โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย

วิกรม กรมดิษฐ์ ตอนที่ 2

ชีวิตคู่ที่ผิดพลาด ก่อให้เกิดตำนานหนุ่มเพลย์บอย และการทำแท้ง...!

นอกจากปัญหาระหว่างวิกรมกับพ่อที่สร้างบาดแผลอยู่ในใจตลอดมาแล้ว วิกรมเองยังมีเรื่องราวที่รู้สึกว่าตนเองยังเป็นคนเลวอีกอย่างหนึ่งก็คือ สิ่งที่คนทั่วไปต่างคิดว่าเขาเป็นเศรษฐี "เพลย์บอย" ติดอันดับของเมืองไทย

แต่ทุกเรื่องราวต้องมีที่มาและที่ไป วิกรมจึงบอกเล่าเรื่องราวตำนานรักของเขาให้เราฟังว่า... เจอกับเคลลี่ภรรยาคนแรกที่ไต้หวัน ตอนนั้นผมเพิ่งจบมัธยม 3 และได้ไปเรียนต่อที่ไต้หวัน เคลลี่เป็นลูกสาวของนายสถานีวิทยุกระจายเสียง ส่วนแม่เป็นเจ้าของโรงงานตุ๊กตาหินส่งออกไปขายยังต่างประเทศ ความน่ารักและเป็นคนเก่งของเคลลี่ ทำให้วิกรมตกหลุมรักและประทับใจในความมีน้ำใจของเธอที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลเด็กพลัดถิ่นอย่างเขา จนทำให้เป็นบ่อเกิดแห่งความรัก ความซาบซึ้งใจและความผูกพันในมิตรภาพของกันและกัน

ความรักและความห่วงใยที่เคลลี่มีให้วิกรม คงไม่มีใครซาบซึ้วใจเท่ากับตัวเขาเอง ซึ่งวิกรมเล่าว่า "ตอนนั้นผมเพิ่งเริ่มติดต่อการค้า บางวันแย่หนักมีเงินติดตัวเพียง 25 สตางค์เท่านั้น ก็มีแต่เคลลี่ที่ส่งเงินมาทางจดหมายครั้งละ 5 เหรียญ 10 เหรียญ ให้ผมได้ใช้ประทังชีวิต"

และเมื่อกิจการงานต่างๆ ของวิกรมเริ่มดีมากขึ้น คนที่ช่วยงานอยู่เดิมไม่ค่อยเก่งสักเท่าไร วิกรมจึงคิดถึงเคลลี่และคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ทั้งคู่สมควรใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน หลังจากที่รู้จักรักใคร่กันมานานเกือบ 10 ปี โดยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โตขึ้นที่ไทเปและสวนสามพราน ชีวิตคู่ของวิกรมมีความสุขดีมาตลอดจนถึงช่วงก่อนอายุ 30 ปี ธุรกิจของวิกรมเริ่มอยู่ตัว เขากับภรรยาไม่เคยทะเลาะกันเลย เพราะมีความรักแบบเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจกันดี แต่ไม่นานนักความรักระหว่างคนทั้งสองก็เริ่มเกิดปัญหาจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ วิกรมจึงส่งเคลลี่ไปเรียนปริญญาโทที่อเมริกา ด้วยความหวังว่าการห่างกันจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้น แต่ความจริงกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองยิ่งยากจะประสานให้ดีดังเดิม สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้หย่าขาดจากกัน ทิ้งไว้เพียงบาดแผลในใจของบุคคลทั้งสอง

วิกรมกล่าวว่า...เขาสิ้นศรัทธาต่อความรัก หมดความเชื่อมั่นและความหวังในเรื่องการแต่งงาน รวมถึงเลิกไว้เนื้อเชื่อใจในผู้หญิง และใช้เวลารักษาแผลใจอยู่ช่วงใหญ่ จนในที่สุดวิกรมกลับมาใช้ชีวิตใหม่ที่ได้ชื่อว่าเป็นเพลย์บอยคนหนึ่งของเมืองไทย โดยผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตวิกรมทุกคนจะต้องยอมรับในเงื่อนไขและขอบเขตแห่งความสัมพันธ์ไว้ล่วงหน้า ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ และการเป็นอิสระต่อกัน ไม่มีการผูกมัดหรือมีพันธะใดๆ ต่อกัน หากมีผลพวงที่เกิดจากความสัมพันธ์ขึ้นก็จะต้องจบลงที่คลีนิกเท่านั้น...

ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ วิกรมเปิดเผยจนหมดเปลือกว่า... "ผมทำผู้หญิงท้อง 10 กว่าคน และพาไปทำแท้งทั้งหมด วันนี้ที่ผมไม่มีภาระเพราะผมให้ผู้หญิงทำแท้งมากว่า 10 ครั้ง ลูกของผมคนแรกถ้าผมไม่ให้เธอทำแท้ง วันนี้เขามีอายุ 30 ปีแล้ว" และเหตุที่เขาเลือกการทำแท้ง ก็เนื่องจากความคิดที่ว่า ไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับใคร ไม่ว่าผู้หญิงหรือคนรอบข้างและสังคม โดยเฉพาะผู้ที่จะเกิดมาซึ่งไม่มีส่วนร่วมรู้ในสิ่งที่พ่อก้บแม่ได้สร้างขึ้น หากพ่อกับแม่ไม่มีความพร้อมในทุกด้าน ก็เท่ากับเรากำลังสร้างบาปให้แก่ผู้บริสุทธิ์ และมีส่วนในการสร้างปัญหาและมลภาวะแก่สังคม

แต่วิกรมก็มีข้อคิดฝากถึงวัยรุ่นยุคนี้ว่า...ควรตระหนักว่าการใช้ชีวิตอย่างโลดโผน เพื่อสนองตอบอารมณ์ หรือความต้องการชั่วแล่นตามค่านิยมตะวันตก มีแต่จะสร้างรอยมลทินและบาดแผลทางจิตใจให้กับตัวเองและผู้ใกล้ชิดอย่างยากที่จะลืมเลือน เฉกเช่นที่เขาเป็นอยู่ทุกวันนี้ จนเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เขาตัดสินใจบวชและออกปฏิบัติธรรม...

เริ่มต้นทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย...

เมื่อเขามีปัญหากับพ่อถึงขั้นประกาศไม่กลับบ้าน และพ่อก็ไม่ส่งเสียค่าเล่าเรียนอีก ทำให้วิกรมกลัวว่าจะเรียนที่ไต้หวันไม่สำเร็จ เขาจึงวางแผนไปซื้อเครื่องประดับพวกแหวน สร้อยคอ สร้อยคอมือ ต่างหู ที่หลุดจากโรงจำนำ และร้านจิวเวลรี่ต่างๆ โดยซื้อราคาชิ้นละไม่กี่ร้อยบาท แล้วนำไปขายที่ไต้หวันในราคาชิ้นละพันบาท โดยขอยืมเงินทุนจากลุงและป้ามาก่อน ซึ่งขายดิบขายดีและทำกำไรให้วิกรมมากพอดู มิหนำซ้ำยังมีคนติดใจสั่งซื้อแหวน สร้อย กำไล ต่างหู กันมากขึ้น ถึงขนาดไว้วางใจวางเงินล่วงหน้าเป็นแสนเหรียญไต้หวัน ทำให้วิกรมกลายเป็นนักธุรกิจน้อยๆ ที่หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ มีชีวิตอยู่ในไต้หวันได้ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินอีกเลย นอกจากนี้วิกรมยังไปเดินหาสินค้าต่างๆ ในงานแสดงสินค้าที่จัดขึ้นบ่อยๆ ในกรุงไทเป โดยขอโบรชัวร์ ขอใบเสนอราคาของสินค้า แล้วนำมาศึกษาว่าสินค้าของเมืองไทยมีอะไร และของไต้หวันมีอะไรที่พอจะนำมาขายได้ หรือมีสินค้าของไต้หวันตัวใดที่น่าจะส่งไปขายที่เมืองไทย

และแล้วธุรกิจเล็กๆ ของวิกรม ก็เริ่มก่อตัวขึ้นที่หอพักนิสิตไถ่ต้า ของมหาวิทยาลัย National Taiwan University (NTU) โดยมีเพียงเครื่องพิมพ์ดีด 1 เครื่องเท่านั้น ส่วนโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อ วิกรมก็ใช้โทรศัพท์สาธารณะหน้าหอพัก แถมยังใช้กลวิธีบางอย่างที่ทำให้ไม่ต้องเสียเงินค่าโทรศัพท์อีกด้วย

จนเมื่อขึ้นเรียนปีที่สอง วิกรมก็ได้เป็นตัวแทนซื้ออะไหล่จากไต้หวันส่งกลับเมืองไทย เขาได้รับออเดอร์ซื้ออะไหล่โทรศัพท์วิทยุ อะไหล่เครื่องสูบน้ำ ตั้งแต่นมหนูตลอดจนถึงเครื่องกลึง ลวดเชื่อม และหมวกกันน็อค ในขณะเดียวกันก็ติดต่อซื้อหนังวัวควาย และมันสำปะหลังจากไทยไปขายที่ไต้หวันอีกด้วย ยิ่งช่วงปีสุดท้ายเมื่อได้ปิดเทอมกลับมาเมืองไทย เขาวนเวียนขึ้นลงแถวปทุมวันเรื่อยไปจนถึงวงเวียนโอเดี้ยน เยาวราช สามยอด พาหุรัด เพื่อหาช่องทาง และหากเจอห้างใดที่น่าสนใจก็จะเข้าไปแจกนามบัตรและแนะนำตัวว่าเป็นนักเรียนไทยที่ไต้หวันทันที

จากนักธุรกิจขายพืชไร่ ก้าวสู่นักธุรกิจระดับชาติ และสร้างนิคมอุตสาหกรรม...

เมื่อวิกรมเรียนจบจากไต้หวันแล้ว เขาก็เริ่มต้นก่อร่างสร้างบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อว่า วี แอนด์ เค คอร์ปอเรชั่น ทันที โดยเงินทุนก่อตั้งก็มาจากหยิบยืมคนใกล้ชิด โดยมีอุปกรณ์สำนักงานเพียงอย่างเดียว คือ พิมพ์ดีดที่หอบหิ้วมาจากไต้หวัน และแรงกายของวิกรมที่ต้องรับหน้าที่เป็นทั้งเจ้าของ ผู้จัดการ พนักงานขาย ฝ่ายบัญชี ไปจนถึงภารโรงอยู่ในคนเดียวกัน

บริษัท วี แอนด์ เค เริ่มจากค้าขายสินค้าการเกษตรใกล้ตัว จนเมื่อวันหนึ่งเขาพอมีเงินทุนมากขึ้นและประกอบกับที่วิกรมได้รู้จักกับผู้บริหาร บริษัทกรีนไจแอนท์ ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับเกษตรที่ใหญ่ระดับโลก และรู้จักกับผู้บริหารบริษัทญี่ปุ่น Kagome ซึ่งเข้าไปทำซอสมะเขือเทศในไต้หวัน ทำให้เขาได้เป็นตัวแทนนำเข้าและส่งออกซอสมะเขือเทศ

และต่อมาเมื่อวิกรมได้รู้จักกับลูกชายเจ้าของ บริษัทราชาชูรส เขาจึงได้รับคำแนะนำว่า ปลาทูน่ากระป๋องเป็นสินค้าที่ควรส่งไปขายในสหรัฐอเมริกา วิกรมจึงอาศัยสายสัมพันธ์กับนักธุรกิจไทยและญี่ปุ่น เขาได้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องเข้าไปจำหน่ายในสหรัฐฯ เมื่อปี พ.ศ. 2523

พอปี พ.ศ. 2527 วิกรมเจอมรสุมชีวิตลูกใหญ่ เมื่อปลาทูน่ากระป๋องมูลค่า 10 ล้านบาทถูกตีกลับ ตามด้วยโรงงานแป้งมันสำปะหลังที่กาญจนบุรีไม่ยอมส่งมอบสินค้าจำนวน 300 ตันให้ตามสัญญา ทำให้เขาต้องวิ่งหาซื้อแป้งจากโรงงานอื่นส่งให้ลูกค้าแทน แต่ก็ต้องขาดทุนไปอีกเกือบ 2 ล้านบาท

ชีวิตย่อมมีขึ้นมีลง ไม่นานกิจการปลาทูน่าก็เริ่มดีขึ้น ยอดขายส่งออกมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดต้องนำเข้าปลาจากต่างประเทศ และบริษัท วี แอนด์ เค ได้กลายเป็นบริษัทส่งออกอาหารกระป๋องรายใหญ่ที่สุดของไทย มียอดขายปีละพันล้านบาท ทำให้วิกรมเริ่มมีเงินเก็บออม และหันไปทำธุรกิจตัวอื่นๆ...

นั่นก็คือ นิคมอุตสาหกรรมที่ต่อมาทำให้เขาเป็นนักธุรกิจระดับหมื่นล้านอยู่ในปัจจุบัน โดยมีจุดเริ่มต้นจากที่วิกรมชักชวนเพื่อนๆ ที่อบรมมินิเอ็มบีเอที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยกัน เช่น สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ศุภลักษณ์ อัมพุช ส่วน ประยูร บุญส่ง นั้นเขารู้จักกันตอนไปเรียนฝึการบินพลเรือน และนอกจากนี้วิกรมยังได้รู้จักกับ พล.ต.อ. ชวลิต ยอดมณี ในฐานะที่เป็นรองเลขาธิการสำนักปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) จึงชักชวนมาร่วมกันจัดตั้ง บริษัทบางปะกง อินดัสเทรียล ปาร์ค จำกัด ในปี พ.ศ. 2531

และเมื่อที่ดินในโครงการดังกล่าว ถูกซื้อขายจนหมด จึงเกิดแรงใจที่จะสร้างโครงการนิคมอุตสาหกรรมบางปะกงแห่งที่ 2 ขึ้น ซึ่งโครงการแห่งที่ 2 มีพื้นที่รวม 1,400 ไร่ มากกว่าโครงการแรกเกือบ 5 เท่า และจากนั้นวิกรมก็เริ่มสร้างนิคมอุตสาหกรรมในสถานที่ต่างๆ อีกหลายแห่ง อาทิ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ที่ จ. ระยอง นิคมอุตสาหกรรมที่เวียดนามและจีน

จนทุกวันนี้ถือได้ว่า "วิกรม กรมดิษฐ์" คือนักธุรกิจใหญ่ระดับหมื่นล้าน เป็นเจ้าของนิคมอุตสาหกรรมในเครือกว่า 5 แห่ง ที่วันนี้ทีโรงงานตั้งอยู่ในนิคมมากกว่า 400 โรง มีเงินลงทุนกว่าแสนล้านบาท มียอดขายกว่าสองแสนล้านบาทต่อปี ทำให้คนมีงานทำกว่า 8 หมื่นคน...!

จาก เรื่องเด่นในอดีต โดย "พิราบขาว"
"ชีวิตต้องสู้" ปีที่ 15 ฉบับที่ 563 ประจำวันที่ 1-15 พฤศจิกายน 2549




 

Create Date : 30 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2549 22:55:06 น.   
Counter : 20303 Pageviews.  

เปิดชีวิต...มหาเศรษฐีหมื่นล้าน...วิกรม กรมดิษฐ์...เจ้าพ่อ "อมตะ กรุ๊ป"

ผู้ชายที่ยอมรับว่า...ตัวเองเลว...เพราะเคยคิดฆ่าพ่อ

เปิดชีวิต..."วิกรม กรมดิษฐ์" มหาเศรษฐีหมื่นล้าน เจ้าของนิคมอุตสาหกรรม "อมตะ กรุ๊ป" เจ้าของฉายาทาร์ซานป่าคอนกรีต ผู้ประกาศยอมรับว่าตนเองเลว เพราะเคยคิดฆ่าพ่อและเคยให้ผู้หญิงทำแท้งนับสิบครั้ง พร้อมบริจาค 2 พันล้านตั้ง "มูลนิธิอมตะ" และบวชเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อล้างบาป

ปฐมวัยปมชีวิตมีปัญหากับพ่อบังเกิดเกล้า...

วิกรม กรมดิษฐ์ มีชื่อเดิมว่า "ติ้นฟัง คูวัชระเจริญ" ตามที่ปู่ชาวจีนแคะเป็นคนตั้งให้ และเขาก็ใช้ชื่อนี้จนเรียนจบชั้นมัธยม 3 จึงคิดเปลี่ยนชื่อให้เป็นไทยเหมือนกับน้องๆ จนเป็นที่มาของชื่อ "วิกรม" ที่แปลว่า "แกร่งกล้า สามารถดุนพระอาทิตย์" เหมือนดั่งปัจจุบัน

วิกรมเป็นลูกคนโต มีน้องๆ ร่วมแม่เดียวกันถึง 9 คน และมีน้องต่างแม่อีก 10 กว่าคน เขาเกิดและเติบโตที่ตลาดท่าเรือ อำเภอท่าเรือ จังหวัดกาญจนบุรี ในครอบครัวคนไทย เชื้อสายจีนที่ขยันขันแข็ง พ่อและแม่เป็นพ่อค้าแม่ค้าขายพืชผลทางการเกษตรและรับซื้อของป่า ด้วยความที่พ่อมีนิสัยอารมณ์ร้อน โมโหร้าย และปกครองลูกแบบเก่าที่คิดว่าตนเป็นเจ้าชีวิตลูกๆ ที่มีสิทธิจะทำอะไรก็ได้กับลูกของตน จึงใช้ความรุนแรงลงโทษลูก ทำให้ก่อเกิดบาดแผลฝังลึกอยู่ในจิตใจของลูกๆ ทุกคน โดยเฉพาะตัวของวิกรม ยิ่งเมื่อพ่อของเขายังมีนิสัยเจ้าชู้ไม่เลือกหน้า จนเกิดปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างพ่อกับแม่ การที่เห็นสภาพแม่ถูกทำร้ายร่ำไห้อยู่กับลูกๆ ที่พลอยถูกลูกหลงไปด้วย มันทำให้จิตใจของวิกรมมีแต่ความขุ่นเคืองเคียดแค้นและน้อยเนื้อต่ำใจผสมปนเปกัน

เพราะเขามีความทรงจำในเรื่องราวที่เลวร้ายตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นการที่ตนเองต้องตรากตรำทำงานอย่างหนัก จนผอมโซตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นประถม ไม่เคยได้รับความรักความเห็นอกเห็นใจหรือคำชมเชยจากพ่อเลยสักครั้ง มีแต่ถูกทำร้าย หรือภาพที่พ่อทะเลาะกับแม่ ภาพที่พ่อตบตีน้องๆ เหมือนดั่งไม่ใช่ลูก

และวันหนึ่งเมื่อวิกรมกลับจากไต้หวันในช่วงปิดเทอม เขาต้องระเห็จออกจากบ้านไปตลอดชีวิต เรื่องนี้วิกรมได้ถ่ายทอดว่า...พ่อกับแม่ทะเลาะกันอย่างหนักเรื่องเมียน้อยคนหนึ่งของพ่อ ที่พ่อไม่ยอมรับ แม่จึงใช้ให้วิกรมไปรับตัวผู้หญิงคนนั้นมายืนยันต่อหน้าพ่อว่าไม่มีอะไรกันจริงๆ และพอจะขับรถไปรับผู้หญิงคนนั้น พ่อก็เดินมาเรียกให้ลงจากรถแต่ยังไม่ทันที่จะก้าวลง พ่อก็ปรี่เข้าไปกระชากตัวอย่างรุนแรง และด้วยความระแวงที่จะถูกพ่อทำร้ายตามที่เคยโดนมาตั้งแต่เด็กๆ บวกกับสัญชาตญาณการป้องกันตัว และแรงกดดันที่เห็นแม่ถูกทำร้ายจิตใจ ทำให้เกิดเหตุการณ์ลูกชกพ่อหนึ่งหมัด แต่ไม่ถูก แล้ววิกรมก็ถูกลูกน้องของพ่อเข้าล็อกตัว สุดท้ายวิกรมก็กลายเป็นกระสอบทรายให้พ่อซ้อมจนกองกับพื้น รุ่งเช้าวิกรมจึงเข้าไปกราบลาพ่อทั้งน้ำตา และกล่าวว่าเขาจะไม่กลับมาเหยียบบ้านนั้นอีก

และหลังจากนั้นอีก 3-4 ปี ในขณะที่วิกรมอยู่กรุงเทพฯ กำลังเริ่มต้นสร้างเนื้อสร้างตัว โดยไม่รู้ว่าทางบ้านที่กาญจนบุรีได้เกิดเหตุการณ์รุนแรงถึงขนาดพ่อยิงวิทิต น้องชายคนที่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุดคนหนึ่งที่ศีรษะ โดยมีเหตุจากที่พ่อไม่สนใจไยดีครอบครัว ไปนอนค้างกับเมียน้อยนอกบ้าน ไม่สนใจงานและไม่ส่งเงินให้ครอบครัวเหมือนเดิม

วิทิตน้องชายคนที่สอง ซึ่งมีนิสัยเลือดร้อนอยู่ไม่น้อย ก็ประกาศไม่ให้พ่อมาทะเลาะหาเรื่องแม่ ไม่เช่นนั้นเขาจะยิง แต่พ่อก็ยังมาทะเลาะกับแม่อีกครั้ง วิทิตก็เอาปืนยิงใส่รถพ่อทันที ทำให้พ่อของเขาเกิดอารมณ์โกรธแค้น ถึงกับประกาศว่าจะไม่เอาลูกคนนี้ไว้อีกแล้ว และยิงต่อสู้ทันที แต่วิทิตไม่ได้ยิงพ่อของเขาเลยสักครั้ง เพียงแต่ยิงขู่ขึ้นฟ้าและยิงลงดินเพื่อไม่ให้พ่อเข้ามาใกล้ แต่พ่อกลับยิงสวนกลับไปเจาะที่หน้าผากซีกขวาของวิทิตจนล้มลง โชคดีที่น้องสาวอีกคนหนึ่งรีบพาวิทิตไปส่งโรงพยาบาลได้ทัน และต่อมาก็ถูกส่งตัวมารักษาที่กรุงเทพฯ

เมื่อวิกรมทราบข่าวดังกล่าว เขารีบไปโรงพยาบาลทันที เขาได้แต่พร่ำถามตนเองว่า..."ทำไมพ่อถึงทำเช่นนี้กับวิทิตทั้งๆ ที่วิทิตหยุดยิงแล้ว ทำไมพ่อไม่คิดว่าวิทิตคือลูก" และเป็นลูกที่ทำงานหนักทุกอย่างเพื่อครอบครัว แทนที่จะหันหลังให้กับพ่อไปแล้ว ในใจของวิกรมชั่วเวลานั้น มีแต่ความคิดว่าจะต้องแก้แค้น ขจัดความไม่ยุติธรรมและปัญหาที่ปกคลุมครอบครัวของเขาซึ่งมีแต่แม่และน้องๆ ให้หมดไป เขาจึงกลับไปเตรียมอาวุธปืน มีด และขับรถไปกาญจนบุรีทันที ในใจคิดแต่จะต้องยิงพ่อให้หายแค้น แล้วจะยิงตัวเองตายตาม เพื่อสิ่งเลวร้ายต่างๆ จะได้ยุติลง แต่ระหว่างที่รถวิ่งตะบึงไปให้ถึงที่หมาย ความคิดใฝ่ดีก็ผุดขึ้นมา หากเขายิงพ่อตายแล้ว จะมีอะไรดีขึ้นบ้าง แม่กับน้องๆ จะอยู่กันอย่างไรต่อไป ใครจะเป็นคนคอยดูแลพวกเขา คำถามเหล่านี้ เหนี่ยวรั้งอารมณ์พลุกพล่านให้อ่อนตัวลง

ในเวลานี้พวกเขาก็เสมือนไม่มีพ่ออยู่แล้ว...ไม่มีผู้นำครอบครัว หากขาดพี่ชายคนโตที่ควรเป็นหลัก อนาคตของทุกๆ คนจะเคว้งคว้างและไร้ที่พึ่งแค่ไหน จิตใจใฝ่ดีจึงให้สติแก่วิกรม ว่าถ้าเราฆ่าพ่อก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น แล้วเราจะทำไปทำไม...? เราควรจะอยู่เพื่อแม่เพื่อน้องๆ ที่เรารัก และเขารักเราดีกว่า

หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น...วิกรมจึงกลับมาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่องาน ด้วยความหวังที่จะเห็นทุกคนในครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข น้องๆ มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีมีอนาคตที่สดใส ได้สำเร็จการศึกษาอย่างที่พวกเขาตั้งใจ

โปรดติดตามตอนต่อไป...




 

Create Date : 30 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2549 21:51:07 น.   
Counter : 32103 Pageviews.  


sriphat
Location :
ภูเก็ต Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย
New Comments
[Add sriphat's blog to your web]