แนะวิธีเตรียมลูกให้พร้อมก่อนเข้าป.1

ข้อมูลจากนิตยสารรักลูก
ผู้เชี่ยวชาญชี้พ่อแม่ ต้องสร้างบรรยากาศ ร่วมเรียนรู้อย่างมีความสุข
สถาบันครอบครัวรักลูกสถาบันวิชาการเพื่อสร้างความเข้มแข็งสู่ครอบครัวไทย จัดสัมมนา หัวข้อเตรียมลูกให้พร้อม ก่อนเข้าป.1" โดยได้รับเกียรติจาก อ.นพ. ชาตรี วิฑูรชาติหัวหน้าหน่วยจิตเวชเด็ก คณะแพทยศาสตร์ ศิริาชพยาบาล และ อ.ธิดา พิทักษ์สินสุขกรรมการฝ่ายวิชาการ สมาคมอนุบาลศึกษา แห่งประเทศไทย ผู้อำนวยการโรงเรียนเพลินพัฒนามาเป็นวิทยากร ให้คำแนะนำพ่อแม่วิธีช่วย เตรียมลูกเข้าสู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ได้ย่างมีความสุขคุณหมอชาตรีได้ปูพื้นถึงพัฒนาการของเด็กในช่วง 3-6 ปีซึ่งเป็นวัยอนุบาลอันเป็นวัยเตรียมเข้าเรียนระดับ ประถมว่าเป็นอีกช่วงหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ควรส่งเสริมทักษะด้านต่าง ๆ ดังนี้
ด้านการพัฒนา กล้ามเนื้อ มัดใหญ่ ควรให้ลูกได้ออกกำลังกายวิ่งเล่นในสนามนอกบ้านบ้าง เพื่อความคล่องแคล่ว ว่องไว แข็งแรง
ด้านการ พัฒนากล้าม เนื้อมัดย่อย ให้เด็กได้ฝึกใช้มือโดยผ่านการเล่น และการทำงาน ในชีวิต ประจำวัน ปั้นดิน พับกระดาษ เก็บเม็ดต้อยติ่งฯลฯ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานของการ ใช้มืออย่างทะมัดทะแมง ในการเขียนต่อไป
ด้านภาษา ฝึกการสื่อสารในสิ่งที่เขาต้องการ และให้เขารู้จัก "ฟัง"ให้เป็น เพราะการเรียนรู้ส่วนใหญ่ จะผ่านการฟัง เป็นหลักพ่อแม่จึงควรเริ่มต้นจากการฟังและสนใจในสิ่งที่ลูกพูด
ด้านอารมณ์เป็นเรื่องปกติที่เด็กวัยอนุบาลจะยังไม่สามารถจับอารมณ์ และควบคุมอารมณ์ของตนได้แต่พอจะขึ้นชั้น ป.1 พ่อแม่จะต้องช่วยพัฒนาให้เขาหัดควบคุมอารมณ์ รู้จักปรับตัวและเข้าใจคนอื่นด้วย "วิธีการก็คือ เด็กต้องรู้จักอยู่ภาย ในขอบเขตกฎเกณฑ์ที่พ่อแม่ควบคุม ว่าลูกมีหน้าที่อะไร ตกลงกันภายในบ้านเด็กกลุ่มนี้เมื่อไปโรงเรียน เขาจะอยู่ใน กฎเกณฑ์ข้างนอกบ้านได้ด้วยเช่นเด็กต้องช่วยเหลือตัวเอง เชื่อฟังผู้ใหญ่ในระดับหนึ่ง ผู้ใหญ่พูดอะไรต้องฟังไม่ได้ หมายความว่าต้องเชื่อทุกอย่าง ลูกมีสิทธิที่จะออกความเห็นได้แต่ผู้ใหญ่ยังจะต้องเป็นคนตัดสินให้อยู่ ว่าอะไรผิดอะไรถูกการเด็กที่ได้เรียนรู้แบบนี้จะทำใหพร้อมที่จะปรับตัวออกไปรับฟังคนอื่นได้โดยที่ไม่เอาตัวเอง เป็นศูนย์กลาง ตลอดเวลา"
ด้านพัฒนาการทางเพศเด็กควรจะรับรู้และเรียนรู้บทบาททางเพศที่ถูกต้อง เหมาะสม
ด้านสังคมและจริยธรรม ฝึกการเล่นเป็นกลุ่ม แม้จะมีการตีกันแย่งของกัน ทะเลาะกัน แต่ก็ถือเป็นปกติ เพราะเด็ก จะยังไม่ค่อยเข้าใจกฎเกณฑ์แต่เมื่อเด็กอยู่ป.1 พัฒนาการทางสมองพร้อม เด็กจะรับรู้เข้าใจเรื่อง กฎเกณฑ์กติกาได้อย่างรวดเร็ว จากประสบการณ์ที่สั่งสมมา พ่อแม่ต้องค่อยๆ สอนเขาทีละน้อยๆต่อเนื่อง ตั้งแต่วัยอนุบาลจึงจะได้ผล เช่น แต่งตัวเอง เล่นของแล้วเก็บเมื่อเขาแบ่งของให้ ก็ควรชื่นชม ให้เขารู้สึกดีในการกระทำ นี่คือการสอนจริยธรรมง่ายๆในเด็กเล็ก
ด้านสมาธิ เด็กอนุบาลจะมีความสนใจสั้นทำอะไรได้นานถึง 20นาทีก็ถือว่านานมากแล้ว แต่ในเด็ก ประถมที่ต้อง เรียนเป็นคาบประมาณ 40-50 นาทีจึงต้องมีการเตรียมกันบ้าง "วิธีการฝึกสมาธิที่ดีมาก คือให้เด็กอ่าน หนังสือหรือฟังนิทานด้วยกัน โดยเลือกรูปสวยๆ ตัวหนังสือน้อยๆ ก่อน ดึงให้เด็กเข้ามาสนใจจะเห็นว่าเด็กจดจ่อฟังได้นานมาก 10-15 นาทีโดยไม่เบื่อเลย"
แต่ไม่ใช่ว่าเด็กเท่านั้นที่ต้องเตรียมความพร้อมพ่อแม่เองก็ต้องเตรียมการด้วยระดับหนึ่ง อ.ธิดา พิทักษ์สินสุข ได้ให้คำแนะนำเรื่องความพร้อมพ่อแม่ ทั้งเรื่องการเตรียมตัว และแนวการสอบเข้าป.1ยุคการปฏิรูปการศึกษาว่าในปีสองปีที่ผ่านมานี้พ่อแม่เครียดมากขึ้นกับการเตรียมลูกสอบเข้าป.1 เพราะไม่รู้ว่าจะสอบอย่างไรกันแน่ และป.1 เรียนแบบ ไหน มีข่าวออกมาล่าสุด ถึงนโยบายว่า จะไม่สอบข้อเขียน โรงเรียนใดสอบไป แล้วก็ให้ดำเนินการ ผ่านไป ถ้าโรงเรียน ใดยังไม่สอบ ก็ขอให้ใช้วิธีการสอบที่หลากหลาย ไม่เน้นการสอบข้อเขียนที่ยาก จะพบว่ามีข้อสอบ ทั้งแบบข้อเขียนกับการสอบที่เป็นฐานกิจกรรม ทีนี้พ่อแม่ก็เป็นกังวลว่า การสอบแบบที่เป็นฐาน กิจกรรมจะติวอย่างไร ก็ไม่ต้องติวเพราะถ้าเด็กได้ฝึกช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เล็กจนโต ก็จะทำได้"อ.ธิดาย้ำว่าพ่อแม่อย่ากังวลและควรเป็นตัวของตัวเองให้เลี้ยงลูกตามแนวทางของตัวเอง ไม่ว่ากระแสการศึกษา จะวกวน สับสนแค่ไหนเรามีวิธีตรวจสอบว่าลูกเราพร้อมที่จะเข้าสู่ ป.1 หรือไม่ดังนี้
ข้อแรก ดูว่าลูกยังรักการเรียนอยู่หรือเปล่าชอบอ่านหนังสืออยู่มั้ย พ่อแม่อย่าเพิ่งเลิกอ่านหนังสือกับลูกเด็ดขาด เพราะการปฏิรูปการศึกษา ทำให้การเรียนเปลี่ยนรูปแบบไปมาก ลูกต้องรักการอ่าน รักการค้นคว้าโดยมีพ่อแม่ อยู่เคียงข้าง พ่อแม่ ต้องทำการบ้านโดย เรียนกับลูก สนุกไปกับลูก เช่นไปช่วยค้นหาว่าตั๊กแตนมีกระดูกหรือเปล่า แมงมุมเป็นแมลงหรือเป็นแมงด้วยเหตุผลอะไร
จุดหนึ่งที่หายไปของเด็กที่อยู่ในโรงเรียนเร่งเรียนก็คือความรู้สึกอยากเรียนหนังสือ เพราะถูกเคี่ยวเข็ญมาเยอะ เด็กจะ ไม่อยากอ่านหนังสือสำรวจว่าความรู้สึกอยากเรียนรู้ของลูกยังมีอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่มีต้องรีบปรับแก้โดยด่วน ใครที่ยัง ไม่เคยอ่านหนังสือ ค้นคว้ากับลูกร่วมกิจกรรมกับโรงเรียนอนุบาลต้องทำเสีย เพื่อสร้างการเชื่อมต่อ ของการรัก เรียนต่อไป เพราะในอนาคตวิธีการเรียนการสอนจะไม่มีการท่องจำอีกแล้วจะเปลี่ยนจากการเรียนแบบ ไม่มีเหตุผลมา สู่การเรียน ที่มาสัมพันธ์กับชีวิตจริงเรียนในสิ่งที่นำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตได้ต่อ เพราะฉะนั้นนี่คือวิธีการเรียน แนวใหม่ที่พ่อแม่ จะต้องเข้าใจ"
ข้อสอง ตรวจสอบดูว่าลูกมีพื้นฐานทางอารมณ์เป็นอย่างไรพื้นฐานทางอารมณ์จะต้องดี อย่าให้การสอบมาทำลาย อารมณ์ของลูกไปและพ่อแม่ก็เป็นส่วนสำคัญที่ส่งอารมณ์เครียดและกังวลมาถึงลูก โดยไม่รู้ตัว
พ่อแม่บางคนเครียดกันเป็นปี มีการติว ต้องทำการบ้านตอนเย็นมีพ่อแม่ผลัดกันกำกับ หรือคุยเรื่องการหา โรงเรียน ให้ลูก เป็นซึ่งจะไปบ่อนทำลายความรู้สึกดีๆของลูกเยอะมาก เช่น จะไปสู้เขาได้เหรอจะทำข้อสอบได้มั้ย ถ้าสอบไม่ได้ จะเรียน ที่ไหนกัน รำพึงรำพันกับตัวเองให้ลูกฟังขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าลูกไม่ได้ดั่งใจ"
จริงๆ แล้ว สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรทำเป็นหลักก็คือการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ในชีวิตประจำวัน ด้วยการดูแล เอาใจใส่ อย่างใกล้ชิดอ่านหนังสือด้วยกัน ทำงานบ้านด้วยกัน แม่ซักผ้า ลูกซักด้วย กินข้าวด้วยกันเราอย่าไปเคร่งเครียดกับการเร่ง การติว เพราะมันทำให้ชีวิตในเยาว์วัยไม่มีความสุขมีผลกระทบในแง่ลบ ทำให้เด็กพกพาความเครียด อารมณ์ที่ไม่มั่นคงมีความรู้สึกที่ไม่มั่นใจในตัวเอง พาความรู้สึกนี้เขาไปในชั้นประถมซึ่งเด็กจะต้องดูแลตัวเองเยอะในเรื่องอารมณ์ความรู้สึก การปรับตัวพื้นฐานการปรับตัวนี้ล้วนมาจากอารมณ์ที่มั่นคงในบ้าน
นอกจากนี้อ.ธิดาให้ความสำคัญกับสัมพันธภาพที่ดีระหว่างบ้านและโรงเรียน มองว่าเป็นโอกาสที่พ่อแม่จะได้สื่อสาร กับคุณครูอย่างใกล้ชิดซึ่งจะช่วยลดปัญหาการเรียนของลูกได้
วันที่สำคัญมากของพ่อแม่ลูกชั้นประถม คือวันพบครูประจำชั้นของลูกอย่าพลาดโอกาสที่พ่อแม่จะสร้างสัมพันธ ภาพเบื้องต้นกับครูประถมบอกให้ครูรู้ว่าลูกของเรามาจากโรงเรียนแนวไหน พยายามสร้างสัมพันธภาพกับคุณครูไว้เพราะลูกต้องเริ่มเข้าสู่บรรยากาศใหม่ ๆ ที่ไม่คุ้นเคย
อ.ธิดาแนะให้พ่อแม่ติดตาม คอยคอยดูแลให้กำลังใจลูกเพราะก้าวแต่ละก้าวในช่วงหนึ่งเดือนแรกเป็นช่วงสำคัญมากลูกทำอะไรสำเร็จแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ต้องชื่นชม และให้กำลังใจ และไม่ให้เขาแพ้ใน 1เดือนแรกเช่นกัน เพราะช่วงนี้เป็น ช่วงรอยต่อที่จะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงพ่อแม่ต้องอยู่เคียงข้างลูกทุกก้าวที่เขากำลังหวั่นไหวถ้าเมื่อไหร่ที่พ่อแม่ยืนข้างรับรู้ทุกอารมณ์และความรู้สึก เราจะเป็นเพื่อนคู่ใจของลูกไปจนโต การคุยเรื่องอารมณ์ความรู้สึกกับลูก เป็นสิ่งจำเป็นแต่ให้อยู่แบบที่เขาจะพึ่งตัวเองได้ด้วย"
จุดที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนอีกจุดก็คือ ลูกควรจะเริ่มต้นจัดสรรเวลาเมื่อเข้าสู่ระบบที่เป็นแบบ แผนมากขึ้นเช่น เวลาสำหรับการ อ่านหนังสือเวลาในเรื่องเรียน เรื่องการอาบน้ำ การทำการบ้าน การนอน การดูทีวีการเล่นคอมพิวเตอร์มีเวลากำหนด ให้ชัดเจนพร้อมกันนั้นให้จัดที่ทำการบ้านให้ลูกในสภาพบรรยากาศที่ดูเป็นเด็กโตมากขึ้นเขาจะรู้สึกดี ซึ่งต้องไม่อยู่หน้า จอทีวีหน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลาน่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับการเข้าเรียนที่เป็นระบบมากขึ้น เพราะถ้า การจัดสรรเวลาไม่ดี จะมีปัญหาไปถึงตอนโต"สิ่งที่ทั้งคุณหมอชาตรีและอ. ธิดา เน้นว่าสำคัญมาก คือพ่อแม่ควรทำให้เด็กมีทัศนคติที่ดีกับการเรียน
โรงเรียนเป็นสิ่งน่าสนใจ ไม่ใช่ถูกยัดเยียด หรือบังคับเพราะป.1จะเป็นการเรียนที่จริงจังมากขึ้น ต้องทำการบ้าน จะยากขึ้นเด็กต้องรู้จักควบคุมตัวเอง เพราะฉะนั้นท่าทีของพ่อแม่มีความสำคัญมากต้องให้กำลังใจลูก ด้วยการพูด คุยเชิงบวก"
ถ้าอนุบาลทำดี ประถมทำสำเร็จ พ่อแม่จะเบาใจในช่วงวัยรุ่นอย่างมากเพราะปัญหาเล็กๆในอนุบาล จะเติบโตในประถม แล้วแตกตัวเมื่อเขาเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้นซึ่งยากเหลือเกินที่จะแก้ จำไว้ว่าการสร้างนั้นง่ายกว่าการแก้นับร้อยเท่า ถ้าอยากให้ลูกมีความสุข เติบโตด้วยนิสัยรักการเรียน มีชีวิตที่ดีพ่อแม่ต้องระวังความเครียด ความวิตกกังวลที่มากเกินไปโดยเฉพาะความคาดหวังที่อาจจะทำลายลูกไปอย่างน่าเสียดาย "
วิทยากรทั้งสองทิ้งท้ายประเด็นสำคัญไว้ให้พ่อแม่รุ่นใหม่ได้ขบคิดเพราะการเตรียมลูกเข้า ป.1 นั้นเป็นเรื่องจริงจังและเป็นพื้นฐานของความสำเร็จในวันข้างหน้าอย่างแท้จริง





Create Date : 27 มิถุนายน 2554
Last Update : 27 มิถุนายน 2554 13:19:50 น.
Counter : 2247 Pageviews.

0 comment
เลือกโรงเรียนให้ลูกแบบมืออาชีพ

บทความจากโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ


มีคุณพ่อคุณแม่ จำนวนไม่น้อยที่รู้สึกกังวลใจย่างยิ่งกับการตัดสินใจเลือกโรงเรียนอนุบาลให้กับลูกน้อย เพราะโรงเรียนอนุบาลนี้นับเป็นโรงเรียนแห่งแรกที่ลูกรักของเราจะได้เข้าไปเรียน ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นการปูพื้นฐานทางด้านการศึกษาให้กับลูกตั้งแต่แรกเริ่ม ดังนั้นโรงเรียนอนุบาลจึงเป็นแหล่งบ่มเพาะชีวิตน้อย ๆ ของเด็กที่มีความสำคัญมาก มีโรงเรียนอนุบาลหลายต่อหลายแห่งที่เปิดรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 3 ขวบครึ่งเป็นต้นไป แต่คุณพ่อคุณแม่จะทราบได้อย่างไรว่าโรงเรียนไหนถึงจะเหมาะสมกับลูกของเรามากที่สุด
รวบรวมข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมด
ก่อนอื่นให้คุณพ่อคุณแม่รวบรวมรายชื่อโรงเรียนทั้งหมดที่มีอยู่จากนั้นก็คัดเลือกให้เหลือเฉพาะโรงเรียนที่คุณพ่อคุณแม่สนใจจริง ๆ ทั้งนี้อาจจะต้องอาศัยปัจจัยต่าง ๆ มาเป็นเหตุผลประกอบการตัดสินใจ อาทิ สถานภาพทางเศรษฐกิจของครอบครัว ระยะทางจากบ้านไปโรงเรียน เป้าหมายทางการศึกษาของลูกที่คุณพ่อคุณแม่วางแผนไว้ แนวทางการเรียนการสอนของโรงเรียน จากนั้นก็ให้คุณพ่อคุณแม่โทรศัพท์เข้าไปสอบถามรายละเอียดจากโรงเรียนที่เราหมายตาไว้ ซึ่งอาจจะโทรนัดกับคุณครูใหญ่ขออนุญาตเข้าไปเยี่ยมชมโรงเรียนด้วยเลยก็ได้ เมื่อคุณพ่อคุณแม่ไปเยี่ยมชมโรงเรียนดังกล่าวแล้ว ส่วนใหญ่แล้วคุณครูที่โรงเรียนจะให้ความร่วมมือในการตอบคำถามของคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างดี รวมทั้งคุณครูก็จะพาคุณพ่อคุณแม่เยี่ยมชมห้องเรียนและสถานที่ต่าง ๆ ภายในโรงเรียนอีกด้วย ในช่วงท้ายคุณครูก็จะให้ระเบียบการและเอกสารของโรงเรียนเพื่อคุณพ่อคุณแม่จะได้ไว้ใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใน
พาเจ้าตัวน้อยไปกับคุณด้วย
ในการไปเยี่ยมชมโรงเรียนนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องพาลูกน้อยไปดูโรงเรียนด้วยเพราะในที่สุดแล้วคนที่จะต้องไปเรียนที่โรงเรียนนั้นไม่ใช่ใครอื่น นอกจากลูกรักของเราเอง ดังนั้น ถ้าคุณให้ลูกได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจอนาคตขั้นปฐมวัยของเขาตั้งแต่แรกเริ่มก็จะช่วยทำให้คุณมั่นใจในข้อมูลที่กำลังจะตัดสินใจมากขึ้นด้วย เมื่อลูกได้ไปที่โรงเรียนแล้วคุณพ่อคุณแม่ลองปล่อยให้ลูกได้เข้าไปเป็นหนึ่งในนักเรียนที่กำลังทำกิจกรรมของโรงเรียนอยู่แล้วสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ ว่า ลูกมีความสุขหรือไม่? เขาสามารถเข้ากับเพื่อน ๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกันได้หรือเปล่า? ลูกมีท่าทีว่าจะชอบเรียนวิชาต่าง ๆ หรือทำกิจการรมร่วมกับคุณครูและเด็กนักเรียนคนอื่น ๆ ไหม? ในระหว่างนั้น คุณอาจจะคุยกับคุณครูอยู่ห่าง ๆ เพื่อให้ลูกรู้สึกว่า คุณยังอยู่กับเขา แล้วก็ลองประเมินพฤติกรรมของลูกเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว
ต้องดูอะไร? เมื่อไปเยี่ยมชมโรงเรียน
1. บรรยากาศในชั้นเรียนเป็นอย่างไร
ขณะที่เด็กนักเรียนกำลังเรียนอยู่ เขาดูสดชื่นแจ่มใสมีความกระตือรือร้นที่จะทำกิจกรรมหรือว่าตรงกัน ข้าม บรรยากาศในชั้นเรียบเงียบกริบ ไร้เสียงพูดคุยของเด็ก ๆ เพราะความหวาดกลัวคุณครู
2. ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับครูที่นั่นเป็นอย่างไร
ดูราบรื่น มีเสียงหัวเราะระหว่างคุณครูและนักเรียนอยู่ตลอดเวลาที่พบเห็น หรือเด็ก ๆ จะคอยหลบหลีก ไม่อยากเจอหน้าคุณครู
3. อุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอนครบถ้วนไหม
เช่น หนังสือ คอมพิวเตอร์ ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ห้องสมุด สื่อการเรียนการสอน
4. งานแสดงบนบอร์ด
บอร์ดระหว่างทางเดินของโรงเรียนจะเป็นเหมือนเวทีที่เปิดโอกาสให้เด็ได้แสดงออกถึงผลงานต่าง ๆ คุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตดูว่า บอร์ดเหล่านั้นมีผลงานของเด็กบ้างหรือไม่ และถ้ามีคุณภาพการเรียนรู้ของเด็กที่แสดงผลงานอยู่บนบอร์ดเป็นอย่างไร
5. สนามเด็กเล่นก็สำคัญ
สนามเด็กเล่นกลางแจ้ง จะเป็นสถานที่ที่เด็กจะได้ออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เกิดความแข็งแรงคุณพ่อคุณแม่อาจจะลองสำรวจดูว่า เครื่องเล่นที่สนามเด็กเล่นนั้นมีความแข็งแรงและปลอดภัยมาน้อยแค่ไหน ความสะอาดของเครื่องเล่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะละเลยไม่ได้เช่นกัน นอกจากนี้สนามเด็กเล่นนั้นอยู่ในที่ลับหรือที่แจ้ง มีคุณครูคอยดูแลเด็ก ๆ อย่างใกล้ชิดหรือไม่ และมีเครื่องมือหรืออุปกรณ์รักษาพยาบาลอยู่ในบริเวณใกล้เคียงไหม เพราะเด็ก ๆ อาจประสบอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ขณะที่เล่นได้
6. คุณประทับใจคุณครูใหญ่ที่นั่นหรือเปล่า
เพราะคุณครูใหญ่คือคนที่กุมนโยบายของโรงเรียน นั่นหมายความว่า นโยบายต่าง ๆ ของโรงเรียนที่จะ พัฒนาโรงเรียนให้มีคุณภาพหรือไม่นั้น คุณครูใหญ่มีส่วนถึง 80% ของปัจจัยทั้งหมดเลยทีเดียว คุณพ่อคุณแม่อาจจะสังเกตจากพฤติกรรมที่คุณครูใหญ่แสดงออกมาระหว่างที่คุณพ่อคุณแม่ไปเยี่ยมชมโรงเรียนว่า คุณครูใหญ่มีความกระตือรือร้นกับคุณมากน้อยแค่ไหน และสนใจรับฟังคำถามในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะให้ข้อมูลในเรื่องราวต่าง ๆ ของโรงเรียนกับคุณไหม นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจจะลอดสอบถามความคิดเห็นของผู้ปกครองคนอื่น ๆ อีกสัก 5-6 คน คุณก็พอจะมองเห็นทิศทางการบริหารงานของคุณครูใหญ่ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณพ่อคุณแม่ผ่านกระบวนการตั้งสมมติฐาน สังเกต ทดลอง ติดตามผล และประเมินผลก็มาถึงขั้นตอนของการตัดสินใจเลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรักแล้ว แต่ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจสิ่งใดลงไปควรคำนึงถึงความสุขของลูกเป็นที่ตั้ง รวมทั้งความเหมาะสมของเหตุและปัจจัยต่าง ๆ ของครอบครัวด้วย เพราะไม่มีความจำเป็นเลยที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่น เพื่อมาจ่ายค่าเทอมให้กับลูกเทอมละหลายหมื่นบาทไม่ว่าโรงเรียนนั้นจะสอนเด็กในแนวทฤษฎีการเรียนรู้ของต่างประเทศแบบใดก็ตาม เพราะลูกน้อยของเราคงไม่มีความสุขแน่ ถ้าเขารู้ว่าการเข้าเรียนโรงเรียนเช่นนั้นของเขาจะต้องทำให้คุณพ่อคุณแม่ของเขาเครียดมากขึ้น และเป็นทุกข์กับเรื่องการทำงานหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนของเขามากขึ้น จริง ๆ แล้วถ้าลูกเลือกได้ เขาคงจะต้องการเพียงความรัก ความอบอุ่น และเวลาที่คุณพ่อคุณแม่จะมีไว้พูดคุยกับเขาตามประสาครอบครัวสุขสันต์มากกว่า
คำถามน่ารู้
1. ห้องเรียนหนึ่งมีนักเรียนกี่คน?
2. ชั้นเรียนของเด็กแบ่งตามอะไร ตามวัยหรือตามชั้นปกติ?
3. มีเด็กพิเศษประเภทที่เรียนรู้ช้าหรือเร็วเกินไปเรียนร่วมอยู่ในชั้นเรียนของเด็กปกติหรือไม่?
4. คุณครูจะสอนเด็กให้เรียนเขียนอ่านด้วยวิธีไหน?
5. วิธีประเมินผลและวัดความก้าวหน้าของเด็กใช้วิธีใด?
6. มีกิจกรรมหรือชมรมอะไรที่เด็กสามารถเข้าร่วมได้บ้าง?
7. นโยบายและกฎเกณฑ์ของโรงเรียนเป็นอย่างไร? มีกิจกรรมไหนบ้างที่คุณพ่อคุณแม่ของแต่ละครอบครัวสามารถเข้าร่วมได้




Create Date : 27 มิถุนายน 2554
Last Update : 27 มิถุนายน 2554 13:19:20 น.
Counter : 561 Pageviews.

0 comment
เทคนิคการ เตรียมลูกให้ "พร้อม" ก่อนเข้าอนุบาล

จาก นิตยสารรักลูก
ลูกจะเข้าอนุบาลแล้ว เรื่องสำคัญไม่ใช่แค่การ เลือกโรงเรียนเท่านั้น นะจ๊ะ แต่ต้องเตรียม เจ้าตัว เล็ก ของเราให้ "พร้อมที่สุด" เท่าที่จะทำได้ด้วย เพื่อให้ชีวิตใหม่ในโรงเรียน ของลูก เริ่มต้น ขึ้นอย่าง ราบรื่นและงดงามดังหวัง

เดาได้เลยล่ะค่ะว่าตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในวัย 3 ปีกำลังวิ่งหาโรงเรียน อนุบาลให้เจ้าตัวเล็กกันขาขวิดเลยใช่ไหมล่ะโรงเรียนไหนที่ว่าดี คุณพ่อคุณแม่ ก็ลองศึกษาหา ข้อมูล ไปดูตัว(โรงเรียน)กันให้วุ่น เพราะอยากให้เจ้าตัวน้อยเราได้เรียนในโรงเรียนดีๆ ที่ถูกใจ ใกล้บ้านโอย..สารพัดปัจจัยที่ต้องดูเลยค่ะ
แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันกับการหาโรงเรียนให้เจ้าตัวเล็กก็คือการเตรียมความพร้อมให้กับลูกนั่นเองเพราะตั้งแต่เปิดเรียนลูกก็จะไมได้อยู่ในอ้อมอกของเราทั้งวัน ไม่มีคนช่วยทำโน่นทำนี่ให้ทุก อย่าง อีกต่อไป แต่จะต้องเข้าสู่สังคมโรงเรียนที่ลูกไม่คุ้นเคยดังนั้นลูกจึงต้องหัดทำอะไรต่อ มิอะไรเองให้ ได้บ้างต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ลูกจะได้อยู่ ในโรงเรียนได้อย่างดีมีสุขไงคะ
จริงๆ แล้วการเตรียมความพร้อมเรื่องต่างๆให้ลูกไม่ใช่ว่าเราจะมาเตรียม กันตอนก่อน เข้า โรงเรียน เท่านั้นเพราะพัฒนาการของลูกไม่ใช่สิ่งที่จะมาเนรมิตได้ภายในข้ามคืน เราต้องเตรียมมาตั้งแต่ ขวบปีแรก เรียกว่าในช่วง 3 ขวบปีแรกก่อนที่จะเข้าเรียนเราต้องเตรียม ความพร้อม ให้ลูกอยู่ ตลอด นั่นเองโดยเฉพาะในเรื่องต่อไปนี้

เตรียมร่างกาย
ร่างกายเป็นเรื่องพื้นฐานมากๆค่ะต้องให้ลูกได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ได้พัฒนาด้าน ร่างกาย กล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ ให้ลูกได้ออกกำลังกาย ทำให้มีการทรงตัวที่ดี ให้ได้นอนหลับ พักผ่อนที่เพียงพอ เพื่อสุขภาพที่ดีของลูก

ฝึกให้ลูกช่วยเหลือตัวเองได้
เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดค่ะ เพราะเมื่อลูกเข้าไปอยู่ในอีกสังคมหนึ่งซึ่งไม่มีคนมาดูแล ใกล้ชิด เหมือนอยู่ ที่บ้านดังนั้นลูกเราต้องช่วยเหลือตนเองได้ดีพอสมควรค่ะ เด็กที่ช่วยเหลือ ตัวเอง ได้ดีกว่าก็จะปรับตัว ให้เข้ากับโรงเรียนได้ดีกว่า เช่น การรับประทานข้าวได้ด้วยตนเอง การบอกว่าปวดปัสสาวะ หรืออุจ จาระกับคุณครูได้
การฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเองได้นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะฝึกันวันสองวันแล้วก็ได้ผลนะคะแต่ต้อง ฝึก ตามวัย ตามพัฒนาการของลูก เช่น เมื่ออายุ 1-2 ขวบ ลูกจะเริ่มสนใจตักอาหารเข้า ปากเองได้ คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องปล่อยให้ลูกลองทำเอง จะหกบ้าง เลอะเทอะบ้างก็ปล่อยไป ไม่เป็นไร ลูกจะได้ฝึก หรือฝึกให้ลูกรู้จักพูดบอกเมื่อปวดปัสสาวะฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา ฝึกให้ลูกรู้จักนั่งชักโครกให้ลูกได้ช่วยเหลือตัวเองในเรื่องง่ายๆ เช่น เรื่องการแต่งตัว ใส่เสื้อ ติดกระดุมใส่รองเท้า ถอดรอง เท้า เป็นต้น
ในเรื่องการช่วยเหลือตัวเองนี้บางทีก็เพราะด้วยความรักของพ่อแม่เราจึงมักทำแทน หรือให้ พี่เลี้ยง ทำแทนให้ลูกหรือด้วยความเร่งรีบพ่อแม่ก็จะทำให้ลูกเอง เพราะอยาก ให้เสร็จเร็วๆ สะอาดๆการทำให้ลูกอย่างนี้เท่ากับ เป็นการปิดโอกาสที่ลูกจะได้พัฒนา ฉะนั้นเพื่อให้ลูกได้พัฒนาตัวเองเราควรเปิดโอกาสให้ลูกได้ทำอะไรเองตามวัยในสิ่งที่เขาทำได้นะคะ

ฝึกเรื่องการอดทนรอคอย
เวลาที่ลูกอยู่โรงเรียน ลูกจะไม่ได้รับการตอบสนองความต้องการทันทีทันใด เหมือนกับตอน ที่อยู่บ้าน กับเราค่ะหนูน้อยจะต้องรอให้ถึงคิวตัวเองก่อน เช่น อยากจะเล่นอะไรก็อาจ จะเล่นไม่ได้ทันทีเพราะ มีเด็กหลายคนที่รอเล่นอยู่ หนูก็ต้องหัดอดทนรอคอย หรือเมื่อไปโรงเรียน ลูกก็ต้องรู้จักรอพ่อแม่ ไปรับกลับบ้าน เป็นต้น
ในการฝึกให้ลูกนี้เราต้องค่อยๆ ฝึกทีละน้อยค่ะให้ลูกรอในสิ่งที่เขารอแล้วได้ ไม่ใช่รอแล้ว ไม่ได้ลูก ก็จะรู้สึกผิดหวัง เช่นลูกจะเล่นอะไรบางอย่างที่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา คุณพ่อคุณแม่ก็อาจ จะให้เขารอสักครู่หนึ่ง และระหว่างนั้นพ่อแม่ก็อาจจะให้ความสนใจในตัวเขา ชวนเขาคุยก็จะช่วยทำให้เขา รอคอยได้มากขึ้นค่ะ
และเวลาที่ลูกอยากได้อะไรก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตามใจลูกทุกครั้งไปหรอกค่ะ เราอาจจะ ใช้วิธีเบี่ยงเบนให้ลูกหันไปสนใจสิ่งอื่นทดแทน เป็นการสอนให้ลูกรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีขอบเขตไม่จำเป็นว่า พ่อแม่ต้องตามใจหนูทุกครั้งเพราะกลัวว่าหนูจะเสียใจเพราะถ้ากลัวลูกเสียใจ แล้วจะยิ่งทำให้ลูก ปรับตัวกับสิ่งอื่นๆ หรือคนอื่นๆต่อไปได้ยากค่ะ

ส่งเสริมทักษะการเข้าสังคม
เด็กในวัยอนุบาลจะต้องรู้จักแบ่งปันแบ่งของเล่นและรู้จักเล่นกับคนอื่นเป็นบ้าง และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้ลูกรู้จักเข้าสังคมได้ก็ต้องเริ่มจากตัวเราค่ะเพราะว่าสังคมเบื้องต้น ของลูกก็คือ พ่อแม่ นั่นเอง เราต้องเล่นกับลูกก่อนสอนให้ลูกเล่นกับเราและเล่นกับคนอื่นๆ เป็น เมื่อลูกรู้จัก สามารถ เล่นกับคนอื่นได้ก็เท่ากับเป็นการเรียนรู้การเข้าสังคมในระดับเบื้องต้นแล้วค่ะ
อีกจุดหนึ่งที่สำคัญคือเด็กในวัยนี้จะเป็นวัยที่ถือตัวเองเป็นใหญ่มีความเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว เพราะ ฉะนั้นผู้ใหญ่อย่างเราก็ต้องไม่ไปบังคับลูกจนเกินไป แต่เน้นการเปิดโอกาส ให้ลูกทำมากกว่าและเมื่อลูก ทำได้ เช่น ลูกยอมแบ่งของเล่นให้เพื่อน เราก็ต้องไม่ลืมชื่นชมแต่ถ้าลูกยัง ไม่อยาก ทำละก็ อย่าใช้วิธีบังคับนะคะ เพราะการบังคับจะยิ่งทำให้ลูกหวงของมากขึ้นค่ะ
ยัง..ยังไม่หมดเท่านี้ ไปพบกับคำแนะนำและรายละเอียดเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ได้ภาย ในเล่มรักลูก เดือนมกราคม 2546 ค่ะ...
ส่งเสริมให้ลูกรู้จักใช้ภาษาสื่อสาร
ให้ลูกมีโอกาสในการเล่น
สร้างทัศนคติที่ดีต่อโรงเรียน
ปกป้องลูกจากสิ่งกระตุ้นทางลบ
ให้ความมั่นใจว่าจะไม่ทิ้งลูก
ให้ความร่วมมือกับครู





Create Date : 27 มิถุนายน 2554
Last Update : 27 มิถุนายน 2554 13:18:47 น.
Counter : 478 Pageviews.

0 comment
แฮปปี้คิดส์โรงเรียนแห่งสติปัญญา

บทความจากเนชั่นสุดสัปดาห์

บ่ายวันอาทิตย์ ที่อาคารแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท เด็กชายนั่งขัดสมาธิ ส่วนเด็กหญิงนั่งพับเพียบกับพื้น โดยมีเบาะเล็กๆ ให้รองนั่งเรียงเป็นแถว ส่วนคุณพ่อคุณแม่นั่งอยู่ด้านหลังห้อง การปฏิบัติธรรมวันนั้น เริ่มจากพระอาจารย์เล่านิทานอิงธรรมะให้เด็กๆ ฟัง

"ต่อมาจะเล่าเรื่องการปรับตัวเป็นคนดีของคนได้ธรรมะ ตอนแรกก็เป็นคนโหดร้ายมาก คนนี้มีนามว่าพระเจ้าอโศกมหาราช เดิมทีพระราชบิดาชื่อพระเจ้าพินทุสาร ซึ่งมีมเหสีและโอรสหลายองค์ รวมพระประยูรญาติที่สามารถขึ้นครองราชย์ได้ประมาณ 101 พระองค์ พระเจ้าพินทุสารส่งพระเจ้าอโศกไปครองเมืองที่แคว้นชายแดน อยู่ต่อมาพระเจ้าพินทุสารสวรรคตลง ยังไม่ได้รับสั่งให้ใครครองราชย์ พระเจ้าอโศกได้ยินข่าวก็ยกทัพกลับเมืองหลวง กรีธาทัพเข้าไปฆ่าคนเยอะแยะ และตัวเองขึ้นครองราชย์...
"มีอยู่ครั้งหนึ่งยกทัพไปรบแคว้นกลิงคะ การรบพุ่งถึงเลือดถึงเนื้อมาก คนตายมาก ทำให้พระเจ้าอโศกนึกสังเวชในใจว่าสงครามนี้ทำให้คนเสียชีวิตมากมายเหลือเกิน จากนั้นเป็นต้นมา พระองค์ได้กลับมาพระราชวัง และคิดว่าเราได้ฆ่าคนตายเยอะเหลือเกิน มีความสลดใจ ระหว่างเศร้าใจคิดมากอยู่นั้น ได้เห็นสามเณรบิณฑบาตผ่านพระราชวังด้วยอาการสำรวม พระเจ้าอโศกทอดพระเนตรเห็นก็ให้คนนิมนต์มา...พอสามเณรแสดงธรรมเสร็จ พระเจ้าอโศกก้มลงกราบเณรตัวเล็กๆ อายุ 7 ขวบ แล้วก็สมาทานรักษาศีล นับแต่นั้นเป็นต้นมา เปลี่ยนจากอโศกผู้โหดร้าย สู่การเป็นธรรมาโศการาช..."
แทบไม่น่าเชื่อว่าเด็กๆ ต่างนั่งฟังกันนิ่ง ครั้นเมื่อพระอาจารย์เล่าเรื่องจบ ก็จะมีวิทยากรท่านอื่นมานำให้ภาวนาด้วยการกราบพร้อมกันอย่างช้าๆ
"ยกหนอ พนมหนอ ก้มหนอ..." เด็กทุกคนต่างก้มลงกราบอย่างเรียบร้อยและสวยงาม
สัปดาห์นี้กระวานจะชวนคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับ 'โรงเรียนแห่งสติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์แฮปปี้คิดส์' ที่ฐิตินาถ ณ พัทลุง, ชยาทร เตชะไพบูลย์ และเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม ร่วมกันก่อตั้งขึ้นมาได้เกือบปี
โรงเรียนแห่งนี้ไม่ได้สอนวิชาพื้นฐานทางการศึกษา หากแต่มุ่งเน้นการฝึกสติ สมาธิ ปัญญา และความสุขสำหรับเด็ก โดยผ่านการทำกิจกรรม หรือการเรียนในคอร์สต่างๆ เช่น ศิลปะสำหรับเด็ก เป็นการสอนพื้นฐานทางศิลปะ ความสามารถในการสื่อสาร และแสดงออกทางความคิดและอารมณ์
ศิลปะเพื่อการพัฒนาทักษะและความคิดสร้างสรรค์ สำหรับเด็กเล็ก 2-4 ปี, งานปั้นเพื่อการฝึกสติสมาธิ และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์กับทักษะต่างๆ, แคมป์เต็มวันเพื่อการเสริมสร้างสติสมาธิ ผ่านกิจกรรมและการเล่น เช่น งานศิลปะ ฝึกสมาธิ ออกกำลังกายและเกม, เทควันโด, วาดรูปสีน้ำ เป็นต้น ค่าใช้จ่ายต่อคอร์สประมาณ 1,200-3,200 บาท
โดยคอร์สต่างๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกการสร้างสมาธิ ให้เด็กได้มีการแสดงออกทางความคิด ความรู้สึก และจินตนาการ ให้เด็กค้นพบและสร้างศักยภาพของตัวเอง กิจกรรมและเทคนิคเหล่านี้จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะ การปลูกฝังคุณธรรมและลักษณะนิสัยจากภายในด้วยตนเอง
"เราทำให้เหมือนโรงเรียน ส่วนหนึ่งสอนวิชาสร้างเสริมสติให้เด็ก โดยไม่ต้องเดินจงกรม นั่งสมาธิ อย่างงานปั้น ให้เด็กปั้นโดยใช้กล้ามเนื้อเล็ก ใช้จินตนาการ ระบายความเครียดออกมากับดิน และฝึกสติไปในนั้น เราพบว่าไม่ใช่เด็กทั้งร้อยคนที่จะพร้อมมานั่งสมาธิ-เดินจงกรม เราต้องให้เขาค่อยๆ เข้ามา"
"คุณแม่ไปนวดหน้าครั้งละพันบาท แต่หนึ่งพันบาทซื้อวิชาความรู้ให้ลูกได้ทั้งเดือน อย่างอ้อยเป็นเด็กเรียนเก่งมาแต่เด็ก จะรู้เลยว่าความรู้ที่แย่งกันไปเรียน แข่งกันตั้งแต่เล็กจนโต มันช่วยให้เราทำมาหากินได้นิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่สิ่งสำคัญที่จะช่วยเราได้จริงๆ คือความรู้เท่าทันตัวเอง สมัยนี้นักการศึกษามาเน้นว่าคนเราต้องมีความฉลาดในอารมณ์ มีคุณธรรม.. แล้วจะพูดเฉยๆ ไม่ได้หรอก มันต้องฝึก...
"ลองคิดดูว่าเรารักอะไรมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นงาน พ่อแม่ คนรัก เงินทอง ชื่อเสียงตำแหน่ง ซึ่งมั่นใจได้เลยว่าไม่มีทางจะอยู่กับเราตลอดไป ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตื่นนอนขึ้นมาตอนไหนแล้วจะเปลี่ยนไปหมด สิ่งเดียวที่ให้ได้คือฝึกตัวเองให้มีความมั่นคง รับแรงกระทบกระทั่ง รับความเปลี่ยนแปลงได้ เพราะชีวิตเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา" ฐิตินาถ ณ พัทลุง กล่าว
นอกจากนี้โรงเรียนยังสนับสนุนการปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐาน โดยบุคคลทั่วไปสามารถพาครอบครัวมาร่วมกิจกรรมได้ ในส่วนที่เรียกว่า 'ธรรมะวันอาทิตย์' ซึ่งจัดขึ้นทุกวันอาทิตย์ช่วงบ่าย (ไม่เสียค่าใช้จ่าย) มีการฟังเทศน์จากพระ สวดมนต์ ฝึกสติ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ฟังบรรยาย
ก่อนจากกันคุณอ้อยพูดทิ้งท้ายไว้ชวนคิดว่า ถ้าเรารู้ว่าเป้าหมายของชีวิตคืออะไร ก็สามารถกำหนดรายละเอียดได้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร เช่น คิดว่าเป้าหมายของชีวิตคือมีโอกาสพัฒนาใจตัวเราเอง ให้คนอื่นมีโอกาสได้สิ่งดีๆ แบบเรา ชีวิตมันก็มีคุณค่า ศรัทธา มั่นคง เวลาเกิดปัญหาอะไรมากระทบ เราก็คอยตามดูว่ามันเป็นเครื่องทดสอบชีวิต ซึ่งทุกคนต้องเจอ ทำอย่างไรเมื่อเจอแล้วผ่านไปได้อย่างดี หรือผ่านไปได้แบบล้มลุกคลุกคลาน ทั้งหมดอยู่ที่เรา
แล้วคุณล่ะ ผ่านเครื่องทดสอบชีวิตแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?




Create Date : 27 มิถุนายน 2554
Last Update : 27 มิถุนายน 2554 13:18:07 น.
Counter : 831 Pageviews.

0 comment
เคล็ดลับเลี้ยงลูก ให้เรียนเก่ง

"แนวทางการเลี้ยงดูของพ่อแม่" นับเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกที่มีอิทธิพลกำหนดให้พวกเขา สามารถเรียนได้ดีกว่าเด็ก คนอื่นๆ ซึ่งผมเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ยิ่งหากสรุปเป็น "เคล็ดลับเลี้ยงลูกให้เรียนเก่ง" เพื่อให้พ่อแม่ทุกคนได้มีโอกาสเรียนรู้ และนำไปประยุกต์ใช้ในการดูแลลูกให้เรียนเก่งอย่างถูกวิธี
เคล็ดลับการเลี้ยงลูกให้เรียนเก่งเหล่านี้ ได้แก่
- สนับสนุนให้เด็กค้นหาสิ่งที่ตนเองชอบ
เด็กๆ ที่เรียนได้ดีนั้นส่วนใหญ่ไม่ได้ เป็นเด็กที่มีสติปัญญาแตกต่างจากเด็กทั่วๆ ไปเท่าใดนัก แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างและทำให้เขาเรียนดีกว่าเด็กอื่นๆ ก็คือ การที่เขาได้ทำในสิ่งที่ชอบ ทำในสิ่งที่เขารัก ไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกบังคับ
เด็กที่ผมสัมภาษณ์นั้นมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ พวกเขาเรียนเก่งเพราะพ่อแม่เปิดโอกาสให้เขาได้เลือก และทำในสิ่งที่เขาชอบ เมื่อเด็กชอบที่จะเรียนเขาก็จะรู้สึกสนุกกับการเรียน มีความตั้งใจในการเรียนรู้ทำความเข้าใจ ช่างซักถาม ขยันที่จะทบทว นและค้นคว้าหาอ่านเพิ่มเติมด้วยตนเอง ความรักในสิ่งที่เรียนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้พวกเขาเรียนอย่าง "ดีเลิศ" คะแนนที่ยอดเยี่ยมเป็นผลที่ตามมาจากความสนุกในการเรียนรู้ที่ได้รับ
ดังนั้น พ่อแม่จึงควรเป็นผู้สนับสนุนให้ลูกค้นหาสิ่งที่ตนเองชอบ ไม่ควรบังคับความคิดลูกว่า "ต้อง" ทำสิ่งนั้น "ห้าม" ทำสิ่งนั้น ไม่ควรปิดกั้นความคิดและโอกาสในการเลือกของลูกๆ เพราะจะทำให้เด็กเบื่อหน่ายในการเรียน เห็นการเรียนเป็นเหมือนยาขมที่พ่อแม่บังคับให้ต้องกล้ำกลืนฝืนกิน และไม่สามารถจะดื่มน้ำหวานที่ตนเองโปรดปรานได้เพราะถูกห้ามไว้
- สภาพครอบครัวอบอุ่นและมีความรัก
บรรยากาศในครอบครัวมีส่วนสำคัญอย่างมากในการกำหนดสภาวะจิตใจ อารมณ์และสมาธิในการเรียนรู้ของเด็ก เด็กที่เรียนได้ดีส่วนมากจะอยู่ในครอบครัวที่ได้รับความรักจากพ่อแม่และพี่น้อง พ่อแม่มีความรักให้แก่กันและกัน และมีความรักให้กับลูก
ลูกๆ รักกัน ภายในบ้านมีความอบอุ่น ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง มีบรรยากาศของการพูดคุย และทำกิจกรรมร่วมกัน
ครอบครัวที่อบอุ่นจะทำให้เด็กมีความมั่นคงทางจิตใจ จะทำให้เป็นเด็กที่มีความร่าเริงแจ่มใส มีความสุขและเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก ซึ่งเป็นสภาวะที่เอื้อให้เด็กมีสมองปลอดโปร่ง และแจ่มใสที่จะเปิดรับความรู้ใหม่ๆ ที่เข้ามาได้เป็นอย่างดี
- สร้างบรรยากาศภายในบ้านเอื้อต่อการเรียนรู้ สภาพแวดล้อมภายในบ้านเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของลูก คุณแม่ของนักศึกษาที่ผมสัมภาษณ์คนหนึ่ง เปิดวิดีโอเสียงภาษาอังกฤษให้ลูกฟังตั้งแต่เด็ก เพื่อให้ลูกเรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างธรรมชาติ ปรากฏว่านักศึกษาคนนี้เมื่อเติบโตขึ้นเป็นเด็กไทยที่มีทักษะภาษาอังกฤดีมาก ทั้งการสนทนา อ่าน และเขียนโดยที่ไม่เคยไปเรียนที่ต่างประเทศเลย เพราะเขาได้ซึมซับสิ่งที่ดีเหล่านี้ที่ครอบครัว
พ่อแม่จึงควรจัดสภาพแวดล้อมภายในบ้าน ให้เป็นบรรยากาศที่เด็กจะได้รับการพัฒนาทางความคิด ความรู้ และทักษะต่างๆ อาทิ บ้านที่เงียบสงบ ไม่มีเสียงดังตลอดเวลา ลูกมีห้องส่วนตัวเพื่อการอ่านหนังสือ และทำกิจวัตรส่วนตัว ที่บ้านมีห้องสมุดและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้ลูกได้ค้นคว้าเรียนรู้ สมาชิกในครอบครัวเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านการเรียนรู้ เช่น อ่านหนังสือมากกว่าใช้เวลาส่วนใหญ่ดูทีวี หรือทำแต่สิ่งที่ให้ความบันเทิง เป็นต้น
- ให้คุณค่าที่ความตั้งใจ มากกว่าให้คุณค่าที่คะแนน
พ่อแม่ส่วนใหญ่มักคาดหวังให้ลูกเรียนเก่งโดยดูจาก "คะแนน" หรือ "เกรด" หรือ "อันดับที่" เป็นหลัก โดยสร้างแรงจูงใจว่าจะให้รางวัลบางอย่างเมื่อทำสำเร็จ การสร้างแรงจูงใจเช่นนี้อาจมีส่วนทำให้ลูกขยันมากขึ้น แต่ในทางตรงข้ามอาจส่งผลเสียที่พ่อแม่คาดไม่ถึง เพราะไม่ใช่เด็กๆ ทุกคนจะมีระดับสติปัญญา หรือความสามารถเท่ากัน เด็กคนหนึ่งอาจจะเรียนรู้เร็ว ขณะที่เด็กอีกคนหนึ่งอาจจะเรียนรู้ได้ช้า หรือในแต่ละเรื่องเด็กอาจมีความถนัดแตกต่างกัน เด็กบางคนอาจจะตั้งใจเต็มที่แล้วแต่ได้คะแนนไม่ดี
หากพ่อแม่คาดหวังจากเขามาก เขาก็จะเสียใจที่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง และเห็นว่าตนเองเป็นคนไม่ฉลาด
การคาดหวังให้ลูกเรียนเก่งด้วยดูเพียง "ผลลัพธ์" เช่นนี้จะทำให้เด็กเครียด ไม่สนุกกับการเรียน และจะท้อแท้หมดกำลังใจเมื่อไม่สามารถทำได้ ซึ่งอาจจะกลายเป็นปมด้อยเมื่อเติบโตขึ้นได้
ในทางตรงกันข้ามหากพ่อแม่ให้คุณค่าและรางวัลที่ "ความตั้งใจ" ของลูกโดยสนับสนุนลูกให้ตั้งใจเรียนหนังสือ และให้กำลังใจเขาทำดีที่สุด เมื่อลูกพยายามดีที่สุดแล้ว แม้คะแนนจะออกมาเช่นไร พ่อแม่ก็ยังชื่นชมและให้กำลังใจเขาได้เสมอ ซึ่งนักศึกษาคนหนึ่งที่ผมสัมภาษณ์นั้นได้กล่าวว่า พ่อแม่ของเขาไม่ได้เน้นความสำคัญต่อผลการเรียนของเขา หรือจากเกรดที่เขาได้รับ แต่สอนว่าไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใดก็ตามต้องทำด้วยความตั้งใจ อย่างเต็มกำลังความสามารถ ส่งผลให้เขาเรียนรู้ที่จะทำสิ่งต่างๆ อย่างตั้งใจ และจะไม่รู้สึกผิดหวังเมื่อได้คะแนนน้อย แต่จะมีความมุมานะและเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
ความตั้งใจจะช่วยพัฒนาลักษณะนิสัยของลูกให้เป็นคนที่มีความเอาจริงเอาจัง ไม่จับจด แต่มีความพากเพียรมุมานะ ซึ่งเป็นลักษณะชีวิตที่จะช่วยผลักดันให้ลูกประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ ของชีวิตเมื่อเติบโตขึ้น
- ฝึกความรับผิดชอบตนเอง
การเลี้ยงลูกแบบ "ไข่ในหิน" หรือทำสิ่งต่างๆ ให้ลูกทุกอย่าง โดยคิดว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ลูกมีเวลาอ่านหนังสือได้มาก อาจเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนักของพ่อแม่ เพราะจะไม่ช่วยให้ลูกเรียนรู้ที่จะจัดการบริหารชีวิตตนเองว่า เวลาใดควรทำอะไร ทำอย่างไร ถ้าไม่ทำจะเกิดผลเสียอย่างไรอันจะส่งผลกระทบต่อการบริหารตนเอง ในการเรียน การทบทวน การอ่านหนังสือ การเที่ยวเล่น เด็กจะไม่สามารถรับผิดชอบเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเองได้ดีนัก ทำให้การเรียนในระดับที่สูงขึ้นประสบความล้มเหลวได้ และจะส่งผลเสียสืบเนื่องไปถึงชีวิตการทำงานในอนาคตด้วย
ในทางตรงกันข้าม เด็กที่มีความรับผิดชอบจะมีแนวโน้มประสบความสำเร็จมากกว่า เพราะเมื่อเด็กพบสิ่งที่ยากเขาก็จะไม่ทิ้งกลางคัน หรือล้มเลิกความตั้งใจเมื่อประสบความล้มเหลว แต่เขาจะอดทนและรับผิดชอบจนสำเร็จ เด็กที่เป็นเช่นนี้ได้จะต้องได้รับการฝึกตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้นพ่อแม่ควรปล่อยให้ลูกทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น ให้จัดตารางเวลากิจวัตรประจำวันของตนเอง ทั้งเวลาเรียน เวลาเล่น เวลาทำกิจกรรมและเวลาพักผ่อน ให้ลูกมีหน้าที่รับผิดชอบบางอย่างภายในบ้าน โดยพ่อแม่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ผู้คอยให้คำแนะนำ ผู้ให้กำลังใจและดูแลควบคุม เพื่อให้ลูกสามารถรับผิดชอบตนเองได้มากขึ้นเมื่อเขาเติบโตขึ้น
การฝึกความรับผิดชอบตนเองในเรื่องต่างๆ อย่างครบถ้วนจะช่วยให้เด็กจัดระเบียบ ด้านการเรียนด้วยตนเองได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์เมื่อเรียนในระดับที่สูงขึ้น
- ส่งเสริมให้เห็นคุณค่าของเวลา
ความแตกต่างประการสำคัญของเด็กที่เรียนได้ดับเด็กอื่นๆ นั่นคือ เด็กที่เรียนดีมักจะเป็นเด็กที่เห็นคุณค่าของการใช้เวลา ไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ พวกเขาสามารถบริหารเวลาในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี โดยรู้ว่าควรจะทำสิ่งใดก่อน-หลังตามลำดับ ความสำคัญพวกเขารู้ว่าหากเขาไม่บริหารเวล าก็จะไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่อย่างมากมายให้สำเร็จได้ เช่น หากปล่อยเวลาดูโทรทัศน์สามชั่วโมงเขาจะเสียเวลาเรียนรู้ และทบทวนเรื่องที่เขาสนใจจริงๆ ไปสามชั่วโมง ซึ่งอาจทำให้เขาเรียนไม่ทันในวันรุ่งขึ้นได้
พ่อแม่ที่ต้องการให้ลูกเรียนเก่งจึงควรสอนให้ลูกเห็นคุณค่าของเวลา และมีส่วนช่วยให้ลูกบริหารเวลา บริหารชีวิตของตนเอง โดยร่วมมือกับลูกในการกำหนดเป้าหมายและวางแผนการเรียนในระยะยาว การส่งเสริมให้ลูกจัดการตารางเวลาประจำวัน ประจำสัปดาห์ ประจำเดือน หรือมากกว่านั้น และสนับสนุนให้เขาสร้างแรงจูงใจให้กับตนเองว่า หากทำได้จะให้รางวัลอะไรกับตนเอง ถ้าทำไม่ได้จะต้องทำอย่างไรและมีการประเมินแผนที่วางไว้เสมอเพื่อให้สามารถปฏิบัติได้จริง
เมื่อลูกๆ ดำเนินชีวิตอย่างมีแผนและมีเป้าหมายชัดเจน เขาก็จะเป็นคนที่เห็นความสำคัญของเวลาซึ่งจะช่วยให้เขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าและมีประสิทธิภาพกว่าคนอื่นๆ ที่ดำเนินชีวิตอย่างไม่มีแผน ไม่มีเป้าหมาย และสิ่งนี้เองเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้พวกเขาเรียนได้อย่าง "ดีเลิศ" เหนือคนอื่นๆ ทั้งหลาย ทั้งที่มีสติปัญญาเทียบเท่ากัน
- ส่งเสริมให้ทำกิจกรรมต่างๆ
พ่อแม่ที่ปรารถนาให้ลูกเรียนเก่งต้องไม่ลืมว่าชีวิตมีองค์ประกอบด้านอื่นๆ ที่พ่อแม่ต้องเป็นผู้จัดสรรอย่างครบถ้วนด้วย เพื่อช่วยให้ชีวิตลูกได้รับการเติมเต็มอย่างครบถ้วน ทั้งในด้านของสุนทรียะด้านความสัมพันธ์กับเพื่อน ด้านความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย และด้านความเบิกบานของจิตใจ เป็นการพัฒนาให้ลูกเติบโตอย่างสมบูรณ์พร้อมในทุกๆ ด้าน
นอกจากนี้พ่อแม่ควรตระหนักว่าเด็กมีศักยภาพที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้อย่าง "ดีเลิศ" ไม่แพ้การเรียนหากพ่อแม่สนับสนุนให้เขาปลดปล่อยศักยภาพด้านนั้นออกมา ดังนั้นพ่อแม่จึงควรส่งเสริมสนับสนุนให้ลูกทำกิจกรรมอื่นๆ ด้วย เช่น ดนตรี กีฬา ภาษา คอมพิวเตอร์ กิจกรรมอาสาสมัครหรือกิจกรรมอื่นๆ เป็นต้น
เด็กที่เรียนเก่งนั้นจึงไม่ได้เป็น "หนอนหนังสือ" เพียงอย่างเดียวอย่างที่หลายคนคิดกัน แต่เขาเป็นเด็กที่ได้รับการเปิดโอกาสให้ทำสิ่งต่างๆ อย่างครบถ้วน การส่งเสริมให้ลูกทำกิจกรรมที่หลากหลาย นอกจากจะช่วยให้ลูกไม่เคร่งเครียดกับการเรียนจนเกินไปแล้ว ยังช่วยทำให้สมองปลอดโปร่งแจ่มใส อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ลูกจะเรียนเก่งหรือไม่นั้น มีส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับสิ่งต่างๆ ที่พ่อแม่หยิบยื่นให้กับเขา หากเขาได้รับความรัก ได้รับโอกาสที่จะทำในสิ่งที่ตนชอบ ได้รับคำแนะนำในการวางแผนชีวิต ได้รับการสนับสนุนด้านการเรียนรู้ ได้รับกำลังใจและได้รับการเติมเต็มชีวิตอย่างครบถ้วนในทุกๆ ด้าน ลูกย่อมสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพและเต็มกำลังสติปัญญาของเขาได้เสมอ ซึ่งไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตามเขามักทำได้อย่างดีเลิศ และการเรียนเก่งก็เป็นหนึ่งในผลปลายทางที่จะติดตามมาด้วยเช่นกัน

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์



Create Date : 27 มิถุนายน 2554
Last Update : 27 มิถุนายน 2554 13:17:29 น.
Counter : 668 Pageviews.

0 comment
1  2  3  

มนแพรวา
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]