พล.อ.สุรยุทธ์ แนะเพิ่มโอกาสการศึกษาเด็กใต้

วันนี้ (28 เม.ย.) ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ(มจพ.) มีการจัดประชุมสามัญที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) ครั้งที่ 2/2555 การประชุมสามัญ สมาคมสถาบันการศึกษาขั้นอุดมแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจำประเทศไทย (สออ.ประเทศไทย) ครั้งที่ 1/2555 และการมอบรางวัลอาจารย์ ดีเด่น สออ.ประเทศไทย

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีมอบรางวัลอาจารย์ดีเด่น ตอนหนึ่งว่า ขอแสดงความยินดีกับอาจารย์ดีเด่นทั้ง 8 ท่านที่ได้รับการคัดเลือกและรับรางวัลในปีนี้ ซึ่งถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะยังมีอาจารย์อีกมากมายที่สมควรจะได้รับรางวัล แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจะถือได้ว่ามีความสำคัญมากกว่ารางวัล คือ การที่อาจารย์ได้รับการยอมรับจากลูกศิษย์ นักศึกษา โดยใช้ประสบการณ์ แนวทางต่างๆ ที่จะทำให้ลูกศิษย์มีความเลื่อมใส ศรัทธา เชื่อมั่นในตัวอาจารย์ และอาจารย์ต้องเป็นผู้ริเริ่ม เป็นต้นแบบในทุกด้าน ไม่ใช่เฉพาะเรื่องทางวิชาการเท่านั้น แต่รวมถึงเรื่องความประพฤติที่ดี ทำดี ทำตนให้เป็นแบบอย่าง เพราะหากสอนดี แต่ไม่ได้ทำดี ไม่เป็นตัวอย่างที่ดี ก็เท่ากับไม่มีค่าอะไรแก่นักศึกษา

พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ตนอยากฝากอาจารย์ และอธิการบดี ขอให้นำพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ วิทยาลัยวิชาการศึกษา เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2515 ใจความว่า ขณะนี้รู้สึกกันทั่วไปว่า มีปัญหาเยาวชนในบ้านเมืองมากขึ้นเนื่องจากเหตุหลายกระแส ความจริง เยาวชนมิได้ต้องการที่จะทำตัวให้ยุ่งยากแต่อย่างใด แต่โดยเหตุที่ไม่ได้รับความเอาใจใส่ดูแลเท่าที่ควร และขาดที่พึ่ง ขาดผู้ที่จะให้ความรู้ ให้คำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสม เขาจึงต้องกลายไปเป็นบุคคลที่เป็นปัญหาแก่สังคม เป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลาย ผู้เป็นครูเป็นอาจารย์เป็นผู้บริหารการศึกษาที่จะต้องช่วยเหลือเขาด้วยหลักวิชาและความสามารถ ทุกคนได้เรียนวิชาการแนะแนวมาแล้ว ควรจะได้นำหลักการมาปฏิบัติเพื่อให้เยาวชนได้รับประโยชน์อันแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแนะแนวทางความประพฤติและจิตใจ ซึ่งสำคัญมาก ขอให้เพียรพยายามปลูกฝังความรู้ความคิดที่ปราศจากโทษให้แก่เขาโดยเสมอหน้า แนะนำอบรมด้วยเหตุผลและด้วยความจริงใจ ประกอบด้วยความเมตตาปรานี สงเคราะห์อนุเคราะห์และนำพาไปสู่ทางที่ถูกที่เจริญ เยาวชนก็จะเกิดมีความมั่นใจและมีกำลังใจที่จะทำความดี เพื่อจักได้มีอนาคตที่มั่นคงแจ่มใสในวันข้างหน้า

พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า จากผลการสำรวจของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พบว่าปัจจุบันเยาวชนในภาคใต้ได้รับโอกาสทางการศึกษาด้อยกว่าเยาวชนในภาคอื่นๆ เนื่องจากวิธีการศึกษาอาจไม่เหมาะสมกับประเพณีและวัฒนธรรมของท้องถิ่น ดังนั้นอยากฝากให้อาจารย์และอธิการบดีช่วยหาวิธีที่จะทำให้ระบบราชการของเราปรับการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพในท้องถิ่นให้ได้มากขึ้น ซึ่งเห็นว่าการศึกษาที่ดีจะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ได้

"มีหลายๆ ท่านบอกผมว่าผู้บริหารในระดับสูงไม่เคยมีโอกาสเป็นผู้อำนวยการในท้องถิ่นเลย คือจบการศึกษามาจากต่างประเทศก็ทำงานในกระทรวง อยู่ในระดับสูงทั้งสิ้น ซึ่งผมได้รับทราบว่าแต่ก็คิดว่าไม่เป็นความจริงอย่างนั้น ถ้าเราจะช่วยกันพัฒนาในเรื่องการศึกษาให้ดีขึ้น" พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าว

พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนได้หารือกับผู้นำในประเทศอาเซียน เห็นตรงกันว่าการศึกษาจะช่วยให้ปัญหาต่างๆ อาทิ ความขัดแย้งเชิงธุรกิจ วัฒนธรรมและความเชื่อ ฯลฯ ลดลงได้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้การเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนส่วนใหญ่มองในด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญ แต่ในด้านการศึกษาเรายังพูดกันน้อยมากๆ ดังนั้นทำอย่างไรที่จะทำให้ผู้คนเกิดความเข้าใจ เกิดความไว้วางใจ ไปมาหาสู่กันอย่างใกล้ชิดได้ ตามยุทธศาสตร์ เข้าถึง เข้าใจ พัฒนา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกันนี้ตนเสนอโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาไทยกับอาเซียน โดยเลือกจากมหาวิทยาลัยที่มีความพร้อมทั้งในประเทศที่มีการศึกษาในระดับที่ดีกว่าเราและยังไม่ดีเท่ากับเรา

"ผมมองโครงการเรือเยาวชน ที่จะคัดเลือกเยาวชนจากแต่ละประเทศ เดินทางไปยังเมืองหลวง เมืองท่าที่สำคัญของแต่ละประเทศ ใช้ระยะไม่นาน จะทำให้เยาวชนได้เป็นเพื่อนกัน อยู่ร่วมกัน ได้มีโอกาสดูบ้านเรือนของเพื่อนๆ เมื่อเรือไปจอด ยกเว้น สปป.ลาว ที่ไม่มีทางออกเชื่อมกันทางทะเล ก็อาจมีการร่วมกันทางอื่นได้ ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายที่จะใช้ประโยชน์กันต่อไปในอนาคต" พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าว

ด้าน ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมอธิการบดี ได้มีการหารือกรณี รศ.ดร.บุญสม ศิริบำรุง อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(มอ.) ได้เสนอผลการเปรียบเทียบค่าตอบแทนของข้าราชการและพนักงานมหาวิทยาลัย หลังจากหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายลดจำนวนข้าราชการลง และให้มหาวิทยาลัยรับพนักงานมหาวิทยาลัยแทนในอัตราเงินเดือนที่สูงกว่าข้าราชการ เพื่อความคล่องตัวในการบริหารงาน ทำให้ปัจจุบันมหาวิทยาลัยต่างๆ มีจำนวนพนักงานมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ รัฐบาลได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้ข้าราชการ แต่กลับเพิ่มให้พนักงานมหาวิทยาลัยในสัดส่วนที่น้อยกว่า ส่งผลให้อัตราเงินเดือนของข้าราชการสูงกว่าพนักงานมหาวิทยาลัย

“ยกตัวอย่าง การคำนวณเงินเดือนข้าราการเปรียบเทียบกับเงินเดือนของพนักงานมหาวิทยาลัย ตั้งแต่อายุ 25 ปี จนถึง 80 ปี พบว่า ข้าราชการจะได้เงินเดือนรวมอยู่ที่ 37 ล้านบาท ขณะที่พนักงานมหาวิทยาลัยจะได้เงินเดือนรวม 35 ล้านบาท ดังนั้นที่ประชุม ทปอ.เห็นว่า ต่อไปหากรัฐบาลเพิ่มสิทธิประโยชน์อะไรให้กับข้าราชการก็ควรจะเพิ่มให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยด้วยในอัตราที่เท่าเทียมกัน โดยจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับ ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และสำนักงบประมาณ (สงป.) เพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน นอกจากนี้ ทปอ.จะเข้าไปเจรจากับสำนักงบประมาณเพื่อให้ดำเนินการช่วยเหลือจัดสรรงบประมาณประจำปี 2556 ให้เป็นเงินสมทบค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของมหาวิทยาลัย เพราะปัจจุบันบางแห่งรับต้องภาระมาก ทั้งนี้ไม่ใช่ว่ามหาวิทยาลัยไม่มีเงิน แต่จำเป็นต้องนำเงินรายได้ไปพัฒนาด้านวิชาการ งานวิจัย และอื่นๆ” ประธาน ทปอ. กล่าว