โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย

หมอเขียว : การรับประทานสมุนไพรปรับสมดุล กรณีที่มีภาวะร้อนเกิน (น้าย่านาง)

การรับประทาน #สมุนไพร #ปรับสมดุล

กรณีที่มี #ภาวะร้อนเกิน

ดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือที่เรียกว่า #น้ำคลอโรฟิลด์สด
จากธรรมชาติ/น้ำเขียว/ #น้ำย่านาง คลอโรฟิลด์สด


วิธีทำ ใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็น เช่น
- ใบย่านางเขียว 5-20 ใบ
- ใบเตย 1-3 ใบ
- บัวบก ครึ่ง-1 กำมือ
- หญ้าปักกิ่ง 3-5 ต้น
- ใบอ่อมแซบ (เบญจรงค์) ครึ่ง-1 กำมือ
- ผักบุ้ง ครึ่ง-1 กำมือ
- ใบเสลดพังพอน ครึ่ง-1 กำมือ
- หยวกกล้วย ครึ่ง-1 คืบ
- ว่านกาบหอย 3-5 ใบ เป็นต้น

จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ โขลกให้ละเอียด

หรือ

ขยี้ผสมกับน้ำเปล่า 1-3 แก้ว (บางครั้งอาจผสมน้ำมะพร้าว น้ำตาล

น้ำมะนาว น้ำมะขาม ในรสไม่จัดเกินไป เพื่อทำให้ดื่มได้ง่ายในบางคน) 

กรองผ่านกระชอน เอาน้ำที่ได้มาดื่ม ครั้งละประมาณ ครึ่ง-1 แก้ว
วันละ 1-3 ครั้ง ก่อนอาหาร หรือ ตอนท้องว่างหรือดื่มแทนน้ำตอนที่รู้สึกกระหายน้ำปริมาณการดื่มและความเข้มข้นของสมุนไพร อาจมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ ตามความต้องการของร่างกาย ณ เวลานั้น ๆ โดยดูความพอดีได้จาก ความรู้สึกที่กลืนง่าย ไม่ฝืดไม่ฝืนไม่พะอืดพะอมและความสบายตัว

กรณีที่ดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดแล้วรู้สึกไม่สบาย

ให้กดน้ำร้อนใส่น้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นหรือนำไปต้มให้เดือด ก่อนดื่ม หรืออาจนำสมุนไพรฤทธ์ร้อนมาผสมก่อนดื่มก็ได้ 
เช่น นำน้ำต้มขมิ้น/ขิง/ตะไคร้ มาผสม เป็นต้น หรืออาจดื่่มสมุนไพรฤทธิ์ร้อนอย่างเดียวก็ได้ ถ้าดื่มแล้วรู้สึกสบาย

ขอบคุณข้อมูลจาก //www.morkeaw.net/k-technic.html

#หมอเขียว #วิชาพึ่งพาตนเอง #สมุนไพร #สุขภาพ




 

Create Date : 25 มกราคม 2558   
Last Update : 25 มกราคม 2558 10:55:10 น.   
Counter : 1118 Pageviews.  

ทุเรียนน้ำ



ตั้งแต่สมัยโบราณ ทุเรียนน้ำเป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคในแถบแอฟริกาใต้ โดยสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนตั้งแต่ราก ต้น เมล็ด ใบ ดอก ผล และเมล็ด ดังนี้

ผล - แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน แก้โรคบิด กระตุ้นการผลิตน้ำนมแม่

เมล็ด - ใช้สมานแผลห้ามเลือด ใช้ฆ่าแมลง

ใบ - นำมาขยี้ผสมกับปูนใช้ทาบริเวณท้องแก้ท้องอืด ใช้รักษาโรคผิวหนัง เมื่อนำมาปูรองให้คนที่เป็นไข้นอนจะช่วยลดไข้ แก้ไอ ปวดตามข้อ ลดอาการปวด ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเรียบในลำไส้ ขยายหลอดเลือดป้องกันความดันสูง กำจัดเซลล์มะเร็ง ฆ่าเชื้อโรค ลดเบาหวาน

หน่ออ่อน - กำจัดเซลล์มะเร็ง

ดอก - บำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ

ราก -กำจัดแมลง

เปลือกไม้ - กำจัดแมลง ฆ่าเชื้อโรค พยาธิ อะมีบา แบคทีเรีย และรักษาโรคกระเพาะ


ทุเรียนน้ำกับการรักษามะเร็ง

แม้ว่าจะมีสรรพคุณมากมาย แต่สรรพคุณเด่นที่โด่งดังที่สุดของทุเรียนน้ำก็คือความสามารถในการรักษาโรคมะเร็ง ฆ่าเซลล์มะเร็งอย่างได้ผลและไม่เป็นอันตราย โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสาร แอนโนนาเชียส เอคโทจีเนียส (Annonaceous acetogenins) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในทุเรียนน้ำ และสามารถต้านทำลายเซลล์มะเร็งทุกชนิด รวมไปถึงการฆ่าแบคทีเรียและเชื้อราอย่างได้ผลชะงัด


อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ได้มีผลการรับรองจากห้องทดลองหลายแห่งรวมทั้งสถาบันมะเร็งแห่งชาติในสหรัฐอเมริกา ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ทุเรียนน้ำนั้นสามารถช่วยในการฆ่าเซลล์มะเร็งได้ถึง 12 ชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แถมมหาวิทยาลัยคาทอลิกในเกาหลีใต้ยังได้ยืนยันอีกว่าฤทธิ์ของทุเรียนน้ำในการฆ่าเซลล์มะเร็งนั้น มีฤทธิ์มากกว่าการทำเคมีบำบัดถึง 10,000 เท่า โดยไม่ส่งผลร้ายต่อเซลล์เนื้อเยื่อดีอื่น ๆ ในร่างกายของคนไข้ แถมในรายที่เกิดอาการดื้อยามะเร็ง ก็ยังส่ามารถใช้สารสกัดจากมะเร็งน้ำมาช่วยให้คนไข้หายจากการอาการดื้อยาได้อีกด้วย


โดยสถาบันผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาได้ชี้ให้เห็นความสามารถของสารสกัดจากทุเรียนน้ำ ดังนี้


โจมตีเซลล์มะเร็งได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาเพราะเป็นผลผลิตตามธรรมชาติทั้งหมด ไม่ก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรง สูญเสียน้ำหนักและเส้นผมหลุดร่วง เหมือนการทำเคมีบำบัด


ป้องกันระบบภูมิคุ้มกันและหลีกเลี่ยงการติดเชื้อร้ายแรง


รู้สึกถึงความแข็งแรงและมีสุขภาพดีมากขึ้น ตลอดช่วงเวลาของการรักษา


เพิ่มพลังงานชีวิตและปรับปรุงสภาพร่างกายภายนอกของคนไข้


วิธีใช้ทุเรียนน้ำ รักษามะเร็ง

สำหรับการใช้ทุเรียนน้ำเพื่อรักษามะเร็งให้ได้ผลนั้น ให้นำใบทุเรียนน้ำตามธรรมชาติ สด ๆ มารับประทาน โดยคัดเลือกใบที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่แก่หรือมีสีเขียวเข้มมากเกินไป หรือการนำใบแห้งจากกระบวนการอบแห้งด้วยการเป่าลมร้อน (Air Dry) มาชงเป็นชาดื่ม โดยมีวิธีในการชงชาจากใบทุเรียนน้ำ ดังนี้


ฉีกใบแห้งเป็นชิ้นเล็ก ๆ และตวงให้ได้ 1 ถ้วยตวงต่อน้ำ 1 ลิตร


นำใบทุเรียนเทศไปต้มกับน้ำ และลดไฟให้ต่ำ เคี่ยวอีก 20 นาที


ใช้ดื่ม 3 ถ้วยต่อวัน 30 นาทีก่อนมื้ออาหาร


โดยให้ดื่มน้ำชาแบบนี้ทุกวันเป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย หากดื่มติดต่อกันมานานเกิน 30 วันแล้ว แต่ร่างกายยังไม่ดีขึ้น ให้พักก่อนสัก 1 สัปดาห์จึงค่อยดื่มชาต่อ


ข้อควรระวังในการรับประทานทุเรียนน้ำ

1. มีงานวิจัยในแถบทะเลแคริบเบียนที่แสดงให้เห็นว่า ในผล เมล็ด และราก ของทุเรียนน้ำ มีสารแอนโนนาซิน (Annonacin) ซึ่งมีความเชื่อมโยงสูงต่อการเกิดโรคพาร์คินสัน และมีสารอัลคาลอยด์ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการทรับประทานผล ราก หรือน้ำผลไม้ที่ทำจากทุเรียนน้ำมากจนเกินไป หรือรับประทานติดต่อกันทุกวัน


2. จากการทดลองพบว่า สารสำคัญในทุเรียนเทศนั้นจะไม่สามารถสกัดหรือสังเคราะห์ออกมาได้ ดังนั้นหากต้องการได้รับสารดังกล่าว จะต้องบริโภคแบบธรรมชาติเท่านั้น การทานในรูปแบบของยาอัดเม็ดหรือผลบรรจุแคปซูลนั้นจะไม่ได้ผลประโยชน์ใด ๆ เลยทั้งสิ้น


3. การทานทุเรียนน้ำให้ได้ประโยชน์นั้น ควรจะต้องรับประทานแบบธรรมชาติ หรือรับประทานสด ๆ เท่านั้น ควรเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากทุเรียนน้ำที่ผ่านกระบวนการต่าง ๆ มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้กระป๋อง หรือใบชาบดผ่านกระดาษกรอง เพราะกระบวนการในการผลิตเหล่านั้นล้วนแต่ทำให้ประสิทธิภาพของทุเรียนน้ำลดลง


4. การรักษามะเร็งให้ได้ผลจะต้องนำใบ หน่อ และกิ่ง ของต้นทุเรียนน้ำ มาต้มทำเป็นชา ขณะที่การนำผลของทุเรียนน้ำมาต้มเป็นชานั้นไม่ได้ให้ผลใด ๆ ในการรักษามะเร็ง เนื่องจากมีสารที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเซลล์มะเร็งอยู่น้อย

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก 
https://www.facebook.com/Baankasetporpeang?fref=photo




 

Create Date : 14 มกราคม 2558   
Last Update : 14 มกราคม 2558 13:07:45 น.   
Counter : 1945 Pageviews.  

น้ำกระชาย

วิธีทำ "น้ำกระชาย" ที่ถูกต้อง

อ สุทธิวัฒ

กระชายเหลือง 1 ขีด* ล้างแล้วหั่นซอยเป็นแว่น เติมน้ำสะอาด 2 ถ้วย ปั่นให้ละเอียด ผสมน้ำเปล่าจนได้ 1 ลิตร กรองเอากากออก (กากกระชายไม่ควรกิน ให้นำมาพอกหัวเข่า-ข้อเท้า ลดปวดลดบวมได้) เราก็จะได้หัวเชื้อน้ำกระชาย (ถ้ายังไม่ชงกิน สามารถใส่ตู้เย็นเก็บไว้ได้นาน 1 เดือน)



นำหัวเชื้อน้ำกระชายรินใส่ครึ่งแก้ว เติมน้ำเปล่าอีกครึ่งแก้ว ผสมน้ำผึ้ง น้ำมะนาว หรือน้ำหวานสีเขียวสีแดง ปรุงรสตามชอบใจ

(น้ำกระชายจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเติมความหวานเข้าทำไปให้เกิดการหมักแอลกอฮอล์ในกระเพาะอาหาร ไม่ควรดื่มเพียวๆ จะไม่ได้ผลนะจ๊ะ)

*ถ้าจะทำเยอะก็เพิ่มขึ้นตามส่วน
---------

สรรพคุณ

มีแคลเซียมสูง มีสังกะสีสูง มีวิตามินซี, บี 1, บี 3, บี 6 ช่วยบำรุงสมอง ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองส่วนกลางดีขึ้น ป้องกันหัวล้าน ป้องกันผมหงอกก่อนวัย ฟื้นฟูเส้นผมให้กลับมาดกดำเป็นหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่ง ช่วยฟื้นฟูต่อมไร้ท่อต่างๆ เช่น ต่อมไทรอยด์, ต่อมใต้สมอง, ต่อมหมวกไต ป้องกันไทรอยด์เป็นพิษ

ช่วยบำรุงหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจดีขึ้น ช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต สำหรับคนเป็นความดันสูง กินน้ำกระชายคุมไว้ความดันจะปกติ ส่วนคนที่เป็นความดันต่ำจะอันตรายกว่าเพราะอาจช็อกได้ง่าย น้ำกระชายก็จะปรับให้สมดุลพอดี

ช่วยบำรุงตับ, ไต ให้แข็งแรง / ช่วยบำรุงเส้นเอ็นให้แข็งแรง กระดูกไม่แตกเปราะง่าย ป้องกันกระดูกพรุน / ดูแลระบบเพศ มดลูก รังไข่ กระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมาก

ดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง / ช่วยขับน้ำคาวปลาสำหรับสตรีหลัง คลอดบุตร / ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจน) และฮอร์โมนเพศชาย (เทสโทสเตอโรน) ซึ่งมีอยู่ในร่างกายของทุกคน ผู้หญิงถ้ามีฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไปจะเป็นมะเร็งเต้านม แต่ถ้ามีน้อยเกินไปก็จะเป็นมะเร็งปากมดลูก

ส่วนผู้ชายถ้าดื่มน้ำกระชายเป็นประจำ จะช่วยป้องกันต่อมลูกหมากโต ลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก 
https://www.facebook.com/AKALIGO.com.thailand?pnref=story






 

Create Date : 14 มกราคม 2558   
Last Update : 14 มกราคม 2558 13:01:46 น.   
Counter : 1256 Pageviews.  

ขมิ้นชัน

ขมิ้นชัน


ให้กินเหง้าของขมิ้นชัน โดยการปอกเปลือก หรือตากแห้งแล้วบดเป็นผง ใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง และแบบผงบรรจุแคปซูลเพื่อสะดวกแก่การกิน

ขมิ้นชันมีประโยชน์และสรรพคุณหลายประการ ดังนี้

ขมิ้นชันมีวิตามิน เอ. ซี. อี ที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานพร้อมกันทั้ง 3 ตัว จึงมีผลทำให้
•ช่วยลดไขมันในตับ
•สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร
•ช่วยย่อยอาหาร
•ทำความสะอาดให้ลำไส้
•เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ
•ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดมะเร็งตับ
•สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง
•กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่กินเข้าไปแล้วสะสมในร่างกายเตรียมก่อตัวเป็นเซลมะเร็ง
•ช่วยขับน้ำนม สำหรับสตรีหลังการคลอดบุตรได้ดี รองมาจากการกินหัวปลี

กินขมิ้นชันให้ตรงเวลา ที่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเปิดการทำงานในช่วงเวลานั้น จะได้ผลตรงกับประเด็นที่ต้องการจะบำรุง หรือแก้ไขฟื้นฟูระบบของอวัยวะ กินเพียง 1 แคปซูลเท่านั้น จะออกฤทธิ์มากกว่าเวลาอื่นถึง 40 เท่าตัว แต่ถ้ามีปัญหาหลายอย่างก็กินครั้งละ 1 แคปซูล ทุกๆ 2 ชั่วโมง ถ้ากินขมิ้นชันจำนวนมาก ส่วนที่เหลือจะไปขับไขมันในตับ

กินขมิ้นให้เป็นอาหาร ไม่ใช่กินเป็นยา ต้องกินให้สนุก ใช้ปรุงอาหารกินบ้าง หุงข้าวก็ใส่ขมิ้นชันได้ ทอดปลาคลุกขมิ้นก็ดี ทำให้หอมน่ากิน และยังได้ประโยชน์อีกด้วย เพราะตัวขมิ้นจะช่วยย่อยไขมันจากน้ำมันที่ใช้ทอดปลาได้เป็นบางส่วน


นาฬิกาชีวิต (ความสัมพันธ์ของอวัยวะกับเวลา)
ช่วงเวลา เป็นเวลาของอวัยวะ
03.00 – 05.00 น. ปอด
05.00 – 07.00 น. ลำไส้ใหญ่
07.00 – 09.00 น. กระเพาะอาหาร
09.00 – 11.00 น. ม้าม
11.00 – 13.00 น. หัวใจ
13.00 – 15.00 น. ลำไส้เล็ก
15.00 – 17.00 น. กระเพาะปัสสาวะ
17.00 – 19.00 น. ไต
19.00 – 21.00 น. เยื่อหุ้มหัวใจ
21.00 – 23.00 น. พลังงงานรวม
23.00 – 01.00 น. ถุงน้ำดี
01.00 – 03.00 น. ตับ

กินขมิ้นชันตามเวลาต่อไปนี้ จะได้ผลโดยตรงกับอวัยวะส่วนนั้น

เวลา 03.00 – 05.00 น.
ช่วยบำรุงปอด ป้องกันการเป็นมะเร็งปอด ช่วยทำให้ปอดแข็งแรง ช่วยเรื่องภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง

เวลา 05.00 – 07.00 น.
ช่วยแก้ปัญหาลำไส้ใหญ่ ถ้าเคยกินยาถ่ายมาเป็นเวลานาน ให้กินขมิ้นชันเวลานี้ ขมิ้นชันจะฟื้นฟูปลายประสาทของลำไส้ใหญ่ ต้องกินเป็นประจำ ถึงจะทำให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัวเพื่อขับถ่ายอย่างปกติ แก้ปัญหาลำไส้ใหญ่กลืนลำไส้เล็ก หรือลำไส้ใหญ่มีปัญหาถ่ายมากเกินไป หรือถ่ายน้อยเกินไป

ถ้าลำไส้ใหญ่ไม่มีปัญหา ให้กินขมิ้นชันพร้อมกับสูตรโยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว หรือน้ำอุ่นก็ได้ จะไปช่วยล้างผนังลำไส้ที่มีหนวดเป็นขนเล็กๆ อยู่เป็นล้านๆ เส้น ซึ่งขนเหล่านี้ มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารเพื่อไปสร้างเม็ดเลือด ขมิ้นชันจะช่วยล้างให้สะอาดได้ ก็จะไม่ค่อยมีขยะตกค้าง จึงไม่เกิดแก๊สพิษที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว และจะไม่ค่อยเป็นริดสีดวงทวาร ไม่เป็นมะเร็งลำไส้

เวลา 07.00 – 09.00 น.
ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร เกิดจากการกินข้าวไม่เป็นเวลา ท้องอืด จุกแน่น ปวดเข่า ขาตึง ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันความจำเสื่อม

เวลา 09.00 – 11.00 น.
ช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลในปาก อ้วนเกินไป ผอมเกินไป ที่เกี่ยวข้องกับม้าม ลดอาการเป็นเกาต์ ลดอาการเบาหวาน

เวลา 11.00 – 13.00 น.
กินขมิ้นชันเวลานี้ จะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง ถ้าเลย 11.00 น.ไปแล้ว ขมิ้นชันจะไปทำงานที่ตับ แล้วตับจะส่งมาที่ปอด ปอดจะส่งไปที่ผิวหนัง แต่ส่วนมากมาไม่ถึง เพราะกินขมิ้นชันน้อยเกินไป อวัยวะส่วนอื่นจะดึงไปใช้งานก่อนเลยมาไม่ถึงผิวหนัง จึงต้องลงขมิ้นทางผิวช่วยอีกทางหนึ่งด้วย

เวลา 13.00 – 15.00 น.
ช่วยแก้ปัญหาเรื่องปวดท้องบ่อย เพราะมีไขมันเกาะลำไส้เล็ก ไขมันที่เคลือบลำไส้ จะเคลือบขยะเอาไว้ด้วย แล้วสะสมตัวกัน ทำให้เกิดแก๊ส และมีอาการปวดท้องตอนบ่ายในช่วงเวลานี้ ถ้ากินสูตรโยเกิร์ตนี้ ตัวจุลินทรีย์จะช่วยเปลี่ยนขยะในลำไส้เล็กให้เป็นบี 12 เพื่อส่งไปเลี้ยงสมองต่อไป

เวลา 15.00 – 17.00 น.
ช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้ปัญหาเรื่องตกขาวของสตรี และควรกินน้ำกระชายเวลานี้ด้วย จะช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง ช่วยเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออกจะดีมาก เพราะร่างกายต้องการขับสารพิษให้ได้มากที่สุดในเวลานี้

กินเลยเวลาจากช่วงนี้ จนไปถึงการกินก่อนนอน ขมิ้นชันจะไปช่วยเรื่องความจำให้ความจำดี ช่วยขับไขมันในตับระหว่างเวลา 01.00 – 03.00 น. ตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้าจะไม่ค่อยเพลีย และช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น กินขมิ้นชันมาก จะช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ผิวหนังไม่เป็นผดผื่นคันง่ายๆ


ถ้ากินขมิ้นชัน แบบผง 1 ช้อนชา ใช้ผสมน้ำ 1 แก้ว (ไม่เต็ม) ขมิ้นชันจะไหลผ่านส่วนต่างๆ ตั้งแต่
•ผ่านลำคอ ช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ลำคอ ช่วยดูแลปอดให้หายใจดีขึ้น ลดความชื้นของปอด
•ผ่านม้าม ลดไขมัน และปรับน้ำเหลือง ไม่ให้น้ำเหลืองเสีย
•ผ่านกระเพาะอาหาร รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
•ผ่านลำไส้ สมานแผลในลำไส้
•ผ่านตับ บำรุงตับ ล้างไขมันในตับ

ขมิ้นชันยังช่วยดูแลเซลต่างๆ ที่ฉีกขาด จะไปเชื่อมให้ และไปกวาดขยะ กวาดไขมันมากองไว้ ถ้าจะอุ้มขยะไปทิ้งโดยการขับถ่าย ก็กินอาหารปกติ เช่น พืช ผัก ผลไม้ ที่มีกากใย หรือกินน้ำลูกสำรอง (พุงทลาย) เพื่ออุ้มไขมัน อุ้มแก๊สไปทิ้ง

คนธาตุเบา แสดงว่ามีการระคายเคือง อักเสบ เป็นแผลเรื้อรังบางอย่างที่ผนังลำไส้เป็นอาจิณ
คนธาตุหนัก แสดงว่าปลายประสาทลำไส้ใหญ่เสื่อม อาจเกิดจากการกินยาถ่ายเป็นประจำ หรือกินน้ำน้อย ทั้งธาตุเบาและธาตุหนัก ไม่ดีทั้งคู่ ถ้าเป็นอย่างนี้ แสดงว่ามีปัญหาที่ลำไส้และปลายประสาทลำไส้ใหญ่ผิดปกติ หากปล่อยไว้ วันข้างหน้าจะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ควรกินขมิ้นชันเป็นประจำ เพื่อค่อยๆ ปรับให้เข้าที่ แล้วกลับมาถ่ายอย่างปกติ

ที่มา : หนังสือ “กินเป็น ลืมป่วย” 
บรรยายโดย อ.สุทธิวัสส์ คำภา 
เรียบเรียงโดย นิพนธ์ วีระธรรมานนท์





 

Create Date : 20 กันยายน 2552   
Last Update : 25 มกราคม 2558 10:32:07 น.   
Counter : 1343 Pageviews.  

การทำ ข้าวเกรียบว่าว หรือ เข้าควบ

ข้าวเกรียบว่าวหรือเข้าควบ เป็น อาหารพื้นบ้านประเภทของขบเคี้ยว ชาวบ้านนิยมเอาข้าวเกรียบว่าวหรือเข้าควบไปทำบุญช่วง สงกรานต์ ตามความเชื่อเรื่องของชื่อเข้าควบ ว่าจะ “ควบ บ้านควบเมือง” สำหรับ พิธีดำหัวพระสงฆ์ และผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านการทำข้าวเกรียบว่าวหรือเข้าควบมักจะทำในช่วง ฤดูร้อน เนื่องจากต้องอาศัยแสงแดดจัดๆ ช่วยทำให้ข้าวเกรียบแห้งสนิท ไม่ ชื้น ไม่เป็นเชื้อรา โดยนิยมทำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำปีละ 1 ครั้ง ประมาณ กลางเดือนมีนาคม ถึง วันที่10เมษายน ของทุกปี 

อุปกรณ์ที่ใช้ ประกอบด้วย
1. ไหนึ่งข้าว
เป็น ภาชนะที่ใช้ในการนึ่งข้าวเหนียวให้สุก ในสมัยก่อนไหนึ่งข้าวทำจากไม้เนื้อ แข็ง มีรูปร่างคล้ายทรงกระบอกที่ปลายด้านหนึ่งแคบกว่าอีกด้านเล็กน้อย ซึ่ง เป็นฐานของไหหรือเรียกว่า“ก้นไห” ส่วนปลายที่กว้างกว่าเรียกว่า “ปากไห” นำ มาเจาะรูตรงกลาง จนทะลุทั้งสองด้าน ให้เหลือเนื้อไม้จากผิวด้านนอก ประมาณ 1 เซนติเมตร นอกจากส่วนที่เป็นไหแล้ว ยังมีไม้เนื้อแข็งเจาะรูคล้าย รังผึ้ง ขนาดใหญ่กว่าก้นไหเล็กน้อยวางไว้ภายในไห เพื่อรองรับเมล็ดข้าวที่จะ นึ่ง และมีฝาปิดที่ทำจากดินเหนียว ปัจจุบันมีการทำไหนึ่งข้าวจากอลูมิเนียม

2. หม้อต้มน้ำ
เป็นหม้อที่ใช้ใส่น้ำ รองรับไหนึ่ง ไอน้ำจากน้ำเดือดจะถูกส่งผ่านขึ้นไปตามรูไหนึ่ง ทำให้ข้าวสุก ปัจจุบันทำจากอลูมิเนียมเช่นกัน

3. ครกกระเดื่อง (ครกมอง)
เป็น ครกที่ทำจากท่อนไม้นำมาเซาะตรงกลางให้เป็นหลุมลึกพอสมควร ส่วนของสากทำจาก ท่อนไม้ที่มีขนาดเล็กกว่าครก สากนี้จะยึดติดกับปลายด้านหนึ่งของด้ามไม้ยาว ประมาณ 3 เมตรในอดีตหรือในพื้นที่ห่างไกลในปัจจุบัน ใช้ครกนี้ตำข้าว เปลือก ผู้ที่ทำหน้าที่ตำข้าวจะใช้เท้าเหยียบปลายด้ามไม้ ให้ปลายด้านที่มี สากยึดติดอยู่กระดกขึ้น แล้วปล่อยเท้าให้สากตกลงไปตำข้าวในครก ทำเช่นนี้ เป็นจังหวะไปเรื่อยๆ จากความหนักของด้ามไม้ ผู้ที่จะทำหน้าที่ตำข้าวจึงต้อง มีร่างกายแข็งแรงพอสมควร มิฉะนั้นจะไม่สามารถทำให้สากกระดกขึ้นมาได้ อย่าง ไรก็ตาม ปัจจุบันบางคนได้ดัดแปลงวิธีการตำโดยใช้ไฟฟ้าแทนการใช้แรงงาน คน เช่น ที่บ้านเหล่าได้ดัดแปลงครกกระเดื่องไฟฟ้าเพื่อใช้ในการตำปูนที่จะนำ ไปปั้น เป็นต้น

4. ไม้คลึงแป้งและแผ่นพลาสติก
ไม้คลึงแป้งใช้ในการ คลึงก้อนแป้งให้แผ่ออกเป็นแผ่นบางๆ และเพื่อไม่ให้เนื้อแป้งติดกับไม้ คลึง จะใช้แผ่นพลาสติกที่ตัดเป็นวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 20 เซนติเมตร ปิดทับบนก้อนแป้งก่อนใช้ไม้คลึง

5. ตะแกรงตากแผ่นแป้ง ตะแกรง ทำจากไม้ไผ่ นำมาสานเป็นตาห่างๆ เพื่อให้อากาศระบายได้ดี

วัตถุดิบ
ข้าว กข.6 น้ำ อ้อย น้ำมันพืช และ ไข่แดงของไข่เป็ดที่ต้มสุกแล้ว (เหตุผลที่ใช้ไข่เป็ดต้ม เพราะใช้แล้วไม่สิ้นเปลืองมากนัก เนื่องจากไข่แดงของไข่เป็ดมีปริมาณมากกว่า ไข่แดงของไข่ไก่)

ส่วนผสม
ข้าว 7 ลิตร ต่อน้ำอ้อย 1 กิโลกรัม 300 กรัม มากหรือน้อยกว่านี้จะทำออกมาไม่สวยและไม่ดี

วิธีทำ
ขั้นตอนที่ 1
นำ ข้าวเหนียว กข. 6 มาแช่น้ำไว้ประมาณ 1 คืน เรียกว่า “หม่าข้าว” จากนั้นซาว ข้าวเพียงครั้งเดียว เพราะถ้าซาวหลายครั้งข้าวจะไม่เหนียวติดกัน แล้วนำไป ใส่ในไหนึ่ง ยกไปวางบนหม้อที่ต้มน้ำไว้ รอจนข้าวสุก

ขั้นตอนที่ 2
ข้าว นึ่ง 1 ไหจะมีปริมาณพอดีกับขนาดของครกมอง พอนึ่งข้าวจนสุกยกลงจากเตา ทิ้ง ไว้สักครู่จะทำให้ตำได้ง่ายขึ้น หลังจากนั้นเอาใส่ครกมองในขณะที่ข้าวยัง ร้อนระอุอยู่ จากนั้นตำให้จนกลายเป็นแป้งละเอียดและเหนียว ในระหว่างที่ตำจะ ใช้ไม้พายคอยคน เมื่อเห็นว่าแป้งเริ่มเหนียวก็จะใช้มือคนแป้ง ขณะที่ใช้มือ คนจะต้องชุบมือกับน้ำ น้ำจะช่วยลดความร้อนของข้าวไม่ให้ร้อนมือจนเกินไป ผู้ ที่ทำหน้าที่คนหรือพลิกข้าวต้องอดทนต่อไอร้อนของข้าว และต้องใช้ผ้า
คลุมลำตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวกระเด็นโดน

ขั้นตอนที่ 3
นำ น้ำอ้อยใส่หม้อเคี่ยวให้ละลาย แล้วเอาไปเทลงไปในครกที่ตำข้าว ใช้ไม้คนให้ น้ำอ้อยกระจายไปทั่วครก ตำข้าวในครกต่อไป ในขั้นตอนนี้ต้องระวังน้ำหนักใน การตำ คือจะปล่อยให้สากตกลงไปตำข้าวแรงๆ เหมือนในช่วงตำข้าวนึ่งไม่ ได้ เพราะจะทำให้น้ำอ้อยกระเด็นออกมาตำไปเรื่อยๆ จนน้ำอ้อยและแป้งเข้ากันจน เป็นเนื้อเดียวกัน ในระหว่างที่ตำหากเนื้อแป้งมีลักษณะแห้งแข็งเกิน ไป สามารถใช้น้ำผสมลงไปทีละน้อยเพื่อให้แป้งอ่อนตัว และใช้มือพลิกแป้ง ได้ ในการตำใช้เวลาประมาณ 30 นาที จะได้แป้งสีน้ำตาลอ่อนจากสีของน้ำ อ้อย หากยังไม่ปั้นในขณะนั้น ให้นำแป้งที่ได้ไปใส่กระติกพลาสติกเก็บความ ร้อน(กระติกพลาสติกใส่น้ำแข็งที่ใช้กัน

ขั้นตอนที่ 4
นำแป้งที่ตำ ผสมเสร็จแล้วเอามาปั้นเป็นก้อนๆ ขนาดประมาณลูกปิงปอง โดยใช้มือจับแป้งให้ อยู่ในกำมือ แล้วบีบมือให้แป้งทะลักออกมาจากช่องระหว่างนิ้วหัวแม่มือและ นิ้วชี้ แล้วบิดแป้งออกวางเป็นก้อนๆ

เอาน้ำมันพืชเทผสมกับไข่เป็ดแดง ต้มสุก แล้วนำมาทาบนแผ่นพลาสติก ไม้คลึง และมือเพื่อไม่ให้ตัวแป้งติด จาก นั้นนำก้อนแป้งมาวางบนแผ่นพลาสติก และใช้ไม้คลึง (ใช้ท่อแอสลอนก็ได้) คลึง ไปบนแผ่นพลาสติก จนก้อนแป้งแผ่ออกกลายเป็นแผ่นแบนๆ แล้วนำแผ่นพลาสติกที่มี แผ่นแป้งติดอยู่ มาคว่ำบนตะแกรงให้แผ่นแป้งวางอยู่บนตะแกรงนั้น หลังจากนั้น จึงนำเอาไปตากแดด การตากแผ่นเข้าควบต้องพลิกให้เข้าควบโดนแดด ทั้ง 2 ด้าน เมื่อแป้งแข็งตัวและแห้งสนิทดี ก็นำเอามาเก็บในถุงพลาสติกต่อ ไป แผ่นเข้าควบที่แห้งแล้วนั้นสามารถเก็บไว้ได้ประมาณ 1 ปี หรือมากกว่านั้น ถ้าเก็บไว้ในที่แห้ง

การปิ้งเข้าควบ
เริ่มจากการก่อเตา ถ่าน อย่าให้ไฟร้อนมากนัก เพราะจะทำให้เข้าควบไหม้ จากนั้นใช้ไม้ไผ่ที่จัก ปลายเป็นซี่ๆ มีด้ามจับยาวประมาณ 1 เมตร เพื่อช่วยให้ผู้ปิ้งไม่ร้อนมือ นำ แผ่นเข้าควบที่จะปิ้งวางบนไม้ไผ่จักซี่นั้น แล้วนำไปวางเหนือเตาถ่าน ความ ร้อนจากเตาไฟจะช่วยให้เข้าควบค่อยๆ พองตัวขึ้น ก็จะกลับด้านของเข้าควบโดย ใช้ไม้ไผ่จักซี่อีกอันวางทับบนเข้าควบ เพื่อไม่ให้แผ่นเข้าควบตกลงไปในเตาใน ขณะที่พลิกเข้าควบในการปิ้ง ผู้ปิ้งจะพลิกเข้าควบกลับไปกลับมา หลายๆ ครั้ง เพื่อให้เข้าควบสุกทั่วทั้งแผ่นและไม่ไหม้ เมื่อสังเกตดูว่า เข้าควบสุกทั้งแผ่นแล้ว เอาใส่ถาดพักไว้ให้เย็น จะได้เข้าควบที่กรอบและมีรส หวานเล็กน้อย

//www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=458.0




 

Create Date : 20 มิถุนายน 2552   
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2558 13:59:12 น.   
Counter : 498 Pageviews.  


sriphat
Location :
ภูเก็ต Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย
New Comments
[Add sriphat's blog to your web]