ระดมทุกภาคส่วนร่วมทำหลักสูตรใช้ปี 57
นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งในระหว่างเป็นประธานเปิดงาน ชุมแพโมเดล : แนะแนวการเรียนรู้สู่อาชีพ ที่วิทยาลัยการอาชีพชุมแพ เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังแข่งขันกับประเทศต่างๆ ไปพร้อมกับการจะต้องมีความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งแต่ละประเทศกำลังปรับตัวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน มีการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งเพื่อใช้เป็นจุดเน้น ส่งเสริมและสร้างศักยภาพในด้านต่างๆ เท่ากับเป็นการยกระดับพัฒนากำลังคนของประเทศ โดยเฉพาะการที่จะต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือเทคโนโลยีชั้นสูงในการผลิตและพัฒนา ทำให้ประเทศไทยต้องพัฒนากำลังคนให้มีฝีมือและทักษะที่สอดคล้องกับกระบวนการผลิต เมื่อ 20-30 ปีก่อนประเทศไทยถูกมองว่าอาจจะไม่สามารถพัฒนา ประเทศได้ทันประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงในเวลาต่อมา ดังนั้น หากการจัดการศึกษายังคงเป็นอยู่เช่นนี้ต่อไป โอกาสที่จะไปแข่งขันกับประเทศใดก็คงเป็นเรื่องที่ยาก
รมว.ศึกษาธิการกล่าวอีกว่า ในการจัดการศึกษาที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ มีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาและผลิตคนให้ตรงกับความต้องการของการพัฒนาประเทศ ซึ่ง ศธ.ได้ตั้งเป้าหมายเพื่อปรับสัดส่วนผู้เรียนสายอาชีวะต่อสายสามัญจากปัจจุบัน 34 : 66 ให้เป็น 51 : 49 ในปี 2558 แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ความสำคัญกับสายสามัญ เพราะหากสัดส่วน 49 ของสายสามัญมีคุณภาพ สามารถศึกษาต่อในระดับต่างๆ และมีงานทำ ก็เป็นจำนวนที่ไม่น้อยเกินไป แต่สิ่งสำคัญคือขณะนี้สัดส่วน 66 ของสายสามัญที่เรียนอยู่ มีจำนวนมากที่เรียนเพื่อให้ได้ปริญญาโดยไม่มีงานทำ และเป็นปริญญาที่ไม่มีคุณภาพจำนวนมาก หากเราสามารถก้าวไปสู่สัดส่วน 51 : 49 อย่างมีคุณภาพ ก็จะทำให้การศึกษาทั้ง 2 ส่วนดีขึ้น อย่างไรก็ตาม จะไม่ใช้ตัวเลขบังคับหรือกะเกณฑ์ให้เด็กไปเรียนสายอาชีพ แต่จะดำเนินการบนพื้นฐานของเหตุผลและความสมัครใจ สิ่งสำคัญคือฝ่ายอาชีวะจะต้องมีการพัฒนาอย่างจริงจัง ซึ่งการยกระดับอาชีวศึกษาก็เป็นนโยบายสำคัญของ ศธ. และรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดคุณภาพขึ้นจริง นอกจากนี้ ได้มีการร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เชิญเอกชนและภาคอุตสาหกรรมทั้ง 12 ประเภท มาร่วมเป็นอนุกรรมการ กำหนดหลักสูตรตามความต้องการกำลังคน การอบรม ทดสอบ ประเมินผล ทั้งระบบตลอดกระบวนการ เพื่อเริ่มนำไปใช้ในหลายส่วนตั้งแต่ในปีการศึกษา 2557 เป็นต้นไป.