|
ย้อนมองตน
จิตใจของเราจะกลายเป็นโรงละครน้อยๆ เลยทีเดียว หากเรารู้จักมองตน เราจะเห็นตัวร้ายขี้อิจฉา พระเอกใจบุญ นางเอกเจ้าแง่แสนงอน และนักเลงจอมเจ้าชู้ เราจะสวมบทไหน
----------------------------------
เช้านี้อากาศกำลังดี ไม่มีทีท่าว่าฝนจะตก แถมเป็นวันหยุดเสียด้วย คุณจึงนั่งรถไปสวนจตุจักร ตั้งใจจะหาซื้อต้นไม้มาประดับบ้าน คุณออกจากบ้านตั้งแต่เช้า กะว่าจะไปเดินเลือกซื้อของได้สบายๆ ไม่ต้องเบียดเสียดยัดเยียดกับผู้คน
แต่เพียงแค่ก้าวแรกที่ขึ้นรถเมล์ คุณก็ต้องเจอกับผู้คนที่แน่นขนัดเต็มรถ ใช่แต่เท่านั้นรถราบนท้องถนนก็แสนติดค้างอยู่บนถนนทีละนานๆ ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงที่หมายสักที มองไปรอบตัวมีแต่ผู้คนและรถราเต็มไปหมด เห็นแล้วก็ส่ายหัวขุ่นเคืองเต็มที่ อดแค่นในใจไม่ได้ว่า
"ช่างเดินทางกันเสียจริง (โว้ย) วันอาทิตย์ทำไมถึงไม่อยู่บ้านกันเสียบ้าง มีธุระอะไรกันนักกันหนา ถึงแห่กันออกมาตั้งแต่เช้า"
นึกอยากตวาดเช่นนี้กับทุกคนเสียเหลือเกิน แต่จะมีสักครั้งไหมที่คุณกลับมาถามตัวเองว่า แล้วตัวฉันละมาทำอะไรอยู่บนถนนนี้ ทำไมถึงไม่อยู่บ้านบ้างเล่า
....................................
เวลาไม่สบอารมณ์ เรามักมองออกไปนอกตัว เพื่อหาตัวการ แต่กลับลืมมองตัวเอง ด้วยเหตุนี้คนอื่นจึงเป็นฝ่ายผิดอยู่ร่ำไป เขาอาจจะเป็นตัวการก็ได้ แต่เราเองล่ะ ไม่มีส่วนผิดบ้างเลยหรือ ?
เมื่อใดที่เราหันมาถามตัวเองว่า ทำไมถึงไม่อยู่บ้านในวันอาทิตย์ เพราะเหตุใดจึงออกจากบ้านแต่เช้า
เราก็จะพบว่า เราเองก็ไม่ต่างจากคนอื่น และคนอื่นก็ไม่ได้ทำอะไรต่างจากเรา ถึงตอนนี้ที่เคยคิดจะก่นด่าเขาก็คงต้องเลิก
สาเหตุที่ต้องเลิกนั้น อาจจะเพราะว่า ขืนด่าเขาก็เท่ากับด่าตัวเองด้วย แต่บางครั้งเราก็เลิกก็เพราะเข้าใจคนอื่นได้มากขึ้นว่า เขาเองก็คงมีธุระจำเป็นที่จะต้องเดินทางเช่นเดียวกับเรา
ในทางตรงข้าม ถ้าเราคอยสอดส่ายหาตัวการว่า ใครทำให้ฉันทุกข์ ใครทำให้งานของฉันล้มเหลว
สิ่งที่จะติดตามมาก็คือความร้อนใจขุ่นเคืองใจ และมองหน้าใครไม่สนิท เพราะเห็นเขาเป็นผู้ผิดอยู่ตลอดเวลา
..................................
จะไม่ดีกว่าหรือ แทนที่คอยแต่จะถามว่า ใคร...ใคร... เราเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ว่า ทำไมฉันจึงทุกข์ ทำไมงานของฉันจึงไม่สำเร็จ
และถ้าเราไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป หากใจกว้างสักนิด ก็ลองย้อนมาสำรวจตัวเองว่า เรามีส่วนสร้างปัญหาดังกล่าวให้แก่ตนเองหรือไม่ บางทีเราจะเข้าใจตัวเองได้ชัดขึ้น ความเข้าใจนี้ก็คือตัวปัญญานั่นเอง
.........................................
ผู้มีปัญญา ใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา เวลามีอะไรกระทบจิตใจของตนเองจะไม่โต้ตอบออกไปในทันที ไม่ว่าจะเป็นการเพ่งโทษผู้อื่น หรือด่าว่าทำร้ายเขาจะโดยวจีกรรมหรือกายกรรมก็แล้วแต่
หากแต่จะกลับมาถามตนเองว่า ทำไมถึงโกรธ เราหงุดหงิดเพราะเขาเก่งกว่าเรา เด่นกว่าเราใช่ไหม
หากเราไม่พอใจในถ้อยคำของเขา แทนที่เราจะใช้คารมสวนกลับให้เจ็บแสบ จะดีกว่าไหม หากเราย้อนมามองตนว่า เราเป็นอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า
จิตใจของเราจะกลายเป็นโรงละครน้อยๆ เลยทีเดียว
หากเรารู้จักมองตน เราจะเห็นตัวร้ายขี้อิจฉา พระเอกใจบุญ นางเอกเจ้าแง่แสนงอน และนักเลงจอมเจ้าชู้
เราจะสวมบทไหน เวลาไหนก็เห็นได้ถนัดถนี่ไม่ต้องมีอะไรมาปิดบังอำพราง หรือคอยชักใยอยู่เบื้องหลังอีกต่อไป เห็นแล้วก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้
แต่ละครโรงนี้ จะมีจำเพาะเรื่องหมองหม่นก็หาไม่ เรื่องขันชวนหัวเราะก็มีเหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาเราทำอะไรเปิ่นๆ โดยไม่มีใครเห็น
โดยนัยนี้ชีวิตจะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป เพราะกลายเป็นละครหลากรสชาติ ส่วนละครและเรื่องประโลมโลกที่เน้นแต่ความบันเทิง จนได้รับสมญาว่า "น้ำเน่า" ก็จะกลับกลายเป็นเรื่องน่าศึกษาและเต็มไปด้วยบทเรียนชีวิต
เวลาเรารู้สึกไม่ได้ดังใจที่ "ดาวพระศุกร์" หูเบา ไม่รู้จักเข็ดหลาบเสียทีกับเลห์กลและลมปากของ "มาหยารัศมี" นั้น เราจะได้คติสอนใจเป็นอย่างดี หากย้อนมาดูตัวเองว่า
บ่อยครั้งเพียงใดที่เราหลงเชื่อถ้อยคำของผู้อื่น โดยไม่สอบถามเรื่องราวให้แน่ชัดจากผู้อื่นที่ถูกพาดพิง
ถ้าหากเรา "ปากหนัก" คือรู้จักสอบถามหาข้อเท็จจริงเสียบ้างชีวิตก็ยากจะพลาดพลั้ง อย่างน้อยก็คงไม่เกิดปัญหาอย่างที่ "คุณภาคย์ " และนางเอกสาวต้องประสบจนทำให้ผู้ชมใจหายใจคว่ำไปหลายครั้ง
......................................
การใฝ่พิจารณาตนไม่ใช่เรื่องของนักบวชที่หลีกเร้นในป่าเขาเท่านั้น ชีวิตในเมืองใหญ่ซึ่งมากด้วยกิจธุระก็ต้องการศิลปะชนิดนี้เหมือนกัน
ไม่ว่าจะในบ้านหรือในที่ทำงาน ก็สามารถเป็นสถานบ่มเพาะปัญญาและเจริญเมตตาแก่เราได้ทั้งสิ้น
แม้แต่บนท้องถนนอันพลุกพล่าน หากเราเกิดจะหงุดหงิดขึ้นมาขณะขับรถ เนื่องจากต้องคอยชะลอความเร็วให้คนข้ามถนน แทนที่จะต่อในใจว่า
ทำไมถึงมาข้ามเอาตอนที่เราจะขับรถผ่าน ทำไมถึงเดินช้าเหลือเกินไม่รู้หรือว่าคนขับรถทุกคนก็ต้องรีบทั้งนั้น ทำไมไม่รอให้ถนนว่างเสียก่อนแล้วจึงค่อยเดิน คุณเองก็ไม่รีบอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ไม่งั้นก็คงไม่มาเดินแบบนี้หรอก ฯลฯ
แต่หากเรามาลองนึกถึงความรู้สึกของตนเองเวลาเป็นฝ่ายเดินถนนบ้าง บางทีใจเราอาจสงบลงได้เพราะเวลาเราข้ามถนน
เราก็คงอดนึกไม่ได้ว่า คนขับต่างหากที่ควรจะเอื้อเฟื้อคนข้ามถนน เพราะเราไปไหนมาไหนก็ช้าอยู่แล้ว ขืนต้องมารอให้ถนนว่างเสียก่อนก็จะยิ่งช้าเข้าไปใหญ่ คุณเองก็มีรถช่วยทำเวลาอยู่แล้ว จะเร่งรีบกันไปถึงไหนเล่า ฯลฯ ..........................
ถ้าเราเห็นตน เราก็จะรู้จักตน เราก็จะรักผู้อื่น
และเมื่อเรารักผู้อื่น ก็เท่ากับเป็นการรักตนไปในตัวด้วย
เพราะไม่มีอะไรที่จะทำใจให้เป็นสุขเท่ากับ "การรักและเข้าใจผู้อื่น" ___________________________________ พระไพศาล วิสาโล "สุขใจในนาคร ศิลปะแห่งการอยู่เมืองอย่างมีความสุข". กรุงเทพฯ : เคล็ดไทย จำกัด,2538.
ที่มา : //www.carefor.org
Create Date : 26 สิงหาคม 2548 |
Last Update : 26 สิงหาคม 2548 12:05:46 น. |
|
0 comments
|
Counter : 642 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
sriphat |
|
|
|
โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย
|
|