It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

บทที่ ๑๖ ใช่เธอหรือเปล่า



คืนนั้นต้องเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ฉันสละที่นอนแผ่นบางๆ ให้เธอ ส่วนตัวเองปูเสื่อนอนอยู่ในห้องเดียวกับเธอ ต้องคงเหนื่อยจากการเดินทาง เพราะที่อยู่ของฉันเดินทางค่อนข้างลำบาก ฤดูนี้ดีหน่อย ถ้าเป็นฤดูฝน ที่นี่แทบจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกลำธารที่เคยผ่านได้มีน้ำหลาก จะข้ามฝั่งก็ต้องต่อแพข้ามและสาวเชือกข้ามฝั่งไปกันเอง

หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ได้แห้งแล้วและกันดาร เพียงแต่ห่างไกลความเจริญมากโข เริ่มแรกที่ฉันมาอยู่ที่นี่ ฉันอยากจะทำที่พักแบบโฮมสเตย์ แต่เมื่อเห็นชีวิตของชาวบ้านแล้วก็ไม่อยากจะไปแตะต้องความเป็นธรรมชาติและชีวิตชนบทของที่นี่ และปรับตัวเองให้เข้ากับสังคมของที่นี่ โดยทิ้งความสะดวกสบายไว้ข้างหลัง ชีวิตชนบทที่สงบหาได้ยากในสังคมเมือง

คนบ้านป่าบ้านดอยมีความเอื้ออาทรกันและกันมากกว่าสังคมเมือง ไม่มีก็แบ่งปันให้ มีก็แจกจ่าย เงินแทบไม่ต้องใช้ รอยยิ้มมีทุกใบหน้า ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีสาธารณูปโภคครบ ไม่มีน้ำประปา ไม่มีกระแสไฟฟ้า แต่ไม่มีใครเคยบ่นว่าลำบาก เพราะทุกคนเคยชินและคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอิงธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร

ผิดกับคนในเมือง ร้อนหน่อยก็ติดแอร์ เย็นหน่อยก็บ่นหนาวต้องติดเครื่องทำน้ำอุ่น ไกลหน่อยก็ซื้อรถออกมาขับให้รถติดทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งชั่วโมงเร่งด่วนระยะทางแค่ ไม่กี่ร้อยเมตรใช้เวลาเป็นชั่วโมง ถ้าหากทิ้งรถและเดินคงเข้าไปนั่งพักร้อนได้สบายๆ ไปแล้ว

ไม่ใช่แต่เพียงเมืองหลวงที่ประสบปัญหารถติด ตอนนี้คืบคลานไปทั่วทุกจังหวัด หน้าโรงเรียนทางเข้าห้าง ทางเข้าตลาด รถยั้วเยี้ยไปหมด

คนบนดอยไปไหนก็พลอยกันไป มีแค่รถอีแต๋นคันเดียวไปกันได้ทั้งหมู่บ้าน ถ้อยทีถ้อยอาศัย หนักนิดเบาหน่อยช่วยเหลือกัน มันเป็นชีวิตที่ฉันไม่เคยเห็นเมื่ออยู่ในเมือง ถ้าอยู่ในเมืองนะเหรอ คนเดินถนนออกจากซอยฉันยังไม่กล้าจะรับขึ้นรถ ทั้งๆ ที่มีจุดหมายคือปากซอยเหมือนกัน แล้วคนที่เดินอยู่หากฉันจอดรับ คนเหล่านั้นก็คงไม่กล้าที่จะขึ้นรถของฉันเพราะเกรงว่าฉันจะทำอันตรายพวกเขาเช่นกัน

คิดอะไรเรื่อยเปื่อย พยายามข่มตานอนเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับ ในสมองอดคิดถึงเนื้อตัวนุ่มๆ ลื่นๆ ของต้องที่ฉันอาบน้ำให้เมื่อตอนเย็น ต้องคงไม่ได้คิดอะไรแบบที่ฉันคิด เธอนอนหลับเสียงหายใจสม่ำเสมอ ส่วนฉันถอนหายใจฟืดฟาด

ในที่สุดก็ต้องออกมาจากห้องนอนของตัวเอง ออกมานั่นตาก-ลม ตากน้ำค้าง พรุ่งนี้ได้กำหนด ต้องตัดผักไปขาย ฉันต้องตื่นแต่เช้า เพราะไม่อย่างนั้นจะเอาไปส่งรถที่จะเข้าอำเภอไม่ทัน ถ้าเลยงวดนี้ก็ต้องรออีกเจ็ดวัน ผักก็คงแก่ไปมากกว่าเดิมและก็ต้องปลิดใบทิ้ง เพราะผักแก่ๆ คนในเมืองไม่นิยมบริโภค

ฉันนั่งอยู่ที่หน้าบ้านจนค่อนคืน คืนนี้พระจันทร์สวย สว่างกระจ่าง ท้องฟ้าแทบมองไม่เห็นหมู่ดาวเลยสักดวงเพราะแสงจันทร์บดบังแสงดาวไปเกือบหมด ปกติดาวบนท้องฟ้าแห่งนี้จะเห็นได้ชัดมาก ยิ่งฤดูหนาวท้องฟ้าโปร่งๆ ยิ่งเห็นชัด ฉันชอบออกมานอนปูเสื่อดูดาวคนเดียวตอนกลางคืน

“อ๊ะดาวตก” ฉันเห็นดาวตกหรือผีพุ่งใต้เป็นเส้นยาวๆ จากกลางท้องฟ้า และก็มีมาเรื่อยๆ

“สงสัยวันนี้จะมีฝนดาวตกแฮะ เยอะจริงๆ จะอธิฐานอะไรดีน้า” แล้วก็นึกถึงโฆษณาชิ้นหนึ่ง สาวคนหนึ่งเห็นดาวตกและอธิฐานว่าขอให้โลกสงบสุข ฉันคงไม่ใช่คนที่จะขออะไรที่ใหญ่โตขนาดนั้น

ฉันขอแค่ขอให้ตัวเองมีความสุขก็เพียงพอแล้ว ตั้งใจอธิฐานหลับตา และปลดปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของต้อง

“พี่จอยมาตากน้ำค้างทำไมคะ น้ำค้างแรงออก”

“อ้าวต้องตื่นแล้วเหรอ พี่ออกมาดูดาวตกน่ะต้อง” ฉันหันไปบอกผู้มาใหม่

“มีด้วยเหรอพี่ไหนคะ” คนมาใหม่แหงนหน้ามองฟ้า

“มีสิ นั่นไงตกอีกดวงแล้ว” ฉันชี้ไปยังลำแสงที่พุ่งออกมาจากหลังดวงจันทร์

“มีดาวตกจริงๆ ด้วยสวยจังเลยค่ะพี่จอย” ดูเหมือนว่าต้องจะตื่นเต้นที่ได้เห็นดาว

“ใช่สวยมากๆ อยู่ในเมืองไม่มีทางได้เห็นแบบนี้แน่ๆ”

“อืมใช่ค่ะ” เธอเดินมานั่งลงบนเสื่อข้างๆ ฉัน

“ไม่หนาวเหรอออกมาไม่ใส่เสื้อกันหนาว ที่นี่ลมแรง น้ำค้างหนาระวังจะเป็นหวัดนะ” ฉันทักต้องเพราะเห็นเธอใส่เสื้อแขนสั้น กางเกงนอนขาสั้นแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ หรือเธอจะคุ้นชินกับอากาศหนาวจากต่างแดนก็ไม่อาจรู้ได้ อากาศเมืองไทยแค่ไม่กี่องศาก็เลยไม่ระคายผิวของเธอ

“ต้องหลับไปแล้วตื่นนึง พอตื่นขึ้นมาไม่เห็นพี่ก็เลยเดินออกมาดูว่าพี่ทำอะไร ดีนะที่พระจันทร์สว่างไม่อย่างนั้นต้องกลัวผีแน่ๆ เลยพี่”

“เป็นโรคเดียวกันเลยเมื่อก่อนพี่ก็กลัว แต่ตอนนี้พี่ไม่กลัวอีกแล้วพี่อยากเห็นด้วยซ้ำไป”

“โดยเฉพาะพี่ตาลใช่หรือเปล่าคะ”

“ใช่พี่อยากเห็นตาล อยากเจอตาล”

“ป่านนี้พี่ตาลไปเกิดแล้วค่ะไม่มาให้พี่เห็นแล้ว”

“รู้ได้ไง ตาลอาจจะอยู่ข้างๆ พี่ตลอดเวลาก็ได้ใครจะไปรู้”

“นั่นสิเนอะ ต้องเองก็ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้พี่ตาลอยู่ไหน พี่ตาลอาจจะกำลังขี่ดาวตกเล่นอยู่บนฟ้าหรือขี่ไม้กวาดเที่ยวไปดูดาวเสาร์หรือไปนอกสุริยะจักรวาล ก็ได้เนอะพี่จอย”

ฉันขยี้ผมของเด็กช่างคิด ต้องมีส่วนคล้ายตองทั้งนิสัยและหน้าตา การมองโลกในแง่ดีของต้องเหมือนตาลไม่มีผิด

“น้ำค้างแรงหัวเปียกหมดแล้วเด็กน้อย” ฉันปลดผ้าผืนยาวที่ใช้พันคอของตัวเองไปคลุมศีรษะให้กับต้อง

“ไม่เคยเจอน้ำค้างแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกเข้าบ้านกันไหม”

เธอส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะตอบฉันว่า “ต้องอยากดูดาวตกบ้างนี่คะพี่ ที่พี่ยังออกมาดูคนเดียวได้ตั้งนานสองนาน ตอนแรกคิดว่าพี่เข้าห้องน้ำซะอีก”

“อ้าวเราตื่นนานแล้วเหรอ”

“ยังไม่ได้หลับต่างหากคะ ได้ยินแต่เสียงคนถอนหายใจ”

“เหรอ แปลกที่หรือไง”

“มันก็มีส่วนค่ะพี่”

“ที่นอนบ้านพี่มันคงไม่สบาย เดี๋ยวพี่จะฝากเค้าซื้อจากในเมืองมาให้ใหม่ก็แล้วกัน แต่ถ้ารอไหวไปจ้างป้าที่ตลาดให้เค้าทำที่นอนนุ่นใหม่ๆ ให้ก็ได้นะแต่ต้องใช้เวลานิดนึง”

“งั้นรอก่อนก็ได้ค่ะพี่ ต้องยังอยู่กับพี่อีกนานไม่ได้รีบไปไหน”

“แต่มันใช้เวลาหลายวันนะ”

“กี่วันต้องก็รอได้ค่ะ ก็รอมาหลายปีแล้วนี่คะรออีกนิดจะเป็นไรไป”

ฉันสะอึกกับคำพูดของต้องแม้จะรู้ความในว่าที่ต้องพูดหมายถึงอะไร แต่ฉันก็แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจและบ่ายเบี่ยง แถมยังล้มตัวลงนอนบนเสื่อชื้นๆ เพราะน้ำค้าง แหงนหน้ายกมือก่ายหน้าผากดูดาวตกต่อ ต้องก็ไม่ยอมน้อยหน้าล้มตัวลงนอนข้างๆ ฉัน

“เอาผ้ามาให้ต้องแล้วพี่ไม่หนาวเหรอคะอะแบ่งๆ กัน เดี๋ยวจะหาว่าต้องมาแย่งพี่ใช้” ไม่ว่าเปล่าเธอปลดผ้าที่ฉันพึ่งจะคลุมให้เธอเอามาคลุมให้ฉันด้วยอีกคน เราสองคนนอนนับดาวตกกัน แม้แสงจันทร์จะรบกวน แต่ก็ยังคงพอมองเห็น ดอยแห่งนี้สูง ห่างไกลจากแสงรบกวน หากจะมีก็แค่แสงตะเกียงกับแสงหิ่งห้อยเท่านั้น นอกนั้น ในคืนเดือนมืด มันมืดสนิทจริงๆ มืดจนแทบมองอะไรไม่เห็นนอกจากแสงดาว

“หนาวหรือเปล่าพี่เข้าไปเอาเสื้อกันหนาวให้เอาไหม” ฉันขยับตัวจะลุกขึ้นแต่ก็โดนมือของต้องกดตัวฉันให้นอนข้างๆ เธอเหมือนเดิม

“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่จอยถ้าต้องหนาวมากๆ ต้องกอดพี่จอยดีกว่าอุ่นกว่าเสื้อกันหนาวเยอะเลย”

“พี่ว่ากลับเข้าห้องนอนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สบาย” ฉันพยายามเลี่ยงด้วยความนุ่มนวนที่สุดแล้วนะ

“ถ้างั้นพี่จอยไปส่งต้องเข้าห้องน้ำหน่อยสิคะ มืดๆ แบบนี้ต้องไม่กล้าเดินไปคนเดียวหรอกนะ”

“งั้นรอพี่นะพี่ไปเอาตะเกียงก่อน” ฉันรีบลุกแทบจะทันทีที่พูดจบ วิ่งเข้าบ้านไปหยิบตะเกียงและเดินกลับมานำเธอไปห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

“พี่จอยรอต้องด้วยสิต้องกลัว” ต้องรีบเดินมาเกาะแขนฉันเอาไว้ “แขนพี่จอยแข็งแรงจังเลยเนอะ กล้ามป็นมัดๆ เลย” เธอบีบต้นแขนฉันไปมาและเกาะแขนฉันแน่นไม่ยอมปล่อย

“คนทำงานสวนปลูกผักปลูกหญ้าก็แบบนี้แหละ จะให้เนื้อนิ่มๆ แบบคนทำงานในห้องแอร์ได้ไงต้อง อะถึงแล้ว รีบๆ เข้าไปเถอะ เอาตะเกียงเข้าไปด้วยหรือเปล่า เข้าไปแล้วปิดประตูด้วย”

“ไม่ปิดได้หรือเปล่าพี่ต้องกลัว แล้วพี่ก็ยืนอยู่ที่ประตูด้วยนะ ต้องจะได้เห็นว่าพี่อยู่กับต้อง”

“ทำเป็นเด็กเล็กๆ ไปได้ ไม่อายผีสางบ้างหรือไง”

“อายก็อายหรอกพี่ แต่ต้องกลัวมากกว่านี่นา อย่าไปไหนนะพี่ อยู่ตรงนี้นะ” ต้องเอาตะเกียงจากมือฉันไป และก็เข้าห้องน้ำ เธอไม่ปิดประตูจริงๆ อย่างที่เธอบอกจริงๆ ฉันแทบจะหันหลังกลับไม่ทัน ที่กลัวไม่ได้กลัวอะไรหรอกไม่อยากเห็นภาพต้องตอนเข้าห้องน้ำต่างหาก เด็กอะไรโตแล้วไม่รู้จักโต

ไม่นานนักต้องก็ออกมาจากห้องน้ำ “เสร็จแล้วพี่ แล้วพี่จะเข้าห้องน้ำรึเปล่า”

“เข้าสิไหนๆ มาแล้วก็เข้าซะหน่อย” ฉันยื่นตะเกียงในมือให้กับต้อง

ต้องรับตะเกียงจากฉันแล้วก็บอกว่า “อย่าปิดห้องน้ำนะ”

“จะบ้าเหรอ เอาตะเกียงไว้สิจะได้ไม่มืด”

“ไม่เอา ต้องกลัวนี่นา”

“กลัวอะไรนักหนา โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้ว ยังจะกลัวอีก”

“ไม่เอาพี่จอยต้องเปิดประตูทิ้งไว้ตอนเข้าห้องน้ำด้วย”

“ท่าจะเพี้ยนไปแล้วแม่พุดเดิ้น”

“เอ๊ะบอกแล้วว่าต้องไม่ใช่หมานะ”

“เรียนมาก็ตั้งสูงตายังขาวอีกเหรอ”

“เรียนสูงหรือไม่สูงมันก็กลัวได้นี่พี่ ว่าแต่พี่เถอะจะเข้าห้องน้ำหรือไม่เข้า”

“เข้าสิ” ฉันเดินผ่านเธอที่ยืนขวางประตูห้องน้ำอยู่เข้าไปและคว้าประตูหมายจะปิดแต่ไม่ทัน

“ห้ามปิดประตูนะ” ต้องเดินมาจับประตูห้องน้ำของฉันไว้ อีกมือก็ถือตะเกียงไว้ในมือ

“เออๆ ไม่ปิดก็ได้ อย่าหันมาแล้วกัน” ฉันเริ่มอ่อนใจ เด็กอะไรขี้กลัวขนาดนั้น

“ไม่อยากดูนักหรอกน่าทำธุระของพี่ไปเถอะ เร็วๆ ด้วยต้องหนาวแล้ว” เสียงของต้องถูกส่งออกมาจากปากของเธอไม่ขาดระยะ แค่มีคนมายืนอยู่หน้าห้องน้ำฉันก็แทบจะทำอะไรไม่ถูกแล้ว นี่ยังมาให้ฉันเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้อีก หดหายหมดเลยฉัน กว่าจะเค้นออกมาได้ นานโขเลยแหละ

“ทำไมนานจัง” ต้องทำท่าจะหันหลังกลับมาดูฉัน

“เอ๊ยอย่าหันมาเดี๋ยวเสร็จแล้ว” ฉันร้องห้ามต้องเสียงหลง ห้ามคนที่กำลังจะหันมา เพราะสภาพตอนนี้ไม่พร้อมให้ใครได้มองหรอกนะ แม้ว่าโถที่ใช้จะเป็นโถนั่งก็ตามเถอะ แต่ถ้าเห็นก็คงเป็นภาพที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไหร่นัก และฉันก็ไม่เคยให้ใครเห็นฉันตอนนั่งทำธุระด้วยสิ ต้องทำเอาฉันหน้าแดงไปหมด รีบๆ เร่งระบายของเก่าออกมาแล้วก็ออกไปจากห้องน้ำ แทบจะทันที

“คราวหน้าคราวหลังไม่เอาอีกแล้วนะยะแม่คุณ หดหมดเลยฉัน”

“แฮะๆ ก็เห็นพี่เข้าไปนานสองนาน”

“ก็เล่นมายืนคุมแบบนี้ ใครจะกลั่นออกมาได้เล่า”

“เอ๊าก็คนมันกลัวนี่นา”

“กลัวก็กลับเข้าบ้านไปสิ”

“กลับได้ไงเล่าก็บอกว่ากลัว”

“เออเอากะมันดิ”

“เอาไม่มันอย่าเอานะพี่”

“อ๊ายยายเด็กบ้า ดูพูดเข้า ใครมาได้ยินจะว่าไงเป็นสาวเป็นแซ่พูดกับผู้ใหญ่แบบนี้ได้เหรอ” ฉันเงื้อมือจะฟาดเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แต่ช้ากว่าเจ้าตัวที่วิ่งหนีเข้าบ้านไปแล้ว

เด็กอะไรพูดจากำกวม ทำเอาผู้ใหญ่อย่างฉันฟังแล้วคิดตาม หน้าแดงจนร้อนไปหมด ถ้าคืนนี้ไม่ได้ฟาดก้นเจ้าเด็กแสบ ฉันคงนอนไม่หลับอย่างแน่นอน


ฉันเดินตามเจ้าพุดเดิ้นตัวแสบกลับเข้าไปในบ้าน เจ้าตัวบอกว่ากลัวผี แต่ไม่คิดบ้างเลยว่าฉันจะเดินกลับเข้าบ้านได้อย่างไร ดีนะที่คืนนี้มีแสงจันทร์นำทาง ไม่อย่างนั้นฉันเดินกลับเข้าบ้านไม่ถูกแน่ๆ

เปิดประตูเข้าไป แสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันยังส่องให้ความสว่างภายในห้องแต่แม่ตัวดีล้มตัวลงนอนหลับตาพริ้มไปแล้ว ฉันนั่งลงข้างๆ และเอ่ยปากพูด

“ไม่ต้องมาแกล้งหลับเลยยายพุดเดิ้น ปล่อยพี่เดินงมกลับบ้านมืดก็มืด”

เสียงหัวเราะคริกๆ ส่งออกมาจากคนที่แกล้งนอนหลับ แถมยังหันหลังให้ฉันอีกต่างหาก

“ยังมีหน้ามาหัวเราะอีก”

คนนอนตะแคงพลิกตัวกลับมาและลืมตามองหน้าฉัน ตาของเธอสะท้อนแสงตะเกียงเป็นเงาสะท้อนสวยงาม จนฉันเกือบจะอดใจไว้ไม่ไหว

“ก็ใครใช้ให้มาแกล้งต้องก่อนเล่า”

“พี่นี่นะแกล้งต้อง พี่ไปทำอะไรตอนไหน”

“ก็มาหลอกผีต้อง”

“พี่นี่นะไปหลอกผีต้อง มีแต่ต้องแหละแกล้งพี่คนจะเข้าห้องน้ำ ไม่เป็นสุขเลย”

“ก็พี่มาทำให้ต้องกลัวผีก่อนทำไมเล่า”

“เออนะคนเราทำผิดแล้วยังมาปากดีว่าคนอื่นเค้า แบบนี้ต้องตีให้ก้นลายเลย” ฉันเงื้อมือหมายจะฟาดลงไปที่ก้นของต้อง แต่ก็โดนเจ้าของก้นคว้าข้อมือของฉันเอาไว้

“อย่านะต้องไม่ผิดมาตีต้องได้ไง พ่อไม่เคยตีต้องเลยสักครั้ง พี่จอยใจร้ายจะตีต้อง” คนพูดตีหน้าเศร้าจนฉันอ่อนใจ

“เออๆ ไม่ทำอะไรก็ได้ ไปนอนก็ได้วะ เด็กอะไร” ฉันพลิกตัวลุกจากที่นั่งข้างๆ ต้องไปล้มตัวลงนอนบนเสื้อ เอาผ้าขาวม้ามาห่มและหลับตาลง

ไม่นานนักแม่ตัวดีก็มาล้มตัวนอนข้างๆ ฉัน

“ต้องหนาวขอนอนด้วยคนนะพี่จอย” ไม่ใช่แค่คำพูดต้องกอดฉันด้วย

“ไปนอนที่ของต้องสิ ที่นี่พื้นมันแข็งนอนไม่สะดวกหรอก”

“งั้นพี่จอยก็ไปนอนกับต้องสิ”

“จะนอนได้ไงที่นอนมันแคบจะตายไป”

“ได้สินะๆ พี่จอยตัวไม่เห็นจะโตเลยนอนกอดกันอุ่นดีออก”

เมื่อทนการรบเร้าไม่ไหวฉันก็เลยไปนอนที่นอนเดียวกับต้อง ต้องหันหน้ามาหาฉัน ฉับแขนของฉันพาดไปตรงลำตัวของเธอปากก็กระซิบว่า

“ลูบหลังให้ต้องหน่อยดิพี่จอย ต้องนอนไม่หลับถ้าไม่มีคนลูบหลังให้”

“เรื่องมากจริงๆ เด็กคนนี้” ปากก็ว่าแต่มือก็ลูบหลังเด็กเรื่องมากไปด้วย เด็กน้อยหลับตาลงหายใจสม่ำเสมอมากขึ้นและตอนนี้ฉันคิดว่าต้องหลับไปแล้วจริงๆ

“หลับง่ายจังนะแม่พุดเดิ้นน้อย พี่น้องเหมือนกันจริงๆ บทจะหลับก็หลับไปง่ายๆ ซะงั้น” ฉันขยับตัวจะลุกจากที่นอนของต้อง แต่พอพลิกตัว แขนที่โอบกอดฉันไว้ก็รั้งตัวฉันให้เข้าไปใกล้เธอ ท่าทางจะหนาว

“หนาวเหรอ ห่มผ้าอีกผืนไหมพี่ไปเอาให้”

“ไม่ต้องค่ะกอดพี่ก็อุ่นแล้ว” ฉันไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรอีก หลับตาลงช้าๆ ด้วยความเพลีย


แสงสีขาวๆ ปรากฏตรงหน้าของฉัน ภาพตรงหน้าฉันเห็นตาลในชุดสีขาว เหมือนๆ ว่าเธอจะนุ่งขาวห่มขาว เธอยิ้มให้กับฉัน รอยยิ้มของตาลสวยเสมอ เป็นยิ้มที่ฉันไม่มีวันจะลืม

“ตาลไปบวชมาเหรอ”

“ที่นี่ไม่บวชก็เหมือนบวช”

“ตาลคงสบายดีนะ”

“สบายมากๆ เลยล่ะจอย”

“เราคิดถึงตาล”

“จะคิดถึงคนที่จากแล้วทำไม คิดถึงคนที่อยู่ในอ้อมกอดสิ”

“เราไม่มีใครให้กอด”

“แล้วคนที่จอยกอดอยู่ไม่ได้ช่วยให้จอยลืมเราเลยเหรอ”

ฉันส่ายหน้า “ไม่เลยสักนิด”

“ลืมเรื่องเก่าๆ ทำแต่สิ่งใหม่ๆ ดีไหมจอย เรื่องของเรามันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้”

ฉันเห็นภาพตัวเองนอนกอดต้องแล้วก็ใจหายคนที่ฉันกอดไม่ใช่ตาลคนที่ยืนคุยกับฉัน

“เห็นไหมว่าน้องยังมีเลือดเนื้อ มีร่างกาย มีลมหายใจ ผิดกับเราไม่มีอะไรที่จอยสามารถจับต้องได้เลย เราเป็นแค่ภาพฝันของจอยเท่านั้น เลือดเนื้อจิตวิญญาณเราได้แตกดับสูญสลายไปแล้ว จอยคิดดีๆ เถอะนะ ว่าจะเลือกอยู่กับความฝันหรือความเป็นจริง”

ฉันคิดอยู่นานก่อนจะตอบตาลไปว่า “ใครจะลืมรักครั้งแรกและรักครั้งเดียวของตัวเองได้ล่ะตาล”

“ได้สิ มนุษย์ไม่ได้ยึดติดกับความหลังมากนักหรอกนะ สักวันเมื่อปัจจุบันมีอะไรที่ดีกว่า ความหลังเราก็จะลืมไปเอง”

“แต่เราคงไม่ลืมตาล”

“จอยเก็บเราไว้ ยึดติดกับเรา เราก็เลยยังไม่ไปไหน วนเวียนอยู่กับจอย ปลดปล่อยเราไปเถอะนะจอย ปล่อยเราไปอยู่ในโลกของเรา”

“หมายความว่าที่เราทำอยู่ทุกวันนี้มันทำให้ตาลไม่ได้ไปไหนอย่างนั้นเหรอ”

ตาลพยักหน้าช้าๆ เป็นคำตอบให้กับฉัน

“ปลดปล่อยเรานะจอย ไปอยู่กับคนที่พร้อมที่จะดูแลจอยแทนเรา”

“ตกลงถ้านั่นคือสิ่งที่ตาลต้องการ เราจะปล่อยตาลไป โชคดีนะที่รัก”

เธอยิ้มให้ฉันอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่แสนหวานเช่นเคย ฉันโล่งใจอีกครั้ง ที่เห็นตาลยิ้ม “ลาก่อนจอย”

“ลาก่อนตาล” ฉันร้องบอกกับเธอ และสะดุ้งตื่น ข้างกายของฉันยังมีต้องนอนอยู่ข้างๆ แขนของฉันต้องใช้ต่างหมอน ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของฉัน เวลาต้องหลับ เป็นเด็กๆ แบบนี้ ทำให้ฉันคิดถึงเด็กตัวน้อยๆ ฉันกอดกระชับร่างของต้องให้มาอยู่ใกล้ๆ ฉัน ดูเหมือนว่าต้องจะว่าง่ายยอมเข้ามาในอ้อมกอดฉันอย่างง่ายดาย

ตาลพูดถูกถ้าไม่ทิ้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตก็คงไม่มี เพราะฉันมัวแต่จมปลักอยู่กับอดีตจนลืมไปว่าปัจจุบันฉันเป็นใคร มีหน้าที่อะไร ฉันไม่ได้ทำตัวเป็นลูกที่ดีของแม่ ไม่ได้ทำตัวเป็นลูกที่ดีของพ่อ แถมยังปลีกวิเวกมาอยู่ไกลๆ เพื่อที่จะหนีหัวใจของตัวเอง

จนแล้วจนลอดฉันก็หนีหัวใจตัวเองไปไม่พ้น และครั้งนี้ถ้าฉันจะใช้ต้องมาเป็นคนที่คอยรักษาแผลในหัวใจของฉัน มันจะผิดหรือเปล่า ฉันก้มลงหอมที่หน้าผากของต้อง ฉันจะต้องตัดเรื่องที่ต้องเหมือนตาลออกจากใจไปให้หมด ฉันต้องมองเห็นต้องเป็นต้องไม่ใช่เงาของตาลอย่างที่ฉันมองอยู่ทุกวัน

ฉันจะทำได้หรือเปล่า ใครก็ได้เป็นกำลังใจให้ฉันทีเถอะ

จบบทที่ ๑๖




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:41:57 น.
Counter : 357 Pageviews.  

บทที่ ๑๕ ปลีกวิเวก



ฉันกลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง เข้าไปแชตในเวปเหมือนเดิม ด้วยจิตใจที่หดหู่ ผู้คนมากมายหลากหลายจนลายตา มีคนคุยกันเรื่องสนุกๆ คุยกันเรื่องนิยาย เรื่องหนังเรื่องนัดชวนไปเที่ยว ฉันก็ยังเป็นคนที่นั่งแอบมองแอบอ่านอยู่ดี

นิ้งเข้ามาและเห็นชื่อฉัน เธอทักทายฉันชวนฉันคุยทั้งเรื่องงานเรื่องหัวใจ เรื่องอะไรต่ออะไรจิปาถะ มันทำให้ฉันลืมความเจ็บปวด ลืมเรื่องที่เคยเศร้าใจ นิ้งบอกว่าตอนนี้เธอมีคนรักใหม่แล้ว เธอให้ฉันแสดงความยินดีกับเธอด้วย ฉันยินดีที่เธอไม่ต้องมานั่งอกหักแบบที่ฉันเป็น ฉันเปิดใจเล่าเรื่องของฉันให้นิ้งฟัง นิ้งนิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่จะตอบกลับมาว่า

“ทุกอย่างอยู่ที่ใจนะพี่จอย ถ้าพี่ตัดไม่ได้ ก็แค่ทำให้มันจางลงไปไม่ได้เหรอคะ”

“พูดง่ายทำยากนะนิ้ง” ฉันค่อยๆ พิมพ์ข้อความตอบกลับไป

“นิ้งเองก็เคยคิดว่านิ้งคงลืมคนรักเก่าไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วเมื่อนิ้งเปิดใจทุกอย่างก็คลี่คลาย มันอยู่ที่ตัวพี่เองว่าพี่จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการลืมเรื่องเจ็บๆ ของพี่”

“ตอนนี้นิ้งสบายใจแล้วสิมีคนรักแล้ว”

“ก็เหมือนจะสบายค่ะ แต่บางทีก็มีเหมือนกันที่อดคิดเปรียบเทียบคนใหม่กับคนเก่า”

“เมื่อตัดสินใจมีใหม่อย่ากลับไปคิดถึงเรื่องเก่าๆ อีกเลยนิ้ง ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป”

“ที่พี่พูดนี่หมายถึงพี่เองหรือตัวนิ้งคะ ถ้าหมายถึงนิ้ง ทำใจได้นานแล้ว แต่พี่นะสิทำใจได้หรือยัง”

ฉันเงียบไปจริงๆ ไม่ได้เงียบแต่กำลังคิดตามตัวหนังสือของเธอ จนเธอส่งโปรแกรมเขย้าหน้าจอกลับมา ฉันถึงกีบสะดุ้ง เพราะเปิดลำโพงเอาไว้ค่อนข้างดัง

“ตกลงยังทำใจไม่ได้สินะพี่ ปล่อยผ่านไปนะคะอย่าคิดมาก อย่างน้อยที่ก็มีนิ้งอีกคนที่เป็นน้องของพี่คอยห่วงพี่อยู่เสมอ วันนี้นิ้งต้องไปก่อนนะคะพี่ มีคนมากวนแล้ว ไนท์ๆ ค่ะพี่ บาย”

“บายจ๊ะ โชคดีนะน้องรัก”

ฉันปิดโปรแกรมไปแล้ว เพราะเป็นเวลาค่อนข้างดึก แต่เมื่อปิดหน้าจอ ปิดเครื่องทุกอย่างก็กลับมาสู่วังวนเดิมๆ นั่นคือคิดถึงตาล หลับก็ฝัน ตื่นก็ละเมอหา ไม่จบไม่สิ้น พี่แขกพยายามทำให้ฉันหลุดจากวังวนเดิมๆ พาออกไปเที่ยว และผลก็คือฉันเมาไม่ได้เรื่องได้ราวทุกครั้งที่ไป ฉันเริ่มติดแอลกอฮอล์ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดจะแตะต้อง

ความรับผิดชอบของฉันมากขึ้นเมื่อแม่เกษียณและพี่แขกก็ทำงานในตำแหน่งของแม่ ฉันถูกเลื่อนขั้นให้ไปทำงานในตำแหน่งของพี่แขกแทน ฉันทำงานที่นี่มาสิบปีแล้วสินะ สิบปีที่ฉันอยู่กับที่ไม่เคยโยกย้ายตัวเองไปไหน ทั้งๆ ที่ความตั้งใจในครั้งแรกฉันอยากจะเปลี่ยนงาน

เมื่อฉันบอกพี่แขกว่าฉันอยากจะปลีกวิเวกไปสักพัก ขอลาออกพี่แขกดูจะตกใจไม่น้อย

“เฮ้ยลาออกทำไมกันแล้วงานสอนจะสอนอยู่หรือเปล่า”

“ไม่อยากทำงานอะไรเลยคะพี่แขก มันเหมือนอิ่มตัว ให้จอยลาออกเถอะนะคะ”

“เอางี้ดีไหมจอย จอยลางานแบบไม่เอาเงินเดือนส่วนเรื่องงานพี่ดูแลแทนให้ ไปพักผ่อนสักระยะแล้วค่อยกลับมา สองสามปีที่ผ่านมาจอยไม่เคยหยุดพักเลยทำแต่งาน ฟิวมันก็ขาดสิร้อนมากเกินไป”

“มันไม่เป็นผลดีกับงานสิคะพี่ จอยรู้สึกว่าถ้าทำแบบนั้นมันเห็นแก่ตัวเกินไป สู้จอยลาออกแล้วให้คนที่มีความสามารถมาทำงานแทนดีกว่า”

“แต่พี่ก็อยากให้จอยช่วยงานพี่นี่นา”

“ให้จอยไปเถอะคะพี่ จอยอยากไปไหนไกลๆ ไม่รู้จับพบเจอกับใครขอลาออกเถอะนะคะ”

“แล้วแม่เราว่าไง”

“จอยไม่ได้บอกแม่หรอกคะ จอยคิดว่าจอยจะไปอยู่ป่าอยู่เขาสักระยะเผื่ออะไรต่ออะไรมันจะดีขึ้นบ้าง”

“แบบนั้นก็ตามใจถ้ากลับมาแล้วอยากทำงานบอกพี่นะพี่รอจอยอยู่”

“ขอบคุณค่ะพี่ที่เข้าใจจอย”


หลังจากนั้นฉันก็เดินทางไปไหนต่อไหนด้วยตัวคนเดียว พร้อมๆ กับรถมอเตอร์โซด์คู่ใจใหม่เอี่ยมอีกหนึ่งคัน ฉันวางแผนไว้ว่าจะเดินทางไปเรื่อยๆ มืดก็หาที่พัก แต่สำหรับผู้หญิงเดินทางคนเดียวมันก็ลำบากมากโข ที่ๆ ฉันพักก็คือ วัดหรือไม่ก็ที่พักริมทางที่มีตำรวจอยู่เฝ้ายาม จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ฉันทั้งผอมทั้งดำ ผมยาวรุงรัง สุดท้ายฉันก็ไปหยุดอยู่ที่บ้านไร่กลางเขาแห่งหนึ่ง

ที่แห่งนี้มีความเป็นธรรมชาติอยู่มาก ยังไม่โดนบุกเบิก ฉันสอนหนังสือเด็กๆ โดยไม่คิดเงิน สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือน้ำใจจากชาวบ้าน ให้ข้าวให้ที่พัก แค่นี้ก็บุญโขแล้วสำหรับฉัน สถานที่แห่งนี้จะเป็นที่สิ้นสุดของฉันจริงหรือ

การตัดสินใจซื้อที่ต่อจากชาวบ้านมาสร้างบ้านหลังเล็กๆ ด้วยเงินเก็บที่เก็บมาตลอดระยะเวลาสิบห้าปี เงินไม่น้อยแต่ก็ไม่มาก ฉันบอกพี่แขกว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน พี่แขกบอกว่าอิจฉาฉันที่ได้อยู่กับธรรมชาติมีชีวิตที่ไม่ต้องดิ้นรน ฉันยังแอบขำกับคำพูดของพี่แขก

“ถ้าพี่อยากมาเที่ยวก็บอกได้นะคะที่นี่อากาศดี แม้ว่ากลางวันจะร้อนไปสักหน่อย แต่กลางคืนอากาศดีมากๆ จอยนอนดูดาวทุกคืน”

“เหรอดีจังเลยกว่าพี่จะกลับบ้านก็ดึกดื่น แทบสลบ ซูฮกแม่ของจอยจริงๆ ที่อดทนทำงานจนเกษียณได้ พี่ว่าอีกไม่กี่ปีพอทำงานไม่ไหวพี่ก็จะลาออกเหมือนกันมันเหนื่อยเหลือเกิน เข้าใจจอยเลยว่าเวลาเราหมดไฟทำงานมันเป็นแบบไหน”

“ถ้าพี่ว่างสักอาทิตย์ก็แวะมาสิคะจอยยินดีต้อนรับพี่เสมองั้นแค่นี้นะคะพี่เหรียญจอยหมดแล้ว เดี๋ยวจะกลับไปไม่ทันรถที่อาศัยเค้าเข้ามาที่อำเภอ”

“โชคดีนะจอย แล้วถ้าพี่ว่างเราค่อยเจอกัน”

“บายค่ะพี่” ฉันวางโทรศัพท์ลงฟังเสียงเหรียญไหลลงไปในเครื่องโทรศัพท์ “ตึกๆๆ” จนสุดท้ายเหรียญที่เหลือไหลลงมาตรงช่องรอรับเหรียญแล้วฉันก็เดินออกมาจากความวุ่นวายในตัวตลาดของอำเภอ


หลังจากนั้นอีกนานเกือบๆ ปีเห็นจะได้ฉันก็ได้ต้อนรับแขกผู้มาเยือน แต่ไม่ใช่พี่แขกกลับเป็นต้อง ฉันตกใจไม่น้อยที่เห็นต้องลงจากรถอีแต๊นมายืนเก้ๆ กังๆ อยู่ที่หน้าบ้านของฉันเอง

ความรู้สึกแรกฉันคิดถึงตาล แต่เมื่อสมองสั่งการก็ทำให้รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ที่หน้าบ้านไม่ใช่ตาลแต่เป็นเงาของเธอเป็นน้องสาวของเธอเท่านั้น

“ต้องมาได้ยังไง”

“พี่แขกบอกสิคะต้องก็เลยมาหาพี่คิดถึงจะแย่”

“พี่แขกนี่น้าไม่น่าบอกต้องเลยลำบากมาเลยงานนี้”

“ลำบากแต่ก็อยากมาค่ะพี่”

“ปะๆ เข้าบ้านก่อนกินน้ำกินท่าก่อน” ฉันเดินนำต้องเข้าไปในบ้านของตัวเอง และให้เธอนั่งพักเหนื่อยให้หายร้อน

“บ้านพี่จอยน่าอยู่จังคะ” ต้องมองตัวบ้านหลังเล็กๆ ชั้นเดียว ไม่ใหญ่ไม่โต รอบๆ ตัวบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ ให้ร่มเงาในยามบ่ายแดดจัดแบบนี้

“บ้านป่าบ้านเขาก็แบบนี้แหละ แล้วนี่เราเรียนจบแล้วเหรอ ได้ดีกรีอะไรมา”

“เพ็ดดีกรีค่ะ”

“ลูกสุนัขหรือไง”

“ทำนองนั้น”

“เร็วจังเนอะอายุไม่เท่าไหร่ได้เป็นลูกสุนัขแล้ว แล้วตอนนี้เราทำอะไร”

“ก็เรื่อยๆ ค่ะยังไม่ได้หางานทำเป็นหลักแหล่งเรียนมากก็เลยอยากเที่ยวสักพักนี่ก็ว่าจะมาเกาะพี่จอยสักเดือนสองเดือนก่อนแล้วค่อยกลับไปหางานทำ”

“ได้เลยจะอยู่สักปีสองปีก็ได้ถ้าต้องอยากอยู่”

“จริงเหรอคะพี่จอยดีจังเลยแบบนี้ต้องจะอยู่จนกว่าพี่จอยจะไล่ออกจากบ้านเลย”

“ฮ่าๆ ได้เลยตามใจอยากอยู่เท่าไหร่ก็อยู่ได้ แต่เตือนไว้ก่อนนะบ้านพี่ไม่มีอะไรเลยนอกจากบ้านกับของใช้จำเป็นเท่านั้นเอง”

“แล้วมีห้องน้ำหรือเปล่าคะพี่”

“มีสินั่นเป็นสิ่งจำเป็น ถึงจะอยู่ป่าอยู่ดอยแต่ก็ไม่ถึงกับต้องไปทุ่งเก็บดอกไม้ไล่ยิงกระต่ายหรอกนะ”

“งั้นดีเลยพี่จอยพาต้องไปห้องน้ำหน่อยสิคะ คือว่าตอนนี้ต้องมีความต้องการเก็บดอกไม้อย่างแรง”

“อ้าวแล้วก็ไม่บอกมาๆ พี่พาไป”

ฉันพาต้องไปห้องน้ำที่อยู่แยกจากตัวบ้าน น้ำที่บ้านนี้มาจากบ่อน้ำที่ขุดเอง ฉันพยายามที่จะไม่ใช่อะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ จะเข้าห้องน้ำก็ต้องตักน้ำจากในบ่อเข้าไปใช้ เวลาอาบน้ำก็อาบที่บ่อน้ำแห่งนี้ ฉันล้อมรั้วเป็นไม้ไผ่ขัดแตะและปลูกตำลึงเอาไว้เป็นม่านบดบังสายตาคนจากภายนอกกั้นบ่อน้ำกันเอาไว้ให้เป็นห้องน้ำ มันง่ายเมื่อจะอาบน้ำ แต่ตัวห้องส้วมก็แยกออกไปไกลหน่อย ไม่อย่างนั้นฉันกลัวว่าสิ่งปฏิกูลจากส้วมจะไหลซึมเข้าไปในน้ำบ่อ เพราะน้ำในบ่อนี้ใช้ทั้งอุปโภคและบริโภคในบ้านของฉัน

ต้องออกมาจากห้องส้วมแล้วก็บ่น

“โหพี่จอยเลี้ยงกบในห้องน้ำด้วยเหรอ”

“ไม่ได้เลี้ยงหรอกมันคงหลงเข้าไปตอนที่พี่เปิดประตูทิ้งเอาไว้”

“นึกว่าชอบธรรมชาติ นั่งไปด้วยชมกบไปด้วย”

“ฮ่าๆ คิดได้นะเรา เออว่าแต่ว่ากินอะไรมาหรือยัง”

“ยังเลยค่ะพี่”

“งั้นกินไข่ทอดชะอมกับน้ำพริกกะปิดีมะ พี่ทำให้เดี๋ยวไปเก็บเอามาทำกับข้าว”

“ดีจังเนอะไม่ต้องซื้อหาอะไรเลย”

“คนบ้านป่าก็แบบนี้แหละ ไก่ก็เลี้ยงเอง ผักก็ปลูกเอง มีแต่ข้าวที่ต้องซื้อเค้าเพราะเราปลูกเองไม่ได้”

“น่าอิจฉาชีวิตพอเพียงของพี่จังเลย”

“ทำไงได้พี่มันคนไม่มีคู่ใครเค้าอยากจะมาตกระกำลำบากกับพี่อยู่ที่บ้านป่าบ้านดอยแบบนี้”

“อาจจะมีแต่พี่ไม่เคยมองเค้าเลยต่างหาก”

“พี่เหรอจะไม่มองพี่มองแต่มันเป็นไปไม่ได้ต่างหากใครจะอยากลำบากมีแต่คนอยากสบาย อยู่บ้านติดแอร์ มีห้องนอนหรูๆ ขับรถราคาแพง”

“แล้วก็ต้องนั่งผ่อนจนแทบไม่มีเงินเหลือใช้อย่างนั้นเหรอคะ”

“ก็หรือไม่จริง ใครๆ ก็อยากสบายด้วยกันทั้งนั้น ไปนั่งพักในบ้านเถอะเดี๋ยวพี่ไปตัดชะอมเอามาทอดไข่ให้”

“ไม่เอาต้องไปด้วยสิพี่จอยต้องไม่เคยเห็นต้นชะอม”

“งั้นตามพี่มาระวังด้วยแล้วกัน”

ฉันเดินนำต้องไปที่ท้ายบ้าน เนื้อที่ในบ้านแห่งนี้มีเพียงบ้านหลังเล็กๆ ของฉันเพียงหลังเดียวนอกนั้นเป็นแปลผักเป็นเล้าไก่ ฉันเลี้ยงไก่ไว้หลายตัว เพื่อเอาไข่ของมันมากิน เลี้ยงวัวไว้ไม่ได้กะจะเอาไปขายแต่เอามูลวัวมาทำปุ๋น เพาะเห็ดในโรงเรือนสำหรับกินเอง

ฉันปลูกผักกินเองบ้าง ขายบ้างเอาเงินไปซื้อของใช้ที่จำเป็น ฉันฝากคนที่อยู่ข้างบ้านเอาไปขายที่ตัวอำเภอได้เงินมาก็ซื้อของกลับมา ชีวิตของฉันพอเพียงและไม่ฟุ้งเฟ้อ เงินหนึ่งพันอยู่ได้เป็นเดือนๆ ผิดกับชีวิตที่อยู่ในเมือง หนึ่งพันบาทแทบทำอะไรไม่ได้เลย เติมน้ำมันหนเดียวก็หมดแล้ว

ต้องไปช่วยฉันเก็บชะอมแต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เคยเห็นต้นชะอมจริงๆ

“ระวังนะหนามมันแหลมระวังตำมือ” ไม่ทันขาดคำของฉันต้องก็โดนหนามชะอมทิ่มไปที่นิ้วของเธอ

“อุ้ย” เสียงของเธอร้องพร้อมกับชักมือออกจากการจับกิ่งชะอม

“บอกแล้วไงว่าให้ระวังจะโดนหนามตำก็ไม่เชื่อ” ฉันจับมือของต้องและบีบนิ้วของเธอเค้นเอาเลือดออกมา จากนั้นก็ล้วงกระเป๋าเอาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ามาบัดนิ้วน้อยๆ ของเธอไว้

“อุ้ยเจ็บนะพี่จอยเบาๆ หน่อยสิ”

“ไม่ทำแบบนี้เลือดก็คั่งสิ”

“ก็นะพี่ใครจะไปรู้ว่าหนามมันจะแหลมแบบนี้ ต้องเคยเห็นแต่ที่เค้าขายเป็นแพๆ ทอดมาเสร็จเรียบร้อยแล้วนี่คะ”

“ก็เตือนแล้วไม่รู้จักฟังแม่พุดเดิ้ล”

“ว่าต้องเป็นหมาเลยเหรอพี่จอย”

“ก็นะมีแต่ประสบการณ์ทางการศึกษาประสบการณ์ชีวิตไม่เคยเรียนรู้”

“แล้วพี่เต็มใจจะเป็นครูสอนประสบการณ์ชีวิตให้กับต้องหรือเปล่าล่ะ”

ฉันมองสายตาต้องผิดไปหรือเปล่าไม่รู้เห็นสายตาของต้องมองฉันแปลกๆ มันเหมือนกับสายตาของตาลตอนที่จ้องมองฉัน ในคืนสุดท้ายของเรา

“ได้สิ พี่จะสอนวิชา สปช ให้ก็ได้ ก่อนอื่นไปติดไฟหุงข้าว เราจะได้กินข้าวกัน”

“ไม่มีหม้อไฟฟ้าเหรอพี่”

“ไม่มีหรอกบ้านพี่มี่ไฟฟ้าใช้”

“เฮ้ยจริงดิ”

“อืมไม่มีจริงๆ จะโกหกให้ได้อะไรขึ้นมาเล่า”

“แล้วไม่ร้อนตายเหรอพี่ กลางคืนก็ไม่มีพัดลมอะดิ”

“ก็ไม่มีนะสิทนอยู่ได้หรือเปล่าล่ะ”

“แล้วกลางคืนพี่ก็ไม่มีไฟใช้”

“ไม่มี”

“ไฟสักดวงก็ไม่มี”

“ไม่มี”

“ตายชักผีจะหลอกตอนไปเข้าส้วมไหมนี่”

“ไม่หลอกหรอกพี่มีตะเกียงน้ำมัน กับตะเกียงแก๊ส”

“อ๋อมีแก๊สใช้”

“ไม่ใช่แก๊สแบบที่ต้องคิดหรอกนะมันเป็นตะเกียงที่ใช้ก้อนแก๊สใส่น้ำลงไปแล้วก็จุดไฟ”

“โหโบราณชะมัดเลยพี่เรา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมาปลีกวิเวกที่นี่ อยู่คนเดียวโดยไม่พึ่งพาใครทั้งๆ ที่พี่มีใครต่อใครอีกหลายคนที่รอพี่อยู่”

“ถึงเวลาพี่ก็จะกลับไปเองไม่ต้องห่วงพี่หรอกต้อง”

“แล้วเวลานั้นเมื่อไหร่จะมาถึงคะพี่”

“เมื่อพี่พร้อมที่จะเผชิญกับความจริงได้น่ะสิ”

“แต่ตอนนี้ต้องหิวแล้วไปกินข้าวกันได้หรือยังคะ”

“ไปสิเดี๋ยวพี่หุงข้าวเผื่อเมื่อเช้าหุงไว้นิดเดียวไม่คิดว่าจะมีแขกมาถึงบ้าน”

ฉันเดินนำต้องกลับมาที่บ้านและเข้าครัวติดเตาถ่านหุงข้าวเช็ดน้ำ รินน้ำข้าวออกไว้ในชาม จากนั้นก็จัดการทอดไข่ชะอมและตำน้ำพริกให้กับแขกผู้มาเยือน

“พอกินได้ไหม”

“ได้สิคะ ต้องง่ายๆ อยู่แล้วพี่ อร่อยด้วยสิของที่พี่ทำ”

“อืมอิ่มแล้วสักพักก็ไปอาบน้ำ เรานุ่งผ้าถุงอาบน้ำเป็นหรือเปล่า”

ต้องส่ายหน้า “ไม่เป็นพี่”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ตักน้ำไปให้ในห้องน้ำแล้วกัน”

“ฮึไม่เอาพี่ต้องกลัวกบ”

“เอ๊าแล้วแบบนี้จะอาบน้ำได้ไง”

“พี่อาบแบบไหนต้องก็อาบแบบนั้นแหละสอนต้องด้วยแล้วกัน”

“เอางั้นเหรอ”

“ค่ะ ว่าแต่ว่าพี่ล้างจานที่ไหนคะต้องจะไปล้างให้”

“ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวพี่ไปทำเองดีกว่า”

“ไม่เป็นไรพี่ต้องทำเองได้”

“แต่น้ำขี้เถ้ามันจะกัดมือนะสิต้อง”

“หาอะไรนะพี่ พี่ใช้อะไรล้างจานนะ” ต้องทำตาโตกับคำบอกเล่าของฉัน

“น้ำขี้เถ้าไงทำไมเหรอ”

“ตายๆ ต้องจะเป็นลม พี่ใช้น้ำขี้เถ้าล้างจานนี้นะ”

“ก็เออสิถามทำไม”

“อย่าบอกนะว่าเวลาอาบน้ำไม่ได้ใช้สบู่”

“สบู่ก็ใช้ แต่ยาสระผมไม่ใช้”

“เฮ้ย แล้วไม่สระผมเหรอ”

“สระสิแต่พี่ใช้มะกรูดสระ”

“เวนกำ นี่ต้องหลงยุคมาเมื่อสามร้อยปีก่อนหรือเปล่าพี่”

“ทำไม สระด้วยมะกรูดย่าง ดีออกจะตายไปผมก็ไม่ร่วง”

“เออไงเอากันพี่สอนต้องด้วยแล้วกัน จะเป็นลม”

“พิมเสนมะ จะได้ดีขึ้น”

“ไม่ๆ พี่ พอก่อนแค่นี้ต้องก็ต้องพยายามทำใจแล้ว” ต้องส่ายหน้ากับคนรุ่นใหม่ที่ทำตัวหลงยุคแบบพี่จอยของเธอ

“ฮ่าๆๆ บอกแล้วบ้านป่าบ้านเขาไม่มีอะไรเลยพี่แขกไม่ได้บอกเหรอ”

“บอกค่ะแต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดนี้”

“มีอีกหลายขนาด จะลองไวน์สัปปะรดหมักเองกับมือหรือเปล่าถ้าจะลองจะได้ตักเอามาต้มให้”

“มีด้วยเหรอพี่”

“มีสิ ทำทิ้งไว้ดื่มตอนหนาวๆ มันช่วยได้”

“โอ้วพระเจ้าพี่จอย ต้องไม่เคยคิดเลยนะพี่ว่าพี่จะธรรมชาติได้ขนาดนี้”

“ถ้าอยากจะลืมต้องทำอะไรที่ไม่เหมือนเดิมไปอาบน้ำก่อนก็ได้นะเดี๋ยวพี่เก็บล้างเอง น้ำดื่มได้พี่รองมาจากน้ำฝนอยู่ในโอ่งเอามาต้มกับใบเตยหอมดี”

ต้องไม่คิดว่าพี่จอยของเธอจะทำตัวติดดินได้ถึงขนาดนี้ เธอคิดว่าบ้านของพี่จอยจะพอมีเครื่องอำนวยความสะดวกบ้าง แต่นี่เปล่าเลย บ้านหลังนี้ไม่มีอะไรจริงๆ ที่จอยทำตัวติดดินจนไม่เหลือเค้าของอาจารย์สาวที่เคยสอนเธอ พี่จอยดำกว่าเดิมเยอะมาก ผอมกว่าเดิมจนผิดหูผิดตา มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นที่ยังเหมือนเดิมคือแววตาที่เศร้าๆ ของพี่จอย ไม่ว่าจะกี่ปีแววตาของพี่จอยก็ยังเศร้าไม่เปลี่ยนแปลง

เธอจำได้ว่าพี่ตาลเคยบอกว่าให้เธอดูแลพี่จอย พี่ตาลเล่าเรื่องราวของพี่ตาลกับพี่จอยให้เธอฟัง ตอนที่พี่ตาลเล่าแววตาของพี่ตาลก็ไม่ได้แตกต่างกับแววตาของพี่จอยในขณะนี้ เธอฟังพี่ตาลเล่าไปเรื่อยๆ จนมาถึงเรื่องที่พี่ตาลต้องหนีมากับแม่ไปตั้งรกรากที่อเมริกา และเมื่อพี่ตาลตัดสินใจแต่งงานมีครอบครัวเพราะต้องการ Green gard ถ้าไม่ทำแบบนั้นพี่ตาลไม่มีทางได้อยู่ต่อ และป้าเจนก็ไม่มีทางที่จะได้อยู่เช่นกัน

ทั้งสองคนต้องลำบากทำงานเงินน้อยเพราะต้องแอบๆ ซ่อนๆ ทำงาน ถ้าถูกจับได้ก็ต้องส่งกลับเมืองไทย พี่ตาลบอกว่าต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยมันลำบากแต่ก็พอทน พี่ตาลไม่เคยลืมรักครั้งแรกของเธอ เธอบอกว่าเธอไม่เคยรักใครเท่าพี่จอยและให้ต้องสัญญาว่าจะดูแลพี่จอยแทนพี่ตาล

ยิ่งฟังเรื่องของพี่จอยกับพี่ตาล ต้องก็ยิ่งรู้สึกรักพี่จอยมากขึ้น ต้องตอบไม่ได้ว่ามันเป็นความรักแบบไหน รักแบบพี่น้องหรือรักแบบชู้สาว แต่มีคำพูดหนึ่งของพี่ตาลที่เคยพูดกับเธอ

“เห็นต้องแล้วพี่นึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็ก ต้องน่ารัก สดใส ส่วนพี่ตอนนี้กลายเป็นคนมีมลทินไปแล้ว”

“พี่ตาลอย่าคิดมากสิคะเรื่องบางเรื่องเราก็กำหนดอะไรไม่ได้”

“ถ้าเป็นไปได้พี่อยากให้ต้องเป็นตัวแทนของพี่ ไปทำความฝันของจอยให้เป็นจริง”

“พี่ตาลหมายถึง”

“ใช่หมายถึงไปเป็นคนรักของจอยแทนพี่ ไปเป็นคนที่ดูแลจอยแทนพี่”

“แต่พี่จอยไม่เคยรักใครเท่าพี่ ต้องคงไปทำอะไรแบบนั้นแทนพี่ไม่ได้หรอกค่ะ”

“พี่เข้าใจต้อง พี่แค่พูดเล่นๆ เท่านั้น เพราะในหัวใจของพี่ก็ไม่เคยมีใครมาแทนจอยได้เลยสักคนเหมือนกัน เรารักกันด้วยหัวใจจริงๆ ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกันเรื่องนั้นเลยสักครั้ง และจอยก็ไม่เคยที่จะร้องขอ ที่เสียใจที่สุดในชีวิตก็คือจอยไม่ใช่คนแรกของพี่ และพี่ก็ไม่บริสุทธิ์สมกับความรักของจอยที่มีให้กับพี่ก็เท่านั้น”

หลังจากนั้นต้องก็กลับมาเมืองไทย กลับมาทำตามที่พี่ตาลของเธอได้ขอร้องเอาไว้ แต่ต้องก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก พี่จอยไม่เคยเปิดใจพูดอะไรกับเธอ ทำตัวเป็นพี่ที่ดีเป็นครูที่ดี ไม่เคยวอกแวกเลยสักครั้ง ต้องยังเคยคิดว่า “หรือพี่จอยจะเกิดมาเพื่อรักพี่ตาลเพียงคนเดียว คนอื่นๆ มันก็แค่ผ่านมาและเลยผ่านไปหรือเปล่า”

ต้องหยุดความคิดของเธอเมื่อมีเสียงเรียกจากใครคนนั้น

“ต้องจะไปอาบน้ำกับพี่หรือเปล่า”

“ค่ะพี่ไปค่ะ”

จอยเดินเข้ามาในห้องและเปิดตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ หยิบผ้าถุงให้กับต้อง

“อะนี่เปลี่ยนซะ จะได้ไปอาบน้ำกัน”

“ต้องนุ่งผ้าถุงไม่เป็น”

“มันก็เหมือนๆ กับนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำนั่นแหละลองผลัดดูก่อนจะเป็นไรไป”

“ก็ได้พี่” ต้องทำตามที่จอยบอกอย่างว่าง่าย เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามพี่จอยทำได้ทำไมต้องจะทำไม่ได้ แต่เมื่อเธอลองนุ่งดูแล้วมันดูประดักประเดิดพิกล

“แล้วมันจะหลุดหรือเปล่านี่ตายแล้วถ้าหลุดตอนรดน้ำมีหวังซวยแน่ๆ เลยเรา”

สักพักพี่จอยก็เดินเข้ามาพร้อมๆ กับเชือกที่ทำจากผ้าดิบเส้นหนึ่ง

“อะเอานี่ไปรัดซะจะได้ไม่หลุดตอนอาบน้ำ”

“ขอบคุณค่ะพี่” แล้วไม่นานนักต้องก็เดินตามจอยไปที่บ่อน้ำในบริเวณใกล้ๆ ตัวบ้าน พี่จอยสาวถังน้ำตักใส่โอ่งมังกรที่อยู่ข้างๆ บ่อ แล้วก็บอกให้เธอตักน้ำอาบ

“เอาอาบสิหรือจะไปอาบในห้องเดี๋ยวพี่ตักน้ำเข้าไปให้”

“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่ ต้องจะลองอาบแบบนุ่งผ้าถุงดูพี่จอยทำได้ต้องก็ต้องทำได้”

จอยอาบน้ำจนเสร็จแล้วส่วนต้องยังเก้ๆ กังๆ อาบน้ำให้กับตัวเอง ด้านนอกไม่เท่าไหร่ ด้านในผ้าสิมันอาบลำบากอยู่ พี่จอยทำดูเหมือนง่ายแต่พอเธอทำ ทำไมมันยากนัก

“พี่ช่วยอาบเอาไหมเด็กน้อย”

“จะดีเหรอพี่”

“ดีหรือไม่ดีอยู่ที่วัตถุประสงค์ ถ้าใจคิดว่าไม่ดีมันก็ไม่ดี ถ้าใจคิดว่าดีก็ไม่มีอะไร”

“งั้นดีก็ได้คะพี่”

จอยก้มลงถูสบู่ให้ต้องและช่วยเธอชะล้างเอาคราบเหงื่อไคลออกไปจากตัว ต้องไม่เคยให้ใครอาบน้ำให้ตั้งแต่เธอโตมาจนปานนี้ไม่เคยมีใครแตะเนื้อต้องตัวเธอได้เท่ากับที่พี่จอยทำให้กับเธอ เมื่อพี่จอยตักน้ำขันสุดท้ายให้กับเธอ ฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว อากาศเริ่มเย็นลงจากเมื่อตอนกลางวันที่ร้อนอบอ้าว

“รีบๆ เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวจะเป็นหวัด”

“แล้วพี่จอยล่ะคะ”

“พี่ผลัดผ้าถุงเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้วไม่ได้มีอะไรมาก”

“อย่าบอกนะว่าพี่ไม่ใส่ชั้นใน”

“ใส่หรือไม่ใส่แตกต่างกันตรงไหน”

“ก็มันโล่งๆ”

“ถ้าเราระวังหน่อยมันก็ไม่โล่งแล้ว”

“ตามสบายเถอะพี่ต้องไม่เอาดีกว่าไปใส่ชุดของต้องดีกว่าเดี๋ยวผีป่าผีบ้านกระเจิงหมด”

“งั้นก็รีบไปเถอะ ฟ้ามืดเดี๋ยวงูเงี้ยวเขี้ยวขอจะโผล่มา”

“เฮ้ยจริงดิ”

“โกหกทำไมมีสิแต่จะมาหรือไม่มาขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นเป็นวันดีคืนดีหรือเปล่า”

“งั้นต้องไปดีกว่า เชิญพี่ตามสบายเลยนะคะ”

ต้องเดินกลับเข้าบ้านไปแล้วจอยมองตามหลังต้องไป

“ทำไมพี่น้องสองคนนี้เหมือนกันจริงๆ อย่าทำอะไรบ้าๆ นะจอย แกต้องไม่ทำอะไรน้องเพราะน้องไม่ใช่ตาล น้องไม่ใช่คนที่แกรัก แกต้องทำใจให้ได้มันไม่ดีหรอกนะจอยที่จะเป็นพญาเทครัว ทั้งพี่ทั้งน้องมันไม่ใช่คนนะจอย” ฉันได้แต่ร้องบอกกับตัวเองในใจ แม้จะรู้สึกหวั่นไหวกับร่างกายของตาลที่ฉันสัมผัส แม้จะรู้สึกอยากกอดอยากอะไรอีกหลายๆ อย่างแต่ฉันก็ต้องข่มใจตัวเองเอาไว้

คนสองคนเหมือนกันที่รูปร่างหน้าตา แต่คนสองคนไม่ใช่คนๆ เดียวกัน จอยตักน้ำในบ่อขึ้นมารดตัวเองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

น้ำเย็นๆ ดับความร้อนรุ่มในใจของเธอได้หรือเปล่าจอยตอบตัวเองไม่ได้

แต่ที่แน่ๆ เธอต้องทำให้ได้ ก่อนที่จะโดนตราหน้าว่าเป็นคนเลว

จบบทที่ ๑๕




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:41:02 น.
Counter : 361 Pageviews.  

บทที่ ๑๔ ความหลัง ความฝัน ความหวัง และความคิดถึง



เสียงอะไรสักอย่างส่งเสียงกรุ้งกริ้ง แว่วมาแต่ไกล ฉันพยายามเดินตามเสียงนั้นไป หาต้นเหตุของเสียงว่ามาจากไหน ลมพัดพาเอาความหนาวเหน็บมาปะทะร่างกาย ฉันกระชับคอเสื้อให้ปกปิดลำคอของตัวเองมากขึ้น ลมยังคงพัดมาเรื่อยๆ ยิ่งพัดก็ยิ่งหนาว

ฉันเดินหาต้นเสียงอยู่นาน ในที่สุดก็เห็นกระดิ่งที่แขวนอยู่ตรงบริเวณชายคาบ้าน

“เดี๋ยวก็ตกลงมาหรอกอย่าปีนขึ้นไปนะจอย”

“ไม่ปีนแล้วเราจะเอามันไปแขวนที่ไหนล่ะตาล ใต้ชายคาบ้านนี่แหละดีที่สุดแล้ว”

“แต่เอาเก้าอี้มาต่อๆ กันแบบนี้มันจะตกลงมานะ”

“เออน่าเชื่อหัวไอ้จอยเถอะไม่ตกหรอก รับรอง” ภาพของฉันปีนขึ้นไปบนเก้าอี้สองสามตัวที่ต่อๆ กัน มีตาลคอยจับเก้าอี้ไม่ให้เคลื่อนที่หลุดจากการวางซ้อนๆ กัน

เด็กหญิงจอยและเด็กหญิงตาล สองคนช่วยกันผูกกระดิ่งที่ไปซื้อมาจากตลาดนัด ตามชายคาบ้าน เมื่อลมพัดผ่านมากระดิ่งก็ส่งเสียงกรุ้งกริ้งก้องกังวาน บางทีก็กลัวชาวบ้านจะบ่นว่าเสียงดังกวนประสาท แต่เด็กหญิงจอยก็ไม่ค่อยจะสนใจมากนัก

“เดี๋ยวข้างบ้านเค้าก็โมโหหรอกเยอะแยะขนาดนี้” เด็กหญิงจอยบ่นเด็กหญิงตาล

“มากที่ไหนกันแค่สิบอันเอง”

“สิบอันนี่นะไม่มาก อันสองอันก็พอแล้ว”

“เถอะน่าจับเก้าอี้ดีๆ แล้วกันเดี๋ยวเราตกลงไป” ไม่ทันขาดคำ เก้าอี้ตัวบนสุดก็เอียงหลุดจากฐานเก้าอี้ตัวที่อยู่ด้านล่าง

“เอ๊ยๆๆ จับดีๆ สิ โอ๊ย” เสียงร้องลั่นของเด็กหญิงจอยและเสียงหล่น “ตุ๊บ” ท่าของเด็กหญิงจอยลงมานอนอยู่ที่พื้นพร้อมๆ กับเก้าอี้ตัวบนที่หล่นลงมาทับร่างของเด็กหญิงจอยอีกทำเอาเด็กหญิงตาล ที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะจนปวดท้อง

“ฮ่าๆๆ บอกแล้วใช่ไหมว่ามันจะตกลงมาไม่ยอมเชื่อเรา”

“ก็ใครล่ะไม่ยอมจับเก้าอี้ดีๆ ปล่อยให้เราตกลงมาได้”

“เอ๊าก็จอยไม่ยอมเชื่อเรานี่นา รั้นซะไม่มีหรอก คนอะไรดื้อก็เท่านั้น”

“ก็อยากให้บ้านมีเสียงกระดิ่งเหมือนๆ ที่วัดไง”

“ระวังเถอะเดี๋ยวหมาได้หอนรับเสียงกระดิ่งหรอก”

“เอ๊ยอย่าพูดดิเรากลัว” ไม่พูดเปล่าเด็กหญิงจอยยกมือขึ้นปิดปากเด็กหญิงตาลไปพร้อมๆ กัน

“แหวะเค็มชะมัด ล้างมือบ้างหรือเปล่าจอย”

“ฮึ ไม่ได้ล้าง พึ่งไปอึมาอีกต่างหาก”

“อ๊าย ไอ้บ้า สกปรกแหวะๆ” เด็กหญิงตาลใช้ชายเสื้อยกขึ้นมาเช็ดปากเช็ดลิ้นของตัวเองพร้อมๆ กับบ่นเพื่อนของเธอไปด้วย

“ล้อเล่นก็เชื่อนะคนอะไรหูเบาชะมัด”

“ก็ใครจะไปรู้เล่าว่าล้อเล่น ก็มันเค็มจริงๆ นี่นา”

“ก็ใครใช้ให้มาหลอกผีเราก่อนล่ะ ก็เอาคืนบ้างสิ”

“จำไว้ แค้นนี้สิบปีชำระไม่สาย” เด็กหญิงตาลกระฟัดกระเฟียด เดินเข้าไปในบ้านของเด็กหญิงจอย แล้วก็หายไปไม่ยอมออกมาอีก เพราะไปขลุกอยู่กับยายของเด็กหญิงจอยที่กำลังทำขนมจนเจ้าของบ้านตัวจริงต้องเข้ามาตาม

เด็กหญิงสองคนนั่งกินขนมฝีมือยายจนหมดแล้วก็ออกไปปั่นจักรยานเล่นในหมู่บ้าน แดดร้อนเปรี้ยงๆ แต่เด็กหญิงสองคนก็ไม่ยอมเลิกปั่น สุดท้ายมาหยุดลงที่คูน้ำหลังหมู่บ้าน

“เฮ้ยปลา ปลาหางนกยูงเพียบเลย” เด็กหญิงจอยตะโกนเรียกเด็กหญิงตาลให้รีบจอดรถคู่ใจแล้วลงมาอยู่ที่ข้างคูน้ำเหมือนเธอ

“จะลงไปทำไมสกปรกจะตายไป”

“ถ้าสกปรกแล้วปลามันอยู่ได้ไงนี่ไงปลายังว่ายอยู่เลย ลงมาเถอะมาดูปลาว่ายน้ำกัน” ไม่ว่าเปล่าเด็กหญิงจอยยังเอากิ่งไม้มาตีน้ำไล่ต้อนฝูงปลาหางนกยูงให้เข้าฝั่ง เพื่อจับเอาปลามาเล่น พร้อมๆ กับใช้สองนิ้วน้อยๆ จับหางปลาให้ปลาดิ้นพล่านอยู่ในนิ้วของเธอ

“พวกโรคจิตชอบรังแกสัตว์คอยดูเถอะกรรมจะตอบสนอง”

“กรรมไม่กลัว กลัวไม่กรรม” เด็กหญิงจอยลอยหน้าลอยตา

“ไม่เล่นกับจอยแล้วจอยใจร้ายรังแกสัตว์ คนใจร้าย” เด็กหญิงตาลสบัดก้นกลับไปที่รถจักรยานของตัวเองแล้วก็ปั่นออกไปไม่สนใจเด็กหญิงจอยที่ยืนงงกับเพื่อนของตัวเองที่อยู่ๆ ก็งอนและจากเธอไปทั้งๆ ที่ตอนแรกเป็นคนชวนเธอออกมาที่หลังหมู่บ้านเองแท้ๆ


ภาพแปรเปลี่ยนไป เป็นภาพของหลังโรงเรียน บริเวณที่เด็กๆ ชอบมานั่งเล่นเพราะเป็นบริเวณเดียวที่มีดินมีทราย มีเครื่องเล่นของเด็กๆ

“อย่ามาแย่งเค้านะเค้าวิ่งมาถึงก่อน”

“ถึงก่อนแต่ยืนหอบเราก็ได้เล่นก่อนสิ” เด็กสองคนเถียงกันอยู่ที่ไม้กระดานลื่น แม้ว่าเด็กหญิงตาลจะวิ่งมาถึงก่อนแต่ก็มัวยืนหอบอยู่เมื่อเด็กหญิงจอยที่วิ่งตามมาที่หลังมาถึงก็ปีนขึ้นไปและกำลังจะลื่นลงมาแต่ก็โดนคนที่มาถึงก่อนฉุดคอเสื้อเอาไว้

“คนขี้โกง”

“ไม่ได้โกง”

“โกง”

“เอ๊ะก็บอกว่าไม่ได้โกง”

“เอ๊ะก็บอกว่าโกง”

“ก็บอกว่าไม่ได้โกง”

“งั้นเราไม่เล่นแล้ว เราจะกลับบ้าน”

“เฮ้ย อะไรวะแค่นี้ก็ต้องโมโหด้วย อะเราลุกให้ก่อนก็ได้” ขณะที่ลุกขึ้น เด็กหญิงจอยก็ลื่นและพลัดตกจากไม้กระดานลื่น ลงมานั่งจุกกองอยู่พี่พื้นแทนที่จะได้รับความเห็นใจจากเพื่อนเธอกลับได้รับคำพูดว่า

“สมน้ำหน้า” แถมยังแลปลิ้นปลิ้นตาและลื่นลงกระดานลื่นอย่างสนุกสนาน เมื่อลงมาแล้วก็วิ่งหนีไปเลย ไม่สนใจที่จะช่วยเด็กหญิงจอยที่นั่งเจ็บก้นกบอยู่สักนิด

“ไปนะคนขี้โกง พ่อมารับแล้ว บายๆๆ” เด็กหญิงตาลวิ่งไปหาพ่อ แล้วก็ลับหายไปกับตา


ภาพเปลี่ยนไป เป็นภาพของเด็กหญิงตาลกำลังนั่งอยู่กับพื้น ตรงหน้าของเธอมีใบไม้ ดอกไม้ และของเล่นที่จะเล่นขายข้าวแกง เหมือนๆ กับที่เด็กเล็กๆ เล่นกัน

“เล่นขายของกันมะ” เสียงเจื้อยแจ้วชักชวนเพื่อนให้มาเล่นด้วยกัน

“ไม่ล่ะ น่าเบื่อ” เด็กหญิงจอยปฏิเสธในทันที

“แล้วจะเล่นอะไร”

“ไปเล่นโดดเชือกดีกว่า”

“ไม่เอามันเหนื่อยเล่นขายของกับเราเถอะวันนี้เราเอาดอกชบากับดอกอัญชัญมาด้วยรับรองว่าสีสวยๆ ทั้งนั้น”

“ไม่เราไม่ชอบเล่นของผู้หญิง”

“แล้วที่เป็นอยู่แบบนี้ไม่ใช่ผู้หญิงเหรอ”

“ก็เป็นผู้หญิงนะสิ มองเป็นกระเทยหรือไง”

“เป็นผู้หญิงแล้วทำไมไม่ชอบเล่นแบบเด็กผู้หญิง”

“ก็ไม่ชอบไง”

“ทีเรายังยอมเล่นกับจอยได้เลย ยอมเล่นกับเราสักครั้งไม่ได้เหรอ” เด็กหญิงตาลทำท่าจะร้องไห้ ทำเอาเด็กหญิงจอยใจอ่อน

“อะเล่นก็เล่น แค่ครั้งเดียวนะ”

เมื่อเพื่อนยอมเล่นด้วย จากที่กำลังจะร้องไห้ ก็กลายเป็นยิ้ม ฟันหน้าไม่มีสักซี่ และคนที่ยอมเล่นด้วยก็ไม่มีฟันหน้าเช่นกัน


วันเปิดเทอมวันแรก เด็กหญิงจอยและเด็กหญิงตาล ต่างคนต่างโดนพ่อกับแม่บังคับให้มาโรงเรียน เด็กทั้งสองพึ่งจะได้เข้าเรียนอนุบาลวันนี้วันแรก

“ป้อกับแม่จายร้ายเอาจอยมาทิ้งแงๆ ไม่เอาจอยจากลับบ้าน จอยไม่มาแล้ว ไม่ใส่เสื้อใหม่แล้ว จอยจากลับบ้านไปอยู่กับยาย” ไม่ร้องเปล่ายังดิ้นพล่านอยู่บนพื้น

“ย้องจำไมมะเหงต้องย้องเยย มาโยงเยียนจิดี จะได้ฉลาด โอ๋ๆ นิ่งซะน้าคนเก่ง” เด็กหญิงตาลตัวน้อยเดินเข้าไปหาเด็กหญิงจอยตัวจิ๋ว ที่ร้องและดิ้นอยู่ที่พื้น ในมือของเด็กหญิงตาลยังมีขวดนมอยู่ในมือ เธอวางมันลงและเข้าไปโอบกอดเด็กหญิงจอยที่กลำลังร้องไห้

“จาร้องจาทำไม” เด็กหญิงจอยทำหน้ายักษ์ใส่เด็กหญิงตาลทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยื่นไมตรีมาให้

“คนขี้แย อะไรก็ร้องไห้ สู้เราไม่ได้” พูดพลางก็ยืดอกตัวเองไปพลาง เธอจะอวดว่าตัวเองมาโรงเรียนแล้วไม่ร้องไห้

“เราจะร้องเราจะขี้แย มียัยอะเป่า”

“มะมีแต่เราจะมะเย่นกับคนขี้แย”

“งั้นกะมะต้องเย่น เรากะไม่เย่นกับพวกมะมีหัวใจ” เด็กหญิงจอยค้อนให้เด็กหญิงตาลวงใหญ่

“ตามใจ เดี๋ยวครูก็ให้ขนมถ้ายังร้องเดี๋ยวก็มะได้กินขนม”

“จริงอะ”

แทนการตอบเด็กหญิงตาลพยักหน้ารับคำ ทั้งสองเริ่มเป็นเพื่อนเล่นกันมานับตั้งแต่วันนั้น วันที่เด็กหญิงตาลยื่นไมตรีให้ และเด็กทั้งคู่ก็เติบโตมาด้วยกัน พร้อมๆ กับมิตรภาพที่พอกพูน จนเกิดเป็นความรักที่ไม่อาจจะลบเลือน

“จอยแคร์ด้วยเหรอกับสายตาคนอื่น สำหรับเราเราไม่ได้ขอใครกินเราทำอาชีพของเรา เราไม่สนใจใครอีกแล้ว เราสนแค่ว่าเรารักจอยและรักมากที่สุดในชีวิตของเรา เราขอโทษนะจอยที่ทำให้จอยเสียใจมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา รอเรานะจอย จอยไม่ต้องรอเรานานเท่าเมื่อก่อนอีกแล้วเรารู้แล้วว่าหัวใจของเราอยู่กับใคร เราจะไม่หลอกตัวเองอีกต่อไปแล้ว สัญญานะจอยว่าจะคอยเรา”

ภาพเครื่องบินที่ตกชิ้นส่วนทุกอย่างกระจัดกระจายมันโผล่เข้ามาแทนที่ภาพทุกอย่าง

“เครื่องบินที่ตาลไปมันตกในทะเลเมื่อวานนี้ ทุกคนตายหมดไม่มีใครรอดเลยสักคน” ภาพของแม่ที่บอกข่าวร้ายกับฉัน

“ตาลไปกับเครื่องบินลำนั้น มีชื่อของตาลอยู่ในรายชื่อผู้โดยสารเครื่องบินลำนั้นด้วย คุณศักโทรมาบอกพี่ ต้องก็บอกพี่ ทุกคนที่บ้านโน้นกำลังเตรียมตัวบินไปรับศพที่อาจจะโผล่ขึ้นมาจากซากเครื่องที่ตก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพบหรือเปล่า” ภาพพี่แขกที่ยืนยันเป็นเสียงเดียวกับแม่

ภาพทั้งหมดทำให้ฉันสติแตก ฉันยืนอยู่ที่หน้าโบสถ์ในวัดแห่งหนึ่ง ไหนใครว่าทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันแล้วจะได้อยู่กันยืนยาว ฉันจะไม่เชื่อคำพูดพวกนั้นอีกแล้ว ฉันหมดศรัทธาในเรื่องบุญกรรม เพราะตอนนี้คนที่ฉันรักได้จากไป แม้แต่ศพยังหาไม่พบ ตาลจากไปไม่มีอะไรหลงเหลือไว้ให้ฉันได้ดูต่างหน้า มีเพียงนาฬิกข้อมือเพียงเรือนเดียวเท่านั้น

ฉันโมโหตัวเองทำไมไม่รั้งเธอเอาไว้ได้เดินทางไปพร้อมๆ กับต้อง เพราะอีกแค่เดือนเดียวต้องก็จะตามตาลไปแล้ว ฉันคุกเข่าลงร้องไห้ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันไม่ได้ไปทำงาน ฉันลาป่วย เพราะจิตใจสับสน การสูญเสียคนที่รักไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ทำเอาฉันสติแตก กว่าจะรวบรวมสติกลับมาได้ เล่นเอาไม่เป็นผู้เป็นคน

ความหวังความฝันทั้งหมดพังครืน มันเป็นเรื่องที่ฉันรับไม่ได้ ครั้งกระโน้นที่ตาลจากไปแต่งงาน ฉันยังมีความหวังว่าเธอจะกลับมา การจากเป็นยังทำให้คนอย่างฉันมีความหวังลึกๆ ว่าเธอจะต้องกลับมา แต่การจากตาย ความหวังทุกอย่างของฉันก็พังลง ไม่เหลือซากปรักหักพังให้เห็น ไม่หลงเหลือความหวังสักอย่างทิ้งไว้ ไม่มีอะไรไว้ให้ฉันหวังอีกต่อไปแล้ว

ชีวิตจากนี้ต่อไปฉันจะอยู่ได้อย่างไร ฉันอยากย้อนเวลาให้ตาลกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของฉัน แต่ฉันก็ทำไม่ได้

ฉันอยากย้อนเวลาไปฉุดรั้งเธอเอาไว้ไม่ให้เธอไปจากฉัน แต่ฉันก็ทำไม่ได้

ฉันกลับมาจากวัด หยิบเอาภาพของฉันกับตาลที่ถ่ายรูปไว้ด้วยกัน ตาลจะตีหน้าขรึม ส่วนฉันทำท่าทะเล้น เพื่อนๆ ถ่ายไว้ให้เราตอนที่เราไปทัศนศึกษาที่ทะเลกัน มันเป็นคืนวันเก่าๆ ที่ฉันมีความสุขมากๆ ฉันไม่เคยเอาภาพๆ นี้ออกไปจากโต๊ะเขียนหนังสือ มันยังคงวางอยู่ที่เดิมมาหลายปี ตั้งแต่วันแรกที่ได้ภาพๆ นี้มา และยังคงอยู่จนถึงวันนี้

ฉันกอดภาพๆ นั้น ความคิดถึงถึงคนที่ฉันรัก อ้อมกอดที่ว่างเปล่ามีเพียงกรอปรูป ดวงตาที่แดงช้ำ ภาพที่พร่าเลือนเพราะน้ำตาคลออยู่ ฉันไม่เคยมองเห็นอะไรได้ชัดเจนเลยตั้งแต่วันที่ตาลจากไป

ทุกอย่างเลือนลางไปหมด ฉันวางภาพในมือคว่ำหน้าลง

ชีวิตที่ฉันไม่มีตาล คงต้องดำเนินต่อไป ขอให้แค่ได้คิดถึงเธอ ความสุขในใจของฉันก็เกิดขึ้นมาแล้ว เพียงแค่ได้คิดถึง ก็เป็นสุขใจมากพอแล้ว ก็ฉันไม่ใช่หรือที่เป็นคนกอดเธอคนสุดท้าย ฉันไม่ใช่หรือที่ให้ความสุขกับเธอเป็นคนสุดท้าย และฉันไม่ใช่หรือที่เธอรัก

ฉันตัดใจจากทุกสิ่งทุกอย่าง หันกลับมาทำงาน และยิ่งทำงานหนังมากขึ้น ต้องโทรมาหาฉันสองสามครั้ง เธอบอกว่าจะเดินทางไปอยู่อเมริกาแล้ว เป็นเครื่องบินๆ ตรง ส่วนนิ้งมาเยี่ยมฉันตอนที่ฉันยังอยู่โรงพยาบาล ฉันไม่พร้อมที่จะต้อนรับใคร เธอเองก็รู้ดี และก็ลากลับ สภาพของฉันยังไม่พร้อมที่จะพูดคุยกับใครๆ

เมื่อกลับมาทำงานฉันไม่พูดจาอะไรกับใครเลย ฉันหมดตัวอยู่กับกองเอกสาร กลับบ้านค่ำมืด พี่แขกชวนไปกินข้าวฉันก็ไม่ไป ฝากพี่แขกให้ซื้อมาให้ และเมื่อได้ข้าวมาฉันก็ไม่ได้แตะต้องมัน

เดือนกว่าๆ หลังจากนั้น ฉันผอมลงซูบลงจนผิดหูผิดตา ฉันไม่ได้ไปส่งต้องฉันกลัวการพลัดพราก ฉันไม่อยากไปส่งใครจากไปไหนทั้งนั้น จะว่าฉันกลัวก็อาจจะใช่ ฉันหวาดกลัวการลาจาก ฉันหวาดกลัวการจากไปของใครก็ตามไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย

ฉันเริ่มรู้สึกว่ามีอีกเรื่องที่ฉันยังไม่ได้ทำ นั่นคือเรื่องที่ตาลบอกนักหนาว่าให้ฉันไปขอคืนดีกับพ่อของตัวเอง และฉันก็ปฏิเสธมาตลอดว่าฉันยังทำใจไม่ได้ แต่เมื่อตาลมาจากไป ฉันว่าชีวิตของคนเรามันสั้นมากๆ เห็นกันวันนี้ พรุ่งนี้ตายจาก ฉันไม่อยากมานั่งร้องไห้เพราะฉันเสียดายในเรื่องที่ฉันยังไม่ได้ทำ

ฉันไปหยุดรถอยู่ที่หน้าบ้านของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงของฉัน เด็กหญิงคนนั้นโตขึ้นมากแล้ว และเห็นผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่หน้าบ้านยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ อดแปลกใจไม่ได้ว่าบิวไปไหน ทุกครั้งที่ฉันมาฉันจะเห็นบิวเล่นอยู่กับเด็กคนนั้น แต่วันนี้ไม่เห็นเธอ

“จริงสินะป่านนี้คงทำงานทำการแล้วมั๊งเรานี่ก็ประสาทเรายังแก่เลยแล้วยัยเด็กบิวจะไม่แก่ได้ไงกัน” ฉันบ่นตัวเองที่เลอะเลือนมัวแต่คิดว่าบิวก็ยังเป็นรุ่นน้องที่คอยทะเลาะกับฉันเสมอๆ เมื่อคิดได้ก็ยิ้มกับความคิดของตัวเอง

ฉันลงจากรถและกดกริ่งหน้าบ้าน ปีนี้พ่อคงย้ายกลับมาอยู่บ้านแล้วกระมังเพราะแม่ก็เกือบจะเกษียณแล้วพ่อเองก็คงไม่ได้แตกต่างกัน สิบปีกว่าๆ ที่ฉันไม่ได้เห็นหน้าพ่อ พ่อจะแก่ไปมากหรือเปล่านะ

ผู้หญิงคนนั้นเดินมาเปิดประตูให้ฉัน

“มาหาใครค่ะ”

“สวัสดีค่ะ จอยมาหาพ่อคะ” ฉันยกมือไหว้สวัสดีผู้หญิงคนนั้นอย่าน้อยมันก็เป็นมารยาททางสังคม ที่คนเราต้องทำไม่ใช่หรือ

“เข้ามาก่อนสิคะ” เธอเปิดประตูให้กว้างขึ้นและเดินนำฉันเข้าไปในบ้าน

“คุณคะจอยมาหาค่ะคุณ” เสียงของเธอร้องบอกพ่อของฉัน สักพักพ่อก็ออกมาและเดินตรงมาที่ฉัน กอดฉัน หอมแก้มฉัน

“ผอมไปนะเรา”

“ค่ะพ่อ”

“ไปไงมาไงวันนี้มาหาพ่อได้”

“ก็คิดถึงพ่อไงคะเลยมาหา มาไม่ได้เหรอหรือว่าไม่ต้อนรับ งั้นจอยกลับก็ได้” ฉันอดน้อยใจไม่ได้ที่พ่อถามแบบนี้

“เปล่าๆ แค่แปลกใจร้อยวันพับปีไม่เคยโผล่มาเท่านั้นเองทำใจน้อยไปได้ลูกพ่อ”

“ก็แค่อยากมาก็แค่นั้นเอง”

“นึกว่าจะมาหาเพื่อนที่อยู่ถัดไป”

“คงไม่ได้มาแล้วค่ะเค้าขายบ้านไปแล้ว”

“เหรอ ไม่รู้เลยนะมิน่าไม่เห็นตาลมาหลายปี”

“คงไม่ได้เห็นแล้วค่ะพ่อตาลเสียแล้ว”

“อ้าวเหรอเสียใจด้วยนะ” พ่อท่าทางตกใจกับเรื่องที่ฉันบอก

“ไม่เป็นไรคะพ่อ แล้วนี่พ่อสบายดีหรือเปล่าคะ” ฉันเลี่ยงที่จะพูดถึงตาล เพราะถ้ายังพูดถึงอีกฉันคงต้องร้องไห้ออกมาต่อหน้าพ่อเป็นแน่

“ก็ดีตามแบบคนแก่ไม้ใกล้ฝั่ง”

“น้องโตแล้วเนอะ”

“โตแล้วจะมีแฟนแล้ว เด็กสมัยนี้โตเร็วจริงๆ”

“นั่นสิคะผิดหูผิดตาไปเลย จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นยังถือขวดนมวิ่งเล่นอยู่เลย”

“กี่ปีแล้วล่ะที่ไม่ได้เห็นน้อง”

“สิบกว่าปีแล้วคะ”

“เด็กก็โตขึ้น ผู้ใหญ่ก็แก่ลง”

“ปลงได้แล้วหรือไงคะพ่อ”

“ปลงได้นานแล้ว”

“ดีค่ะ จะได้ปลงต่อไปเรื่อยๆ”

“ดูมันพูดเข้า เป็นคนแก่ไปได้”

“ตั้งแต่ตาลเสียไปจอยก็รู้ตัวว่าตัวเองแก่ลงไปเยอะเลยคะพ่อ” ฉันพูดแบบปลงๆ

“แล้วเป็นอะไรถึงได้ตายยังเด็กๆ อยู่แท้ๆ”

“เครื่องบินตกค่ะ”

“เออใช่บิวเคยพูดๆ เหมือนกันว่ารุ่นพี่เครื่องบินตก”

“แล้วนี้บิวไปไหนคะหรือว่าไปทำงาน” ฉันมองไปรอบๆ บ้านก็ไม่เห็นวี่แววของยายจอมแก่นขี้โวยวายเลยสักนิด

“บิวเหรอไปทำงานเดี๋ยวคงกลับ”

“กลับบ้านดึกจัง”

“งานเค้าไม่เป็นเวลาอยู่เวรตอนไหนก็ต้องไป”

“บิวทำงานอะไรคะพ่อ”

“เป็นหมอ”

“โห เก่งจังเป็นหมอด้วย” ฉันออกจะทึ่งที่เด็กคนนั้นโตขึ้นแล้วเป็นหมอรักษาคนไข้ สมัยเด็กๆ ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นคุณหมอได้เลย

“ก็ได้บิวนี่แหละดูแลพ่อหาหยูกหายามาให้”

“ก็ดีนะมีน้องเมียดีๆ แบบนี้หาไม่ได้แล้วนะพ่อ”

“พูดเกินไป พ่อถือว่าบิวเป็นลูกของพ่อด้วยซ้ำไป”

“อืมเหรอคะ”

“ใช่สิกินอะไรมาหรือยัง วันนี้น้าเค้าทำกับข้าวเยอะเลยจะกินด้วยกันไหม”

“ไม่ดีกว่าค่ะแม่รออยู่ งั้นจอยขอตัวกลับก่อนนะคะพ่อ แล้วว่างๆ จอยจะมาใหม่”

“เดินทางปลอดภัยลูก”

“ขอบคุณคะพ่อ ดูแลสุขภาพดีๆ นะคะพ่อ”

ฉันเดินออกจากบ้านของพ่อ เรื่องที่ค้างคาใจของฉันได้สะสางออกไปจนหมดแล้ว ต้องขอขอบคุณตาลที่เธอคอยเตือนฉันเสมอๆ ว่า ไม่ว่าจะทำอะไรสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ก็คือ พ่อก็ยังเป็นพ่อของฉันเสมอ จะเปลี่ยแปลงอะไรก็เปลี่ยนได้ แต่เปลี่ยนรากเง่าของตัวเองไม่มีทางเปลี่ยนได้

ฉันกลับเขาไปในรถและหยิบถุงของเล่นออกมาถือไว้กับมือ ฉันลืมไปว่าเด็กต้องโต ตุ๊กตาตัวนี้คงไม่เหมาะกับเจ้าตัวน้อยอีกแล้ว แต่พอจะกลับก็คิดได้ว่าอยากทำอะไรต้องทำตอนนี้ก่อนที่จะไม่ได้ทำ ฉันถือถุงกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง

“อ้าวลืมอะไรหรือหนูจอย” เธอคนนั้นของพ่อถามฉัน

“เปล่าค่ะน้า พอดีซื้อของเล่นมาให้น้อง แต่จอยลืมไปว่าน้องโตแล้ว ไงก็ฝากให้น้องนะคะน้า จอยไปล่ะ”

ฉันออกมาจากบ้านหลังนั้นอีกครั้งและคราวนี้ทุกอย่างปลอดโปร่งจริงๆ ไม่มีอะไรติดค้างในใจของฉันอีกต่อไปแล้ว ไม่มีเลยจริงๆ

จบบทที่ ๑๔




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:39:56 น.
Counter : 649 Pageviews.  

บทที่ ๑๓ การลาจาก



และแล้ววันรับปริญญาของต้องก็มาถึงฉันเลือกชุดที่ดูดีที่สุด ใส่นาฬิกาที่ตาลซื้อให้ที่ข้อมือข้างซ้าย วันนี้เป็นวันที่นาฬิกาของฉันกับนาฬิกาของตาล เดินเวลาเดียวกันอีกครั้ง หลังจากที่เวลาของสองเราเดินคนละซีกโลกมากว่าสิบปี

ฉันไปรับตาลจากโรงแรม เธอไม่ได้พักที่บ้านของต้องเพราะเธอไม่สะดวกใจที่จะอยู่บ้านเดียวกับพ่อและย่าของเธอแม้ว่าพ่อกับแม่จะคืนดีกันแล้วก็ตาม แต่ย่าของตาลยังไม่ยอมรับว่าตาลเป็นลูกสาวของพ่อ ตาลก็เลยตัดปัญหาออกมาเช่าโรงแรมอยู่เองดีกว่า ฉันมารอตาลที่ล็อบบี้โรงแรม ไม่นานนักตาลก็ออกมาจากลิฟต์ เธอไม่ได้เปลี่นไปจากวันก่อน เธอยังคงเหมือนเดิมเป็นตาลคนเดิมในสายตาของฉัน

ฉันลุกจากโซฟาและยืนรอให้เธอเดินเข้ามาหา หัวใจพองโต อยากจะกอดเธอให้สมกับความคิดถึง ตาลเดินเข้ามาหาฉัน หยุดอยู่ตรงหน้าฉันก่อนที่จะพูดว่า

“นี่ตาลไม่ได้ฝันไปใช่ไหมจอย จอยจริงๆ ใช่ไหม”

“ใช่ตาลไม่ได้ฝัน เราเองจอยเพื่อนเธอ”

เราสองคนกอดกันโดยไม่แคร์สายตาของแขกที่พักในโรงแรมที่เดินผ่านไปผ่านมา ฉันอยากทำมากกว่ากอดด้วยซ้ำไป ก็ได้แต่ยั้งตัวเอง ที่นี่เมืองไทย เราคนไทยไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อและอีกอย่างตาลก็อาจจะไม่อยากทำแบบที่ฉันทำก็ได้

“คิดถึงจังเลยตาล คิดถึงตาลที่สุดในโลกเลยรู้ไหม” ฉันพูดปนสะอื้น ตาลเองก็ไม่ได้ต่างอะไรกับฉัน เธอร้องไห้เหมือนกัน สักพักตาลผละออกจากอ้อมกอดฉัน

“หยุดร้องไห้ได้แล้วเด็กน้อย ไม่ได้เจอกันตั้งสิบปี ขี้แยไม่เปลี่ยนเลยนะ”

“ก็คนมันคิดถึงนี่นา ต่อให้กี่ปีเราก็จะร้องต่อให้โตแค่ไหนเราก็จะร้อง” ฉันทำตัวเป็นเด็กโยเยนานๆ จะทำตัวแบบนี้สักครั้ง กับตาลฉันเป็นตัวของตัวเอง ทุกอย่างสามารถแสดงออกได้ เพราะตาลกับฉันอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว ไม่ต้องเปิดปากแค่มองตาก็รู้ใจ

“ขี้แยแบบนี้ไปเป็นอาจารย์ได้ไงกัน ดูสิร้องไห้เป็นเด็กๆ อ้อนแม่ไปได้” ตาลทำเสียงขู่ฉันราวกับว่าฉันเป็นลูกของเธออีกคน

“ระ เรา จะ ไม่ ร้องแล้วฮือๆๆ” ปากก็ว่าจะไม่ร้องแต่น้ำตาไม่รู้มาจากไหนมันไหลไม่หยุด

“รีบไปเถอะเดี๋ยวต้องออกมาจากหอประชุมจะไม่ทัน”

ถ้าตาลไม่บอกฉันก็ลืมไปเลยว่าตาลกลับมาเพื่อที่จะมางานรับปริญญาของน้องสาวเธอ เธอไม่ได้กลับมาหาฉัน น้ำตาแห่งความน้อยใจก็เริ่มไหลออกมาอีกครั้ง ตาลคงลืมฉันไปแล้วแต่ฉันยังไม่เคยลืมเธอเลยสักวินาที เงาของตาลยังวนเวียนอยู่ข้างๆ ฉันไม่ได้จากไปไหน ส่วนเธอมีครอบครัว มีคนที่เธอรักรออยู่ข้างหลัง คนที่ร่วมทางกับเธอไม่ใช่ฉัน

ความสับสนเริ่มก่อเกิดในใจฉันอีกครั้ง ฉันพาตาลมาที่มหาวิทยาลัย โชคดีที่ฉันมีบัตรผ่านสามารถที่จะเข้าไปจอดรถในมหาวิทยาลัยได้ ก็เลยไม่ต้องจอดรถไกลๆ การมีอภิสิทธิ์ก็ดีแบบนี้นี่เอง ฉันกับตาลมาถึงก่อนที่ต้องจะออกมาจากหอประชุม ตาลแวะทักทายสวัสดีพ่อและย่าของเธอ ดูเหมือนว่าย่าของตาลจะทำปั้นปึ่งกับตาลอยู่ แต่ตาลก็ไม่ได้แสดงออกอะไรมากนัก เธอยิ้มให้กับพ่อและย่า

“สวัสดีค่ะย่า สวัสดีค่ะพ่อ” ตาลกับฉันยกมือไหว้สวัสดีผู้อาวุโสทั้งสอง พ่อของตาลรับไหว้เราทั้งสองคน แต่ย่าของเธอทำราวกับว่าพวกเราสองคนเป็นอากาศ มองผ่านเลยเราสองคนไปไม่รับไหว้ ไม่มองหน้า

ทักทายกันเรียบร้อยเราสองคนก็แยกตัวออกมานั่งรออีกฝั่งของคณะ ฉันรู้เลยว่าทำไมตาลถึงไม่อยากไปพักที่บ้านของพ่อ เพราะบรรยากาศเป็นแบบนี้นี่เอง ย่าของตาลไม่เป็นมิตรกับหลานตัวเองเลยสักนิด ขนาดว่าฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย เป็นแค่เพื่อนของตาลย่ายังแกล้งทำเมินเฉยเอาดื้อๆ

พอต้องออกมาจากหอประชุมเราก็ไปถ่ายรูปกับต้องและพาพ่อกับย่าของตาลไปกินข้าวที่โรงแรมที่ตาลพักอยู่ ระหว่างมืออาหารพวกเราไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากนัก เพราะส่วนใหญ่ต้องจะเป็นฝ่ายชักชวนเราให้คุยมากกว่า ฉันยังคิดว่าถ้าไม่มีต้องบรรยากาศคงอึมครึมน่าดู

“ย่าคะนี่อาจารย์จอยอาจารย์ของต้องค่ะย่า สอนเก่งและสอนดีมากๆ เลยนะคะ ที่สำคัญใจดีอีกต่างหาก” ต้องแนะนำฉันให้รู้จักกับย่าของเธออย่างเป็นทางการ

“อ้าวเป็นอาจารย์ของต้องหรอกเหรอนึกว่า...” ย่าหยุดพูดแค่นั้น และทำสีหน้าเจื่อนๆ เพราะคิดว่าตัวเองเข้าใจผิดว่าฉันเป็นเพื่อนของตาลมาเป็นเพื่อนตาลมางานรับปริญญาของต้องเท่านั้น

“ค่ะ เป็นอาจารย์ของต้องคะแล้วก็เป็นเพื่อนของตาลด้วย คือจอยกับตาลเป็นเพื่อนเรียนโรงเรียนเดียวกันจนจบปวส. แล้วก็แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง นี่ก็พึ่งได้เจอกันเพราะว่าต้องรับปริญญานี่แหละคะ”

“แล้วคุณจอยจบอะไรมาคะถึงได้มาสอนหนังสือเจ้าต้องมันได้”

“อ๋อจอยจบโทคะตอนนี้กำลังหาลู่ทางต่อเอกอยู่”

“เป็นผู้หญิงเรียนอะไรนักหนาเดี๋ยวก็แต่งงานมีลูกมีเต้า คร้านจะไม่มีเวลาทำงาน”

“โธ่ย่าขาสมัยนี้ผู้หญิงเค้าเรียนสูงๆ ออกถมไป ไม่ต้องรอให้ผู้ชายเลี้ยงแล้วนะคะย่า ต้องเองก็อยากจะเรียนจบสูงๆ เลยย่า นี่ต้องว่าถ้าจบแล้วต้องจะไปอยู่กับพ่อที่โน่น เค้าว่ากันว่าที่โน่นจบง่ายกว่าเมืองไทยเยอะเลย ต้องจะขอย่าไปอยู่กับพ่อจะได้หรือเปล่าคะนะคะย่าขา” ต้องออดอ้อนผู้เป็นย่าที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เกิดใหม่ เพราะแม่ของเธอเสียไปตั้งแต่คลอดเธอออกมา หมอให้เลือกว่าจะเอาแม่ไว้หรือเอาลูก พ่อของต้องเลือกทั้งสองฝ่าย แต่สุดท้ายแม่ของเธอก็จากไปอย่างสงบอีกสองวันถัดมา เหลือแต่เพียงเธอให้พ่อเลี้ยงไว้ดูต่างหน้าแม่ที่จากไป

“จะทำอะไรก็ตามใจ ใช่สิฉันมันแก่แล้วนี่อะไรจะไปสู้พ่อของแกได้ยัยต้อง พอเห็นพ่อไปเมืองนอกเมืองนาหน่อยละเป็นไม่ได้ ระริกระรื่นกระดิกหางตามพ่อเชียวนะยะ”

“ย่าก็พูดเกินไปหน่อยนะ ต้องแค่อายากมีดีกรีเมืองนอกกับเค้าบ้าง ใครๆ เค้าก็ไปกัน ต้องมีพ่ออยู่ด้วยทั้งคนจะไปกลัวอะไร”

“ระวังเถอะแม่เลี้ยงแกจะกลั่นแกล้งจนแกอยู่ไม่ได้”

ตาลได้ยินถ้อยคำนั้นชัดเจนถ้อยคำที่ดูถูกแม่ของเธอ เธอรู้ว่าสาเหตุที่ย่าไม่ชอบหน้าแม่ของเธอก็เพราะเมื่อสมัยแม่ยังเป็นวัยรุ่น ยังไม่มีความยับยั้งชั่งใจ แม่กับพ่อมีเธอตอนที่พ่อและแม่ยังไม่พร้อม แม่เล่าด้วยซ้ำไปว่าย่าให้แม่ไปเอามารหัวขนแบบเธอออก บังคับให่พ่อเลิกกับแม่ ส่งพ่อไปเมืองนอก แม่ต้องลำบากอุ้มท้องอยู่คนเดียวจนพ่อศักเข้ามารับว่าจะช่วยเหลือเธอและเป็นพ่อให้กับลูกในท้อง จนแม่ของเธอคลอดเธออกมา พ่อศักก็เลี้ยงดูเธอเป็นอย่างดี

แม่ของเธอต้องเลี้ยงเธอไปด้วย ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ไม่ได้สบายแบบที่ใครๆ คิด แม่ของเธอลำบากตั้งแต่คลอดเธอออกมา ความเจ็บแค้นในตัวของพ่อและโมโหย่าเมื่อรู้ความจริงว่าย่าคิดอย่างไรกับเธอ มันพอกพูนทวีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อพ่อกลับมาคืนดีกับแม่อีกครั้งและอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอเข้าใจ ตอนนี้เธอกลับเห็นเรื่องที่ย่ากำลังพยายามกีดกันพ่อกับแม่เป็นเรื่องตลกขำขัน

“แกจะกลับไปเอาแตงเถาตายทำไมผู้หญิงดีๆ โสดๆ ซิงๆ มีถมไป”

“ผมจะกลับไปหาหัวใจของผมครับแม่ แม่บังคับผมมามากพอแล้วตอนนี้ผมมีอิสระแล้ว ผมกับเจนเรารักกันและรักกันมานานแล้ว ผมขอเถอะนะครับอย่ากีดกันเราอีกเลย”

พ่อของเธอกลับไปขอคืนดีกับแม่ พ่อใช้ความพยายามอยู่หลายปี ทิ้งต้องให้อยู่กับย่าเพราะพ่อไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะได้กลับมารับลูกสาวคนเล็กไปอยู่ด้วย และสุดท้ายเมื่อทุกอย่างลงตัวต้องเรียนจบ อีกไม่นานทั้งสองคนก็จะโยกย้ายไปตั้งรกรากที่อเมริกา ตาลกลับมางานรับปริญญาของต้องและมาช่วยทำเอกสารรับรองให้ต้องย้ายไปอยู่กับเธอและแม่อย่างถาวร

แรกๆ ย่าไม่ยอมที่จะปล่อยต้องไป แต่ก็ต้องจำยอมในที่สุดเพราะพ่อของตาลไม่ยอมลดละความตั้งใจ เขาพยายามอธิบายทุกอย่างให้แม่ตัวเองได้รับรู้ และสุดท้ายถึงไม่ยอมก็ต้องจำใจปล่อยให้หลานสาวที่เลี้ยงมากับมือไปอยู่ไกลหูไกลตา


เมื่อเสร็จมื้ออาหารพ่อกับย่าและต้องก็ขอตัวกลับส่วนฉันกับตาลด้วยความที่ไม่ได้พบเจอกันนาน ฉันบอกกับแม่ว่าฉันขอนอนค้างกับเธอ แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะรู้ดีว่าฉันกับตาลสนิทกันมากแต่ไหน ตาลพาฉันออกมาสูดอากาศที่ข้างระเบียงห้องของเธอ สั่งแชมเปนมาหนึ่งขวด ฉลองให้กับการที่เราสองคนได้กลับมาพบกันใหม่

นั่งดื่มไปสักพัก ตาลก็ลุกขึ้นมาชวนฉันให้เต้นรำ เธอคงมึนมากแล้ว เพราะครึ่งขวดที่หมดไปเป็นฝีมือเป็นของเธอ ส่วนฉันแก้วเดียวก็หน้าแดง เลือดในกายสูบฉีดจนร้อนไปหมดทั้งตัวแล้ว

“มาจอยเรามาเต้นรำกัน เหมือนตอนที่เรายังเป็นเด็กไงครูสอนเราเต้นยังจำได้ไหม” แล้วเธอก็ร้องเพลงขึ้นมาไม่เป็นปี่เป็นขลุ่ย

“Oh we change to the left and we change to the right” ตาลร้องไปได้สักพักก็หยุดรอให้ฉันลุกขึ้นมาจากที่นั่งอยู่

ฉันร้องตามเธอ ออกมาด้วยนึกสนุก “and we walk and we walk and we walk all night on the heel and the the toe and half way go around on the heel and the toe and a new friend found”

เราสองคนร้องเพลงเสียงดังแถมยังเต้นท่าที่ครูพละสอน ไม่คิดว่าจะจำกันได้ หมุนไปหมุนมาอยู่กันสองคน ดีกรีในกระแสเลือดประกอบกับท่าเต้นที่ต้องหมุนไปหมุนมา ทำให้เราเซจากที่ยืนเต้นกันอยู่ ล้มตัวลงไปนอนบนเตียงอันแสนนุ่ม

ฉันยั้งใจไม่ได้อีกแล้ว สมองไม่ได้สั่งว่าต้องหยุดตัวเอง ฉันจูบที่ปากของเธอ และได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน ไม่มีการยับยั้ง เราสองคนต่างฝ่ายต่างต้องการกันและกัน ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาจากปากของเราสองคน มีเพียงเสียงแห่งความคิดถึง ความสุขและความรักของเราสองคนเท่านั้น ที่เล็ดรอดออกมา


กว่าจะรุ่งสาง ความอ่อนล้าไม่ได้ย่างกรายเข้ามาใกล้เราเลยสักนิด เวลาผันผ่านไป ทุกอย่างจางลง สติมาปัญญาเกิด ฉันได้แต่เอ่ยปากขอโทษเธอ แม้ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเราสองคนจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี แต่ศีลธรรมในใจกลับทำให้ฉันว้าวุ่นใจ

“จอยไม่ผิดหรอกเราผิดเองที่ฉุดรั้งอารมณ์ฝ่ายต่ำในใจของเราไม่ได้ เราไม่เคยลืมจอยแม้แต่วินาทีเดียว มันเป็นความทรงจำที่ดีของเรา อย่าโทษตัวเองเลยจอย เราต่างหากที่ต้องโทษตัวเราเอง เย็นนี้เราก็ต้องจากกันแล้ว เรายังไม่เคยลืมเลยนะ ที่เราตื่นขึ้นมาพร้อมๆ กัน มองดูพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าด้วยกัน เราเสียใจด้วยซ้ำไปที่คนแรกของเราไม่ใช่จอย ความรักมันงดงามเสมอ เมื่อมันอยู่ถูกที่ถูกเวลา อย่าคิดมากนะจอย”

เธอลูบมือนุ่มๆ ของเธอไปตามใบหน้าของฉัน น้ำตาของฉันมันเป็นน้ำตาแห่งความสุข ฉันไม่เคยคิดรังเกียจเธอเพราะเธอคือหนึ่งในใจของฉัน

ใครจะลืมรักครั้งแรกได้ง่ายๆ ใครจะลืมคนที่รักหมดหัวใจได้ลง คงไม่มีใครทำได้ ความรักที่ไม่มีวันสมหวัง ความรักที่ต้องถูกต้องตามจารีตประเพณี ฉันเข้าใจความคิดของตาล ฉันโทรไปลางานบอกแม่ว่าวันนี้จะพาตาลไปเที่ยวไปไหว้พระเพราะตอนเย็นตาลต้องบินกลับไปหาครอบครัวของเธอ แม่ก็เข้าใจฉันและให้ลางานพาจอยไปไหว้พระ

ฉันพาตาลเข้าวัดโน้นออกวัดนี้ เราเริ่มต้นที่วัดอรุณ ใครๆ ก็บอกว่าไหว้พระวัดอรุณ จะได้เจริญเหมือนอรุณที่เริ่มต้นของวัน และไปต่อที่วัดระฆัง ให้เสียงระฆังบอกบุญไปยังแดนไกล ไปวัดพระแก้ววัดคู่บ้านคู่เมือง ไปวัดโพธิ์เพื่อความสงบร่มเย็น ไปเสาหลักเมืองจะได้มั่นคงตลอดกาล ไปวัดชนะสงครามจะได้ไม่มีคู่อริมาต่อกร

ไปศาลเจ้าพ่อเสือ เราจะได้ข่มขวัญคู่ต่อสู้ และอีกหลายๆ หวัดในระแวกนั้น จนเกือบได้เวลาที่เครื่องจะออก ตาลบอกว่าต้องไปต่อเครื่องที่ญี่ปุ่น ไม่มีเครื่องที่บินตรงไปยังรัฐที่เธออยู่ ฉันก็พอเข้าใจ เราจากกันทั้งน้ำตาและความอาลัย

“เราจะกลับไปเลิกกับเค้า แล้วเราจะกลับมาหาจอยรอเรานะ” อยู่ๆ ตาลก็พูดขึ้นมาหน้าตาเฉยทำเอาฉันงง

“แล้วลูกจะอยู่กับใครคิดดีๆ นะตาล”

“ลูกก็อยู่กับเราสิ ลูกของเราเราเลี้ยงเองได้”

“ทำไมล่ะตาล” ฉันงงกับคำตอบของเธอ ที่เธอแต่งงานเธอไม่ได้รักผู้ชายคนนั้นเลยหรือไร แล้วภาพที่เห็นว่าเธอยิ้มในวันแต่งงานมันคืออะไรกัน ภาพแห่งความสุขเหล่านั้นมันคือภาพลวงตาหรอกหรือ

“เรารู้ตัวดีว่าเราไปกันไม่รอดตั้งแต่แรกคบกันแล้ว เค้าก็ไม่ได้รักอะไรเรามากมาย ตอนนั้นเรายังเด็กเกินไป เราคิดสั้นเกินไปจอย เราเข้าใจแม่มากขึ้นก็ตอนที่เราเองตัดสินใจผิดพลาดไป แต่สมัยนี้ไม่แปลกอะไรหรอกนะแต่งแล้วหย่า หย่าแล้วแต่งเรื่องปกติ”

“มันปกติสำหรับฝรั่งแต่บ้านเรามันไม่ปกติหรอกนะตาล” ฉันจับมือทั้งสองข้างของเธอมากุมไว้ที่มือของฉัน

“จอยแคร์ด้วยเหรอกับสายตาคนอื่น สำหรับเราเราไม่ได้ขอใครกินเราทำอาชีพของเรา เราไม่สนใจใครอีกแล้ว เราสนแค่ว่าเรารักจอยและรักมากที่สุดในชีวิตของเรา เราขอโทษนะจอยที่ทำให้จอยเสียใจมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา รอเรานะจอย จอยไม่ต้องรอเรานานเท่าเมื่อก่อนอีกแล้วเรารู้แล้วว่าหัวใจของเราอยู่กับใคร เราจะไม่หลอกตัวเองอีกต่อไปแล้ว สัญญานะจอยว่าจะคอยเรา”

“จ๊ะสัญญาคนดีของเราเราจะรอตาลกลับมา” เราสองคนกอดกันและตาลก็เดินจากไป ฉันไม่มีน้ำตาเพราะการจากกันครั้งนี้ฉันมีความหวัง ว่าตาลจะต้องกลับมา


ฉันเห็นข่าวในโทรทัศน์ตอนที่ไปกินข้าวกลางวัน ข่าวเครื่องบินจากญี่ปุ่นของสายการบินต่างประเทศแห่งหนึ่งตกในมหาสมุทรดังครึกโครมไปทั่วโลก ในข่าวบอกว่าเครื่องบินบินหลงเข้าไปในพายุที่กำลังก่อตัว และหายไปจากจอเรดาร์ มาตรวจพบอีกครั้งก็ตกเป็นชิ้นๆ กระจายเกลือนมหาสมุทร ลูกเรือและผู้โดยสารคาดว่าเสียชีวิตหมดทั้งลำ

ฉันไม่ได้สนใจข่าวนี้เท่าไหร่ เพราะฉันต้องทำงานเมื่อลางานไปสองวันงานที่ต้องสะสางก็กองเท่าภูเขา พี่แขกช่วยฉันทำงานบางอย่างไปแล้ว แต่ก็ยังมีงานที่ค้างอยู่อีกหลายงาน

ตอนบ่ายน้าศักโทรมาหาฉันที่บริษัทถามว่าฉันสบายดีหรือเปล่าเสียงของน้าศักเศร้าๆ ฉันก็แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น น้าศักไม่ได้พูดอะไรอีก แค่บอกว่าคิดถึงฉันเท่านั้น

สักพักต้องโทรมาหาฉันอีกคน ฉันอดแปลกใจไม่ได้ว่าต้องเอาเบอร์โทรที่ทำงานของฉันมาจากไหน เธออาจจะได้จากตาลหรือจากน้าศักก็ได้ ฉันเองก็ไม่รู้

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าต้องเมื่อกี้น้าศักก็โทรมาหาพี่ แต่ไม่ได้บอกอะไรแค่ถามว่าสบายดีหรือเปล่าเท่านั้นเอง”

“แล้วพี่จอยสบายดีหรือเปล่าคะ”

“ก็สบายดีแต่งานยุ่งมาก ต้องต่างหากล่ะมีอะไรหรือเปล่าโทรมาหาพี่หรือว่าจะถามเรื่องงานพี่ยังไม่ได้ถามที่บุคคลให้เลยว่ามีตำแหน่งชั่วคราวว่างหรือเปล่าต้องรอเดี๋ยวได้ไหมเดี๋ยวพี่โทรลงไปถามให้ต้องจะได้ไม้ต้องโทรมาหลายรอบ” ฉันเข้าใจว่าต้องโทรมาหาฉันเพราะเธอต้องการจะถามถึงเรื่องตำแหน่งานว่างที่ฉันสัญญาว่าจะดูให้เธอ

“พี่จอยสบายดีก็ดีแล้วค่ะ คือตอนนี้พี่จอยนั่งหรือยืนคะ”

“นั่งสิพี่นั่งรับโทรศัพท์อยู่ถามอะไรแปลกๆ พี่จะยืนรับโทรศัพท์ทำไมกัน” ฉันอดขำคำถามของต้องไม่ได้ เด็กอะไรถามมาได้ว่านั่งหรือยืนรับโทรศัพท์ท่าจะกินอาหารผิดสำแดงเลือดลมเดินไม่สะดวก

“พี่จอยให้พี่อาจารย์แขกมาอยู่ใกล้ๆ ได้หรือเปล่าคะ”

“ทำไมพี่แขกเธอทำงานอยู่ไม่ต้องหรอกต้องเป็นอะไรหรือเปล่าหรือว่าทะเลาะกับย่ามาอีก หรือว่าย่าไม่ให้ไปเรียนต่อเมืองนอกแล้ว”

“เปล่าค่ะ พี่จอยไปบอกอาจารย์แขกมารับสายต้องหน่อยได้เปล่าคะ”

“เดี๋ยวนะพี่โอนให้” พูดจบฉันก็โอนโทรศัพท์ไปให้พี่แขกในห้อง พี่แขกรับโทรศัพท์ของต้องแล้วก็สีหน้าเครียดๆ เธอเดินไปหาแม่ของฉันที่ห้องและสักพักก็กลับมาพร้อมๆ กับแม่

“มีอะไรเหรอคะแม่พี่แขก” ฉันอดแปลกใจไม่ได้ที่แม่กับพี่แขกมาหาฉันพร้อมๆ กันเพราะปกติถ้าไม่มีเรื่องงานด่วนหรือมีประชุม สองผู้ยิ่งใหญ่จะไม่เยื้องกรายมาหาฉันพร้อมๆ กับแบบนี้ง่ายๆ

“ทำใจดีๆ ไว้นะจอย” พี่แขกบอกฉัน

“มีอะไรเหรอคะ หรือว่าจอยโดนหางเลขอะไรอีก” อดใจแป้วไม่ได้เพราะงานที่พึ่งส่งเข้าไปให้พี่แขกอาจจะโดนตีกลับให้ทำใหม่ทั้งหมด

“จอยยังสบายดีอยู่หรือเปล่าลูก” แม่มองฉันด้วยสายตาห่วงใย

“ค่ะแม่ จอยปกติดี แปลกเน๊อะทำไมวันนี้มีแต่คนถามว่าจอยสบายดีหรือเปล่า” ฉันตอบยิ้มๆ

“งั้นจอยฟังแม่ดีๆ นะลูก จอยเห็นข่าวเครื่องบินตกเมื่อกลางวันหรือเปล่า”

“เห็นคะแม่ทำไมเหรอ”

“เครื่องบินที่ตาลไปมันตกในทะเลเมื่อวานนี้ ทุกคนตายหมดไม่มีใครรอดเลยสักคน” เมื่อสิ้นคำพูดของแม่ มือไม้ฉันอ่อนไปหมด เหมือนโลกหยุดหมุน

“ไม่จริงใช่ไหมพี่แขก แม่โกหกตาลใช่ไหมพี่” ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีฉันเขย่าแขนพี่แขกเพราะไม่เชื่อคำพูดของแม่

“จริงจอย ตาลไปกับเครื่องบินลำนั้น มีชื่อของตาลอยู่ในรายชื่อผู้โดยสารเครื่องบินลำนั้นด้วย คุณศักโทรมาบอกพี่ ต้องก็บอกพี่ ทุกคนที่บ้านโน้นกำลังเตรียมตัวบินไปรับศพที่อาจจะโผล่ขึ้นมาจากซากเครื่องที่ตก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพบหรือเปล่า” พี่แขกบอกฉันอีกรอบ


ฉันหมดสติไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ระหว่างนั้นฉันเห็นตาลมาหาฉัน มาบอกว่าขอไปเที่ยวสักพักแล้วจะกลับมา แสงขาวๆ ระหว่างทางเดินที่ตาลเดินไป ฉันไม่สามารถที่จะเดินตามตาลไปได้ ตาลเองก็ห้ามฉันไม่ให้ตามเธอไป

ฉันพยายามคว้าแขนของตาลและยึดมือของเธอไว้มั่นแต่ก็หลุดจากมือของฉัน

“ตาลอย่าไป ตาลกลับมาหาเราเถอะเรารักตาลนะ” เสียงของฉันในความฝันดังก้องไปทั่ว

“จอยลูกจอยตื่นเถอะนี่แม่นะลูกจอยจ๋าตื่นสิลูก” เสียงของแม่ปลุกฉันจากความฝัน

เมื่อลืมตาขึ้นมาได้ ฉันมองไปรอบๆ มันคงจะเป็นโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง เห็นแม่กับพี่แขกยืนอยู่ข้างๆ เตียงที่ฉันนอน “จอยฝันไปใช่ไหมคะแม่ ตาลไม่ได้เครื่องบินตกใช่ไหมคะ”

แม่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่น้ำตาไหล พี่แขกก็หน้าเศร้าๆ

“บอกจอยสิคะแม่ว่ามันไม่จริง จอยฝันไปใช่ไหมคะ” ฉันตะโกนลั่นห้องคนไข้ จนแม่ต้องเข้ามากอดฉันเอาไว้กับอก แม่ร้องไห้ ฉันเองก็ร้องไห้

“ไม่จริง มันไม่ใช่เรื่องจริง จอยยังกอดตาลอยู่เลยเมื่อวันก่อน ตาลสัญญาว่าจะเลิกกับหมอนั่นแล้วจะกลับมาหาจอย ไม่จริง จอยไม่เชื่อ จอยไม่เชื่อ” ฉันตะโกนเหมือนคนคุ้มคลั่ง

“จอยฟังแม่นะลูก จอยต้องใจแข็งเอาไว้นะลูก ตาลเค้าไปดีแล้ว ตาลไปสบายแล้ว”

“ไม่แม่ ตาลไม่ได้ไปไหนตาลไปหย่ากับหมอนั่นใช่ไหมแม่ บอกจอยมาสิแม่ ไม่จริงจอยไม่เชื่อ” ฉันสติแตกร้องไห้ตะโกนลั่น จนพี่แขกต้องเรียกพยาบาลมาฉีดยาระงับประสาทให้กับฉัน และเมื่อได้ยาฉันก็หลับอีกครั้ง


ความฝันของฉันก็ยังเป็นความฝันเดิม ตาลมาบอกว่าจะไปเที่ยวดินแดนอันแสนไกล ชีวิตบนโลกในภพนี้ของเธอได้หมดลงแล้ว เธอมาขอบคุณฉันที่ทำให้เธอมีความสุขหลังจากที่ต้องทนทุกข์มาเกือบสิบปี และขอบคุณฉันที่พาเธอไปไหว้พระทำให้เธอพอที่จะมีบุญไปเกิดใหม่ในชาติภพหน้า

“ตัดใจจากเราเถอะนะจอยเรามีบุญที่ได้พบกันแค่นี้ ชีวิตของจอยยังอีกยาวไกลนัก ต้องพบเจอกับอะไรอีกมากมายลืมเราซะ เราสองคนหมดบุญกันแค่นี้”

“ไม่นะตาลเราลืมตาลไม่ได้”

“ลืมเราซะจอย โลกยังสดใสอย่าหมกมุ่นอยู่กับคนอย่างเราเลย”

“ทำไมตาล ตาลไม่ได้รักเราแล้วเหรอ ตาลทิ้งเราไปทำไม”

“เรารักจอยแต่เราสองคนไปกัไม่ได้หรอกลาก่อนนะจอยที่รักของเรา”

ฉันคว้าตาลเอาไว้แต่ก็ไม่สำเร็จ ตาลจากไปแล้วจริงๆ ฉันสะดุ้งตื่นอีกครั้ง คิดทบทวนความฝันของตัวเอง คิดถึงคำพูดของตาลที่บอกว่าให้ฉันรอ เธอจะกลับมาอยู่กับฉัน เธอจะไม่ฝืนใจตัวเองอีกแล้ว เธอรักฉัน

และสมองของฉันก็ตัดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่รับรู้อะไรอีกเลย

จบบทที่ ๑๓




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:39:09 น.
Counter : 411 Pageviews.  

บทที่ ๑๒ เป็นไปได้หรือเปล่า



เทอมต่อมาฉันได้สอนเพิ่มอีกวิชา เพราะพี่แขกไม่มีเวลาสอนฉันก็เลยยังไม่ได้หางานใหม่ตามที่ใจคิดเอาไว้ แม้จะเป็นอาจารย์พิเศษแต่ก็รับงานสอนเหมือนๆ กับอาจารย์ประจำ หน้าที่ที่ทำในบริษัทก็มากขึ้น เพราะพี่แขกได้เลื่อนตำแหน่งไปเป็นผู้จัดการ ส่วยฉันก็ขยับมาเป็นหัวหน้าแผนกแทนพี่แขก

งานเยอะจนแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง อายุก็เกือบจะสามสิบแล้ว อีกไม่กี่ปีก็อต้องร้องเพลงสามสิบยังแจ๋ว แต่ดูไม่ค่อยจะแจ๋ว เมื่อพี่แขกชวนไปออกกำลังกายทุกเย็นที่ฟิตเนส ฉันรู้เลยว่าทำไมพี่แขกถึงได้ดูไม่แก่ เพราะพี่แขกออกกำลังกายทุกวัน แรกๆ ฉันก็เหนื่อยที่ต้องวิ่งบนลู่ หลังๆ พออยู่ตัวก็เริ่มสบายขึ้น

ผลดีของการออกกำลังกายก็คือ ร่างกายแข็งแรง ทำอะไรไม่เหนื่อยง่ายและผอมลง แม้จะกินเท่าเดิม แขนยังใหญ่เหมือนเดิม แต่มันเป็นกล้ามเนื้อไม่ใช่ไขมัน พอออกกำลังกายก็หลับง่ายไม่สะดุ้งตื่นกลางดึกแบบที่เคยเป็น สมองไม่คิดอะไร ร่างกายแข็งแรงก็สบายไปอีกแบบ

กับเรื่องของตาล ฉันเกือบลืมไปด้วยซ้ำว่าเคยเจ็บปวดกับความรักครั้งนั้นมากขนาดไหน นึกย้อนกลับไปฉันกลับคิดว่าถูกแล้วที่ตาลไป หากอยู่กับฉันตาลจะกลายเป็นคนเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงไปเปล่าๆ

น้าศักแวะมาหาฉันที่บริษัทเอารูปของลูกสาวตาลมาให้ เด็กในรูปน่าฟัดเอามากๆ ถ้าอยู่กับฉันตาลคงไม่มีลูกที่น่ารักแบบนี้หรอก เพราะฉันคงไม่มีปัญญาทำให้เธอท้องได้ หรือเธอก็ไม่มีปัญญาทำให้ฉันท้องได้เช่นกัน

“ตาลเค้าเจอพ่อเค้าแล้วนะ”

“จริงเหรอคะน้าหมายถึงพ่อแท้ๆ ของเค้าเหรอคะ”

“อืมใช่ พ่อเค้าไปดูงานที่โน่นแล้วก็เลยแวะไปหาตาลเพราะคิดว่าตาลคงทำใจได้ อย่างว่านะพ่อลูกกันตัดไงก็ตัดไม่ขาด”

“เหรอคะ”

“พ่อเค้ามีแฟนใหม่แต่ก็นานนะหลังจากที่ตาลเกิด พอพ่อเค้าเรียนจบก็ไปเรียนต่อต่างประเทศทำให้เจนกับพ่อของตาลไม่ได้เจอกันหลายปี พอมารู้อีกทีเค้าก็คิดว่าเจนแต่งงานกับน้าไปแล้ว เลยไม่อยากจะมาก้าวก่ายชีวิตของเจนอีก แล้วอีกอย่างเค้าก็คิดว่าตาลเป็นลูกของน้า เพราะเข้าใจว่าเจนทำแท้งไปแล้วและมาแต่งงานกับน้า ว่าไปชีวิตของสองคนนั้นก็น่าสงสารนะ ต่างคนต่างไม่พูดเพราะฝ่ายนึงก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่รับผิดชอบ และอีกฝ่ายก็คิดว่าอีกคนแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว เรื่องไม่เป็นเรื่องความไม่เข้าใจก็เลยเกิดขึ้นไท่ลงตัวสักที”

“แล้วตอนนี้น้าเจนเป็นยังไงบ้างคะ”

“เค้าก็กลับไปอยู่กินกับพ่อของตาลอีกครั้ง”

“อ้าวแล้วภรรยาใหม่ของพ่อตาลไม่ว่าอะไรเหรอคะ”

“คงว่าได้หรอกตายไปตั้งแต่คลอดลูกออกมาแล้ว”

“ห๊า อะไรจะซวยปานนั้น”

“นั่นสิ น้าก็ว่างั้นเหมือนกัน เค้าก็เก่งนะเลี้ยงลูกสาวคนเดียวมาจนโต”

“นั่นสิคะเลี้ยงลูกคนเดียวเหนื่อยนะจอยก็พอรู้”

“เค้าเป็นพ่อที่ดี รักลูกมากๆ เด็กสองคนก็เหมือนกันมากๆ เติบโตมาต่างกันแต่นิสัยเดียวกัน เออใช่ๆ น้ามีรูปของตาลกับน้องมาให้จอยดูด้วย”

น้าศักหยิบรูปที่พกติดตัวออกมาจากกระเป๋าสตางค์ของเขา เอามาให้ฉันดู เมื่อฉันเห็นรูปก็จำได้ทันทีว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกศิษย์ของฉันเอง เพราะเทอมนี้ฉันก็สอนเธอ เมื่อดูเสร็จฉันก็ส่งรูปคืนให้น้าศัก

“ตอนนี้น้าก็สบายใจแล้วสิคะ”

“สบายเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยนะจอย น้าสบายใจมากๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาน้าคิดเสมอๆ ว่าน้าผิดใช่ไหมที่แต่งงานกับเจน จนคนเข้าใจผิดกันไปหมด ตอนนั้นมันมีหนทางเดียวเท่านั้น ถ้าเจนจะเก็บเด็กเอาไว้ก็ต้องหาพ่อให้ลูกสักคน น้าเองก็รักเพื่อนมาก ไม่อยากให้หลานต้องมาตายตั้งแต่ยังไม่ลืมตามาดูโลก ถ้าครอบครัวของเจนรู้เข้าก็คงให้ไปทำแท้ แล้วจับเจนใส่ตะกร้าล้างน้ำ ให้ไปแต่งงานกับใครสักคน ที่เจนไม่ได้รัก สู้ให้เจนเก็บลูกเอาไว้ และแต่งงานกับน้าแต่ในนามดีกว่า”

“จอยพอเข้าใจความรู้สึกของน้าศักค่ะ”

“มีแต่จอยเท่านั้นแหละมั๊งที่เข้าใจน้าดีกว่าใครๆ”

“เพราะจอยพอรู้ค่ะน้าว่าความรักที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ มันเป็นแบบไหน”

น้าศักมองหน้าฉัน และฉันก็มองหน้าน้าศักเราสองคนต่างยิ้มให้กัน และรู้กันแค่สองคนว่าสิ่งที่เราพูดหมายถึงอะไร

“แล้วเมื่อไหร่จะสมหวังก็ไม่รู้เนอะจอย”

“เมื่อไหร่ก็ได้มังคะ ที่แน่ๆ หาคนร่วมฝันยังไม่ได้เลยตอนนี้ ขาดแคลนเหลือเกิน”

“หาไม่ได้หรือยังไม่ได้หากันแน่จอยอย่างจอยถ้าหาก็ต้องได้สิ”

“บอกไม่ถูกคะน้าว่าหาหรือยังแต่ที่แน่ๆ พยายามแล้วแต่หาไม่เจอ”

“ค่อยๆ หาไปเรื่อยๆ สักวันก็ต้องเจอ คนเราคงไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่คนเดียวหรอกนะ สักวันก็ต้องพบคนที่คิดว่าใช่ และสักวันก็จะมาถึง น้าเชื่อแบบนี้นะ ใครจะคิดยังไงน้าไม่รู้”

“เหมือนน้าศักเจอแล้วแต่ก็ต้องไกลกันแบบนั้นเหรอคะ”

“อืมม์ใช่ บางที่คนที่เราคิดว่าใช่ก็อาจอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่บางครั้งก็อยู่ไกลเกินเอื้อมเหมือนกัน”

“ไกลตาแต่ใกล้ใจจะดีกว่าไหมคะน้า”

“เออเนอะ พูดดีนะหลานสาว”

“แหะๆ ฟังเค้ามาอีกต่อนึงคะน้า อย่างจอยจะคิดอะไรเองเป็นเรื่องแบบนี้ น่าปวดหัวแค่เรื่องงานจอยก็จะตายแล้ว”

“ได้ยินคุณแขกบอกว่าจอยไปสอนหนังสือเหรอ ทำไมถึงได้ไปทำงานสอนได้ล่ะ”

“ก็พี่แขกแหละคะเอางานมาโยนให้จอย พอตัวเองทำไม่ไหวก็มาถามว่าจอยจะไปช่วยสอนหรือเปล่า หลังๆ โยนมาให้จอยโครมเดียว คงเห็นว่าจอยว่างๆ มังคะน้า”

“สอนหนังสือเหนื่อยออกกว่าจะเตรียมการสอนเสร็จ กว่าจะสอนกว่าจะตรวจข้อสอบทีละข้อ”

“ก็ใช่ค่ะน้าจอยอยากจะออกข้อสอบแบบปรนัยให้กาๆ จะตายไป แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมันเป็นวิชาบัญชี ถ้าออกมากๆ เด็กๆ ก็คิดกันหัวบาน แล้วก็ลงบัญชีไม่ถูกที่ถูกทาง แต่พออ่านๆ คำตอบแล้วก็อยากจะฉีกทิ้ง บางคนไม่รู้ว่าตั้งใจเรียนหรือเปล่า เวลาสอนก็ไม่เรียน เวลาสอบตกคร่ำครวญขอคะแนน จานคะจานขา ถ้าหนูสอบวิชาจานตก หนูต้องโดนออกแน่ๆ เลยเพราะคะแนนหนูไม่ถึงเกณฑ์ แล้วก็มาคิดนะคะว่าแล้วจอยผิดตรงไหนที่ทำตามหน้าที่ ขนาดว่าพยายามให้คะแนนทุกที่ที่ทำถูกแล้วนะคะ ยังไม่รู้จะเอาคะแนนไหนใส่ให้เลย แล้วพอให้ทำรายงานมาส่งพ่อเจ้าประคุณทั้งหลายก็ก๊อปมาส่ง”

“ก็ยังดีนะที่ทำมาส่งดีกว่าไม่มีรายงานมาเลย”

“แต่น้าคะ ถ้าทำเองก็ว่าไปอย่าง นี่รู้เปล่าพวกนั้นทำไง เอารายงานของเพื่อนไปถ่ายเอกสารมาส่งจอย เหมือนกันอย่างกับแกะ แม้กระทั่งรอยหมึก พอจอยเห็นเลือดขึ้นหน้าเลยคะน้า จอยไม่ว่าเลยนะคะถ้าจะพรินท์ออกมาแล้วเคาะวรรคให้แตกต่างกันออกไปสักนิด เพราะที่ให้คะแนนก็ได้มาจากค่ากระดาษกับค่าน้ำหมึกที่พยายามพรินท์ออกมาหลายๆ ชุด หรือเติมข้อความลงไปสักนิดก็ยังดี แต่นี่ไม่ทำอะไรเลย เฮ้อ...น่าปวดหัว”

“ฮ่าๆๆ” น้าศักฟังที่ฉันเล่าแล้วก็ขำออกมาเสียงดัง

“หลานปวดหัวยังจะมาหัวเราะสนุกอีกนะ”

“คุยอะไรกันน้าหลานสนุกเชียว” เสียงแม่ของฉันนั่นเอง

“อ้าวสวัสดีครับคุณไม่ได้เจอกันซะนาน”

“ไม่ค่อยได้มีเวลาเลยคุณศักงานเยอะมากๆ นี่ว่าจะมาชวนจอยกับแขกไปกินข้าวกัน คุณศักอยู่พอดีไปด้วยกันไหมคะ”

“ไม่ดีกว่าครับวันนี้ผมมีนัดลูกค้าพอดีแวะเอารูปลูกสาวตาลมาให้จอยเค้า ตาลเค้าฝากมาให้เพราะจอย บอกว่าอยากเห็นหน้าหลานว่าจะน่ารักขนาดไหน”

“นี่ไงคะแม่น่ารักไหม” ฉันหยิบรูปหลานให้แม่ดู

“น่ารักจริงๆ ด้วยเมื่อไหร่จอยจะมีหลานน่ารักๆ แบบนี้ให้แม่อุ้มสักคนล่ะลูก”

ฉันได้แต่ยืนยิ้มเจื่อนๆ ให้กับแม่ ถึงแม้ว่าแม่จะรู้ว่าฉันไม่ได้รักผู้ชายแต่ในใจลึกๆ ของแม่ก็อยากเป็นยายอยู่วันยังค่ำแม่ใกล้จะเกษียณแล้วแม่อยากเลี้ยงหลานเต็มแก่ แม่บอกฉันบ่อยๆ ว่าแม่เหงาแน่ๆ ถ้าแม่ไม่ได้ทำงาน ครึ่งชีวิตของแม่ ที่พ่อจากไปแม่ทำแต่งาน จนลืมไปด้วยซ้ำว่ามีฉันเป็นลูก น้าศักมองหน้าฉันยิ้มๆ ก่อนที่จะขอตัวกลับ และฉันก็เดินตามแม่ไปกินข้าวพร้อมๆ กับพี่แขก

ฉันเริ่มที่จะใช้คอมพิวเตอร์มากขึ้น ให้เด็กๆ ส่งการบ้านมาทาง Email และตรวจการบ้านจาก Email เช่นกัน ฉันใช้การติดต่อสื่อสารทาง Internet ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เพราะเด็กๆ จะได้ไม่ต้องเปลืองที่จะต้องทำออกมาเป็นกระดาษส่งให้กับฉัน และจะแก้ไขสิ่งที่ผิดลงไปใน File ของเด็กๆ เลยจะได้ง่าย เมื่อเด็กแก้เสร็จแล้วก็ส่งต้นฉบับมาให้ฉัน เก็บเอาไว้เพื่อเป็นคะแนนของทุกคนต่อไป

เพราะอย่างไรเสียทุกอย่างก็ต้องส่งคืนอยู่แล้ว จะเก็บมาไว้ที่ฉันก็รกเปล่าๆ ห้องพักอาจารย์ก็เล็กเป็นรังหนู ยิ่งอาจารย์พิเศษด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ไม่มีที่นั่งประจำให้กับอาจารย์ที่มาสอน ต้องไปอาศัยห้องของธุรการคณะเพื่อให้นักศึกษาส่งรายงาน เมื่อเปลี่ยนระบบใหม่ ก็ง่ายขึ้น รู้เลยด้วยซ้ำไปว่าใครส่งงานมาวันไหน ฉันมีกำหนดเส้นตายของแต่ละงานให้เด็กๆ เสมอๆ แต่ก็ไม่เคยที่จะกำหนดตายตัวเมื่อส่งมาก็ตรวจกลับไป

เมื่อเริ่มใช้ Internet แน่นอนฉันก็ต้องรู้จักโปรแกรมแชตที่มาพร้อมๆ กับโปรแกรมส่งเมลที่มีก็เป็นสองค่ายยักษ์ที่ใช้ฟรีกันทั่วทุกมุทโลก เริ่มแรกก็ไม่ได้คุยอะไรมากมายนักเด็กๆ ถามการบ้านฉันก็ตอบกลับไป ฉันจะมีเวลาให้กับเด็กๆ ก็ราวๆ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน เพราะตัวเองก็ต้องโหลดรายงานของเด็กๆ ออกมาอ่าน และแก้ไขให้อยู่แล้ว บางครั้งก็ทำแผนการสอนและทำ presentation สำหรับการสอนในชั่วโมงต่อไปด้วย

เด็กๆ ไม่ค่อยกล้าคุยอะไรกับฉันมากมาย คงกลัวจะไม่ได้คะแนนหรือกลัวว่าฉันจะไม่พอใจ แต่พอเรียนจบไปแล้ว แต่ละคนก็เริ่มคุยมากขึ้น ทำให้ฉันมีเพื่อนทางการออนไลน์มากขึ้น หนึ่งในนั้นคือเด็กคนนั้น น้องสาวของตาล เธอเข้ามาทักทายฉันและบอกว่าพี่สาวของเธอรู้จักฉัน โชคดีที่ฉันรู้มาจากน้าศักแล้วว่าเธอเป็นน้องต่างแม่ของตาลก็เลยไม่ได้ตกอกตกใจอะไร

“จริงๆ นะจาน พี่หนูบอกว่ารู้จักจานดีมากๆ เลย” ข้อความตัวหนังสือสีน้ำเงินของเธอส่งมาให้ฉัน ขณะที่เธอกำลังถามคำถามวิชาบัญชีที่ฉันไม่ได้สอน และฉันกำลังอธิบายให้กับเธอได้เข้าใจ

“เหรอ ก็คงอย่างนั้น” ฉันพิมพ์ข้อความกลับไป เพราะอยากจะปกป้องตัวเองให้ห่างจากเธอ ฉันไม่อยากให้เธอเข้ามาในชีวิตของฉัน อย่างไรเสียฉันก็มีชื่อว่าเป็นครูของเธอ ครูที่มีอะไรกับลูกศิษย์ตัวเองมันดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่นักหรอก

“จานรู้จักพี่ตาลหรือเปล่าคะ”

“รู้จักสิถามทำไม”

“พี่ตาลเป็นพี่ของหนู แต่เราคนละแม่กัน”

“เหรอ”

“ค่ะจาน พี่ตาลเอารูปตอนสมัยเด็กๆ ของจานให้หนูดู จานน่ารักมากๆ เลย”

“ขอบใจนะที่ชม”

“นั่นแน่หลงตัวเองชะมัดเลยจานเรา”

“อ้าวแล้วกัน”

“ล้อเล่นค่ะจาน เทอมนี้เทอมสุดท้ายแล้ว ถ้ารับปริญญาจานมางานของหนูนะ พี่ตาลก็สัญญาว่าจะมาเหมือนกัน จานจะได้อุ้มลูกพี่ตาลไง น่ารักมากๆ เลยนะจาน”

“เห็นในรูปแล้วเหมือนกันน้าศักเอามาให้ดู”

“เหรอคะว้า ว่าจะเอารูปมาอวดจานซะหน่อย” ไม่ว่าเปล่าเธอโชว์รูปของเด็กหญิงตัวน้อยๆ ในระบบการแชตของเรา แถมยังส่งไฟล์รูปมาให้ฉันอีกด้วย

ฉันกดรับและรอโหลดรูปมาจากเธอ เมื่อระบบโหลดเรียบร้อยฉันได้เห็นตาลกับลูกเต็มๆ ตาก็วันนี้ ที่เคยเห็นจากน้าศักมันเป็นเพียงกระดาษใบเล็กๆ มองไม่ค่อยชัดเจน เมื่อได้เห็นเต็มๆ ฉันถึงได้รู้ว่าเด็กคนนี้มีนัยตาสีดำสนิทเหมือนแม่ จมูกโด่งผิวขาวเหมือนพ่อ แก้มใสๆ สีชมพูน่าหยิกน่าฟัด

“หลานพูดไทยได้หรือเปล่า”

“ได้ค่ะ เรียกแม่เรียกยายได้”

“ดีจังพูดได้สองภาษาตั้งแต่ยังเล็กๆ”

“เรียกหนูว่าน้าด้วยนะขอบอก ว่าแต่จานเป็นป้าหรือเป็นน้าคะ”

“น่าจะเป็นป้านะเพราะครูแก่กว่าตาลหลายเดือน”

“อ๋อคะ”

“ครูขอตัวก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า”

“ไนท์ๆ ค่ะจาน ฝันดีจุ๊บๆ”

“ฝันดีจะสาวน้อย”

หลังจากวันนั้นฉันกับน้องสาวของตาลก็คุยกันผ่านโปรแกรมแชตทุกคืน คืนไหนไม่ได้คุยมันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง ฉันกลายเป็นคนติดแชต นั่งรอให้เธอมาคุยด้วย ไม่กล้าที่จะทักทายเธอก่อน เพราะกลัวว่าจะไม่เหมาะสม บางครั้งอยากจะทักทายเพราะเมื่อเปิดโปรแกรมแชตขึ้นมา เธอจั่วหัวไว้ว่า “คิดถึงจังเลยอยากคุยด้วย” แต่ก็ไม่รู้ว่าเธอคิดถึงใคร เธออยากคุยกับใคร เด็กในวัยของเธอกำลังเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ และมีเพื่อนมากมาย ส่วนฉัน มันเกินที่จะเรียนรู้แล้ว อีกอย่าง เธอยังเด็ก เมื่อเทียบกับฉัน

จากที่พอเดาๆ เธอคงห่างจากฉันหลายปี รุ่นๆ เดียวกับเธอคงราวๆ สักยี่สิบต้น ส่วนฉัน 28 เข้าไปแล้ว อายุของเราห่างกันมาก ฉันถามตัวเองเสมอๆ ว่าที่ฉันชอบเธอและแอบหลงรักเธอ เพราะต้องการให้เธอเป็นตัวแทนของตาลหรือเปล่า คำตอบมันไม่กระจ่างชัด ว่าใช่หรือไม่ แต่ก็ยอมรับว่าที่ชอบก็เพราะเธอมีส่วนคล้ายกับตาล อดีตคนรักของฉันมากๆ ทั้งการพูดจา ทั้งหน้าตาและท่าทาง

อย่างที่บอกฉันรอเธอ วันไหนเธอไม่ออนไลน์ฉันก็หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก คืนนั้นแทบจะนอนไม่หลับ ฉันอยากจะมีเบอร์โทรของเธอ เอาไว้โทรหาตอนที่เธอไม่มาคุยกับฉันที่หน้าจอแต่ก็ปากหนักมือแข็งไม่เคยขอเบอร์โทรของเธอสักที พี่แขกเป็นคนแรกที่เห็นฉันเปลี่ยนไป ร้อนรน วุ่นวาย

“เป็นอะไรจอยหมู่นี้ดูแปลกๆ พิลึกงานหนักหรือไง”

“เปล่าหรอกค่ะพอดีจอยมีอะไรคิดนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

“ไอ้ที่ว่านิดๆ หน่อยๆ ของจอยหมายถึงน้องนิดน้องหน่อยหรือเปล่า”

“บ้าน่าพี่แขกจะน้องนิดน้องหน่อยที่ไหนกัน พี่ก็เห็นวันๆ จอย ทำแต่งานจะมีเวลาไปคิดเรื่องแบบนั้นได้ไง”

“เอางี้พี่มีเวปนิยายหญิงรักหญิงออนไลน์ ลองไปอ่านสิ เผื่อจะได้หายฟุ้งซ่าน”

“ก็ดีค่ะพี่ ลองอ่านดูก็คงไม่แปลกอะไรเนอะ”

“โอเค เดี๋ยวพี่ส่งให้แล้วกันมีอยู่ไม่กี่เวปหรอกนะ ลองๆ ไปหาอ่านดู พี่ก็อ่านเหมือนกัน ช่วยให้หายฟุ้งซ่านได้”

“คะพี่”

แล้วหลังจากนั้นฉันก็ติดตัวหนังสือ ที่เขียนเกี่ยวกับหญิงรักหญิง นิยายเหล่านั้นบอกเล่าเรื่องราวมากมายของหญิงรักหญิง แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องจริง แต่ฉันก็ชอบที่จะอ่าน แต่ละเรื่องที่เขียนทำให้ฉันกล้าพอที่จะยอมรับตัวเองว่าฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นหญิงรักหญิงเช่นกัน

เมื่อเข้ามาบ่อยๆ เห็นกระทู้พูดคุยกัน ฉันก็อยากจะร่วมแจมบ้าง แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะใช้นามแฝงอะไรดี สุดท้ายก็ได้ชื่อ “กาลนาน” เป็นชื่อที่ใช้ในการเล่นกระทู้ของเวปนั้น แถมบางครั้งยังแอบเข้าไปห้องแชต แอบดูคนคุยกัน แอบเห็นเค้านัดหมายกันไปกินโน่นกินนี่ แอบเห็นเค้าชักชวนกันไปดูหนัง ฉันเองก็อยากไปแต่ไม่กล้า

เพราะฉันไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวเองกับใครๆ ฉันมีอาชีพเป็นครู ต้องใช้หน้าที่การงานหาเงิน และฉันก็ยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับใครๆ ฉันเล่าเรื่องนี้ให้พี่แขกฟัง พี่แขกขำแล้วบอกว่าฉันเป็นพวกแอบและไม่กล้าแสดงออก

จนวันหนึ่งได้คุยกับพี่เจ้าของเวป เธอใจดีพูดคุยสนุกสนาน มีแง่คิดอะไรมากมายให้กับฉันได้รู้ และเธอยังแนะนำน้องๆ ให้รู้จักกับฉันอย่าเป็นทางการ หนึ่งในนั้นเป็นเด็กน้อยที่น่ารัก เธอมุ่งมั่นที่จะลดความอ้วน กินยามากมายเพื่อให้ได้มาซึ่งหุ่นที่ผอมเพรียว

เวลาเดินไปไหนมาไหนมักหกล้มเสมอๆ เธอบอกว่าบันไดไม่ยอมรับร่างของเธอบันไดติงต๊อง ฉันอ่านข้อความแล้วขำกลิ้ง เด็กคนนี้เข้าใจพูด แทนที่จะโทษตัวเองที่เดินซุ่มซ่ามกลับไปโทษบันไดที่ทำให้เธอเดินแล้วตกลงมา

ฉันกับเด็กคนนั้นคุยกันอยู่นานหลายเดือน เราสองคนเริ่มสนิทกัน คุยกันได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องดินฟ้าอากาศ อาหารการกิน ตลอดจนเรื่องงาน อดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงได้เปิดใจคุยกับเด็กคนนั้น ทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอหน้าตากันมาก่อน เห็นแต่ในรูปที่เธอแปะไว้ที่โปรแกรมแชต

เมื่อคิดว่าสนิทกันมากพอ ฉันชวนเธอออกไปกินข้าวด้วยกัน ไปเที่ยวไหนต่อไหนด้วยกัน ในวันที่ฉันว่าง ซึ่งนั่นก็นานๆ ครั้ง เพราะฉันไม่ค่อยจะมีเวลาไปไหนมากมายนัก วันหนึ่งฉันพาเธอไปผับเลสที่พี่แขกเคยพาฉันไป ด้วยความที่ฉันดื่มไม่เก่งเธอเองก็ดื่มไม่เก่ง เราก็เลยมึนๆ ระหว่างทางที่จะพาเธอกลับบ้าน เธอถามฉันว่า

“พี่จอยขับรถกลับบ้านไหวหรือเปล่าคะ”

“ไหวสิคะ ถามทำไมเหรอ”

“คือถ้าไม่ไหวพี่จอยนอนที่บ้านนิ้งก่อนก็ได้นะคะหลับสักงีบแล้วค่อยขับกลับ”

“ไม่ดีกว่าพี่ว่าพี่กลับบ้านเลยดีกว่า อีกนิดเดียวก็ถึงบ้านพี่แล้ว”

“เอางี้งั้นนิ้งไปนอนบ้านพี่จอยดีกว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนิ้งเป็นห่วงกลัวพี่จอยจะหลับกลางทาง ให้นิ้งไปกับพี่ดีกว่า”

“จะไปทำไมเดี๋ยวพี่ถึงพี่ก็โทรบอกนิ้งได้นี่นา”

“เถอะน่านิ้งเป็นห่วงก็แล้วกัน พี่จอยขับรถกลับบ้านเถอะคะแล้วเดี๋ยวนิ้งจะช่วยบอกทางกลับให้ บ้านนิ้งซอยมันวกวนไปมาพี่จอยจะหาทางออกไม่ถูกเปล่าๆ เมาๆ แบบนี้ด้วย”

“ก็ได้เอาอย่างนั้นก็ตามใจ” ฉันยอมเธอเพราะฉันเองก็มึนๆ อย่างที่เธอบอกจริงๆ ขับออกมาจากซอยบ้านเธอได้ไม่เท่าไหร่ ฉันก็รู้ตัวว่าง่วงเอามากๆ เธอต้องคอยจับแขนของฉันเขย่าไปตลอดทาง

“พี่จอยตื่นๆ อย่าหลับนะ”

เหล้ามันไม่ได้เป็นผลดีกับคนที่ดื่มเท่าไหรนัก มันทำให้สติลดลง ความทรงจำสั้น ความคิดเลอะเลือน คนที่ดื่มเข้าไปจะเป็นใครก็ตาม เมื่อดื่มไปแล้ว เหล้าก็จะเข้ามาแทนที่ ทำทุกอย่างแทน ทำให้ฉันเห็นนิ้งเป็นตาล ฉันเข้าใจไปเองทั้งหมดว่าตาลมานั่งอยู่ข้างๆ ร้องเรียกหาแต่ตาลชื่อเดียวเท่านั้น

ฉันพาร่างง่อนแง่นของตัวเองกลับมาถึงบ้านและเปิดประตูห้องนอนของตัวเองล้มตัวลงนอน ฉันมีความรู้สึกว่ามีใครสักคนพยายามที่จะเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้กับฉัน สมองของฉันสั่งการให้ร้องเรียกชื่อของตาล บอกตาลว่าฉันปวดหัวแค่ไหน

“ตาลจอยปวดหัวช่วยจอยด้วยสิตาล” ฉันงึมงำบ่นออกมาด้วยความเจ็บปวดปนกับความเมา

ในความรู้สึกสุดท้ายเธอคนนั้นยังคอยเช็ดหน้าเช็ดตาเนื้อตัวให้กับฉัน ก่อนที่ฉันจะหลับไปและตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนเช้า


นิ้งนอนอยู่ข้างๆ ฉันเธอหลับนิ่งไม่ไหวติง ฉันออกจะตกใจที่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นนิ้งนอนอยู่ข้างๆ ตัวเอง

“เมื่อคืนคงจะเมามากเลยนะเรา ไม่น่าเล๊ยไม่น่าดื่มเลย แล้วนี่นิ้งมานอนที่นี่ได้ไง” หยุดคิดนิดนึงแล้วก็ต้องตกใจ

“ตายละหว่าเมื่อคืนเราไปทำอะไรนิ้งหรือเปล่านี่ ตายๆ อกยัยจอยจะระเบิด” แต่พอคิดได้เพราะดูสภาพตัวเองแล้ว ก็เข้าใจว่าเมื่อคืนทุกอย่างปกติดี ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เสื้อผ้าทุกชิ้นยังอยู่ครบบนร่างของนิ้งและของฉันเองก็ยังอยู่ครบเหมือนกัน

คิดได้แบบนั้นฉันก็โล่งใจ หยิบเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำไปรู้สึกเหนียวตัวอย่างบอกไม่ถูก เหม็นกลิ่นบุหรี่ติดตัว แถมยงปวดหัวมากเหลือเกิน อาบน้ำสักนิดคงจะช่วยได้

เมื่อออกมาจากห้องน้ำก็เห็นนิ้งนอนลืมตาดูฉันอยู่

“อยากอาบน้ำบ้างไหมไปอาบสิพี่เตรียมผ้าเช็ดตัวไว้ให้แล้ว”

“ค่ะพี่นิ้งก็เหนียวๆ ตัวเหมือนกันว่าจะอาบตั้งแต่เมื่อคืนแต่ไม่กล้าเปิดตูเสื้อผ้าของพี่ งั้นนิ้งไปอาบน้ำก่อนนะคะ”

“ตามสบายเลยนิ้งพี่เอาแปรงสีฟันอันใหม่วางไว้ให้ที่หน้ากระจกในห้องน้ำนะ”

“ค่ะพี่”

เมื่อนิ้งไปอาบน้ำ ฉันก็ออกมาที่ครัวเตรียมทำข้าวต้มสำหรับมื้อเช้า แม่อออมาพอดี เราก็เลยคุยกันนิดหน่อย

“เมื่อคืนกลับดึกละสิ เห็นพาเพื่อนมาด้วย เพื่อนที่ไหนเหรอ”

“อ๋อเพื่อนที่มหาลัยน่ะค่ะแม่”

“ลูกศิษย์หรือว่าเพื่อนกัน” โดนคำถามนี้เข้าไปฉันก็อึ้งไปเหมือนกัน

“รุ่นน้องค่ะแม่ไม่ได้เจอกันนานพอเจอก็เลยไปแวะกินอะไรกันนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็เมาไม่ได้เรื่องเลยพากันกลับมาที่บ้าน”

“อืมม์” แม่ไม่ได้พูดอะไรอีก เดินออกจากบ้านไปรดน้ำต้นไม้ ส่วนฉันก็ทำข้าวต้มต่อไป โชคดีที่มีไข่เค็มกับผักกาดดองกระป๋องอยู่ มื้อนี้รอดการอดตายไปได้อีกมื้อ

กว่านิ้งจะออกมาจากห้องน้ำ ข้าวต้มก็เสร็จพอดี แม่รดน้ำต้นไม้เสร็จกลับเข้ามาอาบน้ำเหมือนกัน ฉันเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมและเตรียมเรื่องที่จะให้นิ้งบอกกับแม่ว่าเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยของฉัน เพราะถ้าไม่บอกนิ้งไว้ก่อนแม่ต้องจับว่าฉันโกหกแม่ได้แน่นอน

และก็จริงอย่าที่ฉันเดาไม่มีผิด แม่ถามนิ้งละเอียดยิบว่าเป็นรุ่นน้องของฉันกี่ปี นิ้งคล่องมากๆ เธอตอบแม่ได้เป็นฉากๆ ว่าฉันเป็นรุ่นพี่เรียนที่เดียวกันแต่คนละคณะ เมื่อวานมีงานเลี้ยงเราสองคนก็เลยเจอกัน ดื่มมากไปหน่อยก็เลยเมากลับมานอนที่บ้าน เท่านั้นก็จบ

ฉันแอบขอบใจนิ้งที่ให้ความร่วมมือ ในการช่วยโกหก เพราะใครจะกล้าไปบอกกับแม่ได้ว่าฉันกับนิ้งไม่ได้เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องอะไรกันเลย เราสองคนแชตเจอกันทางอินเตอร์เนทและก็นัดคุยนัดเที่ยวกัน ถ้าบอกแม่แบบนั้นมีหวังฉันหัวขาดกระจุยแน่ๆ

ฉันไปส่งนิ้งกลับบ้านและก็กลับมาถึงบ้านของตัวเอง เปิดคอมเพื่อเช็คเมลแล้วอยู่ๆ ก็มีข้อความขึ้นมา มันมาจากโปรแกรมแชตของฉัน

“เมื่อคืนไม่สบายเหรอคะไม่เห็นออน” ต้องน้องสาวของตาลนั่นเองที่ทักทายฉัน

“เปล่าหรอกเมื่อคืนไปงานเลี้ยงมากลับดึกเลยไม่ได้ออน”

“ต้องรอพี่อยู่ถึงตีสองรอไม่ไหวก็เลยเข้านอน” สรรพนามที่ต้องเรียกฉันเปลี่ยนไปจากจานกลายเป็นพี่ไปอย่างสนิทสนม

“ทำไมต้องรอพี่ด้วยล่ะต้องพี่ไม่มาเกินเที่ยงคืนก็นอนได้แล้วนอนดึกๆ ไม่ดีต่อสุขภาพนะต้อง”

“ก็ต้องคิดถึงพี่นี่คะ ไม่เห็นพี่แล้วต้องนอนไม่หลับ”

“ปากหวานจริงๆ นะเรา แล้วมีอะไรหรือเปล่ามาทักพี่แต่เช้า”

“พรุ่งนี้พี่ตาลจะกลับมาค่ะ มาคนเดียว มางานรับปริญญาของต้อง”

“อ้าวเหรอดีสิพี่น้องจะได้เจอกัน”

“พี่จอยว่างหรือเปล่าคะพี่ตาลให้ชวนพี่จอยไปกินข้าวด้วยกัน”

“วันไหนเหรอ ถ้าวันธรรมดาพี่ว่างสามทุ่มขึ้นไป แต่ถ้าวันเสาร์อาทิตย์พี่ว่าง ห้าโมงเย็น”

“คิวทองจริงๆ เล๊ยพี่เรา งั้นเดี๋ยวต้องรอถามพี่ตาลก่อนนะคะว่าพี่ตาลจะนัดวันไหน เดี๋ยวต้องจะต้องออกไปหาเพื่อนไปก่อนนะคะพี่จอย คิดถึงพี่จอยนะคะจุ๊บๆ

“จ้าไปเถอะตามสบายเลยน้อง” แล้วการสนทนาของเราสองคนก็จบลง แต่สิ่งนึงที่ฉันยังคิดอยู่ก็คือฉันจะได้พบกับตาล เราไม่ได้พบหน้ากันมาเกือบสิบปี เป็นสิบปีที่ฉันทรมานใจมากที่สุด เมื่อเราพบหน้ากันฉันจะทำหน้ายังไง จะกล้ามองหน้าตาลเต็มๆ ตาหรือเปล่า เพราะฉันกำลังทำผิดกับตาลเป็นหนที่สอง นั่นคือรักน้องสาวของเธอ

ต้องอาจจะไม่รู้ว่าฉับแอบชอบเธอ แต่ถ้าเป็นตาลเธอต้องรู้แน่นอนถ้าได้จ้องตาของฉัน เพราะตาลคือคนที่รู้ใจฉันไปหมดทุกเรื่อง ถ้าไม่นับพี่แขกพี่ที่แสนดีของฉันอีกคน

มันจะเป็นไปได้หรือเปล่าที่ความรักของฉันครั้งนี้จะจบลงด้วยความสุข

ฉันไม่อยากจะคิดแต่ก็ต้องคิด เพราะฉันอยู่ด้วยความหวังอันน้อยนิดที่ฉันมีกับเด็กต้องคนนั้น

จบบทที่ ๑๒




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:38:08 น.
Counter : 394 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.