซักผ้า ปัญหาเรื่องเสียงดังบ้างล่ะ
เขาช่างจุกจิกจู้จี้เสียจริง ตอนย้ายมาแรกๆหล่อนก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่หลังๆมักจะกระทบกระทั่งกันเสมอ


‘ก็อย่างนี้และชีวิตชาวหอ’
รุ่นพี่ในที่ทำงานและเป็นเจ้าของหอพักนี้ปลอบ


‘เรื่องเล็กเรื่องน้อย ยังไงก็ยอมๆไปเถอะ’
คนพูดหัวเราะร่วน พี่เจ้าของหอเป็นคนอารมณ์ดีเข้ากับคนง่ายรู้จักคนเช่าหมดทั้งหอ ผนังสำนักงานที่เป็นสถานที่จ่ายค่าหอนั้น
มีรูปถ่ายในงานเลี้ยงเทศกาลต่างๆของชาวหอด้วย รูปของหล่อนและเขาในงานเลี้ยงปีใหม่ก็มีอยู่


‘ถ้าไม่ไหวจริงๆค่อยมาบอกพี่’
พี่เจ้าของหอพูดอย่างนี้ทุกทีแต่ไม่เห็นจัดการอะไรเลย


“ยี่ห้อนั้นน่ะ เกลือเยอะไม่ดีกับไต”
หล่อนที่หยิบห่อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ในร้านสะดวกซื้อหันขวับไปตามต้น เสียง หนุ่มห้องชั้นล่างมายืนอยู่ใกล้ หลังซักผ้าเป็นเวลาซื้ออาหารมาตุนไว้
ร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอยเป็นตัวเลือกที่ดี
“ยี่ห้อนี่ดีกว่า จืดไปนิดแต่ดีกับสุขภาพ”
เขายื่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสำหรับเด็กมาให้ หล่อนจำได้ว่าเคยกินครั้งสุดท้ายตอนอยู่ประถม


“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวตอบตามมารยาทนึกฉุนในใจว่าหล่อนชอบยี่ห้อนั้นนี่นา แม้ไม่ดีกับไตก็ช่าง ไตก็ของหล่อนเองนะ
“ช็อคโกแลตอันนี้ดีกว่า มีเปอร์เซ็นต์ชอคโกแลตเยอะยี่ห้ออื่นมีแต่น้ำตาลทั้งนั้น”
คราวนี้เขายื่นช็อคโกแลตห่อสีดำสนิทมาให้เมื่อเห็นหล่อนเดินไปที่ชั้นชอคโกแลต
“ขอบคุณค่ะ”
ว่าแล้วหล่อนก็เดินไปชั้นผ้าอนามัย ดูสิ! หมอนั่นจะตามมาอีกไหม


“ไม่ซื้อนิตยสารของบริษัทตัวเองเหรอ”
คนห้องชั้นล่างมายืนใกล้เมื่อหล่อนกำลังเลือกนิตยสาร
“ไหนนิตยสารของคุณโฆษณาว่าเป็นนิตยสารผู้หญิงที่ขายดีที่สุดในเมืองไทยยังไงล่ะ”
หญิงสาวชักหมดความอดทนกับเขา มาจีบแบบวนเวียนปากเสียแบบนี้หล่อนเกลียดที่สุด


“ค่ะ แต่ก็ใช่ว่าฉันจะอ่านนิตยสารอย่างอื่นไม่ได้ใช่ไหมคะ”
ปลายเสียงนั้นเน้นสูง ตาวาวๆหันกลับมามองเขา ใบหน้านั้นเรียบเฉยเสียจนน่าหมั่นไส้
“ขอบคุณนะคะสำหรับคำแนะนำเรื่องอาหารแล้วก็หนังสือค่ะ”
หล่อนบอกเขาแล้วก็ยืนอ่านนิตยสารต่อ ไม่สนใจว่าจะยืนอยู่หรือไปที่ไหน


“คุณพอจะว่างไหม ผมมีเรื่องจะปรึกษา”
หือ...อีตาคนชั้นล่างยังอยู่
“คุณทำงานเกี่ยวกับนิตยสารผู้หญิงน่าจะมีประสบการณ์เยอะ ผมอยากจะปรึกษาเรื่องทำให้ผู้หญิงซักคน...รัก”
หล่อนหันขวับมามองคนอยากจะปรึกษาทันที ...หน้านั้นยังนิ่งสนิทผิดวิสัยคนที่กำลังมีความรัก
“ถ้าเป็นคุณคงช่วยผมได้”


“คุณรักเขามากสินะ”
หล่อนพึมพำหลังจากฟังเรื่องราวจบ ...เรื่องราวของชายหนุ่มที่ตกอยู่ในห้วงรักและต้องการให้คนที่รักสนใจตน
เขาและหล่อนนั่งอยู่บนบันไดหน้าร้านสะดวกซื้อเยื้องๆกับตู้โทรศัพท์ที่ไม่ค่อยมีคนมาใช้งาน


“ผมไม่รู้สิผมอยู่ต่อหน้าเขาแล้วทำอะไรไม่ถูก รู้ตัวอีกทีก็เอาแต่มองตามเขาแล้ว”
หนุ่มชั้นล่างบอกเบาๆ เสียงเขาเหมือนกับละเมอ หล่อนโคลงศรีษะแล้วตักไอศรีมวานิลาเข้าปาก คนปรึกษาซื้อเลี้ยงหล่อนเองนัยว่าเป็นค่าปรึกษา
“งั้นก็บอกรักเขาไปเลยซิคุณ เป็นผู้ชายใจกล้าๆหน่อย”


“เขาคงไม่ชอบผม เพราะผมชอบหาเรื่องกับเขาประจำ”
รักกับคนใกล้ชิดนี่เอง หล่อนนึกในใจ
“แต่เขายังไม่ได้บอกคุณนี่ว่าเขาเกลียดคุณ”
“การกระทำของเขาสำคัญกว่าคำพูด”
คนนั่งข้างเถียง


“แต่การตีตนไปก่อนไข้โดยที่ยังไม่ทำอะไรสักอย่างนี่เขาเรียกกันว่าขี้ขลาด”
คราวนี้คนเถียงเงียบกริบไปเลย ทำเอาหล่อนละอายใจว่าพูดรุนแรงไปหรือเปล่า ต่างคนต่างเงียบ


“คุณเป็นคนสวย คุณคงไม่เข้าใจคนหน้าตาบ้านๆอย่างผมหรอกว่ากลัวขนาดไหนเวลาจะพูดกับคนที่ชอบ
ผมคิดตลอดว่าเขาจะพูดกับผมไหมนะ จะโกรธผมหรือเปล่า”
เสียงเขาตัดพ้อนิดๆ


“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น มันอยู่ที่คุณควรไปบอกเขาว่าชอบ”
หล่อนก็ยังยืนยันความคิดเดิมอยู่ดี ...รักใครจงบอกเขาเสีย
“ผมบอกแล้ว”
อ้าว...แล้วมาปรึกษาหล่อนทำไมนี่


“ผมซ้อมบอกกับรูปของเขาแล้ว”
คนตรงหน้าบอกเสียงอุบอิบ หล่อนอ้าปากค้างแล้วเกาหัว
“นี่มันไม่ใช่ว่าคุณมีรูปเขาเต็มห้องหรอกนะ”
หล่อนนึกถึงสตอร์คเกอร์โรคจิตชอบตามติดคนในหนัง


“ผมเปล่า...มีแค่นิดเดียวเอง คนเราจะมีรูปคนที่เราชอบไว้ในห้อง ไม่เห็นแปลกอะไร”
แสดงว่ามี
“นี่คุณ! อย่างนั้นน่ะ ฉันว่ามันเข้าข่ายโรคจิตแล้วนะ ไม่ใช่ความรัก”


“แล้วความรักคืออะไรละครับ การคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา อยากอยู่ใกล้ ไม่อยากให้เขาใกล้ชิดใคร นั่นแหละอาการผม
แล้วผมผิดจากผู้ชายอื่นๆที่ตกหลุมรักผู้หญิงสักคนตรงไหน”
คนโดนหาว่าโรคจิตยังเถียงต่อ จนหล่อนชักแขยง เกิดมาเพิ่งเคยเจอผู้ชายประเภทนี้ คิดว่ามีแต่ในหนัง


“สมมุตินะคุณ สมมุติ ถ้าเขารักคุณแล้วคุณจะทำยังไงต่อ”
หล่อนลองแย็บๆถาม
“ผมก็จะไปขอเขาน่ะสิ แต่งงาน อยู่ด้วยกัน ผมจะขยันทำงานหาเงินมาเลี้ยงเขา มีบ้าน มีลูก ผมจะรักเขาให้มากกว่าที่เขารักผม”
ดวงตาคนพูดเป็นประกาย ขณะที่หล่อนเบ้หน้า อีตานี่นอกจากโรคจิตแล้วยังช่างฝันอีกแน่ะ


“แล้วคุณทำงานอะไรกันแน่ ถึงจะเลี้ยงเขาได้”
หล่อนอดถามไม่ได้เพราะไม่เคยเห็นเขาแต่งตัวดีๆไปทำงานเลย เห็นแต่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นปล่อยชายและกางเกงยีนส์
“ผมเป็นโปรแกรมเมอร์ พูดแล้วจะหาว่าคุยนะ ผมเก่งมีลูกน้องเยอะ ไม่ต้องไปทำงานก็ได้”
คราวนี้เขายิ้มจนเห็นฟันขาวเป็นระเบียบ บทจะทำตัวสดใสเขาก็ทำได้นี่นา...


“ถ้าเป็นหัวหน้าคน แล้วมาอยู่หอทำไมล่ะ”
“เหตุผลส่วนตัวครับ”
คนปรึกษากลับมาหน้าเฉยเหมือนเก่าอีกแล้ว


“ถามจริงๆเถอะค่ะ คุณรักเขาเพราะอะไรคะ”
คำถามน้ำเน่าแต่หล่อนคิดว่าตรงกับสถานการณ์นี้ที่สุด อยากรู้ว่าคนแปลกๆอย่างเขาหลงรักผู้หญิงด้วยเหตุใด
“ไม่รู้สิ ผมรักเขาเวลาเขาหัวเราะ ผมรักท่าเดินของเขา ผมรักแม้กระทั่งปลายเส้นผมของเขา ทุกอนูอากาศที่เขาหายใจ”


“คุณนี่นอกจากทำงานด้านคอมพิวเตอร์แล้วสงสัยจะเป็นกวีด้วย”
หล่อนห่อปากอย่างทึ่งๆนึกไม่ถึงว่าคนท่าทางอย่างเขาจะพูดหวานๆอย่างนี้ได้
“เปล่า ผมไม่ได้เป็นอะไรเลย ผมเป็นแค่ผู้ชายที่ตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น อยากจะมอง อยากจะอยู่กับเขาจนแก่เฒ่า ...แต่ก็ไม่มีโอกาสแล้ว”


“สารภาพรักไปสิ”
หล่อนว่าพลางตักไอศรีมเข้าปาก
“ผมไม่กล้า ผมไม่ใช่คนพูดเก่ง”
“ขนาดพล่าม เอ๊ย! พรรณนาถึงความรักที่มีต่อเจ้าหล่อนกับคนไม่สนิทกับฉันเนี่ยนะ”
หญิงสาวหัวเราะคิกคัก ผู้ชายนี่ก็แปลกพูดเรื่องจริงกับทุกคนได้ยกเว้นผู้หญิงที่ตัวเองรัก
“ปรกติผมไม่ช่างพูดหรอก เวลาปรกติ...”
เสียงเขาเหมือนลอยมาจากที่ไกลแสนไกล


“ผมเกิดราศีมีน เลือดกรุ๊ปเอบี เขาว่ากันว่าคนแบบนี้จะทุ่มเทกายถวายชีวิตให้กับคนที่รัก ทุ่มเทมากจนเลยเถิด”
จู่ๆเขาก็มาเข้าเรื่องราศีและกรุ๊ปเลือดโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“แล้วคุณล่ะ เกิดราศีอะไรเลือดกรุ๊ปอะไร”
หล่อนนิ่งซักครู่ก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“ราศีสิงห์เลือดกรุ๊ปบี”


เขาหัวเราะหึๆ
“หยิ่งทะนง ชอบครอบครอง อยู่เหนือคนรัก แต่ถ้าลองปักใจรักใครเข้าสักคนละก็ ใจจะแน่วแน่มั่นคง ไม่มีวันเสื่อมคลาย”
แววตาที่มองมาทางหล่อนนั้นวิบวับล้อเลียนทำเอาหน้าแดงหน่อยๆ ก็นั่น...มันคือนิสัยจริงๆของหล่อนนี่นา


ไอศรีมในถ้วยของหล่อนใกล้จะหมดแล้ว แต่ทั้งเขาและหล่อนก็ยังนั่งอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน
“ขอโทษนะครับ ที่ผมทำให้คุณต้องมานั่งฟังเรื่องไร้สาระจากผม”


“ไม่หรอก ฉันนับถือคุณนะ รักผู้หญิงคนหนึ่งเสียมากมาย รักโดยที่ทุ่มเทหัวใจให้ทั้งหมด พูดตรงๆนะฉันยังไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนรักผู้หญิงได้แบบคุณเลยจริงๆ”
ผู้ชายดีๆมีอยู่จริงๆเสียด้วย ...เพียงแต่เขารักผู้หญิงคนอื่นก็เท่านั้น เขาลุกขึ้นตบฝุ่นที่กางเกง
“ขอบคุณครับที่ชม ถ้าเราได้คุยกันเร็วกว่านี้ก็ดีนะสิ”
เขายิ้มทิ้งทายก่อนที่จะเดินจากไป ยิ้มที่สว่างสดใส จนหล่อนนึกอิจฉาผู้หญิงที่เขารักขึ้นมาทันใด


‘ก๊อกๆ’
หล่อนเดินสโลสเหลจากเตียงไปเปิดประตู หัวยังมึนตึ๊บเพราะนอนตั้งแต่บ่ายยันค่ำหลังจากกลับมาจากร้านสะดวกซื้อ
“สวัสดีครับ ผม...ขอความร่วมมือหน่อยนะครับ”
คนในชุดเครื่องแบบสีกากีบอกพร้อมกับภายมือออกมาด้านนอก
“เกี่ยวกับคนห้องชั้นล่างของคุณ เชิญครับ”


หล่อนเข้าไปในห้องนั้นแล้วก็ต้องตกตะลึงตัวแข็งทื่อ บนเพดาน บนฝนัง บนชั้นที่วางซีพียูและจอคอมพิวเตอร์
ทุกที่ๆมองเห็นจะแปะรูปหญิงสาวในอิริยาบถต่างๆกันเอาไว้ รูปหล่อน!
“เจ้าของห้องเสียชีวิตเพราะถูกฆ่าชิงทรัพย์บนรถแท็กซี่เมื่อสองวันก่อนครับ คนร้ายเอาศพไปทิ้งแม่น้ำเพิ่งเจอวันนี้”
ตำรวจที่ยืนอยู่ใกล้หล่อนบอกเบาๆ


หญิงสาวเอามือปิดปาก กวาดสายตาไปทั่วห้องที่มีแต่รูปของตนเอง รูปหนึ่งวางไว้บนหัวเตียงใส่กรอบสีเงินอย่างดี
รูปเจ้าของห้องชั้นล่างและหล่อนยืนใกล้กัน แต่พอหยิบมาดูใกล้ๆจึงดูออกว่าเป็นรูปที่พับไว้ หล่อนยืนอยู่ด้านซ้าย เขายืนอยู่ด้านขวา
ท่ามกลางผู้คนในหอคงจะเป็นงานเลี้ยงปีใหม่ เจ้าของห้องพับรูปผู้คนตรงกลางไว้ทำให้ทั้งสองมายืนใกล้ชิดกัน


“บ้าที่สุด”
หญิงสาวบริภาษเขาในใจ


“นั่นสินะ”
เขามายืนอยู่ใกล้ ใบหน้านิ่งเฉย เวลาราวกับหยุดหมุน ผู้คนรอบกายหล่อนและเขายืนนิ่งไม่ไหวติง
“เป็นผีก็ดีเหมือนกันแฮะ หยุดเวลาได้ อย่างนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกกันว่าผีอำ”
หญิงสาวเย็นหลังวาบหันขวับมาดูเขา


“คุณแอบถ่ายรูปฉัน โรคจิต!”
หล่อนแว้ด อารมณ์โมโหที่ถูกหลอกจึงแว้ดผีแบบไม่กลัวเกรง มาหลอกให้หล่อนอิจฉาตัวเองเสียได้เวลาเขาเล่าเรื่องสาวที่ตกหลุมรัก
“ก็ผมบอกแล้วไงว่าการที่เราจะมีรูปของคนที่เรารักเอาไว้ ไม่เห็นจะแปลก”
คนตายไปแล้วยังแถหน้าตาเฉย


“แต่ก็ไม่ควรมากขนาดนี้”
“นั่นเพราะผมรักคุณมากอย่างไรล่ะ”
ทีอย่างนี้ล่ะกลับบอกรักได้...หล่อนนึกค่อนแคะเขาในใจ
หลายรูปที่ติดอยู่ในห้องเป็นรูปหล่อนเวลากลับจากทำงาน โทรม ผมยุ่ง บางภาพก็ไม่แต่งหน้า


"จะถ่ายรูปฉันทั้งทีน่ะ เอาที่มันสวยๆหน่อยสิ"
หญิงสาวย่นจมูก เขายิ้มยกมือขึ้นขยับแว่น
"ผมว่ายังไงคุณก็สวยอยู่แล้วล่ะ"


"คุณรักฉันมากเหรอ"
แล้วหล่อนก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก ผีหน้าแดง


"คุณคิดว่าผู้ชายที่ตามคุณมาอยู่หอน่ะรู้สึกอย่างไรล่ะ ผู้ชายที่แอบเดินตามคุณ ถ่ายรูปคุณ รอว่าเมื่อไหร่คุณจะซักผ้า รอว่าเมื่อไหร่คุณจะทำเสียงดัง
อยากคุยกับคุณก็ยังไม่กล้าต้องทำเป็นปั้นปึง จนตัวเองตายไปแล้วถึงได้มาหาคุณ ผมคิดนะว่าถ้าบอกรักคุณออกไป เกิดคุณปฏิเสธ ผมที่เป็นผีก็จะหายวับไปเลย
เป็นผีตายไปแล้วหัวใจไม่เต้น มันคงไม่ปวดใจหรอกตอนคุณปฏิเสธ"
คราวนี้หล่อนเองก็ติดเชื้อหน้าแดงตามผี



“แล้วคุณจะเอายังไง คุณตายไปแล้วนะ”
“คุณจะให้ผมเอายังไงล่ะ”
“คุณจะเอาฉันไปด้วยหรือเปล่า”
หญิงสาวนึกถึงเรื่องวิญญาณยึดติดที่มักจะมาพาคนรักของตัวเองไปด้วย ให้ตายตกตามกัน...


“คุณอยากไปด้วยกันไหมล่ะ”
สิ้นคำถามเขาเกิดความเงียบขึ้นอึดใจ ต่อให้หล่อนตอบว่าไม่! แต่ถ้าหากผีจะพาไปก็คงไม่ยาก นี่หล่อนต้องมาตายเสียตั้งแต่ยังสาวกระนั้นหรือ
มีผู้ชายมาบอกรัก แล้วหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตายตามผู้ชายคนนั้นไป


“ผมไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวขนาดนั้น ผมแค่อยากให้คุณรู้เท่านั้นแหละว่ามีใครคนหนึ่งรักคุณมาก...ก็เท่านั้นเอง”
เขาพูดเหมือนอ่านใจหล่อนออก น้ำตาจู่ๆก็ไหลออกมาเอง ร่างกายหนักอึ้ง อาการผีอำทำให้เช็ดน้ำตาไม่ได้
ผีใส่แว่นแก้มตอบจึงใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตานั้นออกให้


“ร้องไห้เพราะกลัวผมเหรอ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่”
หล่อนร้องไห้นึกต่อว่าๆทำไมเขาไม่รีบบอกรักหล่อนตั้งแต่แรก
“แต่ยังไงผมก็ยังดีใจนะที่คุณฟังคำสารภาพรักของผม ร้องไห้ให้ผม ถึงจะเป็นร้องไห้เพราะกลัวก็เถอะ ...ผมต้องไปแล้ว”


“คุณจะไปไหน”
เขาเลิกคิ้วหัวเราะหึๆ
“ไปในที่ๆคนตายเขาไปกันอย่างไรละครับ ถ้าคุณจะกรุณาขอแค่เวลาคุณเหงาให้คิดถึงผมบ้างก็พอ”
ร่างตรงหน้าค่อยๆจางไปราวกับหมอกขาว


พลันหล่อนก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันในห้องเหมือนเดิม เสียงตำรวจ
เสียงแฟลชถ่ายรูปเป็นหลักฐาน เสียงพี่เจ้าของหอให้ปากคำกับตำรวจ ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม
...เว้นเสียแต่ว่าน้ำตาอุ่นๆที่ไหลรินอาบแก้มหล่อนเท่านั้น อุ่นผิวกายแต่หนาวเยือกสะท้านใจ


“โอ๊ย! อิจฉา”
เสียงเพื่อนสาวกรี๊ดผ่านโทรศัพท์มือถือ หล่อนนิ่วหน้ารีบเอาโทรศัพท์ออกให้ห่างตัว เลี่ยงเพื่อไม่หูแตกเพราะเสียงกรี๊ด ก่อนที่จะหนีบโทรศัพท์ไว้กับไหล่และหูต่อ


“มันหามาได้ยังไงน่ะฮึ ผู้ชายที่โรแมนติคขนาดนั้น”
เพื่อนยังเสียงแว้ดๆไม่เลิก หัวข้อที่เจ้าหล่อนโทรมาเม้าท์คือเพื่อนอีกคนมีหนุ่มมาขอแต่งงาน กุหลาบแดงช่อละหนึ่งวัน
จนถึงวันที่หนึ่งร้อย กุหลาบมาเพียงหนึ่งดอกพร้อมกับแหวนเพชรเพื่อขอแต่งงาน


“ผู้ชายดีๆมันไปไหนกันหมด อิจฉาโว๊ย!”
คนปลายสายร้องโหยหวน หล่อนได้แต่ยิ้มบางๆมือก็หยิบผ้าขึ้นตากบนราวหลังห้อง


“ไม่ต้องหรอกแก ฉันไม่อิจฉาหรอก ฉันมีแล้วผู้ชายที่รักฉันมาก ทำอะไรน้ำเน่าๆให้ฉัน ยิ่งกว่ากุหลาบ ยิ่งกว่าแหวนเพชร
ฉันได้รักมามากขนาดนี้แล้วฉันก็ไม่ต้องการอะไรแล้วล่ะแก”
หล่อนบอกเพื่อนพลางหันไปยิ้มกับรูปในกรอบ รูปเขาและหล่อนในวันปีใหม่


ผู้ชายที่รักหล่อนสุดหัวใจ แอบตามไปถ่ายรูปหล่อนได้ แต่ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากรักบอกยามมีชีวิต
ผู้ชายที่หล่อนเชื่อแน่ว่าเขาจะซื่อสัตย์มั่นคงต่อหล่อนคนเดียวเพราะตอนนี้เขานั้น...ไร้ชีวิตเสียแล้ว
คนตายจีบคนอื่นไม่ได้...จริงไหม?

++++++FIN++++++


Create Date : 30 เมษายน 2552
Last Update : 12 มิถุนายน 2552 0:07:43 น. 1 comments
Counter : 468 Pageviews.

 
น่ารักจัง..ผู้ชายแบบนี้
เสียดายอ่ะ..ตายเขาตาย
มันน่าจะเป็นแค่เรื่องล้อเล่น
อิอิ..สนุกดีค่ะ..ซึ้งด้วย


โดย: nikanda วันที่: 4 พฤษภาคม 2552 เวลา:1:59:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

จโกระ&ลาชา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Something has come and gone,and that it 's all.


free counters
Friends' blogs
[Add จโกระ&ลาชา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.