พ่อสอนลูก

บทความจากเนชั่นสุดสัปดาห์ โดย : น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์
คุณผู้อ่านเชื่อในพลังอำนาจของความคิดในทางสร้างสรรค์ หรือที่เรียกว่าความคิดในทางบวกบ้างไหมครับ กล่าวกันว่า ไม่มีอำนาจหรือพลังงานอะไร ที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าพลังจิตของคนเราอีกแล้ว และความคิดในทางที่ดีนั้น ย่อมนำสิ่งที่ดีๆ มาสู่ชีวิตของคนที่คิดอยู่เสมอ
ที่จริง ผมเป็นผู้ชายวัยทอง... อารมณ์ดี แต่ขี้ลืม !!
เคยคิดบ้างไหมครับว่า คนในวัยทองกับคนในวัยรุ่นนั้นน่ะ เหมือนๆ กันคือ กำลังหลงทางอยู่ และหาหนทางที่ควรจะเดินไป... คนในวัยทองกำลังหาทางที่จะเดินไปสู่จุดหมายปลายทางของชีวิต คือความสุขในบั้นปลาย แต่ไม่รู้จะเดินไปทางไหน ในขณะที่วัยรุ่นกำลังจะมีชีวิตที่เดินเข้าสู่โลกกว้าง และมีทางเดินให้เลือกหลายทาง จนไม่รู้จะเลือกทางไหนเช่นกัน
ดังนั้น ถ้าวัยทองกับวัยรุ่นรู้จักพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ต่อกัน ก็จะช่วยเหลือเกื้อกูล และให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน... จริงไหมครับ
ก่อนปีใหม่ ผมก็มีความคิดหวังตั้งใจว่า จะพูดคุยสิ่งที่ดีๆ งามๆ ต่อวัยรุ่นให้เขามีหลักในการดำเนินชีวิตที่เหมาะสมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และมีคุณภาพชีวิต รวมทั้งมีความเข้าใจผู้ใหญ่พ่อแม่ไปในทางที่ดีด้วย และคิดว่า ตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นไป ก็จะพยายามใกล้ชิดกับวัยรุ่นที่ดีๆ ทั้งหลายในที่ต่างๆ เท่าที่จะทำได้ ตามโอกาสที่อำนวย
คงจะเป็นเพราะความคิดในทางบวกแบบนั้นกระมังครับ ที่ทำให้สัปดาห์แรกของปีใหม่ ผมได้มีโอกาสพบกับน้องๆ วัยรุ่นที่น่ารัก นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ให้โอกาสผมไปพูดคุยเกี่ยวกับเพศศึกษาที่เหมาะสมกับวัยรุ่น
เป็นความประทับใจที่ดีมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต พวกเขาตั้งใจฟัง ถามไถ่ในสิ่งที่ต้องการรู้ เพื่อที่จะนำไปใช้เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของพวกเขา...
และเป็นครั้งแรก ที่ผมเห็นน้ำตาของวัยรุ่น...
เมื่อผมพูดให้พวกเขาฟังว่า พ่อแม่ของลูกๆ ทุกคนรักลูกนะ อาจจะไม่มีโอกาสบอกว่ารักต่อลูก เพราะมัวแต่ทำงานหาเงินหาทองเพื่อส่งเสียให้ลูกๆ ได้เล่าเรียนดีๆ มีการศึกษาสูงๆ ไว้เป็นทรัพย์สมบัติที่จะติดตัวพวกลูกๆ ตลอดไป ที่พ่อแม่ก้มหน้าก้มตาทำงานหนักทุกวันนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อลูก ทุกคนหวังแค่เพียงว่า ลูกๆ จะเป็นคนดีและมีชีวิตที่ดีในวันข้างหน้าเท่านั้น
...และถ้าวันนี้ ลูกๆ ทุกคนจะกลับบ้านไปบอกคุณพ่อคุณแม่ว่า พวกเราก็รักคุณพ่อคุณแม่เท่านั้น ลูกๆ ทุกคน ก็จะเห็นภาพที่แสดงให้เห็นว่า คุณพ่อคุณแม่รักลูกๆ มากเท่าไร
พ่อแม่ก็รอความรักจากลูกๆ อยู่เหมือนกัน...
และบ้านที่มีความรัก รอลูกๆ อยู่ ขอแต่เพียงลูกๆ เข้าใจว่า เป็นบ้านที่มีความรักเท่านั้น
พลังอำนาจของความรักนั้น มันล้นเหลือนัก และความรักนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์จะมอบให้แก่กันได้ เช่นนี้ กลับบ้านเถอะลูก...ไปบอกคุณพ่อคุณแม่ที่บ้านว่า ลูกรักคุณพ่อคุณแม่
ผมเห็นน้ำตาของลูกสาวหลายคนในห้องนั้น... และก็ปลื้มใจแทนคุณพ่อคุณแม่ของพวกเธอ
นี่แหละครับ เป็นความรักที่บริสุทธิ์...ความรักที่ปลอดภัย
ก็เลยอยากจะบอกคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายว่า ลูกๆ เขาก็รักพวกคุณนะครับ มีความรักไปให้เขาที่บ้าน เป็นเพื่อนกับพวกเขา เข้าใจความคิดของพวกเขา และปรับความคิดแบบโบราณเก่าๆ แก่ๆ ให้ทันสมัยตามพวกเขาบ้าง
...แล้วคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายจะเป็นคนน่ารักของลูกๆ คุณ
เช่นเดียวกับผม...
เชื่อเถิดครับ เด็กๆ เยาวชนของเราทุกคน เกิดมานั้นน่ะ อยากเป็นคนดีแทบทั้งนั้น เพียงแต่สังคมของเราไม่เอื้ออำนวยให้พวกเขามากนัก สังคมของเราไม่ค่อยปลอดภัยสำหรับเยาวชนของเราแล้วในขณะนี้ และทุกคนจะต้องร่วมมือร่วมใจกันทำให้สังคมของเราดีขึ้น น่าอยู่ขึ้น... ด้วยความรัก ความเข้าใจ และความผูกพันของทุกคนในครอบครัว
สังคมเริ่มต้นที่บ้าน... ถ้าบ้านนี้มีรัก ไม่นานสังคมเราก็จะมีแต่ความรักที่มอบให้แก่กัน
ทุกอย่าง มันยากตรงที่เริ่มต้น...ยากตรงก้าวแรกที่ก้าวออกไป แต่เมื่อเริ่มก้าวแรกได้แล้ว ก้าวต่อไปก็จะตามมา...ตามมา อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เลิกความคิดเดิมๆ เสียเถิดครับ เลิกคิดว่า วัยรุ่นของเราไม่ดี
ก็พอพวกคุณบอกว่า เขาไม่ดีแล้ว...เขาจะดีอย่างไร
ทำไมไม่คิดว่า เขาเป็นคนดีบ้าง และช่วยเหลือเขาให้ดีขึ้น เป็นดังที่พวกคุณตั้งความหวังเอาไว้
ทำงานให้น้อยลงสักนิดนะครับ คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย...มีเวลาให้ลูกของคุณเพิ่มขึ้นอีกนิด ติดตามดูแลการเจริญเติบโตของพวกเขาแต่วัยเด็กและเป็นที่พึ่งที่พักพิงทางใจให้กำลังใจเขา ในยามที่เขาต้องการและยินดีกับพวกเขา ในเวลาที่พวกเขาทำอะไรสำเร็จ
แล้วคุณจะไม่ผิดหวังกับเวลาที่คุณทุ่มเทให้ความรักแก่เขาเลย... เพียงแต่ต้องเป็นความรักที่ถูกต้อง สมเหตุ สมผล และไม่เกินเลย
หลายคนคิดว่า การให้เงินทองแก่ลูก เป็นการแสดงความรัก
หลายคนคิดว่า การช่วยเหลือลูกทำการบ้านและทำอะไรให้หมด เป็นการแสดงความรัก
หลายคนคิดว่า การปกป้องลูกทุกวิถีทาง เป็นการแสดงความรัก
ฯลฯ ...อาจจะเป็นความรักจริง แต่เป็นความรักในทางที่ผิด
ที่จริงแล้ว การจะสอนลูกให้รู้จักการดำรงชีวิตนั้น ไม่ใช่เป็นการจับปลาให้ลูกกิน แต่เป็นการสอนลูกถึงวิธีการจับปลาต่างหาก เพราะคุณพ่อคุณแม่จะจับปลาให้ลูกกินได้ตลอดชีวิตของพวกเขาหรือ อายุพ่อแม่จะยืนยาวกว่าพวกเขาหรือ... ก็เป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น พ่อแม่ที่รักลูกต้องสอนลูกจับปลา ไม่ใช่จับปลาให้ลูก
โดยเฉพาะเรื่องเพศศึกษานั้น ต้องให้ลูกๆ ของเรารู้อย่างกระจ่างว่า จะเกิดอะไรกับพวกเขา เมื่อพวกเขาเข้าสู่วัยรุ่น การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเป็นอย่างไร และพวกเขาจะปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ นั้นได้อย่างไร
สอนพวกเขาด้วยเหตุ และผล และสอนอย่างไม่เป็นทางการ สอนจากเหตุการณ์ ข่าวต่างๆ ที่ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ และข่าววิทยุโทรทัศน์ ช่วยกันวิเคราะห์วิจารณ์ว่า ในสถานการณ์แบบนั้น ควรจะปฏิบัติตนอย่างไรให้ปลอดภัยและผ่านวิกฤตการณ์ดังกล่าวไปได้
และไม่สอนด้วยอารมณ์...
อย่าให้หลักการที่ว่า กฎข้อที่ 1 พ่อแม่ถูกเสมอ
กฎข้อที่ 2 พ่อแม่เป็นคนเลี้ยงดูพวกเธอมา ต้องเชื่อพ่อแม่
และกฎข้อที่ 3 ถ้าไม่เชื่อพ่อแม่ให้ไปดูกฎข้อที่ 1
...แบบนั้นมันใช้ไม่ได้หรอกครับในยุคสมัยนี้ เพราะมันเป็นอำนาจของพวกเผด็จการที่จะบงการชีวิตคนอื่น ในสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นสิทธิขั้นมูลฐานของมนุษยชาติที่ประกาศขององค์การสหประชาชาติ ก็ไม่เห็นมีข้อไหนที่พ่อแม่มีสิทธิที่จะสั่งให้ลูกทำแบบโน้นทำแบบนี้ โดยที่พวกเขาไม่เห็นด้วย
ผู้เจริญแล้วจึงพึงต้องพูดจากันด้วยเหตุและผล... อย่าใช้อารมณ์กัน
ถ้าคิดไม่ออกว่าจะให้ลูกทำแบบที่ตนเองต้องการ แต่ยังหาเหตุผลประกอบไม่ได้... แทนที่จะบอกว่า แล้วต่อไปๆ ลูกก็จะรู้เองแหละว่าทำไมต้องทำแบบที่พ่อบอกนี้
ขอให้พูดแทนว่า... เออลูกเอ๋ย ยังตกลงกันไม่ได้ว่าแบบที่พ่อเป็นดีกับแบบลูกเห็นว่าดีนั้นน่ะ ควรเลือกแบบไหน ลูกก็ให้เกียรติพ่อนิดหน่อยได้ไหม ลองทำตามที่พ่อบอกดูก่อน แล้วถ้าลูกมีเหตุผลที่ดีและเหมาะสมที่พ่อรับฟังได้ พ่อก็จะตามใจลูก
...แบบนี้ลูกก็ต้องพยายามไปหาเหตุผลมาชักจูงพ่อแม่ และพวกเขาก็จะเข้าใจว่า สามารถพูดกับพ่อแม่ด้วยเหตุด้วยผลได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องใช้อารมณ์
เมื่อพวกเขาหาเหตุผลที่ดีงามมาสนับสนุนความคิดได้ ทำให้พ่อแม่เห็นดีด้วยและยอมตามแล้ว
...เขาก็จะเกิดวุฒิภาวะ เริ่มเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผล
เพื่อที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดีในอนาคต
ลูกๆ ทุกคนก็อยากจะให้พ่อแม่ไว้ใจพวกเขาเหมือนกัน และมีความสุขเมื่อพ่อแม่ยอมรับในความสามารถของพวกเขา
เพราะฉะนั้น ชมพวกเขาบ้าง เมื่อพวกเขาทำดี
อย่าเพียงแต่ติติงหรือดุด่าว่าพวกเขาทำไม่ดีดังใจของผู้ใหญ่เท่านั้น
แต่ต้องชมเฉพาะที่เป็นจริงนะครับ ไม่ใช่ชมจนเกินเลยไป



Create Date : 27 มิถุนายน 2554
Last Update : 27 มิถุนายน 2554 22:02:00 น.
Counter : 413 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มนแพรวา
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]