It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

บทที่ ๑๑ เรื่องของพี่แขก



เหมือนว่าจะปลงได้แต่ก็ปลงไม่ได้ เหมือนว่าจะลืมได้แต่ก็ลืมไม่ได้ เหมือนว่าจะตัดใจได้แต่ก็ตัดไม่ลง ใครเคยเป็นแบบฉันบ้างหรือเปล่า เมื่อรักต้องจากไปเมื่อความผิดหวังเข้ามาแทนที่ จิตฉันตกไปจากที่เคยเป็น

รู้ตัวดีว่ายังไม่พร้อมที่จะมีรักใหม่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะตัดตัวเองออกจากวังวนของความรัก ฉันว่าไม่ว่าใครก็ตามอยากที่จะมีคนรักด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่คิดจะอยากอยู่โดดเดี่ยว

ถามว่าเข็ดหรือเปล่า มันก็เข็ดๆ อยากๆ กับความรักเหมือนกัน เคยมีเพื่อนบอกว่า “แกก็ตัดกรรมสิชาติที่แล้วแกคงไปทำให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจ กรรมเลยส่งผลมาถึงชาตินี้”

“จะบ้าเหรอ ตัดแบบไหน อยู่ๆ เดินไปบอกพระหรือไงว่าหนูขอมาตัดกรรมค่ะหลวงพ่อ แบบนี้น่ะเหรอ”

“เปล่า เห็นเค้าว่าให้นั่งสมาธิสงบจิตสงบใจ แล้วอธิฐานขอตัดกรรมอะไรเทือกนั้นแหละแก”

เออนะคิดได้ไงกัน ปกติฉันเป็นคนไม่ชอบเข้าวัดเข้าวา เพราะรู้สึกว่าตัวเองร้อนๆ เข้าไปแล้วคงทำให้พระเจ้าจีวรปลิวแน่ๆ สมัยเด็กๆ ยังเคยคิดว่าโตขึ้นจะบวชพระ แต่แม่ก็ว่าฉันว่าเป็นผู้หญิงอย่างมากก็บวชได้แค่ชีเท่านั้น ฉันถามแม่ว่าทำไมต้องแบ่งแยกว่าพระว่าชี ในเมื่อทุกคนก็บวชเพราะศาสนาเหมือนกัน แม่ก็ไม่ตอบฉัน บอกแต่เพียงว่า “โตขึ้นก็จะรู้เอง”

คำตอบของแม่ไม่ชัดเจนบางทีฉันก็โมโหแม่ที่พอถามอะไรแล้วแม่ก็ตอบเหมมือนๆ กันทุกครั้งว่า “ไว้โตขึ้นก็รู้เอง” มันเป็นคำตอบที่ทำให้ฉันอยากจะโตเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ เพราะเด็กอย่างฉันก็อยากรู้อยากเห็น อยากทดลอง และเมื่อฉันโตขึ้นก็ได้รู้ว่าทำไมผู้หญิงบวชเป็นพระไม่ได้ ก็เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่เคยที่จะเดินเข้าวัดไปฟังเทศน์ฟังธรรม ยายเคยชวนฉันไปทำบุญ ฉันก็ไปบ้างไม่ไปบ้าง ที่ไปก็เพราะว่าขัดไม่ได้ จำเป็นต้องขับรถให้ยายนั่นไปวัด ที่ไม่ไปเพราะบุ้ยให้แม่ไปแทน โดยอ้างว่าต้องทำรายงานส่ง

พี่แขกก็เป็นคนรอบข้างของฉันอีกคน ที่ธรรมะธรรมโมมากโข เวลาว่างๆ พี่แขกมักจะไปนั่งวิปัสสนาที่วัดไกลๆ เธอเคยชวนฉันเหมือนกัน แต่คนบาปหนาแบบฉันปฏิเสธตลอด แม้ว่าจะอกหักก็ไม่เคยคิดที่จะเอาธรรมะเข้ามาปัดกวาดจิตใจเหมือนที่พี่แขกทำ

ฉันเคยถามพี่แขกว่าทำไมถึงได้เลิกกับพี่เกต เธอเลี่ยงที่จะไม่ตอบฉัน แล้วจู่ๆ พี่แขก็ตอบคำถามฉันอย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่ฉันไม่ได้ถามเธอเลยด้วยซ้ำไปว่าทำไมถึงได้เลิกกับพี่เกต

“จอยเคยถามพี่ใช่ไหมว่าทำไมพี่ถึงเลิกกับพี่เกต” จู่ๆ พี่แขกก็ถามฉันขึ้นมาซะงั้น

“ค่ะพี่ จอยเคยถาม”

“ที่พี่เลิกกับพี่เกตก็เพราะเราสองคนไปกันไม่รอด”

“ตอบง่ายดีเนอะพี่แขก แค่ไปกันไม่รอดแค่นั้นเหรอคะ”

“ก็ใช่ไง ไปกันไม่รอดก็เลยเลิกกัน ถ้าไปกันรอดก็คงยังเป็นแฟนกันต่อ”

“เอ๊ย พี่กำปั้นทุบดินแบบนี้จอยก็ตอบได้นะ ที่จอยเลิกกับตาลเพราะจอยกับตาลไปกันไม่รอด”

“ไม่ใช่อย่างนั้น ไปไม่รอดในความหมายของพี่ก็คือไปกันไม่ได้จริงๆ”

“ทำไมคะพี่ไม่รักพี่เกตแล้ว หรือว่ารักมันจืดจางลง”

“เปล่าเลิกทั้งที่ยังรักกันนี่แหละ”

“เอ๊ารักแล้วทำไมต้องเลิก”

“ก็ต้องเลิกเพราะมันไปกันไม่ได้ไง”

“อ้าวเปลี่ยนสัญชาติเป็นญวนแล้วเหรอพี่แขก เป็นคนไทยดีๆ ไม่ชอบ”

“อะงั้นตั้งใจฟังดีๆ ถ้าไม่ตั้งใจฟังพี่จะไม่เล่าอีกแล้วนะ ครั้งเดียวเท่านั้นพอ”

“โอเค ครั้งเดียวก็ได้ค่ะพี่จอยจะตั้งใจฟังอย่างดี”

“งั้นเริ่มเลยนะ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว”

“เดี๋ยวๆ พี่หยุดๆ นิทาน ตำนานหรือเรื่องจริง” ฉันแกล้งเย้าคนที่กำลังจะเล่าความรักอันเป็นตำนานของเธอให้ฉันฟัง

“จะฟังหรือไม่ฟัง ถ้าไม่ฟังพี่ไปทำงานต่อแล้วนะ เย็นแล้วเดี๋ยวงานไม่เสร็จ”

“โอเคคราวนี้จะตั้งใจฟังไม่ขัดจังหวะแล้วเริ่มได้”

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เด็กหญิงแขกผู้เลอโฉม กับเพื่อนสนิทของเธอ เด็กหญิงเกต ทั้งสองคนเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหายังไม่รู้จักกับมเหสีองค์แรก”

“ฟังเหมือนลิเกเลยเนอะ”

“จะฟังหรือไม่ฟัง”

“อะจ้า ฟังจ้า”

“จากนั้นเพื่อนสองคนก็รักใคร่ปรองดองกันมาโดยตลอด หญิงแขกรู้ว่าหญิงเกตเพื่อนของเธอนั้นรักใคร่ชอบพอกับเพื่อนหญิงด้วยกัน เธอเป็นทั้งแม่สื่อ และเป็นตัวกีดกันความรักของหญิงเกต และตัวเธอก็แอบหลงรักหญิงเกตอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่ความที่ปากหนัก ไม่กล้าบอกให้หญิงเกตรู้เธอจึงต้องเก็บความลับนั้นไว้ถึงสิบกว่าปี”

“โหนานชะมัดเลยตั้งสิบปี เก็บความลับได้เก่งสุดยอดจริงๆ พี่เรา”

“เมื่อหญิงเกตอกหักครั้งที่เท่าไหร่หญิงแขกเองก็จำไม่ได้ เพราะหญิงเกตรักๆ เลิกๆ แบบนี้บ่อยครั้งมาก และทุกครั้งที่อกหักหญิงแขก็จะคอยเป็นคนซับน้ำตาให้หญิงเกตทุกครั้ง ในครั้งนั้นก็เช่นเดียวกัน หญิงแขกทำหน้าที่ของเธอตามปกติ เป็นคนชงเหล้า รินเหล้า หอบเอาร่างที่เมาแอ่นของหญิงเกตกลับมาที่บ้าน”

“ตอนนั้นพี่แขกกับพี่เกตทำงานหรือยังคะ”

“ทำแล้วสิขืนเมาตอนเรียนก็ได้โดนพ่อกับแม่เพ่นกะบาลแยกสิ”

“อ๋อต่อๆ ค่ะ”

“เพราะความเมา และเห็นว่าหญิงเกตคงไม่ได้สติ หญิงแขกนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ เตียงปากก็พร่ำบอกความในใจของตัวเองให้กับหญิงเกตได้รับรู้ว่าเธอนั้นก็รักหญิงเกตเช่นกัน ทำไมหญิงเกตไม่เคยรับรู้เลยว่าเธอรักและเป็นห่วงหญิงเกตมากแค่ไหนแล้วอยู่ๆ ก็เกิดเรื่อง”

“เกิดอะไรพี่”

“หญิงเกตไม่ได้เมา แต่เมาดิบ”

“ห๊า”

“อืม หญิงเกตแกล้งเมาเพราะรู้ว่าทุกครั้งที่เธอเสียใจเธอจะมีคนคอยดูแลเสมอ และเธอก็แอบหลงรักหญิงแขกด้วยเช่นกัน แต่เพราะความที่ไม่ต้องการให้ความรู้สึกดีๆ ระหว่างเพื่อนต้องจบลงเพราะเธอรู้ดีว่าตัวของเธอเจ้าชู้มากขนาดขุนแผนต้องเรียกพี่ เธอก็เลยพยายามที่จะไม่คิดอะไรเกินเลยไปจากคำว่า “เพื่อน” แต่พอรู้ความในใจของหญิงแขก ก็เข้าทางหญิงกตเลยสิงานนี้ หญิงgd9สัญญาว่าเธอจะไม่เจ้าชู้อีกเธอผิดหวังกับความรักมามากพอแล้ว และเธอจะขอหยุดความรักครั้งสุดท้ายไว้ที่หญิงแขกคนเดียว หญิงแขกเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เพราะเธอดีใจที่หญิงเกตเพื่อนที่เธอแอบรักก็รักเธอเช่นกัน”

“แล้วคืนนั้นทั้งหญิงแขกและหยิงเกตก็ตกเป็นของกันและกันสินะ คริกๆๆ”

“บ้าเพ้อเจ้อ”

“เอ๊าก็นิยายส่วนมากเป็นแบบนั้นนี่นาพี่แขก”

“นั่นมันนิยายแต่เรื่องจริงมันไม่ใช่ย่ะ”

“แล้วเรื่องจริงเป็นไงอะพี่”

“เรื่องจริงก็คือหญิงแขกขอดูพฤติกรรมของหญิงเกตไปพักใหญ่เมื่อเห็นว่าถอดเขี้ยวถอดเล็บแล้วก็เลยยอมรับรัก”

“อ๋อแบบนี้นี่เอง”

“แต่เสือที่ซ่อนเล็บยังไงก็ยังเป็นเสืออยู่วันยังค่ำ”

“อ้าวไหงเป็นงั้นแสดงว่าเสืออย่างหญิงเกตกลับมาใส่ฟันปลอมใส่เขี้ยวปลอมออกล่าเหยื่ออีกเหรอคะ”

“ใครว่าฟันปลอมฟันแท้ๆ นั่นแหละ ยังเก็บเอาไว้อย่างดีไม่ได้เอาออกมาใช้ต่างหาก”

“โหขนาดนั้นเลย”

“เสือไม่สิ้นลายง่ายๆ หรอก หลายปีผ่านไป หญิงเกตก็เริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ”

“แปลกไงอะคะ”

“ก็เริ่มกลับบ้านดึกๆ มีกลิ่นเหล้า กลิ่นบุหรี่ พอถามก็บอกว่าเพื่อนที่ทำงานชวนไปเที่ยวบ้างล่ะ ประชุมแล้วไปต่อกันบ้างล่ะ แต่ที่แน่ๆ พฤติกรรมเปลี่ยนไป เริ่มโทรศัพท์มากขึ้น เริ่มที่จะไม่พูดมากขึ้น เริ่มทำตัวออกห่างมากขึ้น แล้วพอถามก็แบบเดิม ไปกับพี่ๆ ที่ทำงาน ไม่ก็น้องที่ทำงานอกหักเลยลากกันไปกินเหล้า

พี่โทรไปก็ไม่รับสาย บางทีก็รับสายช้า บางทีพอโทรหนักๆ เข้าปิดโทรศัพท์หนี แล้วก็บอกว่าแบตหมด เป็นแบบนี้อยู่หลายเดือน พี่ไม่เคยคิดว่าพี่เกตจะกลับมาเจ้าชู้อีกครั้ง เพราะพี่ไว้ใจพี่เกตมากเกินไป เมื่อมารู้ตัวมันก็สายไปแล้ว พี่เกตมีอีกคนเป็นตัวเป็นตน เช่าหอพักให้อยู่

พี่สะกดรอยตามไปถึงที่เห็นกับตา ว่าพี่เกตมีคนรักคนใหม่ แล้วทิ้งให้พี่เป็นยายแก่เป็นปลาร้าค้างปีอยู่กับบ้าน ใครจะทนได้ พี่ก็มีศักศรีกับเค้าเหมือนกัน พอเห็นแบบนั้นพี่ไม่ยอมฟังเรื่องอะไรอีกเลย ไม่ต้องมาอธิบายให้เสียเวลา พี่ออกจากบ้านพี่เกตแล้วก็กลับมาอยู่ที่บ้านตัวเอง

พี่เกตพยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะขอคืนดี แต่พี่เจ็บจนเกินอภัย มันหนักเกินกว่าที่พี่จะรับได้ สุดท้ายเราก็เลิกกัน พี่ถึงได้บอกว่าเพราะเราสองคนไปกันไม่ได้ เพราะพี่ยอมรับเรื่องที่พี่เกตไปมีคนใหม่ไม่ได้ เราสองคนก็เลยแยกทางกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”

“พี่กับพี่เกตเลิกกันมานานกี่ปีแล้วคะ”

“เกือบหกปีแล้ว”

“แสดงว่าตอนที่จอยมาฝึกงานใหม่ๆ พี่กับพี่เกตพึ่งเลิกกันสิคะ”

“ใช่”

“มิน่าล่ะพี่เกตก็เลยคิดไปว่าจอยกับพี่เป็นแฟนกัน”

“เค้าก็รู้ด้วยว่าจอยกับตาลเป็นแฟนกันแล้วยังคิดว่าพี่กับจอยกิ๊กกัน คนอะไรไม่รู้ตัวเองทำก็คิดว่าคนอื่นทำเหมือนตัว ความคิดสกปรกจริงๆ ให้ตายสิ”

“อ๋อแบบนี้นี่เอง สงสัยตอนนี้พี่เกตคงยังเข้าใจว่าจอยกับพี่คบกันอยู่แน่ๆ เลย”

“คงงั้นมั๊งแต่พี่ก็ไม่ได้สนใจหรอกนะ เราเลิกกันแล้วเมื่อเลิกแล้วทุกอย่างก็จบ”

“แล้วพี่ไม่ได้รักพี่เกตอีกแล้วเหรอคะ”

“รักสิยังรักแต่พี่รักตัวเองมากกว่า”

“จอยไม่เข้าใจในเมื่อพี่สองคนยังรักกัน ทำไมพี่ถึงไม่กลับไปคืนดีกับพี่เกตซะก็หมดเรื่อง”

“ก็บอกแล้วไงว่าพี่รักตัวเองมากกว่า พี่ไม่อยากเอาตัวเองไปทรมานกับเรื่องแบบนั้นอีกแล้ว เจ็บครั้งเดียวมันก็เกินพอแล้วสำหรับพี่ รักมากก็เกลียดมาก มันคงเป็นแบบนั้นมั๊ง”

“โชคดีที่ตาลไม่ได้เป็นคนเจ้าชู้แล้วจอยก็ไม่ได้เป็นเหมือนกัน เฮ้อ...ความรักเนอะ ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ” ฉันถอนหายใจพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเพราะเรื่องที่พี่แขกเล่านั้นทำเอาฉันเสียวสันหลัง เกิดพี่เกตเข้าใจว่าฉันกิ๊กกับพี่แขกจริงๆ แล้วมาดักตีหัวฉัน ฉันก็ซวยงานเข้าแน่ๆ เลย

“ใช่ ความรักทำให้มีความสุขชั่วขณะ แต่สร้างความทุกข์ไปอีกนาน”

“ก็จริงของพี่ ความรักทำให้เราเป็นทุกข์แต่ก็สุขใจที่ได้รัก”

“ไม่อย่างนั้นเค้าจะเรียกว่าคนเหรอ ถ้าเราปลดปล่อยได้เราก็ไม่ต้องเป็นคนแล้ว”

“สาธุเจ้าแม่แขก” ฉันแกล้งยกมือไหว้ท่วมหัวเพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นพี่แขกต้องเทศน์อีกหลายยกให้ฉันฟังเป็นแน่ ตัดไฟก่อนดีกว่า เครื่องเดินแล้วหยุดยาก

“ทำมากวนพี่ ให้เล่าแล้วคืนนี้เลี้ยวเข้าวต้มพี่ด้วยเลย มาชวนพี่คุยงานการไม่ได้ทำกลับบ้านดึกอีกต่างหาก”

“อะจ้าได้เลยพี่แขกคนสวยของน้องจอย คืนนี้จอยเลี้ยงข้าวต้มพี่สุดที่รักเอง ไม่ต้องห่วง”

“งั้นก็รีบๆ ทำเข้า หาเงินที่หายเจอหรือยัง ยอดมันยังเขย่งอยู่เลย ถ้าหาไม่เจอไม่ต้องกลับบ้านเข้าไจ๋”

“พึ่งจะบอกว่าเป็นสุดที่รักเมื่อตะกี๋นี้เอง ตอนนี้จอยเปลี่ยนใจแระ พี่แขกสุดที่ยักษ์ โหดกับน้องได้ขนาดนี้ ใจยักษ์ใจมารเชอะ” ไม่ว่าเปล่าฉันแกล้งสะบัดหน้าใส่พี่แขก พร้อมกับหันมาทำงานที่ยังค้างอยู่กองโตให้เสร็จก่อนที่จะต้องกลับบ้านเช้าและไม่ได้ไปกินข้าวต้มรอบดึกก่อนนอน


หลังจากที่พี่แขกเล่าเรื่องให้ฉันฟังฉันก็ระวังตัวมากขึ้น พยายามไม่เข้าใกล้พี่แขกมากเกินความจำเป็น เพราะฉันกลัวว่าตัวเองจะโดนพี่เกตเล่นงานเข้าสักวัน เรื่องแบบนี้โบราณว่าไว้ว่า “กันไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วจะแก้ไม่ทัน”

พี่แขกก็คงพอจะรู้ความคิดของฉัน เธอบอกว่า คนอย่างเธอเป็นสมภารที่เลี้ยงไก่ไว้เป็นเล้า แต่เธอจะไม่ยอมกินไก่ในเล้าของเธออย่างแน่นอน เรื่องนี้ฉันเข้าใจดี แต่พี่เกตจะเข้าใจแบบที่ฉันเข้าใจหรือเปล่าไม่รู้ ที่แน่ๆ ฉันไม่คิดจะมีแฟนที่อายุห่างกันเป็นรอบหรอกนะ มันมากเกินไป ฉันว่าความเข้าใจของคนในวัยเดียวกันมันคงจะดีกว่า แม้ว่าคนที่อายุมากกว่าจะดูอบอุ่นอ่อนโยนกับเรา แต่ฉันอยากมีแฟนไม่ได้อยากมีแม่อีกคนนี่นา

ฉันทำงานอยู่ที่บริษัทเดิมได้ไม่นาน ฉันก็เริ่มร่อนใบสมัครไปสมัครงานที่บริษัทอื่น เพราะดูลู่ทางไว้แล้วว่าไม่น่าอยู่ที่เดิมอีกต่อไป

คนเราก็แปลกนะ พอมีความรู้เพิ่มขึ้นก็อยากที่จะขยับขยายตัวเองไปทำงานที่อื่น พี่แขกบอกว่าไม่ต้องลาออก เพราะอีกไม่กี่ปี แม่ก็จะปลดเกษียณ และตำแหน่งก็จะว่างลง ฉันไม่อยากให้ใครๆ คิดว่าฉันได้ทำงานได้เลื่อนขั้นเพระฉันเป็นลูกของแม่ สู้ไปหางานใหม่เอาข้างหน้าดีกว่า

ฉันบอกความคิดนี้กับแม่ แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะแม่ตามใจฉันเสมอมา เมื่อฉันต้องการที่จะไปทำงานที่ใหม่ แม่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร แถมยังแนะนำบริษัทที่แม่รู้จักให้ฉันลองไปสมัครงานด้วยซ้ำไป มันอาจจะดูแปลกๆ ที่แม่สนับสนุนให้ฉันลาออกจากงาน แต่มันก็จริง

ไม่นานนักฉันก็ได้งานที่ใหม่ มันเป็นงานล่วงเวลาไม่ต้องทำงานประจำ และฉันก็สามารถที่จะทำงานที่เดิมได้อีกด้วย ที่ทำงานใหม่ไกลจากที่ทำงานเดิมมากเหมือนกัน แต่ก็สะดวกตรงที่มีรถไฟฟ้าผ่านเดินทางได้ง่าย เงินเดือนก็ได้ตามที่ต้องการ ปีนี้ทำงานมาหกปีแล้ว ไฟในตัวยังแรงอยู่ อายุก็ยังน้อย หางานง่าย

ฉันนึกขอบคุณตาลที่เสนอแนวทางการเรียนให้กับฉัน โดยที่ไม่ต้องเดินตามทางสายสามัญ มุ่งสู่สายอาชีพตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้ฉันฮึดสู้เพื่อตัวเอง เป็นแรงผลักให้ฉันทะเยอทะยานที่จะเรียนรู้โลกกว้าง ความรู้อย่างเดียวช่วยอะไรไม่ได้ มันต้องสั่งสมประสบการณ์ไปด้วย

ความฝันของฉันอีกอย่างก็คือ ฉันต้องมีบริษัทเป็นของตัวเอง ไม่ต้องไปเป็นลูกน้องของใคร แต่ฉันยังมีประสบการณ์ไม่มากพอ ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม ฉันลงทุนเรียนปริญาตรีอีกใบเพื่อให้รู้ลู่ทางในการทำงาน ไม่มีใครแก่เกินเรียน เพื่อนๆ หาว่าฉันบ้าเรียน เรื่องนั้นก็อาจจะจริง ฉันบ้าเรียน ฉันใช้เวลาว่างไปกับการเรียนมากกว่าที่จะออกไปท่องเที่ยวที่ไหน

ฉันยังขำไม่หายที่พี่แขกเคยมาหลอกฉันว่าเค้าจะย้ายอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปไว้ที่วงเวียนโอเดียนแถวๆ เยาวราช เพราะอนุสาวรีย์ชัยบังทางเดินของรถไฟฟ้าที่กำลังจะสร้างใหม่ พี่แขกให้ฉันไปดูเค้าย้ายทหารถือลูกระเบิด เพราะว่าวันนี้เค้าจะทำการเอาลงมาจากอนุสาวรีย์

คำพูดของพี่แขกฉันเชื่อเป็นตุเป็นตะ เพราะไม่ได้ผ่านอนุสาวรีย์ชัยนานมาก ออกจากบ้านก็ไปทำงาน ตกเย็นก็ไปเรียนเสาร์-อาทิตย์ก็ไปหมกตัวอยู่มหาวิทยาลัย ทีวงทีวี ละคงละคร เพลงหรือรายการอื่นๆ ฉันไม่เคยได้ดู เมื่อพี่แขกพูดฉันก็เชื่อ เพราะพี่แขกเป็นคนน่าเชื่อถือ แต่พอไปถึงอนุสาวรีย์ชัย ทหารยังแบกลูกระเบิดอยู่ที่เดิม อีกคนก็ยังแบกปืนเหมือนเดิม ฉันรู้แล้วว่าพี่แขกหลอกฉัน แล้วก็มานั่งขำตัวเองว่าโดนพี่แขกหลอกเข้าให้แล้ว

รุ่งเช้าพี่แขกเดินหน้าตายเข้ามาถามฉัน

“จอยเค้าย้ายทหารไปไว้ที่ไหน”

“บ้าสิพี่แขกทำเอาจอยหน้าแตกเลยนะ ย้งย้ายอะไรกันอยู่ที่เดิมไม่เห็นเปลี่ยนอะไรเลย”

“สมน้ำหน้า มุดเข้าไปสิกับกองตำรา โลกกว้างข่งข่าวไม่ได้อ่านได้ดู เก่งแต่ตำราไม่รู้จักดูสิ่งรอบข้างมันก็ไม่ไหวนะจอย”

พี่แขกตัวดีพูดจบก็เดินไปชงกาแฟหน้าตาเฉย ทำเอาฉันโมโหแก้มแดงหน้าแดง เดือดปุดๆ แต่จะทำอะไรได้ ข้อแรกพี่แขกเป็นเจ้านาย ข้อที่สองพี่แขกแก่กว่าฉันหลายปี ข้อที่สามฉันโง่เองที่ทำตัวอยู่ในกัลาให้พี่แขกหลอกได้ คิดได้แบบนี้ ก็นั่งลงที่โต๊ะทำงานของตัวเองแล้วก็ปลง ถ้าไม่อยากตกยุคก็ต้องหาข่าวสารมาอ่านบ้าง

พี่แขกอีกเช่นกัน ชอบอ่านข่าวดูข่าวแล้วเอามาวิจารณ์ให้ฉันฟัง โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และที่สำคัญเรื่องหุ้นกับการลงทุน พี่แขกชอบเล่นหุ้น และชอบเสี่ยงดวง หวยบนดินเป็นสิ่งที่พี่แขกชอบมากๆ เธอจะซื้องวดละเลข เธอบอกว่าเสี่ยงดวง

“ไหนว่าชอบเข้าวัด ฟังเทศน์ฟังธรรมไหงมาชอบเล่นการพันันได้ล่ะพี่แขก”

“นิดๆ หน่อยๆ นะจอย ทำบุญมากๆ ตายเร็ว ไม่เคยเห็นเหรอว่าคนดีๆ มักตายเร็ว คนชั่วนะตายยากตายเย็น”

“คิดได้เนอะพี่”

“ก็คิดได้สิ พี่มันพวกไม่จนไม่รวย เล่นทั้งหวยเล่นทั้งหุ้น”

“อะนะ เข้าข้างตัวเองอะดิพี่”

“นี่ๆ มันมีชีวิตชีวาดีออก วันๆ มีจุดหมายของเราเอง ตื่นเช้ามาก็ลุ้นว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง ถ้าลงเราก็ช้อน ถ้าขึ้นเราก็ขาย”

“แล้วถ้ามันเอาแต่ลงๆ ไม่มีขึ้นล่ะพี่”

“ง่ายนิดเดียว”

“ง่ายไง”

“ก็เจ๊งอะดิถามได้”

“กรรมเวรพี่ฉาน”

“อย่าๆ อย่ามาบ่น เดี๋ยวดูก่อนวันนี้ขึ้นหรือลง อย่ามาทักเดี๋ยวลงอีก”

“อะตามสบายพี่ จะขึ้นจะลง แล้วแต่เลยจอยทำงานดีกว่า เดี๋ยวเย็นนี้ว่าจะไปเดินเล่นที่สยาม”

“เฮ้ยเป็นไปได้เหรอ สงสัยวันนี้พี่จะรวยหุ้นแน่ๆ เลยจอยจะไปเดินเล่นสยาม”

“ก็นะวันนี้จอยว่างๆ ปิดเทอมแล้วนี่พี่ ต้องไปเดินดูเด็กๆ หนอ่ยดิว่าแฟชั่นไปถึงไหนแล้ว”

“เอองั้นดีพี่ไปด้วยอยากได้เสื้อผ้าใหม่เหมือนกัน”



เย็นวันนั้นฉันไปเดินหาซื้อเสื้อผ้ากับพี่แขก ทฤษฎีโลกกลมใช้ได้ดีเลยทีเดียวสำหรับพี่แขกกับพี่เกต ฉันช่วยพี่แขกถือถุงเสื้อผ้ามากมาย เพราะเธอขนซื้อราวกับว่าเสื้อผ้าที่บ้านไม่มีจะใส่ พอถามเธอบอกว่าวันนี้รวยหุ้น ได้หมาหลายบาท เมื่อพี่รวยน้องก็เลยกลายเป็นคนรับใช้เดินถือถุงเสื้อผ้าให้พี่ไปตลอดทาง

พี่เกตเข้ามาทักทายเหมือนที่เคย ฉันว่าไม่ทักจะดีกว่าทักเป็นไหนๆ

“ไงควงเด็กมาเที่ยวหรือไงหมดไปเท่าไหร่ล่ะ”

พี่แขกทำเป็นไม่ได้ยิน แถมยังจูงมือฉันเดินผ่านพี่เกตไปราวกับพี่เกตไม่มีตัวตน

“ถามไม่ได้ยินหรือไง” พี่เกตตะโกนตามหลังเราสองคนแต่พี่แขกก็ไม่ได้หยุดเดิน

“โดนเด็กหลอกแล้วอย่างหาว่าไม่เตือนก็แล้วกัน” พี่เกตตะโกนมาอีกครั้งแล้วก็เดินหันหลังจากไป มือของพี่แขกที่จับแขนฉันลากนั้นมันสั่นๆ จนฉันรู้สึก

“พักก่อนไหมพี่แขก” ฉันหยุดเดินและฉุดข้อมือพี่แขกเอาไว้

“ไปจากตรงนี้ก่อนแล้วกันจอย” พี่แขกตอบฉันมาเสียงสั่นๆ แล้วก็เดินนำฉันไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลมากนัก เมื่อเราหาโต๊ะได้ พี่แขกก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ และหายไปนานมากจนฉันได้อาหารมาแล้วพี่แขกถึงออกมาจากห้องน้ำ ตาของพี่แขกแดงๆ ฉันรู้ว่าพี่แขกแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำเพื่อไม่ให้ฉันเห็นน้ำตาของเธอ ฉันก็เลยแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่าพี่แขกร้องไห้

“จอยคืนนี้ไปเที่ยวกันมะ”

“ไปไหนพี่”

“ผับเลส”

“เอ๊ยมีด้วยเหรอไปทำไมพี่”

“มีสิมีมานานแล้วด้วยพี่จะพาเราไปเปิดหูเปิดตา”

“เปิดทำไมพี่แค่นี้ก็ตาโตพอแล้ว” ฉันถลึงตาใส่พี่แขก

“เอาน่าไปเถอะเดี๋ยวพี่โทรไปบอกแม่ให้เอง พรุ่งนี้เราไม่ต้องทำงานนี่นา”

“โอเคพี่ไปก็ไปไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว”

“ต้องอย่างนี้สิไอ้น้องรัก หัดไปเปิดหูเปิดตาบ้าง จะได้รู้ว่าโลกเค้าพัฒนาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว อยู่แต่ในกะลาอย่างเดียวไม่รู้หรอกว่าบึงใหญ่แค่ไหน โลกกว้างแค่ไหน”

“อะจ้า วันนี้จอยจะออกจากกะลาไปเปิดหูเปิดตากับพี่”



เราสองคนมาที่รถของพี่แขก วันศุกร์รถติดโดยเฉพาะสยามไม่ต้องพูดถึงว่าจะติดมากมายขนาดไหน กว่าเราจะฝ่าฟันรถติดออกมายังที่หมายได้ก็เกือบสี่ทุ่มกว่าๆ เมื่อไปถึงลูกค้าในร้านยังไม่แน่นมากนักพี่แขกเข้าไปทักทายผู้หญิงคนหนึ่งท่าทางเหมือนเป็นเจ้าของร้าน

ผู้หญิงคนนั้นไม่มีเค้าว่าจะเป็นหญิงรักหญิง หรือเป็นทอมบอยอะไรเลยสักนิด สักพักก็มีผู้หญิงอีกคนเดินเข้ามาโอบเอวของผู้หญิงคนนั้น ดูท่าทางสนิทสนมกันมากเกินกว่าคำว่าเพื่อน เมื่อพี่แขกทักทายเรียบร้อยก็เดินกลับมาที่โต๊ะที่ฉันนั่งอยู่

“สองคนนั้นเค้าเป็นเพื่อนพี่เอง แล้วเค้าก็เป็นแฟนกัน”

“เฮ้ยจริงดิ จอยนึกว่าเป็นเพื่อนกันไม่เห็นมีใครสักคนเป็นทอมเลย”

“นี่แม่จอย ที่เรากับตาลก็ไม่เห็นมีใครสักคนเป็นทอมเหมือนกัน”

“เออเนอะนั่นสิ”

“แบบนี้เค้าเรียกว่าเลส สองคนนั้นเค้าเป็นเลส แล้วนั่น ทอมกับดี้” พี่แขกชี้ให้ฉันดูผู้หญิงอีกคู่หนึ่งฝ่ายแรกเป็นสาวสวย อีกฝ่ายเป็นสาวหล่อ แบบนี้ฉันเห็นบ่อยๆ มีให้เห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน

“ส่วนโน่นเค้าเรียกทอมเกย์” พี่แขกชี้ให้ฉันดูสาวหล่อสองคนยืนกอดกันกลมอยู่หน้าเวที

“เหรอพี่ ทำไมถึงเป็นทองเกย์ล่ะพี่ ในเมื่อเค้าเป็นทอมแล้วทำไมไม่ชอบดี้” ฉันเริ่มมีคำถามในใจ

“จะแปลกอะไรในเมื่อทั้งสองคนก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน จะทอมดี้ ทอมเกย์ เลส หรืออะไรก็ตาม มันก็เป็นหญิงรักหญิงเหมือนกัน เรานี่แหละที่แบ่งแยกว่านั่นคือทอม นั่นคือดี้ นั่นเลสคิง อีกคนเลสควีน สมัยนี้วันเวย์ทูเวย์ไม่ได้แตกต่างกันหรอกนะ”

“อะไรนะพี่วันเวย์ทูเวที่พี่ว่า”

“มันก็คือการแสดงออกตอนหลับนอนกันไงไอ้น้อง”

“จอยไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันคืออะไร”

“โอ๊ยฉันจะบ้าตาย เอาเถอะไว้มีแฟนเป็นของตัวเองก็จะรู้เองว่ามันคืออะไร”

“ไม่ๆ พี่อธิบายมาโดยด่วนทำเป็นแม่ของจอยอีกคนแล้ว อะไรก็บอกว่าโตขึ้นก็รู้เอง จอยโตมากพอที่จะรู้เรื่องพวกนี้แล้วนะ”

“เฮ้อลมจะจับ” พี่แขกเอามือตบที่หน้าผากตัวเอง แอนตัวพิงพนักเก้าอี้ทำท่าเหมือนจะเป็นลมจริงๆ

“เถอะนะพี่บอกจอยมาเถอะจอยอยากรู้”

“เอ๊าเป็นเด็กเป็นเล็กมาอยากรู้อะไรเรื่องแบบนี้ ถึงเวลาพี่ก็บอกแล้วว่ารู้เอง”

เมื่อพี่แขกไม่บอกฉันก็เลยไม่กล้าถามอะไรอีก คืนนั้นทั้งคืนฉันก็กลับไปขบคิดเรื่องที่พี่จอยพูด และก็ไม่เข้าใจว่าอะไรคือวันเวย์ทูเวย์อยู่ดี เกิดมาตั้งยี่สิบกว่าปี พึ่งรู้ว่ามีคำศัพท์อีกหลายคำที่ฉันไม่เข้าใจ


พี่แขกไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งพี่แขกชวนฉันให้ไปช่วยสอนเพราะเธอรู้ว่าตั้งแต่ฉันเรียนจบก็ไม่ได้ทำอะไรในวันหยุด จะปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปก็เห็นท่าจะไม่ได้การ ทุกอย่างที่เรียนมาจะลงหม้อลงไห หรือเททิ้งไปหมด พี่แขกก็เลยชวนฉันให้มาช่วยเธอสอนวิชาบัญชี

ในชั้นเรียนเป็นเด็กที่จบพาณิชมาเพื่อเรียนต่อให้ได้ปริญญา มีทั้งเด็กที่พึ่งจบและผู้ใหญ่ที่มาเรียนเพิ่มเติม ด้วยความชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อพี่แขกแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนอาจารย์ของเธอ ฉันก็ได้เข้าไปสอนเป็นอาจารย์ผู้ช่วย

แรกๆ ก็ช่วยพี่แขกสอนไปก่อน หลังๆ พราแขกก็ให้ฉันรับไปหนึ่งวิชา พี่แขกบอกว่าฉันสามารถทำได้และฉันก็พยายามทำตามที่พี่แขกบอก เอาความรู้ของตัวเองส่งผ่านการสอนและตำราที่พี่แขกเขียน และตำราภาษาอังกฤษที่มีขาย เอามานั่งแปลและสอนในชั่วโมงของตัวเอง

ในกลุ่มเด็กเหล่านั้น มีเด็กคนหนึ่งเรียนเก่ง พึ่งจบมาจากอาชีวะสดๆ ร้อนๆ เธอไม่ใช่คนสวยสะดุดตา แต่ที่ฉันรู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้เพราะเธอหน้าตาเหมือนตาล ตอนแรกฉันคิดว่าฉันคงคิดถึงตาลมากเกินไป แต่เมื่อดูดีๆ แล้วเด็กคนนั้นเหมือนตาลจริงๆ สอนๆ อยู่หันไปเห็นเธอจ้องฉัน ก็หน้าแดงไปเหมือนกัน

เทอมนั้นทั้งเทอมฉันคิดถึงตาลทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าเด็กคนนั้น เมื่อเห็นนามสกุลก็คิดว่าคงไม่ใช่ญาติทางฝ่ายน้าเจนแน่ๆ แต่จะเป็นฝ่ายพ่อของตาลหรือเปล่าฉันเองก็ไม่รู้ เพราะฉันไม่รู้จักพ่อแท้ๆ ของตาลว่าชื่อสกุลอะไร จะถามตาลก็คงจะน่าเกลียด

ตอนนี้ได้ข่าวจากน้าศักว่าตาลมีลูกแล้ว เป็นผู้หญิงกำลังน่ารักฉันไม่สมควรที่จะโทรไปรบกวนตาล เพราะรู้ดีว่าเรื่องที่ฉันจะถามอาจจะทำให้ตาลไม่สบายใจ แม้ว่าใจอยากจะติดต่อ แต่ก็ต้องทำตัวเงียบหายไป ตะกอนมันตกอยู่ก้นขวดแล้วจะจับขวดเขย่าให้ตะกอนฟุ้งขึ้นมาอีกทำไมกัน

เมื่อเอาเรื่องไปปรึกษาพี่แขก คำตอบที่ได้มาก็เหมือนที่ใจของฉันคิด

“เรื่องบางเรื่องไม่รู้ก็ไม่ตายนะจอย รู้ไปก็เท่านั้นทำอะไรไม่ได้”

“แต่พี่ก็รู้สึกใช่ปะว่าเด็กคนนั้นเหมือนตาลอย่างกับแกะ”

“อืมม์เหมือนโคลนกันออกมาเลยก็ว่าได้ แต่อย่างที่บอกแหละไม่รู้สักเรื่องก็ไม่ตาย เก็บความอยากรู้อยากเห็นของเราไว้ ไม่นานเรื่องก็จะกระจ่างออกมาเองพี่ว่านะ”

“หรือว่าโลกจะกลม เด็กคนนั้นอาจจะเป็นลูกของพ่อตาลก็ได้”

“แต่ถ้าคิดอีกทีเด็กคนนั้นอาจจะไม่ได้เป็นอะไรกับตาลเลยก็ได้ เคยได้ยินไหมว่าคนเราจะมีคนที่เหมือนเป็นฝาแฝดกับเราโดยที่ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย ไม่มีเชื้อสายอะไรที่เกี่ยวข้องกันเลย แต่หน้าตาเหมือนกันได้”

“ก็เคยพี่”

“นั่นแหละเด็กคนนั้นกับตาลก็อาจจะไม่ได้เกี่ยวกันเลยก็ได้ใครจะรู้จริงมะ”

เมื่อพี่แขกเปิดประเด็นความคิดให้กับฉัน เรื่องที่ฉันคิดว่าเด็กคนนั้นกับตาลเป็นญาติทางสายเลือดกันก็หลุดออกไปจากสมองของฉัน เพราะคนเรามีโอกาสที่จะไปเหมือนใครก็ได้บนโลกใบนี้ ที่เค้าเรียกกันว่าหน้าโหล เช่นในรายการตลกที่ชอบเอาคนหน้าเหมือนนักการเมืองบ้านเรามาล้อเล่น เด็กคนนี้ก็คงเหมือนตาลโดยไม่ได้ตั้งใจเหมือนกันกระมัง

จบบทที่ ๑๑




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:37:14 น.
Counter : 917 Pageviews.  

บทที่ ๑๐ เวลาของฉันกับเธอคนนั้น สิ้นสุดลงแล้ว



หลังจากที่น้าศักบอกว่าจะไปงานแต่งงานของตาล ฉันก็ได้แต่คิดว่าจำเป็นไหมที่จะต้องซื้อของขวัญแต่งานให้กับตาล

หรือว่าหากไม่ซื้อจะผิดมากไหม เพราะตาลก็เป็นเพื่อนที่ดีของฉันเสมอมา มีเพียงช่วงหลังๆ ที่เราคบกันเท่านั้น ที่ความสัมพันธ์จากเพื่อนแปรเปลี่ยนไปเป็นคนรัก

เมื่อคิดดีแล้วว่าฉันจำเป็นต้องซื้อของให้กับเธอเพื่อเป็นของขวัญแทนใจจากเพื่อนคนหนึ่ง หากว่าไม่มีตาลเป็นเพื่อนปลอบใจฉันในวันวานก็คงไม่มีฉันในวันนี้ ตาลคอยให้คำปรึกษาเป็นเพื่อนในยามที่ฉันทุกข์ใจที่สุด และเธอก็คอยดูแลฉันเรื่อยมาแค่ของขวัญเพียงชิ้นเดียวทำไมจะซื้อให้เพื่อนที่กำลังจะแต่งงานและมีความสุขในชีวิตไม่ได้

สิ่งที่ฉันอยากจะซื้อให้ตาลก็คือนาฬิกาเรือนสวยที่เราสองคนมักเดินไปดูที่ร้านอยู่บ่อยๆ สมัยเรายังเรียนหนังสือ

“ถ้ามันได้มาอยู่บนข้อมือของเราสองคนก็ดีสินะจอย”

“ทำไมล่ะตาลมันแพงออกเอามาใส่ก็กลัวหายสู้เราซื้อแหวทองเกลี้ยงๆ กันคนละวงดีกว่าขายได้ราคาด้วย”

“นี่แม่คุณ กะว่าพอเลิกกันแล้วจะเอาแหวนที่เราให้ไปขายกินเลยหรือไงยะ”

“เปล่าไม่ได้คิดแบบนั้น เราแค่พูดตามที่เราคิดเฉยๆ ไม่ได้กะเอาไปขายสักหน่อย” หน้าของฉันเหลือสองนิ้วเลยสิงานนี้ คิดไปได้นะตาล

“แล้วไป คิดว่าถ้าเลิกกันจะเอาไปขาย” คนพูดทำท่าทางงอนๆ เล็กน้อย

“บ้าเหรอของแทนใจใครจะขายได้ลงก็ต้องเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกสิ”

“แต่เราพูดจริงๆ นะจอย เราว่าถ้าเวลาของเราสองคนเดินไปพร้อมๆ กันมันดูคลาสสิคดีออกจะตายไป”

“โรแมนติกมากไปหรือเปล่าตาล”

“ก็แล้วทำไมต้องเหมือนใครล่ะจอย เราก็เป็นเราไม่ต้องทำให้เราเหมือนใครหรอกน่าจริงไหม”

จนแล้วจนลอดฉันกับตาลก็ไม่ได้ซื้อนาฬิกาเรือนนั้น เพราะราคามันค่อนข้างแพง สมัยนั้นเราสองคนได้เงินไปเรียนกันคนละไม่กี่บาท หากจะเก็บเงินซื้อมันก็คงไม่พออยู่ดี ราคาพอๆ กับทองหนึ่งบาท เงินมากมายขนาดนั้นเด็กๆ อย่างเราไม่มีปัญญาที่จะหามาซื้อได้เลย ตราบใดที่เรายังขอเงินพ่อกับแม่ใช้

ฉันเคยคิดว่าเมื่อมีเงินเดือนเป็นของตัวเองฉันจะซื้อนาฬิกาเรือนนั้นให้กับตาล และตอนนี้ฉันก็มีเงินเดือนมีเงินเก็บเป็นของตัวเอง สามารถที่จะซื้อนาฬิกาเรือนนั้นได้สบายๆ

และฉันก็ตัดสินใจซื้อนาฬิกาเรือนนั้นให้กับจอยเป็นของขวัญแต่งงาน ฉันแนบการ์ดอวยพรไปด้วย

“ตาล มีความสุขกับทุกวันของชีวิต รักตาลเสมอ จากเพื่อนที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปร”

ฉันไม่รู้ว่าข้อความนั้นจะสื่ออะไรให้กับตาลได้หรือเปล่า ว่าฉันยังรักเธอเสมอ แม้ว่าเธอจะแต่งงานมีครอบครัว แต่ความรักของฉันมันเปลี่ยนไป จากคนรักกลายเป็นรักจากเพื่อน เพื่อนที่ไม่มีวันลืมเพื่อนอย่างตาลไปได้เลยตลอดชีวิต

ฉันตั้งเวลานาฬิกาเรือนนั้นเป็นเวลาที่ตาลอยู่ ฉันไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเวลาของตาลจะต่างจากเวลาของฉันไปกี่มากน้อยแต่ก็เดาๆ เอาว่าสิบกว่าชั่วโมงขึ้นไป

ฉันไม่เคยไปต่างประเทศก็เลยไม่รู้ว่าเวลาต่างกันมากน้อยแค่ไหนและเรื่องเหล่านี้ฉันก็ไม่ชำนาญเลยด้วยซ้ำไป เพียงแค่แอบถามจากพี่แขกพอรู้คร่าวๆ ก็เท่านั้น

ฉันเอากล่องของขวัญไปฝากให้น้าศัก โดยให้พนักงานส่งเอกสารของฉันไปส่งให้น้าศักที่บริษัท เพราะถึงอย่างไรพนักงานก็ต้องไปหาน้าศักเพื่อส่งเอกสารจากผู้จัดการฝ่ายขายอยู่แล้ว ฉันก็เลยไม่ต้องไปหาน้าศักด้วยตัวเอง แต่ฉันก็โทรบอกน้าศักไปแล้วว่าจะฝากของขวัญให้กับตาลไปพร้อมกับเอกสารของบริษัทด้วย ซึ่งน้าศักก็รับรู้และฝากขอบใจฉันแทนตาล

“น้าอย่าลืมถ่ายรูปตาลในวันแต่งงานมาให้จอยด้วยนะคะ”

“ได้เลยสาวน้อยไว้น้าจะถ่ายรูปเจ้าสาวมาเยอะๆ ไม่ต้องห่วง”

“ขอบคุณค่ะน้าศัก”

“ไว้เจอกันตอนที่น้ากลับมาแล้วนะจอย”

“บายๆ ค่ะน้าศัก อ้อ อีกอย่างฝากสวัสดีน้าเจนด้วยนะคะน้า”

“จ้าน้าไม่ลืมแน่นอน บายๆ สาวน้อย”

ฉันวางสายของน้าศักแล้วก็รีบเคลียร์งานของตัวเองให้เสร็จ เพราะอีกไม่กี่วันฉันจะต้องไปงานรับปริญญาของตัวเองเหมือนกัน

ความฝันของฉันกับตาลที่เรามีมาด้วยกันก็คือ เราจะต้องเรียนให้จบสูงที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ อย่าให้ใครดูถูกว่าเด็กพานิชอย่างเราด้อยค่ากว่าใครๆ แม้จะไม่ได้เรียนสายสามัญ แม้จะไม่ได้เรียนในระบบแต่เราก็สามารถที่จะมีปริญญาเหมือนคนอื่นๆ ได้ ตาลเคยบอกว่า

“ปริญญาทางสังคมมันมีค่ามากกว่าปริญญาที่ได้จากรั้วมหาลัยอีกนะจอย”

ตอนนั้นสิ่งที่ตาลพูดฉันไม่เคยเข้าใจในคำพูดของตาล แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะฉันได้ทั้งปริญญาทางสังคมและปริญญาจากรั้วมหาวิทยาลัย ตอนนี้ใครก็ไม่กล้าดูถูกฉัน ว่าเป็นแค่เพียงเด็กพานิช ไม่มีการศึกษา คนเรามักจะดูคนตีค่าตีราคาของคนเพียงแค่ว่าจบจากที่ไหน เรียนคณะอะไร ฐานะทางบ้านเป็นแบบไหน

ตอนนี้ฉันเป็นนักบัญชี ที่จบปริญญาโท และอนาคตฉันอาจจะได้ดีกรีอะไรอีกสักอย่าง เพื่อเอามาประดับบารมีของตัวเอง

ฉันอาจจะไม่ทำงานในบริษัทของแม่อีกก็ได้ เพราะรู้ดีว่าที่นี่ถืออาวุโสเป็นหลัก ผลงานก็ต้องใช้ได้หรือต้องเข้าตากรรมการมากๆ ถึงจะได้ไต่เต้าไปเป็นผู้จัดการ และฉันก็ไม่อยากเลื่อยขาเก้าอี้พี่แขกที่มีพระคุณสอนฉันให้ทำงานตั้งแต่ยังไม่รู้ความ จนสามารถทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว

ถ้าอยากจะเติบโต ต้องไม่ทำร้ายผู้มีพระคุณ ฉันคิดในใจเรื่องนี้มาตลอดเวลา


วันรับปริญญาของฉันก็มาถึง ตั้งแต่ตอนจบปริญญาตรี พ่อไม่ได้มางานของฉันทั้งๆ ที่ฉันส่งข่าวบอกทางภัทรมลไปแจ้งให้พ่อได้รู้ แต่พ่อก็ไม่มางานรับปริญญาของฉัน และเมื่อจบโท ฉันไม่ได้บอกพ่อว่าฉันเรียนจบ เพราะคิดว่าถึงบอกไปพ่อก็คงไม่มาอีกตามเคย

เมื่อฉันอยู่กับแม่ ฉันก็ต้องเคารพในสิทธิของแม่ แม่ไม่อยากเจอพ่อ ไม่อยากรู้เลยด้วยซ้ำไปว่าพอจะอยู่ดีมีสุข หรืออยู่ทุกข์นอนร้อนแบบไหน เมื่อขาดกัน แม้แต่ความเป็นเพื่อนแม่กับพ่อก็ไม่เคยมีให้กัน

พี่แขกลงทุนลางานมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ ส่วนฉันมาถึงมหาวิทยาลัยตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น ไก่ยังไม่ขัน เพราะทางคณะเรียกประชุมพลตั้งแต่ตีห้า เพื่อที่จะเตรียมตัวเข้าหอประชุมตอนแปดโมงเช้า

ฉันแต่งหน้าสวย แต่งชุดครบตามแบบที่มหาวิทยาลัยกำหนด และรู้ตัวเองเลยว่าอ้วนขึ้นเยอะ ระยะเวลาแค่สองปี ฉันเปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกินปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนดูไม่ได้อย่างที่พี่แขกพูดไว้ไม่มีผิด

กระโปรงสีกรมท่าที่เคยใส่ได้ตอนรับปริญญาตรี ตอนนี้มันห่างจากตะขอเดิมไปหลายนิ้ว จากนี้ไปฉันคงต้องตั้งใจลดน้ำหนักจริงๆ จังๆ แล้วสินะเดี๋ยวไม่มีคนมอง

พี่แขกเคยชวนฉันไปเล่นโยคะที่ฟิตเนสเลยบริษัทไปไม่กี่ซอย แต่ฉันไปได้แค่ครั้งเดียวก็เลิกไม่ได้ไปอีกเพราะฉันอ้างว่าติดเรียนบ้างล่ะ ติดทำรายงานบ้างล่ะ

พี่แขกแอบแซวฉันว่าหมูอ้วนขึ้นอึดอยู่บ่อยๆ ฉันก็ได้แต่ทำใจ พี่แขกอายุมากกว่าฉันหลายปี แต่เธอก็ยังแข็งแรง ผิดกับฉันแค่ขึ้นสะพานลอยยังเหนือยแทบขาดใจ

ฉันมารู้ตัวว่าตัวเองสุขภาพไม่ดีเหมือนแต่ก่อนเมื่อฉันไปบริจาคเลือด โดยปกติฉันกับพี่แขกจะไปบริจาคทุกๆ สามเดือน เราถือว่าเป็นการให้ทานที่ดีที่สุด เหมือนเป็นการต่อชีวิตของใครสักคนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ

แล้วอยู่ๆ ก็มีจดหมายจากสภากาชาดส่งมาบอกฉันว่าเลือดของฉันมีปัญหา ฉันตกใจสุดขีด

“ตายแล้วพี่แขกเลือดของจอยมีปัญหาทำไงดี จอยต้องเป็นโรคอะไรแน่ๆ เลย”

ฉันหน้าซีดเมื่อเปิดอ่านข้อความในจดหมาย เพราะคิดว่าฉันต้องไปติดเชื้ออะไรรุนแรงมาแน่ๆ เลย หรืออาจจะเป็นแบบที่มีเมลส่งต่อๆ กันมาก็ได้ว่าไปจับราวบันไดเลื่อนแล้วมีเข็มมาเจาะที่นิ้ว ฉันต้องเป็นโรคเอดส์แน่ๆ เลย

“ไหนๆ พี่ดูหน่อยสิว่าเค้าเขียนว่าไง” แล้วพี่แขกก็เอาไปอ่าน พออ่านจบพี่แขกก็หัวเราะก๊ากลั่นห้อง

“บ้าเหรอจอยเค้าเขียนมาบอกว่าเลือดของจอยขุ่นเพราะมันมีไขมันในเลือดสูง เพราะจอยอ้วนไม่ได้เป็นโรคอะไรซะหน่อย”

“อ้าวเหรอพี่ไหนๆ จอยอ่านใหม่สิ” เมื่อตั้งสติได้และเอาจดหมายมาอ่านข้อความในนั้นก็เป็นอย่างที่พี่แขกบอก ฉันมีไขมันในเลือดสูง เลือดที่บริจาคไปใช้อะไรไม่ได้

“ปั๊ดโธ่เอ๊ย ตกใจหมด นึกว่าเป็นเอดส์ซะอีก เฮ้อ” ฉันถอยหายใจออกมาโล่งอก โล่งใจ ที่ตัวเองไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไรมากมาย

“ต่อไปนี้ต้องออกกำลังกายแล้วนะจอยไม่อย่างนั้นจะตายเพราะไขมันอุดตันในเส้นเลือด”

แล้วฉันก็จำยอมที่จะไปออกกำลังกายกับพี่แขก แต่ถึงแม้ว่าจะออกกำลังกายไปเท่าไหร่ ฉันก็ยังคงอ้วนอยู่ดี เพราะดูจากการใส่ชุดครุยของฉัน มันเหมือนเอาสุ่มไก่มาครอบฉันไว้ บานเป็นมุ้งเลยเชียวแหละ

ฉันออกมาจากหอประชุมก็มีแม่กับพี่แขกรออยู่ที่ใต้โถงคณะ ฉันเอาใบปริญญาอวดแม่เรียบร้อยเราก็ออกไปหาอะไรกินฉลองการรับปริญญาของฉัน มันเป็นวันที่ฉันมีความสุขมาก

ในใจของฉันก็อดนึกถึงคนสองคนที่มีอิทธิพลกับใจของตัวเองไม่ได้ นั่นคือพ่อและตาล หากว่าวันนี้พ่อกับตาลมาที่งานของฉัน ฉันคงจะมีความสุขกว่านี้มากโข


น้าศักมาที่บริษัทหลังจากที่กลับมาจากงานแต่งงานของตาล เอารูปถ่ายเจ้าสาวมาให้ฉัน พร้อมกับของขวัญรับปริญญาของฉันที่ส่งมาจากตาล

“น้ารู้ได้ไงคะว่าจอยรับปริญญา”

“น้าไม่รู้หรอกตาลบอกน้า”

“จริงดิ” ฉันอดแปลกใจไม่ได้ที่ตาลรู้ข่าวการรับปริญญาของฉัน

“จริงสิน้าจะโกหกทำไม ตาลฝากของมาให้บอกว่ายินดีด้วยที่ทำสำเร็จ”

“ขอบคุณค่ะน้าศัก”

“ไม่เป็นไร แล้วนี่ของขวัญของน้า อีกถุงนึงเป็นรูปของตาลวันแต่งงานน้าอัดมาเผื่อไม่ต้องเอาคืนน้าให้”

“ขอบคุณค่ะน้าศักขอบคุณจริงๆ ค่ะ” ฉันกล่าวขอบคุณน้าศักจากใจจริง แม้ปากจะบอกว่าตัดใจได้ แต่ในใจของฉันยังแอบเจ็บอยู่ลึกๆ จากก้นบึ้งของหัวใจ

“งั้นน้าไปตรวจงานก่อนนะ ไม่รู้ว่าทำงานกันไปถึงไหนแล้ว”

“ตามสบายค่ะน้า จอยก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน จอยขอตัวนะคะ”

ฉันปลีกตัวมาจากน้าศักที่กำลังดูคนงานทำงานที่น้าศักเสนอราคาและได้รับงานของบริษัทฉัน แบบของน้าศักถูกใจผู้บริหาร และราคาถูกกว่าบริษัทคู่แข่งที่เสนอราคามา แถมชื่อเสียงของบริษัทน้าศักยังโด่งดังใครล่ะจะไม่อยากได้คนดีมีฝีมือมาทำงานให้ ถ้าปล่อยไปก็โง่แล้ว



ฉันกลับมาถึงบ้านในตอนมืดแล้ว วันนี้เป็นวันสิ้นเดือน ฉันต้องทำโอทีเพื่อปิดงบดุลบัญชีให้เสร็จก่อนที่จะกลับบ้าน บางเดือนฉันแทบจะต้องนอนค้างที่บริษัทเพราะปิดงบไม่ลงตัว ใครว่าทำงานบัญชีสบาย ใช่สบายตอนต้นแต่ลำบากตอนปิดงบนี่แหละ หายไปแค่สตางค์เดียวหากันให้หัวหกก้นขวิด หัวเป็นน็อตตัวเป็นเกลียว

ในใจของฉันอยากเหลือเกินที่จะเอาเงินหนึ่งสตางค์จากกระเป๋าตัวเองไปใส่ในงบจะได้รีบๆ กลับบ้าน เพราะมันเหนื่อยจนหมดแรงแต่ก็ทำไม่ได้ ถ้าทำได้ก็ไม่ต้องเหนื่อยตาลายหาตัวเลขทีละบรรทัดหรอกนะ

เดือนนี้ดีหน่อยงบลงตัวฉันก็เลยกลับบ้านได้เร็ว ไม่ต้องอยู่นอนที่บริษัทเพื่อหาตัวเลข ฉันเกือบลืมไปด้วยซ้ำว่าน้าศักเอาของขวัญจากตาลมาให้ถ้าพี่แขกไม่เตือนว่าให้เอากลับไปด้วยเดี๋ยวจะหาถ้าเอาทิ้งไว้

อาบน้ำเสร็จตาที่จะปิดเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาก็ตื่นเฉยเลย แทนที่ล้มตัวลงนอนแล้วจะหลับเป็นตาย ฉันกลับตาค้างนอนไม่หลับเลยด้วยซ้ำไป

ฉันหยิบถุงที่น้าศักบอกว่าเป็นรูปงานแต่งงานของตาลกับสามีของเธอ ออกมาดู เจ้าสาวอยู่ในชุดลูกไม้สีขาวเกาะอก ใบหน้ายิ้มละไมในอ้อมแขนของเธอมีดอกไม้ช่อโต ข้างๆ ตาลเป็นเจ้าบ่าว หน้าตาดี ฝรั่งแท้ๆ เมืองไทยเสียดุลส่งออกสาวไทยไปแต่งานกับต่างชาติอีกตามเคย ฉันยังคิดเล่นๆ ว่า จะมีไหมนะที่ฝรั่งส่งออกมาแต่งงานกับสาวไทยบ้าง จะได้ไม่เสียดุล

ตาลสวยกว่าที่ฉันคิดไว้ เหมือนตุ๊กตาบาร์บี้ ผมยาวสีดำ ขับให้ใบหน้าดูเด่นชัดขึ้นมา ไหล่ที่เปิดกว้าง บอกให้รู้ว่าตาลมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง เธอคงจะทำงานหนัก เพราะต้องเป็นเด็กเสริ์ฟในร้านอาหาร

ฉันเคยเห็นเด็กเสริ์ฟ ยกจานมาส่งให้ลูกค้าทีละหลายๆ ใบ ซ้อนเรียงๆ กันมาจานก็ใหญ่เท่าบ้านเท่าเมือง ฝรั่งมักกินข้าวจานโต ทั้งๆ ที่บนจานมีข้าวอยู่กระจิ๊ดเดียว ไม่รู้ว่าจะเอามาทำไมใหญ่โตขนาดนั้น คงเพราะทำแบบจานข้าวแกงบ้านเราไม่ได้กระมังเนอะ

ฉันเห็นเจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาวขึ้นรถเปิดประทุนสีแดง ด้านหลังผูกกระป๋องมากมาย ภาพๆ นั้นเป็นความฝันของฉันเหมือนกัน

ฉันอยากมีงานแต่งงานแบบนี้กับตาล แต่มันก็เป็นได้แค่เพียงความฝัน เราสองคนไม่มีทางที่จะเดินร่วมฝันด้วยกันต่อไปได้อีกแล้ว ยิ่งนับวันปลายทางแห่งความฝันของเราก็ห่างไกลกันไปทุกที

ถึงตอนนี้เรียกได้ว่าฉันกับตาลเราฝันกันคนละเรื่องไปแล้ว

ดูรูปเสร็จฉันหยิบกล่องที่ห่อของขวัญสีชมพูออกมา บนกล่องมีการ์ดเขียนแนบมาด้วยว่า

“ยินดีกับความสำเร็จ จากเพื่อนที่รักจอยมากที่สุดในชีวิต”

ฉันอ่านข้อความแล้วถึงกับน้ำตาคลอเบ้า เมื่อแกะกล่องที่ได้รับมา ฉันก็ต้องตกใจ เพราะคิดว่าตาลส่งของที่ฉันส่งไปให้เธอกลับมาให้ฉัน แต่เมื่อพลิกดูหมายเลขเครื่องมันไม่ใช่เครื่องเดิม ที่ฉันส่งไปให้กับเธอ

ในกล่องมีกระดาษอีกแผ่นเป็นลายมือของตาลเขียนถึงฉัน ฉันรีบเปิดอ่านด้วยใจระทึก

“จอย

ยินดีด้วยจริงๆ นะที่จอยเรียนสำเร็จ เรารู้ว่าจอยทำได้ และต้องทำได้ดีกว่าเรา แม้ไม่มีเราอยู่ด้วยจอยก็ยังเข้มแข็ง จะเข้มแข็งกว่าเราด้วยสิ เราอ่อนแอเกินไป เราทำใจไม่ได้สักที

ตอนแรกที่เราเห็นของขวัญของจอย เราแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ไม่คิดว่าเราสองคนจะใจตรงกันขนาดที่ซื้อของขวัญให้กันยังเป็นของแบบเดียวกัน

เราจำได้ว่าเราเคยบอกจอยว่าเราอยากได้นาฬิกาแบบนี้ แล้วจอยยังบอกเราเลยว่ามันแพงเกินไป ไปซื้อทองดีกว่า จอยรู้ไหมตอนนั้นเรางอนจอยไปหลายวัน คนอะไรไม่โรแมนติกเอาซะเลย

แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าจอยจดจำทุกอย่างได้เหมือนที่เราจำได้ และเรายังรู้อีกว่า เราสองคนยังมีความเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ไม่แปลกอะไรใช่ไหมที่เราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้ง เพราะเราเริ่มจากการเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ

เวลาของเราสองคนจะต้องเดินต่อไปนะจอย แม้ว่าจะเดินไม่พร้อมกัน แม้ว่าเวลาของจอยจะเร็วกว่าเวลาของเราไปสิบกว่าชั่วโมงก็ตาม

โลกยังคงหมุนไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด ตราบใดที่โลกยังหมุน เราก็ต้องอยู่ต่อไป เลิกทิฐิกับพ่อเถอะนะ ท่านเป็นผู้ให้กำเนิดเรามา ในโลกนี้ไม่มีใครจะรักจอยเท่าพ่อกับแม่ของจอยอีกแล้ว

รักเสมอ เพื่อนที่รักจอยที่สุดในโลก”

ฉันอ่านจดหมายนั้นแล้วก็ร้องไห้ปนหัวเราะ ฉันคงเกือบบ้าไปแล้ว ร้องไห้ด้วยหัวเราะด้วย จริงอย่างที่ตาลบอก เวลาของฉันกับตาลไม่มีทางที่จะเดินพร้อมกัน เพราะฉันอยู่เมืองไทย ไม่ได้อยู่อเมริกา

ต้องบอกว่าเวลาของเราสองคนหมดลงแล้วต่างหาก ตาลมีครอบครัวไปแล้ว อีกไม่นานตาลก็ต้องมีลูก มีครอบครัวที่อบอุ่น

ถ้าจอยมีลูกคงน่ารักมากๆ เด็กลูกครึ่งน่ารักจะตายไปในสายตาของฉัน จมูกโด่ง ผิวขาวๆ ผมสีทอง พูดฝรั่งเป็นไฟ แถมเด็กพวกนี้ยังกล้าแสดงออก ผิดกับเด็กไทยที่ถูกเลี้ยงมาแบบไม่ค่อยกล้าทำอะไร และชอบทำอะไรในทางที่ผิด แสดงออกในทางที่ไม่ถูกต้อง

ฉันไม่ได้ว่าคนไทยเลี้ยงลูกไม่ดี เพราะฉันเองก็คือหนึ่งในเด็กไทยเหมือนกัน ไม่เคยกล้าทำอะไรสักอย่าง แม้กระทั่งฉุดรั้งหัวใจของตัวเองเอาไว้ฉันก็ไม่มีปัญญาที่จะทำ

แปลกนะ เป็นเพราะอะไรก็ไม่รู้

แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ เวลาของฉันกับเธอได้สิ้นสุดลงแล้ว สิ้นสุดแบบไม่มีทางที่จะมาบรรจบกันได้อีกเลยชั่วชีวิตของเราสองคน

ไม่มีคำว่า “เรา” อีกต่อไป มีแต่เพียง คำว่า “ฉัน” กับ “เธอ” เท่านั้น จริงๆ

จบบทที่ ๑๐




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:36:16 น.
Counter : 392 Pageviews.  

บทที่ ๙ เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง



มีคำพูดคำหนึ่ง เคยได้ยินมาจากหนังจีนว่า “ชีวิตคนเรา ต้องเคยผ่านบางอย่างที่เจ็บปวด เหมือนเรานอนหลับและฝันร้าย แต่พอตื่นขึ้นมา ฝันร้ายก็ผ่านไป”

สำหรับฉันไม่รู้เหมือนกันว่าฝันร้ายของฉันจะผ่านไปเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ ในตอนนี้ชีวิตของฉันมีแต่งาน งาน และงาน เพราะงานทำให้ฉันลืมความทุกข์ที่ปวดร้าว ฉันไม่กล้าพอที่จะอยู่คนเดียว บาดแผลในใจของฉันมันลึกจนเกินที่จะเย็บปิดปากแผล แถมแผลยังอักเสบกลัดหนองหากไปแตะต้องมันก็จะเจ็บปวดทุกครั้งไป

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันต้องปั้นยิ้มเดินเข้าห้องทำงาน พี่แขกเห็นฉันแล้วก็ร้องทัก

“อ้าวจอยทำไมมาเร็วจัง”

“พี่แขกต่างหากทำไมวันนี้มาเร็วกว่าทุกวันคิดจะแย่งตำแหน่งที่หนึ่งจากจอยหรือไงพี่ เบี้ยขยันก็ไม่มี โอทีก็ไม่ได้ มาทำงานเร็วทำไมกัน แบบนี้น้องๆ ที่มาสายพี่แขกก็จะชื่อฟ้องผู้จัดการหมดสิ” ฉันก็อดแปลกใจไม่ได้เช่นกันเพราะทุกทีฉันจะมาทำงานคนแรก เพราะมักจะชอบหิ้วการบ้านหรือรายงานเอามาทำที่ทำงานก่อนเวลาทำงาน

ฉันเริ่มรู้สึกว่าโต๊ะที่ทำงานเหมาะกับการทำงานมากกว่าที่บ้านเพราะที่บ้านมีสิ่งเย้ายวนใจมากกว่าเช่นเดินไปเปิดตู้เย็นทุกๆ 10 นาที เค้าว่ากันว่าการกินเป็นการบำบัดความเครียดอย่างหนึ่ง สำหรับฉันมันบำบัดได้ก็จริง แต่ผลของการกินและไม่ได้ลุกไปไหนทำให้ฉันอวบขึ้นมากกว่าเดิมหลายกิโล

“วันนี้วันเกิดพี่ พี่ไปใส่บาตรมาก็เลยมาเร็วกว่าทุกวัน”

“ตายแล้วจอยลืมไปเลยว่าวันนี้วันเกิดพี่แขกเจ้านายสุดที่รักของจอย งั้นสุขสันต์วันเกิดนะคะพี่ อ๊ะ หรือสุขสันต์วันแก่ดีน้าอิอิ” ฉันกล้าที่จะแซวพี่แขกเพราะพี่แขกเป็นทั้งพี่และเป็นทั้งเจ้านาย ที่คอยปกป้องลูกน้องแบบฉัน และพี่แขกก็ให้ความเป็นกันเองกับน้องๆ ทุกคน

“ไม่แก่บ้างแล้วไป คนเราเกิดมาก็ต้องมีแก่กันบ้างแหละ แต่แปลกเนอะทำไมพี่ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองแก่เลยสักที แต่พี่กลับเห็นจอยแก่กว่าพี่อีก” พี่แขกไม่พูดเปล่ายังจ้องมาที่ฉัน

“นั่นพี่มาว่าจอยได้ไง จอยอ่อนกว่าพี่ตั้ง 12 ปี รอบนึงได้เลยนะ”

“ก็ดูจอยทำตัวเข้าสิ นับวันจะยิ่งโทรมลงไปทุกที อายุแค่ยี่สิบกว่าๆ เอง ทำเป็นคุณยายเพิ้งไปได้ หัดแต่งเนื้อแต่งตัวซะบ้าง จะเป็นมหาอยู่รอมร่อแล้ว” พี่แขกไม่เคยอ้อมค้อม เพราะเราสองคนมักไม่มีอะไรปกปิดกัน

ระยะหลังๆ ฉันมักปรึกษาเรื่องส่วนตัวกับพี่แขกบ่อยๆ นับจากวันที่ตาลหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จนกระทั่งตาลเขียนจดหมายมาบอกเลิกกับฉัน ก็มีพี่แขกนี่แหละที่คอยปลอบใจ ทั้งดุ ทั้งขู่ ทั้งปลอบ ตามแต่ว่าวันนั้นอารมณ์ของพี่แขกจะเป็นแบบไหน

“ไอ้มหาที่พี่ว่านี่นะ ถ้าจอยบวชจริงคงเป็นสมีย์แล้วมั๊งพี่ เพราะฟันสีกาเละ ญาติโยมคงไม่เข้าวัดร๊อก”

“พูดเกินไป ก็ที่เห็นๆ ชีช้ำกะหล่ำปลีตาแฉะอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะสีกาตีจากหรอกเหรอทั่นมหาจอย”

“โอ๊ย พี่ๆ พูดความจริงแล้วเจ็บจี๊ดเลยนะ เลิกๆ ไม่เอาแล้วพูดกับพี่ทีไรเข้าตัวทุกที” ฉันโบกมือบอกปัดพี่แขกเพราะเช้านี้ยังไม่ได้เตรียมใจมาช้ำจากนั้นก็นั่งลงที่เก้าอี้ประจำ โต๊ะทำงานของฉันอยู่หน้าโต๊ะทำงานของพี่แขก เวลาแขกไปใครมาฉันก็จะต้องคอยเป็นเลขาให้พี่แขกไปพร้อมๆ กับทำงานประจำของฉันไปด้วย

“บางครั้งแผลที่เจ็บปวดอยู่โดนซ้ำๆ มันก็จะชา และชินไปในที่สุดนะจอย”

“เหมือนพี่กับพี่เค้าเหรอคะ”

“ใช่ เหมือนพี่กับพี่เกต” สีหน้าของพี่แขกสลดไปวูบหนึ่ง ก่อนที่จะปรับกลับมาเป็นเหมือนเดิม

“จอยขอโทษนะคะพี่ที่ทำให้พี่ต้องคิดมากจอยไม่ได้ตั้งใจ” ฉันเอื้อมมือข้ามโต๊ะทำงานของพี่แขกไปจับแขนพี่แขกที่วางอยู่บนโต๊ะ เป็นการปลอบใจเธอ

“เรื่องมันผ่านมานานมากแล้วล่ะจอย ถ้าตอนนั้นพี่ไม่เลิกกับพี่เกต พี่ก็ไม่มีทางเลือกทางอื่นเหมือนกัน”

“พี่ไม่เคยบอกจอยสักทีว่าทำไมพี่ถึงต้องเลิกกับพี่เกต ที่พี่เล่ามาดูเหมือนว่าพี่สองคนจะรักกันมากมายแล้วทำไมถึงเลิกกันได้จอยไม่เข้าใจพี่สองคนจริงๆ”

“ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรที่แน่นอนตายตัวหรอกจอย วันนี้รักพรุ่งนี้เลิก หรือว่าวันนี้เลิกพรุ่งนี้อาจจะรักกันก็ได้ ใครจะไปรู้”

“ก็จริงเนอะพี่” ฉันพยักหน้าหงึกหงัก เห็นด้วยกับพี่แขกเต็มๆ และชักมือของตัวเองที่จับแขนพี่แขกกลับมาอยู่กับตัวเอง เพราะเริ่มมีพนักงานในแผนกเดียวกันทยอยขึ้นมาทำงานกันแล้ว มันจะน่าเกลียดเกินไปหากฉันยังนั่งจับมือของพี่แขกอยู่อย่างนั้น

“ที่สำคัญ เราต้องดำเนินชีวิตต่อไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ สู้ต่อไปทาเคชิ” พี่แขกชูกำปั้นที่เป็นอิสระจากการเกาะกุมของฉันขึ้นมา พร้อมกับตะโกนเบาๆ แต่ก็ลั่นไปทั้งห้อง

“เฮ้อ สู้ค่ะพี่สู้ๆ” ฉันยิ้มที่มุมปากนิดนึง พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เออวันนี้เรากินอะไรมาหรือยังพี่มีน้ำเต้าหู้เจ้าอร่อยมาฝาก เจ้านี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยนะไปสายหน่อยก็หมดแล้ว” พี่แขกเปิดลิ้นชักโต๊ะของเธอ หยิบเอาน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ออกมาวางบนโต๊ะ

“กินมาแล้วค่ะ แต่กินได้อีก อิอิเรื่องกินกับจอยเป็นของคู่กัน”

“ตะกละไม่เลือกนะจอยหุ่นเสียไปอย่าว่าพี่ไม่เตือนก็แล้วกัน เออนี่จอยเห็นแม่จอยบอกว่าเค้าจะทำโชว์รูมใหม่ให้พี่ช่วยหาคนมาออกแบบตีราคา จอยพอรู้จักใครที่ทำงานทางด้านนี้หรือเปล่า”

“ก็พอมีพี่แต่ไม่แน่ใจว่าจะยังทำงานอยู่หรือเปล่าเพราะจอยก็ไม่ได้เจอเค้ามาหลายปีแล้วเหมือนกัน”

“ใครเหรอเพื่อนที่เรียนโทด้วยกันหรือไง” พี่แขกเลิกคิ้วถามฉัน

“เปล่าค่ะพี่น้าศักพ่อของตาลไงพี่” พอพูดถึงชื่อนี้ก็ทำให้ฉันเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง

“เออจริงสินะพี่ลืมไปว่าคุณศักเค้าเป็นสถาปนิก”

“เก่งด้วยนะพี่แขก เมื่อก่อนตาลมาคุยกับจอยบ่อยๆ ชมว่าพ่อตัวเองออกแบบให้ที่โน่นที่นี่แล้วก็สวยด้วย จอยยังเคยไปดูร้านที่น้าศักตบแต่งเลย สวยจริงๆ” ฉันนึกถึงสมัยเด็กๆ ที่ตาลจะมาเล่าเรื่องที่เธอภูมิใจกับพ่อของเธอมากมาย แถมยังชวนฉันไปเดินเที่ยวห้างและอวดอีกว่าร้านนี้พ่อของเธอเป็นคนออกแบบ ดูเหมือนตอนนั้นตาลจะรักพ่อของเธอมาก ผิดกับตอนนี้ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าตาลจะคิดกับน้าศักแบบไหน จะยังคงรักและภูมิใจในตัวน้าศักเหมือนเดินอยู่หรือเปล่า

“ถ้าจอยไม่คิดอะไรมากติดต่อคุณศักให้พี่ได้หรือเปล่า” พี่แขกลุกจากโต๊ะมายืนอยู่ข้างๆ เก้าอี้ที่ฉันนั่ง พร้อมๆ กับวางมือของเธอลงบนบ่าของฉัน

“ได้พี่เพื่องานเดี๋ยวจอยติดต่อให้แต่ตอนนี้ขอโซ้ยน้ำเต้าหู้พี่ก่อนนะเห็นแล้วน้ำลายสอ” ฉันหยิบถุงน้ำเต้าหู้ในมือพี่แขกมาเพื่อเตรียมเอาไปใส่แก้ว ให้กับพี่แขกและสำหรับตัวฉันเอง แล้วก็ลุกจากที่นั่งจุดมุงหมายคือห้องครัวที่อยู่ติดกับห้องน้ำหญิง

“ตามสบายแม่คนตะกละ” เสียงพี่แขกไล่หลังฉันมาติดๆ

หลังจากจัดการกับน้ำเต้าหู้ของพี่แขกไปจนหมดฉันก็มานั่งทำงานต่อ จนเกือบเที่ยง เสียงพี่แขกก็กระชากความเงียบไปจากฉัน

“นี่ยัยจอยไหนบอกว่าจะติดต่อคุณศักให้พี่ไง จนป่านนี้แล้วยังไม่ได้เรื่องอีกเหรอฮะยัยอ้วนแม่เธอจะมาเฉ่งกะบาลฉันอยู่แล้ว”

“ตายแล้วพี่แขกจอยลืมเดี๋ยวนะพี่ เดี๋ยวจอยติดต่อให้ตอนนี้เลย” ฉันตบอกผาง ลืมไปจริงๆ ว่าพี่แขกใช้ให้ติดต่อกับน้าศักงานก็เยอะไปหมด ทำเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จสักที

ฉันกุลีกุจอหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาไล่หาเบอร์โทรของน้าศัก กดเรียกสายสักครู่ก็ได้รับการตอบรับ

“สวัสดีค่ะหนูจอย” เสียงปลายสายตอบกลับมา ยังคงเป็นน้าศักคนเดิมที่เรียบร้อยเหมือนเดิม

“สวัสดีค่ะน้าศักคือจอยมีเรื่องจะรบกวนน้าศักนิดนึง”

“เรื่องตาลนะเหรอ เห็นว่าจะแต่งงานแล้วนี่ทำไมเหรอ” จากคำตอบของน้าศักทำเอาฉันเจ็บจี๊ดขึ้นมาทันทีแต่เมื่อมีหน้ายักษ์ของพี่แขกอยู่ใกล้ๆ ก็เลยต้องพูดเรื่องานก่อน

“เปล่าค่ะน้าคือเรื่องงานน่ะค่ะ คือตอนนี้ที่ทำงานของจอยจะทำโชว์รูมใหม่ อยากให้น้าศักเข้ามาออกแบบแล้วก็เสนอราคาให้น่ะค่ะน้า”

“อ๋อถ้าเรื่องนั้นเดี๋ยวบ่ายๆ น้าเข้าไปดูพื้นที่ให้เลยก็ได้” เสียงของน้าศักยังคงเป็นน้าศักที่ใจดีคนเดิม ฉันไม่ได้เจอน้าศักมาหลายปีแล้ว แต่น้าศักก็ยังคงมีความเมตตากับฉันเสมอ

“จริงเหรอค่ะ แหม ทันใจดีจริงๆ”

“ไม่ได้สิจ๊ะเรื่องงานเรื่องเงินต้องมาก่อนเสมอ ว่าแต่ว่าเราทำใจเรื่องตาลได้หรือยังล่ะจอย”

“ยังหรอกคะน้า ของแบบนี้ต้องใช้เวลา”

“อืมม์ ดีแล้ว งั้นบ่ายๆ เจอกันก็แล้วกันนะจอย เดี๋ยวน้าจะรีบไปดูให้เลยไม่ต้องห่วง”

“ขอบคุณค่ะน้าศัก”

“ไม่เป็นไรบายนะจ๊ะเด็กดี”

“บายค่ะ” ฉันวางสายน้าศักไปแล้ว แต่จิตใจของตัวเองกลับสับสน แต่ยังไม่ทันคิดอะไรมากเสียงพี่แขกก็ดังมารบกวนอีกรอบ

“ว่าไงคุณศักเค้าบอกว่าไงบ้าง” พี่แขกรีบถามฉันทันทีที่ฉันกดปิดสาย

“เดี๋ยวบ่ายๆ น้าศักจะเข้ามาดูพื้นที่ให้ค่ะพี่”

“งั้นเราสองคนก็ไปกินข้าวได้แล้วพี่หิวจะแย่ เมื่อเช้ากินแต่น้ำเต้าหู้” พี่แขกบอกพร้อมกับหยิบกระเป๋าสตางค์ใบเล็ก ออกมาจากประเป๋าสะพายใบเขื่องของเธอที่อยู่ในลิ้นชักใหญ่ด้านล่าง

“เอ๊ายังนั่งเฉยอยู่อีกไปกินข้าวได้แล้ว วันนี้พี่พาไปกินที่ห้างแล้วกัน ไหนๆ ก็ทำงานให้พี่แล้วนี่”

“โอ๊ยเป็นพระคุณอย่างสูงเลยพี่แขก ลาภปากจอยดีแท้”

“เห็นแก่กินจริงๆ เรา”

“ก็ทำไงได้ล่ะคะพี่ จอยก็เป็นแบบนี้แหละ พอไม่มีอะไรทำก็กินอย่างเดียว”

“ถ้าอ้วนแล้วลดไม่ลงอย่ามาโทษพี่ก็แล้วกัน”

“ไม่หรอกค่ะจอยกินเข้าไปเอง ก็ต้องโทษตัวเองสิคะพี่”

“ขอให้จริงเถอะ ถ้าวันไหนมาโทษว่าพี่ทำให้อ้วนล่ะก็พี่จะจับล้วงคอเลยคอยดู”

“โหดฉิบ” ฉันแอบบ่นพี่แขก แต่ดูเหมือนว่าเธอจะได้ยิน

“ว่าอะไรนะ”

“เปล่าๆ ค่ะไม่ได้พูดอะไร ไปเถอะค่ะพี่เดี๋ยวคนเยอะจอยหิวแล้วด้วย” ฉันต้องรีบกลบเกลื่อนก่อนที่จะโดนพี่แขกเขกกะโหลก มือพี่แขกเบาเสียเมื่อไหร่กัน คราวก่อนที่โดนตอนทำงานผิด หัวฉันเกือบโน ไม่รู้ว่านิ้วพี่แขกหงิกไปด้วยหรือเปล่า สับลงมากลางกบาลฉันเต็มๆ เจ็บไปซะหลายวันเชียวนะจะบอกให้

ยังเคยคิดเล่นๆ ว่าสาเหตุที่พี่เกตเลิกกับพี่แขก เพราะพี่แขกมือหนักจนพี่เกตทนไม่ได้หรือเปล่า แต่คิดไปก็เท่านั้น เรื่องของพี่แขกกับพี่เกต มันเป็นเรื่องที่เด็กอย่างฉันไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าไปข้องเกี่ยว เท่าที่ดู ทั้งสองคนยังรักกันอยู่ แต่ทำไมก็ไม่รู้เจอะเจอกันที่ไรเป็นไม้เบื่อไม่เมากันทุกที

โบราณว่าขิงก็รา ข่าก็แรง คู่นี้เห็นท่าจะจริง


ฉันกับพี่แขกเลือกที่จะมาห้างใกล้ๆ ที่ทำงาน ระยะทางเดินไม่ไกลมากนักเดินพอมีเหงื่อราวๆ เกือบป้ายรถเมล์ แต่จากความร้อนตอนกลางวันก็ทำเอาฉันจะเป็นลม แดดร้อนๆ บวกกับความหิว เล่นเอาหน้ามืดไปเหมือนกัน แถมยังต้องควักยาดมในกระเป๋าออกมาเดินดมไปตลอดทาง ส่วนพี่แขกดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอะไรกับใครเขาเลยสักนิด เดินตากแดดสบายๆ ราวกับว่าแดดนั้นเป็นเพียงแสงสว่างส่องทางเท่านั้นเอง

เมื่อเดินเข้ามาในห้างความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่เปิดจนเย็นฉ่ำ ก็ช่วยลดทอนความร้อนจากการเดินตากแดดมาเมื่อสักครู่ไปได้เยอะ พี่แขกเลือกร้านอาหารได้แล้วเราสองคนก็เข้าไปนั่งสั่งอาหารที่ต้องการแล้วก็นั่งรอเพราะช่วงเวลานี้คนมักมาฝากท้องกันในร้านอาหารที่ห้างแบบพวกฉัน เวลาเร่งด่วนของคนทำงานออฟฟิส ก็แบบนี้แหละ ว่างหนึ่งชั่วโมงเอาพลังงานใส่ท้อง หลังจากอิ่มท้องก็กลับไปนั่งคอตก ง่วงนอนเพราะกินอิ่มมาตอนกลางวัน

กว่าพนักงานจะเอาอาหารมาเสริ์ฟท้องของฉันก็ร้องจนแสบไปหมด กินไปได้สักพัก ฉันเห็นกลุ่มคนเดินเข้ามาที่ร้าน และหนึ่งในนั้นฉันก็จำได้ดีว่าคือเจ้าของหัวใจของพี่แขกนั่นเอง แต่มากับใครฉันก็ไม่อาจรู้ได้ พี่แขกยังไม่เห็นว่าพี่เกตเดินเข้ามาในร้าน เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาใช้มีดตัดเนื้อที่อยู่ในจาน

ในใจฉันคิดอย่างเดียวอย่าให้พี่แขกเห็นพี่เกตเลย งานจะเข้าซะเปล่าๆ พูดถึงเมื่อเช้า เจอกันตอนเที่ยง อายุยืนซะจริงๆ พี่เกตเอ๊ย

แทนที่พี่แขกไม่เห็นแล้วเรื่องจะไม่เกิด พี่เกตเป็นฝ่ายเข้ามาทักทายพี่แขกเสียเอง ทำเอาฉันใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สงสัยเมื่อเช้าก้าวขาข้างผิดออกจากบ้านแน่ๆ เลยฉัน ซวยจริงๆ แล้วจอยเอ๊ย

“เป็นไงคนสวย ควงสาวน้อยหน้าใสมากินข้าวเที่ยงหรือไง” ดูพี่เกตสิทักแบบนี้เดี๋ยวก็ได้เกิดเรื่องจนได้หรอก

พี่แขกไม่ได้ตอบอะไรสักคำ ส่วนพี่เกตยังหาเรื่องไม่หยุด

“ได้ข่าวว่าตาลจะแต่งงานเหรอจอย แต่ก็นะ เรื่องแบบนี้บังคับฝืนใจใครไม่ได้หรอกเนอะ ว่าไป จริงๆ แล้วตาลแต่งงานก็ดีเหมือนกัน แขกจะได้มีคนรู้ใจสักที ไปล่ะนะ ไว้เจอกันใหม่” ก่อนพี่เกตจะเดินจากไป พี่เกตหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเธอ และจับมือของพี่แขกขึ้นมาและบรรจงวางสิ่งนั้นลงบนอุ้งมือของพี่แขกและพี่เกตก็เดินจากไป

แต่พี่เกตทิ้งเครื่องหมายคำถามไว้บนหน้าผากของฉันว่าที่พี่เกตพูดหมายถึงอะไร และเมื่อนึกขึ้นได้ ฉันก็เริ่มร้อนตัว

“พี่แขก จอยไม่ได้คิดอะไรกับพี่แบบนั้นนะ”

“พี่รู้พี่เองก็ไม่ได้คิดแบบนั้นเหมือนกัน” พี่แขกวางของที่พี่เกตให้ไว้บนโต๊ะดูท่าทางจะไม่ใส่ใจกับของที่เธอได้รับมา

“แต่พี่เกตเค้ากำลังเข้าใจผิดเรื่องเราสองคน”

“ชั่งสิ ปล่อยคนจิตใจต่ำคิดไปคนเดียวเถอะ เราสองคนไม่ได้คิดก็พอแล้ว ดูสิเสียบรรยากาศหมดเลย เรารึจะมากินข้าวฉลองวันเกิดซะหน่อย ทำเสียอารมณ์ คนประสาทบ้าชะมัด กินๆ เถอะจอยไม่ต้องไปสนใจ เดี๋ยวเราต้องไปรอพบคุณศักอีก เกิดเธอมาแล้วไม่เจอเราสองคนเสียมารยาทตาย” พี่แขกทำหน้าเหมือนเบื่อโลกทั้งโลก

“ค่ะพี่” แล้วอาหารมื้อนั้นก็ฝืดติดคอฉันทั้งมื้อ ทั้งๆ ที่อาหารอร่อยกว่าฝีมือป้าแม้นแม่ค้าเจ้าประจำที่ฉันกับพี่แขกฝากท้องไว้ทุกเที่ยงก็ตามเถอะ แต่ตอนนี้กลืนไม่ลงจริงๆ เหมือนอาหารมันแข็งๆ ฝืดๆ ด้วยสิ



น้าศักมาตรงเวลาตามที่ได้นัดกับฉันเอาไว้ เรื่องธุรกิจ เรื่องเงินๆ ทองๆ น้าศักไม่เคยทำให้ลูกค้าต้องผิดหวัง เมื่อคุยกับพี่แขกเรียบร้อย น่าศักกับลูกน้องก็ลงไปวัดพื้นที่ และเก็บรายละเอียดพื้นที่ทั้งหมด ก่อนที่จะมาคุยกันเรื่องการตกแต่งต่อเติมกับพี่แขกและผู้จัดการฝ่ายการตลาด

พี่แขกให้ฉันเข้าไปช่วยจดบันทึกการประชุมปรึกษาในครั้งนี้ด้วย ฉันก็เลยต้องเข้าไปนั่งจดรายละเอียดการประชุมทั้งหมด

“ทางเราต้องการตกแต่งให้ดูสะดุดตา และเราต้องการที่จะวางสินค้าของเราทั้งหมดที่มีตั้งโชว์ไว้ที่หน้าร้าน ลูกค้าของเราเป็นระดับกลางถึงระดับบนคุณศักพอเข้าใจใช่ไหมคะ” พี่แขกเริ่มเรื่องก่อน

“ครับ” น้าศักพยักหน้าและตอบรับ

“คุณศักพอจะส่งรายละเอียดการออกแบบให้กับเราจะได้หรือเปล่าคะ”

“ก็พอได้ครับ ว่าแต่ว่าที่ให้ผมทำมีคู่แข่งหรือเปล่าหรือว่าเรียกมาเจ้าเดียวแล้วก็ลงมือทำได้เลย”

“เราเรียกมาสองสามเจ้าค่ะ เพราะไม่อยากจะให้มีปัญหากับหุ้นส่วนที่บริหารงาน เรามีงบตั้งไว้ในใจแล้ว และมีแบบของสำนักงานใหญ่ที่ต่างประเทศของเรามาให้ดูด้วย คุณศักจะสะดวกตีราคาและส่งแบบมาให้เราดูหรือเปล่า จริงๆ แล้วเรามีค่าป่วยการให้สำหรับรายที่ส่งรายละเอียดมาแต่ไม่ได้ทำงาสนให้เรา แต่ก็ไม่มากมายหรอกนะคะ” พี่แขกอธิบายรายละเอียให้น้าศักได้รับรู้ ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้อะไรมากมายนัก นั่งจดบันทึกไปตามคำสั่งของพี่แขกเท่านั้น

“อันนี้ผมพอเข้าใจครับ จริงๆ ทางคุณน่าจะให้ยื่นซองประกวดราคาเลยจะดีกว่า” น้าศักเอนตัวผิงพนักเก้าอี้ละนั่งลูบคางของตัวเองทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่างในใจ

“ตอนแรกเราก็ว่าจะยื่นซองค่ะ แต่ติดตรงที่เรายังไม่มีแบบที่แน่นอน เพราะเราเองก็ไม่อยากจะยึดติดกับแบบที่ได้มาจากสำนักงานใหญ่มากนัก ทางเราเกรงว่างบที่จะใช้ตกแต่งมันจะเกินที่เราได้ตั้งไว้ เศรษฐกิจแบบนี้ คุณศักก็คงจะรู้ใช่ไหมคะว่าถึงเราอยากจะให้สวยแต่งบก็ต้องไม่มากมายนัก เพราะนั่นก็คือต้นทุนของสินค้าเราส่วนหนึ่งเหมือนกัน นี่แขกบอกตรงๆ เลยนะคะ ในฐานะคนคุ้นเคยกัน”

“อืมม์ครับผมพอเข้าใจ”

“แล้วทางคุณจะสะดวกที่จะส่งแบบเราวันไหนคะ”

“ผมคงต้องขอเวลาสักสองหรือสามอาทิตย์นะครับ เพราะต้องขอดูตัวอย่างสินค้า กับแบบเก่าที่คุณมี แล้วผมจะตีราคาทั้งหมดมาทีเดียวเลย”

“โอเคคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วแขกขอปิดการประชุมแค่นี้นะค่ะ หวังว่าเราคงจะได้ร่วมงานกันนะคะคุณศัก”

“ครับก็หวังว่าเช่นนั้นเหมือนกันงั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ แล้วผมจะรีบเสนองานมาทันทีที่เสร็จ”

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่สละเวลามา” พี่แขกเก็บเอกสารลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเตรียมตัวจะเดินออกจากห้องประชุม

“ไม่เป็นไรครับ ต้องขอบคุณจอยด้วยที่นึกถึงน้า ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ร่วมงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเครื่องสำอางแน่ๆ เลย”

“น้าศักก็พูดเกินไป”

“จริงๆ แล้วน้าก็ต้องรีบทำงานนี้ส่งเหมือนกันแหละ เพราะน้าต้องไปงานแต่งของตาล”

“ตาลแต่งเมื่อไหร่ค่ะน้า”

“เดือนหน้า นะเห็นว่า”

“แล้ว...” ฉันอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนที่จะถามต่อ “แล้วตาลเค้ารักกับคนนั้นจริงๆ เหรอคะน้า”

“น้าก็ไม่รู้หรอกนะ แต่เท่าที่ถามดูก็เห็นเค้ารักกันดี น้าก็ไม่ได้เจอตาลมาหลายปีแล้วเหมือนกัน”

“แล้วน้าเจนสบายดีไหมคะน้าศัก”

“เจนเค้าสบายดี ก็มีแต่ตาลนั่นแหละที่คิดมาก น้ากับเจนไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน เรื่องของเราสองคนเรารู้ตั้งแต่เริ่มต้น ว่าจุดจบของเรื่องมันจะเป็นแบบไหน ที่เราอยู่ด้วยกันก็แค่ในนาม ให้ตาลมีพ่อ ให้ตาลเกิดมามีครอบครัวที่สมบูรณ์ก็เท่านั้น”

“ค่ะน้า จอยเข้าใจและหวังว่าตาลก็จะเข้าใจเหมือนที่จอยเข้าใจเหมือนกัน”

“น้องของจอยโตแล้วนะ เข้าโรงเรียนแล้ว โรงเรียนเดียวกับจอยนั่นแหละ”

“เหรอคะ จอยไม่ได้ไปแถวนั้นอีกเลยตั้งแต่ตาลไม่อยู่ที่บ้านน้า”

“อืมน้าเองก็ขายบ้านหลังนั้นไปแล้วเมื่อปีกลาย ย้ายมาอยู่คอนโดสะดวกกว่าไม่ต้องเดินทางไกลๆ ไปทำงาน ชีวิตคนโสด ก็แบบนี้แหละนะ เอาอะไรแน่นอนไม่ได้”

“แล้วน้ากับน้าผู้ชายคนนั้นล่ะคะ”

“ก็ไปๆ มาๆ เหมือนเดิม เค้าย้ายมาไม่ได้ น้าย้ายไปไม่ได้ ก็เลยยังคงเป็นเหมือนเดิม”

“น้าไม่รู้สึกคิดถึงหรืออยากอยู่ใกล้กับเค้าบ้างเหรอคะ”

“อยากรู้จริงๆ เหรอจอย” น้าศักเลิกคิ้วถามฉัน

“ก็ไม่เชิงค่ะ”

“เมื่อก่อนก็อยากหรอกนะ แต่พอแก่ตัวลง เรื่องอย่างว่ามันก็น้อยลง เราอยู่กันด้วยใจมากกว่า เค้าเองก็รู้ว่าน้าย้ายไปอยู่กับเค้าไม่ได้ เค้าเองก็ย้ายมาไม่ได้ อีกอย่างบ้านเมืองเราจะให้ยอมรับเรื่องแบบนี้มันยากมากๆ อย่าว่าอะไรเลย แม้กระทั่งตาลที่น้าเลี้ยงมาเหมือนลูกยังไม่เข้าใจน้าดีเท่าที่จอยเข้าใจเลย ประสาอะไรกับคนอื่นๆ จะหวังให้มาเข้าใจมันคงจะยาก”

“ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับรู้

“ว่าแต่เรื่องของน้าแล้วเรื่องของจอยกับพ่อลงเอยกันหรือยัง”

“ยังเลยค่ะ จอยยังทำใจไม่ได้”

“นั่นสินะ ผงเข้าตาคนอื่นเราเขี่ยออกได้ แต่ผงเข้าตาตัวเอง ต้องใช้น้ำตาของเราเองค่อยๆ ล้างมันถึงจะออกจริงมะจอย น้าไปก่อนนะ ถ้ามีอะไรจะฝากให้ตาลก็เอาไปให้น้าที่ออฟฟิสก็แล้วกัน น้าจะเดินทางไปหาตาลเค้าต้นเดือนหน้า”

ฉันได้ยินคำพูดของน้าศักแล้วก็สะอึกในใจเหมือนกัน เมื่อส่งน้าศักกลับเรียบร้อยแล้ว ฉันกลับมานั่งคิดเรื่องที่น้าศักพูดถึงเรื่องฉันกับพ่อของฉันเอง จริงๆ แล้วฉันกับตาลก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมาย พ่อของฉันมีเมียใหม่ พ่อของตาลก็มีใหม่เหมือนกัน แต่จะเรียกว่าเมียหรืออะไรก็ไม่อาจรู้ได้

ความรักของฉันกับตาลก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับความรักของน้าศักกับคนรักของเขา หญิงรักหญิง ชายรักชาย หรือหญิงรักชาย มันก็คือความรักเหมือนกัน ไม่ว่าฝ่ายไหนจะต้องแยกจาก ความเจ็บปวดก็คงจะเท่ากัน

มีคนเคยพูดว่า ความรักของพวกลักเพศรุนแรงน่ากลัว อย่าไปริรักคนพวกนี้ ฉันว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย หากว่ารักแบบยังพอมีสติ เรื่องรุนแรงก็คงไม่เกิด

หน้าข่าวหนังสือพิมพ์เห็นอยู่บ่อยๆ ผู้ชายทนไม่ได้ที่แฟนตัวเองทิ้งและไปมีคนรักใหม่ ตามไปฆ่าให้ตายตกไปตามกันและฆ่าตัวตายตามถมถืดไป เพียงแต่ข่าวไม่ได้โดนตีพิมพ์พาดหัวให้ใหญ่โต ผิดกับข่าว ทอมฆ่าแฟนสาว หรือข่าวเกย์ฆ่าแฟนหนุ่ม ข่าวพวกนี้ มันเป็นขี้ปากชาวบ้านได้ดีนักแล

เมื่อโลกยังลำเอียงให้คนได้เคียงคู่กันแค่หญิงกับชาย ฉันก็ต้องเก็บความเจ็บช้ำไว้ในใจ จะระบายออกได้ก็กับคนพวกเดียวกัน ณ เวลานี้ คนๆ นั้นก็คือพี่แขก พี่ที่แสนดีของฉัน

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ฟ้าหลังฝนของฉัน คงเป็นฟ้าที่สวยงามเสมอ

ฉันยังหวังว่าเป็นแบบนั้น

จบบทที่ ๙




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:34:32 น.
Counter : 364 Pageviews.  

บทที่ ๘ หักเห



รุ่งขึ้น ฉันกล้าๆ กลัวๆ ที่จะโทรไปหาตาล ที่กล้าก็เพราะห่วง ที่กลัวก็เพราะเกรงจะไปรบกวน ได้แต่จ้องมองโทรศัพท์ เพราะอยากจะได้ยินเสียงของตาล อยากรู้ว่าตาลจะเป็นอย่างไรบ้าง

ในที่สุดเมื่อฉันรอต่อไปไม่ไหว ฉันก็ตัดสินใจบึ่งรถคู่ใจไปหาตาลที่บ้าน หมู่บ้านของเราไม่ห่างกันมากนัก แค่สองป้ายรถเมล์เท่านั้น

ก่อนจะถึงบ้านตาล ฉันก็ผ่านบ้านของภัทรมล เด็กสาวคนที่เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับฉันมาก่อน เห็นเด็กตัวน้อยวิ่งเล่นกับลูกหมาตัวจ้อยอีกตัว ฉันตัดสินใจจอดรถที่หน้าบ้านหลังนั้น

เห็นเด็กคนนี้ทีไรนึกถึงตัวเองเมื่อตอนเป็นเด็กทุกครั้งไปเด็กคนนี้คงเรียนชั้นประถมแล้วสินะ ก็หกขวบแล้วนี่นา สมัยเด็กๆ ฉันอยากเลี้ยงหมา อยากมีลูกหมาเป็นของตัวเอง แต่ไม่ไม่เคยให้เลี้ยง แม่บอกว่าฉันรับผิดชอบไม่พอ ฉันดูแลมันไม่ได้ ฉันอดอิจฉาเจ้าตัวน้อยไม่ได้ที่มีเพื่อนวิ่งเล่นซุกซนสกปรก แบบเด็กๆ

“หวัดดีจ๊ะพี่” เด็กน้อยวิ่งมาหาฉันที่ยืนอยู่ตรงรั้วบ้านของเธอ

“มาเย่นด้วยกันเป่าจ๊ะ” เสียงชักชวนให้ฉันเข้าไปเล่นกับเธอ เจื้อยแจ้ว

“ไม่ดีกว่าหนูน้อย ว่าแต่เจ้าตัวนี้ชื่ออะไร”

“โมโม่” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวน้อยยังกวักมือเรียกเจ้าตัวสีน้ำตาล ขนฟูมาหาตัวเอง และเจ้าตัวนี้ก็คงบ้าพลัง เมื่อมาถึงก็กระโจนเข้าหาเจ้านายของมันทันทีเช่นกัน จนเจ้านายตัวจ้อยแทบจะล้มทั้งยืน

“เหรอทำไมชื่อโมโม่ล่ะ”

“ป้อบอกว่า โมโม่น่ายัก”

“น่ารักหรือน่ายักษ์กันแน่ตัวเล็ก”

“น่ายักจิ น่ายักก็น่ากัวจิ” เสียงที่พูดยังไม่ชัดเท่าไรนัก ถึงเธอจะอธิบายอย่างไร ฉันก็ฟังว่าน่ายักษ์อยู่ดี

“มามะมาเย่นกันแม่มะอยู่ไปทำงาน น้าบิวกะไม่อยู่ ทิ้งนู๋ไว้กับโม่ฉองคน”

“เข้าบ้านได้เหรอ” ฉันเกาะประตูรั้วสนทนากับน้องจิ๋วอยู่สองคน

“ได้จิ เปิดเป็น” น้องจิ๋วพยายามจะเปิดประตูรั้วโดยการเลื่อน แต่กำลังของเด็กก็ไม่สามารถที่จะเปิดประตูหนักๆ นั้นได้ ท่าทางจะบ้าพลังอยู่เหมือนกันนะเด็กน้อย

“เปิดยังไง กล้าให้พี่เข้าบ้านเหรอไม่กลัวพี่ขโมยของไปหมดบ้านเหรอ”

“ไม่กัวจิพี่น่ารักเหมือนโม่”

“อ้าว ไหงมาว่าพี่เหมือนหมาได้ล่ะ” ฉันยังต่อปากต่อคำกับตัวเล็กเพราะคิดว่าเธอคงเหงา

ได้แต่คิดว่าบ้านนี้แปลกดีเนอะปล่อยให้เด็กตัวนิดเดียวอยู่บ้านกับหมาได้อย่างไรกัน ถึงแม้ว่าหมู่บ้านจะเป็นหมู่บ้านปิด มียามคอยดูคนเข้าออก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย

ฉันเคยได้ยินเรื่องรถตู้ขโมยเด็กอยู่บ่อยๆ มันออกจะน่ากลัว หากว่าต้องเสียลูกที่กำลังน่ารักให้กับพวกมิจฉาชีพที่ลักพาเด็กไปขายต่อ หรือเอาไปตัดแขนตัดขาเพื่อที่จะเอาไปขอทานที่สะพานลอย ไม่ก็เอาไปขายให้ชาวต่างชาติที่กำลังต้องการลูกเลี้ยง

บางบ้านก็ดีไป เอาไปเลี้ยงเป็นลูก แต่บางบ้านก็เอาไปจับขังไว้ทำงานเยี่ยงทาส ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน ถ้าพ่อยังอยู่ที่บ้านหลังนี้ พ่อคงไม่ชอบใจแน่ๆ ที่เห็นลูกสาวคนเล็กของพ่อต้องมาอยู่บ้านกับหมา เพราะกับฉันเองเมื่อแม่ไม่อยู่พ่อไม่อยู่ พ่อก็ต้องหาพี่เลี้ยงที่ไว้ใจได้มาดูแลฉัน หรือไม่ก็พาฉันไปอยู่กับยาย แม้จะแค่ชั่วโมงหรือสองชั่วโมง พ่อก็ไม่เคยให้ฉันต้องอยู่คนเดียว

แม้ว่าในใจของฉันจะสับสนเรื่องที่จะยอมรับหรือไม่ยอมรับเด็กคนนี้เป็นน้องก็ตามที แต่มโนธรรมในใจก็ยังเป็นห่วง เพราะเด็กคนนี้อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนร่วมโลก

“งั้นเอางี้พี่เล่นอยู่นอกบ้าน ส่วนน้องไปวิ่งเล่นกับเจ้าโม่ ดีไหม”

“ดีๆ งั้นพี่เล่นกับนู๋ด้วยนะ” จากนั้นมือน้อยๆ ก็พยายามที่จะเปิดประตูรั้วอีกครั้ง แต่ก็ทำไม่สำเร็จเพราะประตูรั้วเหล็กคงหนักเกินไปสำหรับเด็กตัวน้อยๆ อย่างเธอ

“ไม่ต้องเปิดประตูหรอก พี่โยนบอลให้โม่ไปเก็บแล้วน้องเอาบอลมาให้พี่อีกทีดีมะ”

“ขี้โกงจิ พี่กะไม่ได้วิ่งจิให้นู๋กับโม่วิ่งเหนื่อยอยู่ฉองคน” ตัวเล็กต่อล้อต่อเถียง แถมยังทำหน้าเซ็งๆ จะรู้ตัวไหมนะว่าน่ารักมากมาย แก้มเป็นพวงหน้าหยิกน่ากัดนัก

“ก็พี่เข้าบ้านไม่ได้ แล้วจะให้พี่เล่นแบบไหนล่ะ” ฉันยิ้มยั่ว เจ้าตัวน้อย

“กะเปิดเข้ามาจิไม่เห็นจะยากเลย น่านะๆ จะได้เย่นด้วยกัน” เจ้าตัวน้องยังยืนยันคำเดิมชวนฉันเข้าไปเล่นในบ้าน

“ก็พี่เปิดประตูเข้าไปไม่ได้นี่นา” ฉันแย้ง เพราะไม่อยากเข้าไปในบ้านหลังนี้เลยฉันไม่อยากให้ใครๆ ในบ้านนี้เห็นด้วยซ้ำไปว่าฉันมายืนเล่นยืนคุยกับตัวเล็ก

“จะเข้าไปหรือเปล่าล่ะพี่จอยเดี๋ยวบิวเปิดให้” อยู่ๆ ก็มีเสียงมาจากด้านหลังของฉัน ทำเอาตกใจหัวใจอยู่ที่ตาตุ่ม หน้าซีดเป็นไก่ต้ม

“ดูทำท่าเข้าอย่างกับเห็นผี” เจ้าของเสียงอมยิ้มนิดๆ แถมน้ำเสียงยังมีความขบขันอยู่ตอนท้ายอีกด้วย

บิวนั่นเองเธอมายืนอยู่ข้างหลังฉันในมือถือไอติมกรวยมาสองอัน คาดว่าอันหนึ่งจะเป็นของตัวน้อย ส่วนอีกอันหนึ่งเป็นของเธอ

“มาไม่ส่งเสียง คนก็ตกใจเป็นสิ” ฉันต่อว่าบิว เพราะเธอเหมือนกับจะขำฉันอยู่ในที

“ส่งแล้วไงก็ถามว่าจะเข้าไปหรือเปล่าจะได้เปิดประตูให้”

“ไม่ดีกว่าจะไปบ้านตาล พอดีเห็นตัวเล็กวิ่งเล่นเลยแวะมาทักทาย”

“แวะมาหาเลยก็ได้ ไม่ต้องเห็นเป็นทางผ่านหรอกพี่”

“จะเข้าบ้านไม่ใช่เหรอ เข้าไปสิ แล้วต่อไปคราวหน้าคราวหลังอย่าทิ้งเด็กไว้ที่บ้านคนเดียวอีกนะมันอันตราย เกิดใครมาขโมยไปมันจะยุ่ง”

“แล้วใครจะกล้ามาขโมยไปล่ะพี่ บิวแค่เดินไปร้านขายขนมฝั่งตรงข้ามบ้านแค่นี้นี่นะรั้วก็ปิดอย่างดี” บิวชี้ไปที่ร้านขายของชำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านของเธอ มันเป็นร้านเล็กๆ ที่เปิดขายขนมสำหรับเด็กๆ และขายน้ำอัดลม กับน้ำแข็งนิดๆ หน่อยๆ ระหว่างร้านกับบ้านของบิว มีถนนคั่นกลางที่พอให้รถวิ่งสวนทางกันได้ ขนาด 8 เมตรเท่านั้นเอง

“อ้าวเหรอ ก็ไม่รู้นี่นาว่าไปแค่นี้เองเห็นหายไปตั้งนาน เรารึอุตส่าห์เล่นเป็นเพื่อนเด็กเพราะกลัวใครจะมาขโมยไป” ฉันก็เลยต้องแก้เก้อหลบหลีกไปอีกทางโดยการที่โทษบิวอยู่กลายๆ

“ก็ใช่ไง ก็เพราะเห็นพี่เล่นกับหลานอยู่เลยปล่อยให้เล่นไปกันก่อน รู้หรอกน่าว่าคิดถึงน้อง อิอิ” ดูเหมือนว่าบิวจะเริ่มเป็นผู้หญิงอีกคนที่รู้ทันฉันขึ้นมาอีกแล้วหรือว่าฉันอ่านง่ายขนาดนั้นเลยหรือ

“เออ กลับมาก็ดีแล้วงั้นพี่ไปก่อนนะ พี่จะรีบไปหาตาล” ฉันหันหลังให้แทบจะทันทีที่พูดจบและรีบควบรถที่จอดอยู่ข้างรั้วอย่างรวดเร็ว

“บ้านพี่ตาลไม่มีคนอยู่หรอกพี่ ออกไปกันแต่เช้าแล้ว”

เสียงบอกตามหลังของฉันมาทำเอาฉันต้องรีบหันหลังกลับไปยังต้นเสียง

“อ้าวเหรอตาลไปไหนรู้ไหมบิว”

“ไม่ได้บอกนี่ เห็นแต่ว่าป้าเจนพาพี่ตาลออกไปตั้งแต่เช้า พร้อมกับกระเป๋าใบโต ไม่นานนัก ลุงศักก็ออกไปด้วยอีกคน บ้านปิดเงียบเลย”

“ตายล่ะหว่า แล้วงี้ทำไงดีนี่”

“พี่มีธุระอะไรกับพี่ตาลเหรอ ไว้บิวเจอพี่ตาลบิวจะบอกให้”

“ไม่เป็นไรบิว ไว้พี่มาหาตาลใหม่ก็แล้วกัน งั้นพี่ไปก่อนนะ”

“ไม่เข้าบ้านจริงๆ เหรอพี่ วันนี้พี่สาวบิวไม่อยู่หรอกกว่าจะกลับก็เย็นๆ มืดๆ โน่น”

“ไม่ดีกว่าพี่กลับบ้านก่อนดีกว่า ไปล่ะนะ” ไม่พูดเปล่าฉันรีบคว้ารถคู่ใจ บิดกุญแจพร้อมกับสต๊าดเครื่อง เร่งออกมาไม่หันกลับไปมองสองน้าหลานที่ยืนมองมาที่ฉันเป็นตาเดียว ก่อนที่คนเป็นน้าจะเปิดประตูเข้าบ้าน เอาไอติมที่อยู่ในมือให้กับหลานสาวของตัวเอง


ตาลไปไหนทำไมไม่บอกฉันสักคำ หรือว่าน้าเจนกับตาลจะเลือกทางเดินได้แล้ว

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ครอบครัวที่อบอุ่นของตาลก็คงจะจบลงในวันนี้แล้วสินะ ฉันคิดได้อีกอย่างก็คือไปที่ทำงานของน้าศัก ไปถามให้รู้เรื่องว่า ตาลกับน้าเจนไปไหนแต่ที่ทำงานของน้าศักก็ไกลเหลือเกิน แทบจะคนละฟากฝั่งของกรุงเทพ

น้าศักดิ์เป็นนักออกแบบบ้าน หรือที่ใครๆ เรียกกันว่าสถาปนิก มีอารมณ์ศิลปินขนานแท้ พูดจาเรียบร้อยน่ารัก ผิดกับผู้ชายทั่วๆ ไป ฉันไม่แปลกใจอะไรมากนักเมื่อรู้ว่าน่าศักเป็นเกย์ และเมื่อรู้อีกว่าน้าศักไม่ใช่พ่อของตาล ฉันก็ยิ่งเข้าใจน้าศักมากยิ่งขึ้น

เมื่อคิดอะไรไม่ออก บอกใครไม่ได้ ในเรื่องครอบครัวของตาล ฉันก็เลยกลับบ้าน เตรียมตัวที่จะไปหาชุดทำงานไปทำงานในวันจันทร์ที่จะถึง เพราะแม่บอกว่าบริษัทเค้าตกลงที่จะรับฉันเข้าทำงานแล้ว อาจเพราะฉันเป็นลูกของแม่ก็ได้ ฉันเลยได้ทำงานที่บริษัทของแม่ได้รวดเร็วทันใจ

แม้ว่าจะมีเรื่องของตาลมารบกวนในหัวสมองของฉันอยู่เป็นระยะๆ แต่ฉันก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป ฉันก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งในสังคมที่กว้างใหญ่ จะเอาอะไรไปต่อสู้กับสิ่งรอบข้างที่แปรผันไปได้เรื่อยๆ แม้แต่พ่อของตัวเองยังรั้งเอาไว้ไม่ได้ หากฉันจะต้องสูญเสียตาลไป ฉันก็คงต้องทำใจ


และแล้วตาลก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาหาฉันอีกเลย เราห่างกันมาสองปีกว่าๆ ฉันทำงานไปด้วยเรียนต่อภาคค่ำไปด้วย จนเกือบจะจบปริญญาตรีแล้ว

ฉันยังคงคิดถึงตาลเสมอๆ ทั้งชีวิตของฉันตั้งแต่จำความได้ ฉันกับตาลเป็นเพื่อนกันมาโดยตลอด ตาลเป็นรักแรกของฉัน ฉันไม่เคยรักใครมาก่อนถ้าไม่นับพี่จักรกับพี่องุ่นที่เป็นรักแบบเด็กๆ ของฉัน แม้ฉันจะอยู่คนละบ้าน ตาลก็จะวนเวียนไปมาหาสู่กับฉันเสมอๆ

ตลอดระยะเวลาสองปีที่ฉันแทบจะไม่มีวันหยุดทำให้ฉันลืมๆ ความเศร้าของตัวเองลงไปบ้าง วันเสาร์ – อาทิตย์ ก็ต้องไปเรียน ตกเย็นหลังเลิกงานก็ต้องไปเรียน มันไม่ง่ายนักที่จะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย

ฉันเหนื่อยแต่ก็มีความสุขเพราะฉันมีความมุ่งมั่น เหมือนกับที่ตาลเคยบอกเอาไว้ว่า เราต้องทำได้และต้องทำได้ดี ฉันกำลังจะเป็นบัณฑิต จบบัญชีด้วยสิ ถ้าฉันได้เป็นนักบัญชี ฉันจะได้เงินเดือนที่มากกว่าเดิม มีค่าตำแหน่งจากทางบริษัท จากเงินเดือนน้อยนิดก็จะกลายเป็นเรือนหมื่น

คนทำงานคงไม่ได้หวังอะไรมากนัก นอกจากได้ทำงานที่ดี มีเงินเดือนใช้ มีที่กินที่นอน ได้เชิดหน้าชูตาในสังคม

แล้ววันหนึ่งฉันก็ได้รับจดหมายที่ส่งมาจากแดนไกล ที่รู้ว่าไกลก็เพราะว่ามันเป็นแสตมป์ต่างประเทศ ลายมือบนซองทำให้รู้ว่ามาจากใคร ฉันรีบวางของทุกอย่างและรีบเปิดอ่านจดหมายฉบับนั้นอย่างรวดเร็ว

“จอยเราเอง

เรามาอยู่ที่เมกากับแม่ได้สองปีกว่าแล้ว ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้ติดต่อกลับไปหาจอยเลย เรากับแม่ตัดสินใจว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่ เราทำใจไม่ได้อยู่นานเรื่องที่แม่บอกกับเรา เรารับไม่ได้เรื่องพ่อศัก และเรื่องพ่อแท้ๆ ของเราที่ไม่เคยเห็นว่าเราเป็นลูก เรารู้เลยว่าจอยเจ็บแค่ไหนเรื่องพ่อ ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว เพราะเรากับจอยก็ไม่ได้แตกต่างกัน

แรกๆ ตอนที่มาอยู่ที่นี่เรากับแม่ลำบากมากๆ เรามีเงินมาไม่มากนัก แม่ต้องไปรับจ้างเป็นแม่บ้านทำงานตามบ้าน เราเองก็เป็นลูกมือแม่ กว่าจะได้เงินมาแต่ละเหรียญเลือดตาแทบกระเด็น แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว เราสบายดี ได้เรียนต่อ ได้ทำงานในร้านอาหารไทยของเพื่อนแม่ และเรากำลังจะแต่งงาน กับผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง ดูแลเราและแม่ได้เป็นอย่างดี

เราขอโทษด้วยนะจอยที่ทำให้จอยต้องเสียใจ เราไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ เราไม่อยากที่จะรักเพศเดียวกันแล้วทำให้แม่ต้องเสียใจ เราขอโทษอีกครั้ง ที่ทำให้จอยเสียใจ และเราเองก็ไม่ต่างกัน

ลืมเราเถอะนะจอย ลืมคนที่เคยรักจอย เพราะคนๆ นี้ไม่สามารถที่จะเป็นคนๆ เดิมของจอยได้อีกต่อไปแล้ว

หวังว่าเรายังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป

รัก จอยมากนะเพื่อนรัก

ตาล”

เมื่ออ่านจบ น้ำตาของฉันไม่รู้ว่ามาจากไหน ตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาฉันได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งตาลจะกลับมาหาฉัน

ฉันเฝ้ารอวันนั้น แต่ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่แค่จดหมายที่บอกมาว่าขอเลิกกัน

จดหมายที่บอกมาว่าเราไปกันไม่ได้

และไม่ใช่บอกว่าจะแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ แล้วฉันล่ะ ตาลเอาไปไว้ที่ไหน

ฉันแทบไม่มีแรงทำอะไร นั่งจมอยู่กับกระดาษจดหมายที่เปียกน้ำตา จนแม่กลับมาถึงบ้าน เห็นฉันนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว

“เป็นอะไรไปลูก ใครทำอะไรจอยของแม่”

ฉันไม่ได้พูดอะไรกับแม่ ยื่นกระดาษเปียกน้ำตาแผ่นนั้นให้แม่ แม่รับมันไปอ่าน อ่านจบแม่ก็หันมากอดฉัน

“ตาลเค้าทำถูกแล้วลูก ไม่ต้องร้องนะคนดีของแม่ จอยยังมีแม่อยู่ทั้งคนนะลูก อย่าร้องไห้เลยนะคนดี” แม่ลูบหัวฉันไปมา ลูบหลังไหล่ เป็นการปลอบใจ คนที่หัวใจสลายแบบฉัน

ฉันรู้ซึ้งถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องหย่าร้างกับพ่อก็วันนี้ แม่คงปวดร้าวไม่ต่างกับฉัน จะผิดกันก็ตรงที่ แม่ยังมีลูกที่ต้องรับผิดชอบ แม่ต้องอยู่ต่อไปเพื่อฉัน เลี้ยงฉันให้เติบโต ดูแลฉันอย่างดีเท่าที่แม่จะสามารถทำได้

ฉันเคยแอบเห็นแม่ร้องไห้ ตอนที่แม่นอนอยู่ในห้อง แม่ร้องไห้ตอนที่แม่นั่งทำงานที่เอามาจากบริษัท แม่ร้องไห้ตอนที่แม่ล้างจาน หรือทุกครั้งที่แม่อยู่คนเดียว

แรกๆ ฉันเองก็คิดว่าแค่พ่อจากไปมีคนอื่น ทำไมแม่ต้องร้องไห้มากมายขนาดนั้น ตอนนี้ฉันพึ่งรู้ซึ้งแล้วว่า เมื่อความรักจากไป มันเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้สร้างความฝันเอาไว้ พังครืนลงมาอยู่ตรงหน้า

ซากแห่งความสุขกระจัดกระจาย กลายเป็นซากความทุกข์ทับถมอยู่ท่วมตัวไปหมด ซากนี้รอวันที่ร่างกายไร้หัวใจจะจัดการเก็บกวาดให้เข้าที่เข้าทาง หรือบางทีอาจจะส่งกลิ่นเหม็นให้ได้กลิ่นอยู่เป็นระยะๆ พร้อมกับสร้างต้นหนามที่คอยทิ่มแทงหัวใจที่บอบช้ำ ให้ได้เจ็บปวดทุกครั้งที่ไปแตะต้องมัน

แม่พับจดหมายและวางไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะบอกฉันว่า

“แม่เข้าใจนะลูกว่าจอยเจ็บ แต่แม่จะบอกว่าปล่อยวางมันลง ไม่ใช่ว่าตาลพึ่งจะจากลูกไป ตาลไปจากลูกสองปีกว่าแล้ว แต่เพราะลูกเองยังไม่ปล่อยวางยังยึดติดอยู่กับความหลังเก่าๆ”

“แล้วแม่ลืมพ่อได้รึเปล่าคะ มันผ่านมานานมากแล้วเหมือนกัน”

“ไม่ได้หรอกลูก แต่แม่ก็ทำใจให้ลืมมัน เรื่องบางเรื่องเก็บไว้แต่ความทรงจำที่ดีๆ ก็พอ เราไม่จำเป็นต้องจดจำทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต และที่แม่ลืมพ่อไม่ได้ก็เพราะพ่อได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของแม่ มันเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตแม่ นั่นก็คือลูกไงจอย ถ้าแม่ไม่ได้เจอกับพ่อแม่ก็จะไม่มีลูกที่ดีอย่างจอยใช่ไหมลูก”

จากคำพูดของแม่ทำให้ฉันคิดได้ว่า เรื่องบางเรื่องแม้จะเจ็บปวด แต่ก็มาพร้อมๆ กับความสุข

แม้ว่าวันนี้ มันจะเป็นจุดหักเหของชีวิตฉัน แต่มันก็จะต้องมีสิ่งที่ดีๆ ตามมาอีกไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่มีวันนี้ ก็ไม่มีวันพรุ่งนี้ แม้ว่าวันนี้จะเจ็บปวด แต่พรุ่งนี้ก็คงจะเจ็บปวดน้อยลง

ฉันจะพยายามลืมความทุกข์ที่เกิดในวันนี้ แต่จะจดจำความสุขที่เกิดขึ้นในวันวานเอาไว้ เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจของฉันให้ชุ่มชื่น ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเห็น โอเอซิสแห่งใหม่ ในทะเลทรายหัวใจที่แห้งผาก

จบบทที่ ๘




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:33:20 น.
Counter : 307 Pageviews.  

บทที่ ๗ เปลี่ยนแปลง


“ไม่จริงใช่ไหมจอย จอยบอกเราสิว่าเราฝันไป” ตาลหันมาที่ฉันและคว้าข้อมือของฉันไปตีที่แขนของเธอ

“มันเป็นเรื่องจริงตาล” ฉันตอบเสียงแผ่วเบา

“แต่ที่เราเห็นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เราคิดก็ได้ อาจจะเป็นเพื่อนกันจริงๆ ก็ได้”

“ไม่หรอกย่ะหล่อนแบบนั้นเค้าไม่เรียกเพื่อนแล้ว เค้าเรียกคู่กันต่างหาก” สาธิตเสนอความคิด แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรมาก สายตาดุๆ และมือของฉันก็ไปปิดปากของสาธิตเข้าให้

“แหวะ แกนังจอยมือแกเค็มชะมัดเลย ไปควักปลาร้าที่ไหนมาย่ะหล่อน” สาธิตแลปลิ้นพ่นน้ำลายหลังจากที่ฉันปล่อยมือออกจากปากของเธอ

“ควักมาจากปากแกนั่นแหละนังตัวดี” กุ๊กกิ๊กที่พอจะจำได้แล้วว่าหนึ่งในนั้นคือพ่อของตาลก็เริ่มรู้สึกถึงลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง และงานนี้ก็เริ่มกร่อยแล้ว

“กลับกันเถอะตาล ไว้กลับบ้านค่อยคุยกัน” ฉันลากตาลออกมาจากร้านและเดินนำลิ่วไปที่ป้ายรถเมล์ ก่อนที่ตาลจะปล่อยโฮ หรือแสดงอารมณ์อะไรออกมาให้คนอื่นได้สังเกตเห็น


ตาลนั่งนิ่งเงียบมาในรถตู้ที่มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านของเธอ สายตาของตาลดูเหม่อลอย จนฉันอยากจะรู้ว่าตอนนี้ในสมองของตาลกำลังคิดอะไรอยู่

ฉันไม่เห็นน้ำตาของตาล หรือแม้แต่การแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาจากตาล ผิดจากครั้งแรกที่ตาลดูตกใจหลังจากนั้นตาลก็เงียบ เงียบจนฉันเองหวั่นใจว่าอาจจะเกิดคลื่นใต้น้ำในใจของเธอ

เราสองคนลงรถตู้ที่หน้าหมู่บ้านและค่อยๆ เดินเรื่อยๆ ไม่รีบไม่ร้อน ฉันพยุงตาลมาตลอดทาง ฉันว่าตอนนี้ตาลเหมือนคนไม่มีหัวใจ ดูเธอลอยๆ เหมือนคนกินยากล่อมประสาท ฉันไม่ได้ชวนตาลพูดหรือคุย เมื่อเราเดินมาถึงหน้าบ้าน ฉันเป็นคนเปิดกระเป๋าสะพายของตาลหยิบกุญแกไขประตูบ้านให้กับตาล

แม่ของตาลคงไม่อยู่บ้าน อาจจะไปทำงานยังไม่กลับหรือไปตลาดเพื่อซื้อของมาทำอาหารเย็นให้กับตาลก็ได้ เพราะโดยปกติหน้าที่ทำกับข้าวของบ้านตาล พ่อของตาลจะเป็นคนทำทุกอย่าง ฉันเคยแอบอิจฉาตาลที่พ่อของตาลไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แล้วก็ชอบทำอาหารอร่อยๆ ให้คนในครอบครัว

ผิดกับพ่อของฉัน ที่ทำอะไรแบบนี้ไม่เป็นเลย พ่อของฉันชอบที่จะกลับมาแล้วก็นั่งดูข่าว จิบกาแฟวันละหลายๆ แก้ว ข้างๆ ถ้วยกาแฟก็จะมีบุหรี่ที่วางไว้ในที่เขี่ยบุหรี่รูปทรงกลม และเป็นหน้าที่ของฉันที่จะต้องเอามันไปทิ้งขยะทุกครั้งที่เห็นว่ามันเต็มแล้ว

พ่อฉันไม่เคยทำกับข้าว นานๆ ครั้งที่แม่ไม่อยู่ พ่อจะซื้อกับข้าวสำเร็จกลับมาที่บ้าน เพราะแม้แต่หุงข้าว ข้าวในหม้อก็ยังไหม้ หรือแฉะจนกินไม่ได้ แม่เคยบอกว่า “พ่อเค้าเป็นผู้ชายไงลูกเลยทำอะไรแบบนี้ไม่เป็น”

ฉันเคยเถียงแม่ว่าพ่อของตาลก็เป็นผู้ชายเหมือนกันแต่ทำไมพ่อของตาลยังทำกับข้าวเป็น แถมอร่อยอีกต่างหาก แล้วแม่ก็ไม่ได้ตอบคำถามของฉันให้กระจ่าง และวันนี้ฉันได้รับคำตอบที่แม่ไม่ต้องตอบ ว่าทำไมพ่อของตาลถึงได้ชอบทำหน้าที่แทนแม่ของเธอ และเป็นคำตอบที่เพื่อนอย่างฉันก็รับแทบไม่ได้

เมื่อเข้าบ้านได้ ฉันจับตาลนั่งลงที่โซฟารับแขกกลางบ้าน รอให้แม่ของตาลกลับมาก่อน ฉันถึงจะกลับบ้าน และไม่ลืมโทรไปบอกกับแม่ของฉันว่าวันนี้ฉันจะกลับบ้านค่ำหน่อยเพราะตาลไม่สบายใจ แต่ฉันก็ไม่ได้บอกความจริงกับเรื่องที่ตาลได้เจอในวันนี้ เพราะฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดกับแม่ยังไง

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า แล้วต้องไปหาหมอหรือเปล่าลูก” แม่ฉันถามมาจากปลายสาย

“ไม่เป็นอะไรมาหรอกแม่ เดี๋ยวก็ดีขึ้น รอแม่ของตาลเค้ากลับมาก่อน เดี๋ยวก็คงมา แม่ไม่ต้องห่วงนะคะจอยกลับบ้านช้านิดนึง”

“ต้องให้ไปรับหรือเปล่าจอย ถ้าตาลเป็นอะไรมากแล้วน้าเจนยังไม่กลับโทรมาบอกแม่ให้พาตาลไปหาหมอก็ได้นะลูก” แม่ส่งความห่วงใยมาจากปลายสาย

“ไม่ต้องค่ะแม่ เดี๋ยวจอยกลับเองดีกว่า ส่วนเรื่องตาลคิดว่าคงไม่ต้องไปหาหมอหรอกค่ะ ให้นอนสักพักคงดีขึ้น”

“งั้นดูแลตาลดีๆ นะลูกมีอะไรก็โทรมาหาแม่”

“ค่ะแม่” ฉันวางสายจากแม่แล้วก็หันมานั่งมองตาล

ตาลยังไม่กระดุกกระดิกไปไหน ยังคงนั่งนิ่งเป็นหุ่นร้านขายเสื้ออยู่ที่เดิม ฉันเขย่าตัวตาลเพื่อเรียกสติของตาลกลับคืนมา

“ตาลๆ อย่าเงียบได้ไหม เราขอร้อง”

แต่ก็ไร้ผล ยิ่งฉันเขย่า ตาลยิ่งนิ่ง

“อย่าทำแบบนี้ได้ไหมตาล เราขอร้อง พูดอะไรออกมาบ้างได้ไหม เราใจไม่ดีเลยที่ตาลเงียบ”

ไม่นาน ฉันก็เห็นน้ำตาของตาลไหลออกมาไม่ขาดสาย ตัวของตาลสั่นสะท้าน สะอึกสะอื้น แต่ไม่มีเสียงร้องไห้โฮออกมาดังๆ ตาลคงเก็บกดอัดอั้นเอาไว้ ฉันกอดตาลและโน้มใบหน้าของเธอมาซบที่ไหล่ฉัน สองมือของฉันก็ลูบหลังของตาลไปมา ราวกับตาลเป็นเด็กเล็กๆ ที่ต้องการความรักความอบอุ่นจากผู้ปกครองอย่างฉัน

“ทำไมจอยทำไม” เสียงตาลปนสะอื้นถามฉัน

“เรื่องของผู้ใหญ่เราเป็นเด็กตอบไม่ได้หรอกนะตาล” ฉันเอาคำพูดของตาลที่เคยพูดกับฉันกลับมาใช้กับตาลเอง

“ทำไมพ่อต้องทำแบบนั้นด้วย มันไม่ยุติธรรมเลย”

“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นเราเราคงไม่ยอมแต่งงานเพราะเราไม่กล้าที่จะแต่ง”

“แม่เราไม่ผิดนะจอย”

“แล้วแม่เราผิดเหรอตาล”

“มันไม่เหมือนกัน”

“ไม่เหมือนกันตรงไหนล่ะตาล มันเหมือนกันนั่นแหละ”

“แต่พ่อเราเค้า” ตาลเว้นระยะคำพูดของเธอเอาไว้ เพราะฉันพอจะเดาออกว่าตาลจะพูดอะไร

“เราเข้าใจ แต่มันก็เหมือนกันจริงๆ นะ เพราะทั้งสองคนต่างก็ไปมีคนใหม่ที่ไม่ใช่แม่ของพวกเรา ความรักมันไม่จำกัดเพศหรอกตาล เหมือนที่เราสองคนรักกันไงตาลจริงไหม”

ตาลไม่ตอบฉันเธอเงียบไปอีกครั้งหยิบผ้าเช็ดหน้าของเธอมาเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าออกแล้วเธอก็เงียบไป


เจนจิรายืนฟังลูกของเธอและจอยพูดคุยกันอยู่ที่ชานพักตรงประตูหน้าบ้าน ลูกคงรู้แล้วสินะว่าความลับที่เธอและสามีปกปิดมานานคงเปิดเผยออกมาแล้ว

เจนจิราสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ สองสามครั้งก่อนที่จะเก็บน้ำตาของเธอไว้

ลูกต้องไม่เห็นน้ำตาของแม่

ทุกอย่างต้องเป็นปกติ และวันนี้คงเป็นวันที่เธอต้องบอกเรื่องที่เก็บเอาไว้นานนับสิบปีให้ลูกได้ล่วงรู้

เมื่อตั้งสติได้ เจนจิราเดินเข้าบ้านและก็ต้องพบกับภาพของลูกสาวนั่งกอดอยู่กับจอยเพื่อนสนิทและร้องไห้

“เป็นอะไรลูกจอยสอบไม่ได้ที่หนึ่งหรือไงลูก ร้องไห้เป็นเผาเต่าเชียว”

จอยกับตาลถึงกับสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงของเจนจิรา

“คุณน้ามาเงียบจังเลยนะคะ”

“ไม่มาเงียบๆ จะได้เห็นเด็กขี้เยเหรอลูก” เจนจิราเดินไปนั่งที่โซฟาข้างๆ ลูกสาวของเธอ

“ไหนบอกแม่มาสิว่าใครรังแกลูกของแม่ เดี๋ยวแม่จะไปจัดการมันเอง” ไม่พูดเปล่าท่าทางถลกแขนเสื้อวางก้ามของเจนจิรา ทำให้จอยขำแต่กับตาลเธอยังนั่งมองหน้าแม่แล้วก็ร้องไห้

เจนจิราโอบกอดลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอ รู้ทั้งรู้แต่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ หัวใจของแม่อย่างเธอจะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ถ้าลูกรู้ความจริงอีกอย่างจะรับได้ไหม ถ้าลูกรู้ว่าเรื่องเริ่มต้นเป็นอย่างไร ลูกจะเข้าใจเธอหรือเปล่า

ฉันเห็นภาพสองแม่ลูกกอดกัน ก็คิดถึงวันที่แม่ของฉันกอดฉันแล้วร้องไห้ มันไม่ได้ผิดกันเลยเพียงแต่ตอนนี้ฉันคิดว่าน้าเจนยังไม่รู้เรื่องที่ฉันกับตาลได้ไปเจอมาหากน้าเจนรู้จะเป็นอย่างไรฉันไม่อยากจะคิดถึงมันเลยจริงๆ

ก่อนที่ฉันจะคิดอะไรเลยเถิดไป น้าศักดาก็กลับมาถึงที่บ้าน หิ้วของพะรุงพะรัง ราวกับว่าไปสัมมนาต่างจังหวัดมาจริงๆ ทั้งๆ ที่เมื่อบ่ายฉันยังเห็นน้าศักดาพ่อของตาลเดินอยู่ที่ห้างมาหมาดๆ

“แม่ลูกทำอะไรกันเอ่ย พ่อกลับมาแล้ว มีของฝากมาให้ตาลเยอะเลยลูก” เมื่อวางของเสร็จศักดาก็ก้มลงไปหอมแก้มภรรยาของตัวเอง

“อย่ามาแตะต้องตัวแม่ตาลนะ” เสียงของตาลตะโกนลั่นบ้าน ทำเอาทั้งฉัน ทั้งพ่อและแม่ของตาลตกใจทันที

ไม่พูดเปล่าตาลยังกระชากแขนแม่ของเธอให้ออกห่างพ่ออีกต่างหาก

“เป็นอะไรไปตาลทำไมทำกับพ่อแบบนี้” เจนจิราดุตาล

“ถ้าแม่ได้เห็นเหมือนที่ตาลเห็นแม่จะไม่พูดแบบนี้เลย”

“ตาลเห็นอะไร” ศักดาถามตาลสีหน้าเครียด

“พ่อตอบมาสิคะว่าเมื่อกลางวันพ่อไม่ได้ไปเดินห้าง ไม่ได้ไปกินอาหารญี่ปุ่น”

คำถามของตาลทำเอาศักดาถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ก่อนที่จะเงียบไป ไม่ตอบคำถามของลูกสาวตนเอง

“คุณอธิบายลูกแล้วกันผมจะไปอาบน้ำ เรื่องทุกอย่างคงต้องบอกลูกในวันนี้ ผมจะได้เป็นอิสระซะที” ศักดาพูดจบก็เดินจากไปปล่อยให้สองแม่ลูกได้เคลียร์กันเอง

“ตาลใจเย็นๆ นะลูก แล้วฟังแม่ เรื่องที่แม่จะเล่าต่อไปนี้ ตาลต้องสัญญาว่าจะทำใจยอมรับมันให้ได้” เจนจิราบีบมือลูกสาวของตัวเอง

“ค่ะแม่”

จากนั้นคำพูดทุกอย่างก็พร่างพรูออกมาจากปากของเจนจิรา


ยี่สิบปีที่แล้ว

เจนจิราหญิงสาวที่ยึดมั่นถือมั่นในความรัก เธอใช้ชีวิตร่วมกับแฟนหนุ่มของตัวเอง ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบปริญาตรี และเมื่อเวลาผ่านไป เธอเองก็รู้ว่าได้ตั้งท้อง ทั้งเธอและแฟนหนุ่มของเธอไม่พร้อมที่จะมีลูก “มารหัวขน” เป็นชื่อที่แฟนหนุ่มของเธอตั้งให้กับเด็กในท้อง

ทั้งๆ ที่เป็นลูกของคนทั้งคู่ แต่ฝ่ายชายไม่รับผิดชอบอะไรกับการกระทำที่คนสองคนได้สร้างขึ้น มีแต่ให้ไปเอาเด็กออก แต่เจนจิราเลือกที่จะเก็บเด็กเอาไว้ เพราะเด็กไม่ได้มีความผิดอะไร เมื่อเลือกเด็ก พ่อของเด็กก็จากไป เพราะความไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองกระทำ

เจนจิรามีเพื่อนที่สนิทอยู่คนเดียวคือศักดา ทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกัน และเจนจิราก็สบายใจที่ได้พูดคุยปรับทุกข์กับศักดา จนเมื่อเรียนจบ ท้องของเจนจิราก็โตขึ้น สิ่งเดียวที่ศักดาช่วยเธอก็คือ ยอมจดทะเบียนสมรสด้วยและรับเด็กในท้องเป็นลูกของเขาเอง

ศักดาโดนพ่อแม่จะจับแต่งงาน เขาไม่สามารถที่จะทำใจแต่งกับผู้หญิงคนไหนในโลกนี้ได้ เพราะเขาเป็นเกย์ เมื่อเจนจิรามีทางเลือกใหม่มานำเสนอ เพื่อให้ทั้งคู่ไม่โดนทางบ้านประณาม และเพื่อไม่ให้ต้องถูกขับออกจากบ้าน ทั้งคู่เลือกที่จะไปขอขมาพ่อกับแม่ของเจนจิราและรับลูกในท้องของเจนจิราเป็นลูก

ทั้งคู่ย้ายออกมาอยู่ด้วยกัน พ่อแม่ของศักดาก็รักตาล ตาลเป็นเด็กน่ารัก แรกเกิดตัวขาว หน้าตาจิ้มลิ้ม ศักดาก็รักตาลเหมือนลูกแท้ๆ เพราะเขารู้ว่าชาตินี้ทั้งชาติเขาคงไม่มีปัญญามีลูกเป็นของตัวเอง

กฏเหล็กของศักดาและเจนจิราก็คือ ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกัน เรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไม่ก้าวก่ายกัน เจนจิราจะไปทำอะไร หรือศักดาจะไปทำอะไรก็ได้ตามแต่จะปรารถนา แต่มีสิ่งเดียวก็คือเมื่อกลับมาถึงบ้าน ทุกอย่างต้องอยู่ที่ลูก ต้องไม่ให้ลูกรู้ว่าเรื่องของพ่อกับแม่เป็นมาอย่างไร

แต่เมื่อถึงเวลาก็ต้องบอกความจริง เพื่อทั้งสองคนจะได้ปลดปล่อยกันและกัน ไปสู่อิสรภาพ เจนจิรารับได้อยู่แล้วกับข้อเสนอ และศักดาเองก็รับได้เช่นกัน

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ศักดาได้พบกับคนรักที่เขาคิดว่ารักกันจริงๆ ทุกอย่างก็อึมครึม เขาเอาความมาเล่าและบอกกับเจนจิราเมื่อสิบกว่าปีก่อน ว่าเขาพบคนที่ใช่แล้ว แต่เจนจิราขอไว้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องส่วนตัวของศักดา แต่ขอว่าอย่าให้ลูกได้ล่วงรู้ เพราะลูกยังเด็กเกินกว่าที่จะรับได้ว่าพ่อกับแม่แยกทางกัน

ศักดาขอเจนจิราว่า เขาต้องการที่จะอยู่กับคนรัก เดือนละหนึ่งครั้ง เพราะถึงอย่างไรคนรักของเขาเองก็อยู่ไกล เดินทางมากรุงเทพบ่อยๆ ไม่ได้ และก็กลายเป็นเรื่องปกติไปสำหรับตาลที่จะรู้ว่าพ่อต้องไปทำงานต่างจังหวัดเดือนละหน และเมื่อพ่อกลับมาก็มีของฝากจากต่างจังหวัดมาให้เสมอๆ ตาลก็เลยไม่เคยคิดถึงเรื่องอื่นและชอบด้วยซ้ำไปที่พ่อไปต่างจังหวัดเพราะเธอจะได้กินขนมแปลกๆ เมื่อพ่อกลับมาบ้าน

เรื่องราวถูกเล่าจากปากของเจนจิราให้ตาลและจอยได้รับรู้

“แล้วตอนนี้ลูกจะไปขอโทษพ่อได้หรือยังล่ะตาล แม้ว่าพ่อจะไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของตาลแต่พ่อก็รักลูกมากนะ” เจนจิราถามตาล ที่นั่งอึ้งกับคำบอกเล่าของเธอ

“แม่รู้ว่าลูกทำใจไม่ได้ แต่ลูกรู้ไว้เถอะว่าพ่อเค้ารักลูกมากกว่าพ่อแท้ๆ ของลูกซะอีก”

อย่าว่าแต่ตาลเลยแม้กระทั่งฉันเองยังอึ้งกับเรื่องที่แม่ของตาลเล่า มันเหมือนนวนิยายเรื่องยาวที่ใช้เวลาเขียนถึงยี่สิบปีเต็มๆ เขียนมาทั้งชีวิตของตาลก็ว่าได้ และเรื่องนี้ยังไม่มีตอนจบ แล้วก็ไม่รู้ว่าตอนจบของเรื่องจะยังมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอยู่ต่อไปอีกหรือไม่

เป็นฉันถ้าฉันเป็นตาลฉันคงอึ้งมากกว่านี้ อยู่ๆ เมื่อต้องมารับรู้ความจริงว่า พ่อที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของตัวเอง ฉันคงเสียใจมากและคบงทำอะไรไม่ถูกไปหลายวัน

ฉันคงอยากกลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรวันๆ ก็กินแล้วก็นอน รอวันเติบโต ถ้าโตแล้วต้องมารับรู้เรื่องแบบนี้ฉันขอที่จะเป็นเด็กตัวเล็กๆ ดีกว่า เรื่องแบบนี้ปวดหัวและยุ่งยากเกินกว่าที่เด็กอายุยี่สิบอย่างฉันจะเข้าใจ



ฉันออกมาจากบ้านของตาล เพราะตาลบอกให้ฉันกลับบ้านเธออยากอยู่คนเดียว คิดอะไรคนเดียวผิดกับฉันเพราะถ้าหากฉันไม่สบายใจ ฉันจะยึดตาลเป็นสรณะ

ฉันก็ยังไม่ได้เล่าเรื่องของตาลให้แม่ฟัง บอกแต่ว่าตาลไม่สบายปวดหัวเป็นไข้นิดหน่อยแล้วตอนนี้น้าเจนก็กลับมาที่บ้านคอยดูแลตาลแล้ว ฉันถึงได้กลับมาที่บ้าน

ฉันพูดคุยกับแม่นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็เข้ามาหมกตัวอยู่ที่ห้องนอนของตัวเอง ฉันสองจิตสองใจที่จะโทรหาตาล ฉันไม่กล้าที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายไปบ้านของตาล เพราะรู้ดีว่าเมื่อตาลบอกว่าอยากอยู่เงียบๆ นั่นแสดงว่าตาลต้องการที่จะอยู่คนเดียวจริงๆ

ตาลมีความอ่อนโยนที่ซึมซับมาจากคุณศักดา และมีความเข้มแข็งที่ได้มาจากคุณเจนจิรา ตาลถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีให้มีความคิดเป็นของตัวเอง กล้าคิดกล้าทำกล้าพูด ฉันเสียอีกไม่เคยเป็นแบบเธอและเป็นไม่ได้อย่างที่เธอเป็น

“ขอให้คืนนี้ของตาลผ่านไปด้วยดีด้วยเถิดเจ้าประคุ๊ณ” ฉันยกมือไหว้ไปทั่วทิศ ขอพรสิ่งศักสิทธิ์ เพื่อคุ้มครองคนที่ฉันรักสุดหัวใจ

จบบที่ ๗




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:32:35 น.
Counter : 306 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.