It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๑๗ เด็กแสบ



เสียงจิ๊บๆ ของนกออกจากรัง เสียงไก่ขันกู่ แสงแรกของวันสว่างแล้วฉันลุกจากที่นอน อดแปลกใจไม่ได้ว่าใครกันนะที่มานอนข้างๆ เรียกสติกลับมาอีกครั้งก็จำได้ว่าเมื่อคืนต้องให้มานอนกอดเพราะเธอหนาว

ฉันล้างหน้าทำธุระของตัวเองเรียบร้อย แล้วสมองก็ดันไปคิดถึงเรื่องเมื่อคืนที่ต้องไม่ยอมให้ฉันปิดประตู ถ้าเป็นกลางวันแสกๆ แบบนี้ฉันคงเขกกะโหลกเด็กจอมวุ่นไปแล้ว

เดินไปหยิบอุปกรณ์ตัดผัก มันไม่มีอะไรมากมายนักนอกจากกระบุงและมีดเล่มเดียว น้ำค้างเมื่อคืนคงหนามาก ยังคงหลงเหลือร่องรอยของมันหยดเป็นเม็ดๆ อยู่บนใบผัก อากาศฤดูหนาว หายใจออกมาเป็นควัน สมัยเด็กๆ ฉันกับตาลเคยเล่นพ่นไอออกมาจากปากและใช้หมากฝรั่งตราแมวมาเล่นเป็นคนสูบบุหรี่ จำได้ว่าสนุกสนานมาก กรุงเทพนานๆ ครั้งจะหนาว พอโตขึ้นอย่าว่าแต่หนาวเลย แค่เย็นๆ กรุงเทพก็แทบจะนับวันได้ว่ามีกี่วันที่อากาศเย็น

ที่นี่ทุกวันที่ตื่นขึ้นมา พ่นลมหายใจออกมาก็เป็นไอ ฤดูหนาวยาวนานกว่ากรุงเทพ ถึงจะหนาวก็ต้องทำงาน ไม่ทำตอนเช้าสายๆ ก็ไม่ทัน ทำกลางวันก็ร้อนเกินไปผักจะเหี่ยวเร็ว บล็อกเคอรี่กอแล้วกอเล่า ถูกฉันตัดออกมาจนเกือบหมดแปลง

ฉันไม่ได้ปลูกมากมาย เอาแค่ได้เงินได้ทองมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็พอ ฉันไม่มีลูกจ้าง ทำงานเอง แรกๆ ก็ลำบาก มือไม้ถลอกไปหมด เจ็บระบมจนหยิบจับอะไรไม่ได้ ขนาดว่าใส่ถุงมือแล้วก็ตามเถอะ มันก็ยังเจ็บจนกางนิ้วไม่ออก

เก็บผักใส่ตระกร้า และแบกออกมารอรถที่จะมารับเข้าไปส่งในเมือง เคยคิดเหมือนกันว่าทำไมชาวไร่ชาวสวนไม่สามารถที่จะกำหนดราคาเองได้ ทั้งๆ ที่เป็นคนปลูกแท้ๆ ต้นทุนการผลิดก็รู้อยู่ว่ามีเท่าไหร่ แต่ทำไมราคาต่างๆ ต้องถูกกำหนดโดยพ่อค้าคนกลาง ทั้งๆ ที่พ่อค้าเหล่านั้นไม่ได้ลงทุน แค่ผ่านมือมาแล้วก็ขายต่อไป

ความเหลื่อมล้ำของการเป็นเกษตรกรและการกำหนดราคาแบบหน้าเลือดของพ่อค้าคนกลาง ทำเอาคนปลูกผักแบบพวกฉันเกือบจะต้องไปกินแกลบแทนข้าว ฉันยังเคยคิดว่าถ้าหากว่าคนในหมู่บ้านทำเองขายเอง ไม่ไปวุ่นวายกับพ่อค้าคนกลางจะได้หรือเปล่า แต่ฉันก็ไม่มีความรู้ทางด้านการตลาด ก็เลยต้องทำตามวิธีการของคนแถวนี้ไปเรื่อยๆ

เสียงรถมาแต่ไกล ฉันหอบเอาจะกร้าผักของตัวเองวางไว้หลังรถคันเก่าๆ คันเดิมที่ผ่านมาทุกเช้า

“ฝากโตยเน้ออ้าย” ฉันบอกพร้อมกับยื่นใบสั่งของที่จะให้ซื้อจากในเมืองกลับมาด้วยทุกครั้ง

“ครับมะแลงแวะมาเน้อครู”

“เจ้า ขับดีๆ เน้ออ้าย” รถแล่นออกไปแล้ว ฉันกลับไปในบ้าน แวะดูต้องเธอยังคงหลับอยู่ จัดการหุงข้าวทำกับข้าวเรียบร้อยแล้วก็ไปอาบน้ำ กลับเข้าบ้านมาก็เห็นต้องตื่นแล้ว นั่งหัวยุ่งอยู่ตรงที่นอน

“ไงแม่พุดเดิ้น ตื่นแล้วเหรอ”

“ตื่นเช้าจังนะคะพี่จอย”

“อืมพี่ไปตัดผักส่งขายในตลาด”

“อ้าวแล้วทำไมไม่ปลุกต้อง ต้องจะได้ไปช่วย”

“ช่วยหรือไปยุ่ง พี่ทำเองดีกว่า”

“ช่วยสิต้องก็อยากเป็นชาวสวนผักเหมือนกันนะ”

“ขอให้จริงเถอะ ไปล้างหน้าอาบน้ำได้แล้วพี่ตักน้ำมาให้ในห้องน้ำแล้ว”

“หนาวออก”

“หรือจะให้ต้มน้ำให้เดี๋ยวจะได้เอากาไปใส่น้ำมาต้มให้ เตายังมีถ่านอยู่ไม่ได้ดับ”

“ถ้าได้ก็ดีเนอะ ขอบคุณนะคะ” ต้องเดินมาหอมแก้มฉัน ในความรู้สึกของฉัน มันเหมือนลูกหอมแก้มเอาใจแม่ยังไงไม่รู้

“ไปเถอะเดี๋ยวพี่เอาน้ำอุ่นให้ อาบน้ำเสร็จแล้วจะได้ไปกินข้าว หรือว่าจะกินกาแฟ แต่ไม่มีขนมปังหรอกนะ พี่ไม่ได้ซื้อเอาไว้ เพราะมันหมดอายุเร็ว”

“ไม่เป็นไรค่ะพี่มีอะไรก็กินอันนั้น งั้นต้องไปอาบน้ำก่อนนะ”

ต้องเดินออกจากห้องไปแล้วฉันก็ไปต้มน้ำให้ต้อง อากาศหนาวๆ แบบนี้อยู่หน้าเตาก็อุ่นไปอีกแบบ ฉันมองควันไฟแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ต้องมาหาฉันทำไม ที่บอกว่าอยากมาอยู่ด้วยเดือนสองเดือนเป็นเรื่องจริงหรือโกหกกันแน่ แล้วที่ต้องมามีความประสงค์อะไร เมื่อวานก็ไม่ได้ถามเพราะมัวแต่ยุ่งๆ

ไอน้ำในกาพวยพุ่ง ฉันยกกาน้ำไปให้ต้องที่ห้องน้ำ

“ต้องๆ น้ำร้อนมาแล้ว” ฉันเคาะประตูห้องน้ำเรียกต้อง

“เดี๋ยวนะพี่ ต้องโป๊อยู่” ต้องตะโกนออกมาจากห้องน้ำ

“งั้นพี่วางไว้หน้าห้องน้ำนะ เสร็จแล้วก็เปิดออกมาเอาไปแล้วกัน”

“อย่าพึ่งไปสิพี่เสร็จแล้ว” เสียงเปิดกลอนประตูดังขึ้น และต้องก็โผล่ออกมาเฉพาะหน้าของเธอ

“ไหนอะพี่กาน้ำ”

ฉันยื่นกาน้ำให้ต้องพร้อมกับบอกว่า “ระวังด้วยน้ำมันร้อน”

ยังไม่ทันขาดคำของฉันเสียง “อูย” ก็ดังออกมาจากปากต้องเพราะแขนของเธอโดนกาน้ำนาบเข้าอย่างจัง

“บอกว่าให้ระวัง เคยทำตามที่เตือนบ้างหรือเปล่านี่ไหนดูสิโดนเยอะหรือเปล่า”

“อย่าๆ พี่ต้องโป๊” ต้องร้องเสียงหลงเมื่อฉันจะเปิดประตูห้องน้ำให้กว้างขึ้น

“เอ๊า เวรกรรม เอองั้นไปอาบน้ำให้เสร็จแล้วออกมาทายา” ฉันส่ายหน้า เอือมๆ จอมวุ่นคนเดิม ตั้งแต่ต้องเข้ามาบ้านฉัน ชีวิตฉันไม่ได้สงบสุขเลยสักนิด

“ค่ะพี่” ต้องปิดประตูห้องน้ำไปแล้ว แต่ฉันสิยังเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องน้ำ และใจก็นึกได้ว่าต้องโดนกาน้ำนาบแขน ก็เลยไปตัดว่านหางจระเข้มาท่อนหนึ่งปลอกเปลือเอาแต่วุ้นออกมา เอาวุ้นใสๆ มาบดให้ละเอียด ถ้าต้องอาบน้ำเสร็จจะได้พอกทิ้งไว้ แขนจะได้ไม่พอง

ต้องขอบคุณภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น มาถึงตัวฉัน ตอนเด็กๆ ฉันก็เคยโดนกาน้ำร้อนนาบแบบนี้และยายก็เอาว่านหางจระเข้มาพอกให้

“พอกทิ้งไว้นะจอยมันจะได้ไม่พอง แต่จำไว้นะอย่าเอายางมันมาไม่อย่างนั้นเน่าแน่ๆ”

“ทำไมล่ะคะยาย”

“ก็ยางมันจะกัดเนื้อหลุดนะสิ” ตอนนั้นฉันได้แต่พยักหน้ารับรู้ ยายว่าอะไรก็ทำตาม เพราะมันรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่แขนของตัวเอง

ก้มลงดูที่แขนของตัวเองยังเห็นแผลเป็นจางๆ จากผลของกาน้ำร้อนอยู่เลย

“ถ้าโตแล้วเสียโฉมไปประกวดนางสาวไทยไม่ได้มาโทษยายไม่ได้นะ” ยายยังล้อเล่นกับฉัน ตอนนั้นจำได้ว่าแผลไม่พุพองแต่ก็ฝากรอยว่าเคยโดนของร้อนนาบมาแล้ว และครั้งนี้ฉันก็จะทำให้ต้องเหมือนกับที่ยายเคยทำให้ มันคงช่วยได้แต่ก็คงไม่เยอะ หยูกยาที่บ้านนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากยาแก้ไข้ แก้ปวด และทิงเจอร์ ผ้าพันแผลไม่กี่ม้วน

“สงสัยต้องไปหาซื้อมาเพิ่มแม่จอมวุ่นมาอยู่ด้วยคงได้ใช้ของหมดบ้านแล้วงานนี้” ฉันพูดกับตัวเองยิ้มๆ

ต้องกลับเข้าบ้านมาแล้ว ฉันจับเธอนั่งลงและดูที่แขน มันเป็นรอยแดงๆ เท่าฝ่ามือ จากนั้นก็เอาวุ้นหางจระเข้ พอกให้เธอเอาผ้าผูกปิดเอาไว้ แล้วก็เดินไปหยิบสำรับกับข้าวมาวางตั้งไว้ให้

“กินซะเดี๋ยวพี่ต้องไปทำแปลงผักใหม่อีก เมื่อเช้าตัดไปต้องปลูกแทน”

“ขยันแต่เช้าเลยนะคะ”

“หรือต้องจะไปทำตอนบ่ายแดดร้อนๆ ก็ได้นะ”

“ไม่ๆ ต้องไปเช้าๆ กับพี่ก็ได้” ต้องรีบปฏิเสธแทบจะทันที

“งั้นก็รีบกินข้าวจะได้รีบไปทำงาน”

ต้องทำตามที่ฉันบอก เธอก้มหน้าก้มตากินข้าว กับข้าวง่ายๆ ผัดผักกับน้ำมันหอย ไม่มีเนื้อสัตว์เพราะที่บ้านฉันไม่มีตู้เย็นหากอยากได้เนื้อสัตว์ก็ต้องไปตลาด ซื้อมาแต่พอจะทำกิน แรกๆ ฉันก็ยังยึดติดกับการกินเนื้อ หลังๆ ก็เกิดอาการขี้เกียจเลิกกินไปซะงั้น เพราะจากบ้านฉันไปตลาดมันค่อนข้างไกลและตลาดของหมู่บ้านนี้ก็วายเร็วด้วยสิ ไปสายหน่อยของที่เอามาขายก็หมดแล้ว

“โทษทีนะไม่มีหมูเลยไม่ได้ทำให้กิน”

“แค่นี้ก็ดีแล้วพี่ ผัดผักกับน้ำพริกกะปิ”

“ทำแปลงผักเสร็จแล้ว สายๆ พี่จะพาไปบ้านแม่อุ้ยที่ทำที่นอน”

“อ๋อค่ะ”

“เราอยากไปไหนอีกหรือเปล่า”

“ไม่ค่ะ แล้วแต่พี่”

“งั้นไปเที่ยวหมู่บ้านบนดอยกันมะ”

“ที่ไหนเหรอคะ”

“เค้าว่าเป็นหมู่บ้านพวกจีนฮ้อ สมัยก่อนเป็นที่ซ่อมสุมกำลังของพวกจีนฮ้อ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วกลายเป็นพวกพัฒนาชาติไทยไปแล้ว” ต้องฟังไปก็พยักหน้าไป

“พี่จอยพอจะรู้จักช่างไม้บ้างหรือเปล่าคะ”

“จะทำไมเหรอ”

“คือต้องเห็นพี่จอยแบกน้ำไปห้องน้ำต้องก็เลยเกรงใจ อยากทำรางส่งน้ำจากบ่อเข้าห้องน้ำ”

“เสียเงินเปล่าๆ พี่แบกให้ก็ดีแล้ว”

“เอาเถอะคะพี่ ทำแบบที่ต้องว่านี่แหละ แค่ไม้ไผ่ไม่กี่ลำ ไม่ยากหรอกน่า”

“เอางั้นเหรอ ตามใจ งั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จพี่ไปขอแรงข้างบ้านมาช่วยทำให้ก็แล้วกัน”

“ขอบคุณค่ะพี่”

จากนั้นต้องก็ให้คนที่ฉันไปจ้างมาทำนั่งร้านให้สูงจากพื้นราวๆ สองเมตร ทำรอกชักถังน้ำจากบ่อ พอถึงบริเวณโอ่งน้ำที่อยู่บนนั่งร้านก็เทลงไปในโอ่งอย่างง่ายดาย เอาไม้ไผ่ลำโตมาผ่าซีกตัดกลาง ต่อเป็นท่อส่งน้ำจากในโอ่งค่อยๆ ไหลไปตามรางไม้ไผ่ ไปถึงถังน้ำในห้องน้ำ มันดูง่ายและไม่เปลืองแรง ทำไมฉันถึงไม่คิดทำเรื่องแบบนี้ตั้งแต่แรกก็ไม่รู้ โง่อยู่ได้นานสองนาน

“เท่านี้ก็เรียบร้อยอาบน้ำในห้องน้ำได้สบายๆ” เสียงต้องบอกฉัน ฉันยิ้มๆ

“เข้าใจคิดเนอะ”

“ก็ที่ต้องอยู่เค้าก็ทำแบบนี้แหละพี่ แต่เค้าใช้ท่อพลาสติดอันโตๆ เอาน้ำจากในบ่อมาทำ ง่ายด้วยสบายด้วย แค่น้ำเต็มโอ่งก็ใช้ได้ แล้วพี่ก็มาทำแปลงผักใต้รางน้ำเวลาน้ำล้นออกมาก็ไม่ต้องรดแปลงนี้ ง่ายดีออก”

“เออความคิดไม่เลว เดี๋ยวจะลองทำดู”

“เห็นมะเด็กแบบต้องก็มีความคิดนะ”

“แล้วแผลเรายังแสบร้อนอยู่หรือเปล่า”

ต้องก้มลงดูที่แขนของตัวเองพลางชูแขนให้ฉันดูรอยแดงๆ ที่แขนเธอด้วย “ไม่แล้วพี่”

“ดีแล้วเดี๋ยวเป็นอะไรขึ้นมาไปหาหมอมันไกล” ฉันมองแขนนั้นแล้วก็โล่งใจ

“แถวนี้ไม่มีโรงพยาบาลหรือคะ”

“มีเหมือนกันแต่ต้องลงดอยไปไกลโขอยู่”

“อ๋อต้องเห็นแล้ว ตอนขามา”

“นั่นแหละ นานๆ จะมีหมอขึ้นมาดูแลคนป่วยในหมู่บ้านสักที”

“คนที่นี่เค้าอยู่กันง่ายๆ เนอะพี่ เออ แล้วพี่ทำแปลผักเสร็จแล้วเหรอคะ”

“เสร็จนานแล้วตั้งแต่ตอนที่เราทำรางน้ำนั่นแหละแค่แปลงเดียวแป๊ปเดียวก็เสร็จ”

“งั้นต้องก็ให้พี่ฉลองห้องน้ำได้แล้วสิคะ”

“เอางั้นเลย”

“เอางั้นสิ ฝีมือต้องพี่ก็ต้องฉลองเป็นคนแรกสิคะ”

“ก็ได้ แล้วใครจะตักน้ำให้พี่ล่ะ”

“ต้องตักให้ก็ได้ พี่ไปอาบน้ำสบายๆ เถอะ”


ฉันฉลองห้องน้ำไม่สิฉลองรางน้ำที่ต้องลงทุนลงแรงและออกความคิด มันก็ดูสบายดีนะ แต่ฉันชินกับการอาบน้ำกลางแจ้งมากกว่า กลัวว่าพอต้องกลับไปรางน้ำที่ต้องตั้งใจทำมันคงจะเป็นหมันไม่ได้ใช้อีก

จากนั้นเราสองคนก็ไปหาแม่อุ้ยที่รับทำที่นอน โชคดีที่แม่อุ้ยทำทิ้งไว้หลายอัน เราก็เลยไม่ต้องรอนานไปถึงก็ได้สะลีหรือฟูกเล็กๆ กลับมาอีกอัน ต้องบอกว่าเธอจ่ายค่าที่นอนเอง เพราะเธอเกรงใจ เมื่อถามราคา รู้ว่าราวๆ สี่ร้อยบาท ต้องบอกว่าถูกเหมือนได้เปล่า ถ้าซื้อในเมืองราคาคงเป็นพัน ฉันได้แต่ยิ้มๆ และแม่อุ้ยก็ยิ้มด้วยเหมือนกัน นานๆ ทีจะมีคนมาซื้อที่นอนถึงบ้านไม่ต้องเอาไปเร่ขายที่ไหน คนทำก็มีความสุขกับเงินที่ได้รับมา คนซื้อก็มีความสุขที่ได้จ่ายเงินซื้อของดีราคาย่อมเยา

“พี่ไม่คิดจะมีตู้เย็นกับเค้าบ้างเหรอ”

“บ้านพี่ไม่มีไฟ จะเอาไฟฟ้าที่ไหนมาใช้กับตู้เย็น”

“ตู้เย็นน้ำมันก๊าดไงพี่”

“หาซื้อได้ที่ไหนกัน หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีก”

“เออนะนั่นสิ บ้านเราคงหาซื้อยากเนอะ”

“ก็ใช่นะสิ ตอนแรกพี่ก็คิดจะหาซื้อแต่ตอนนี้เฉยๆ แล้วว่าแต่เราเถอะจะไปเที่ยวเลยมะ”

“วันนี้ไม่ไปดีกว่าพี่ เหนื่อยแล้วค่ะ นอนดีกว่า บรรยากาศน่านอนอากาศเย็นๆ”

“งั้นต้องไปนอนก่อนนะ พี่ไปบ้านอ้ายก๋าก่อนคงกลับมาจากในเมืองแล้ว”

“ไปทำไมคะ”

“ไปเอาค่าผักที่ฝากไปขายเมื่อเช้ากับไปเอาของที่ฝากซื้อ”

“งั้นต้องไปด้วย”

“จะไปก็ตามมา” ฉันเดินนำต้องลิ่วๆ ไปที่บ้านอ้ายก๋า พี่ชายที่แสนดี อ้ายก๋ากับครอบครัวช่วยฉันขอซื้อที่แปลงน้อยที่ปลูกบ้านของฉัน เพราะฉันเป็นครูอาสาของหมู่บ้านนี้ อ้ายก๋าเป็นคนใจดีภรรยาของอ้ายก๋าเองก็เช่นกัน ทั้งสองคนมีลูกห้าคน เลี้ยงลูกง่ายๆ คลุกดินคลุกฝุ่นมอมแมม ฉันเห็นแรกๆ ยังแอบคิดว่าทำไมเด็กในเมืองไม่ถูกเลี้ยงแบบนี้บ้าง

ลูกๆ ของอ้ายก๋าแข็งแรงทุกคน ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ออดๆ แอดๆ แบบเด็กในเมือง อาจเพราะคลุกดินคลุกฝุ่นมาตั้งแต่เกิดก็ได้

“อ้ายก๋าปิ๊กมายังเจ้าปี้จ๋อม”

“ปิ๊กมาแล้วกะเจ้าครู ข้าเจ้าว่าจะไปหาครูพอดีอิแดงมันบ่าค่อยสบาย กะเลยบ่าได้ไป”

“อ๋อก๊ะ แล้วได้ของมาก่อปี้”

“ได้เจ้าครบเลยเจ้าครู” พี่จ๋อมหยิบถุงของที่ฉันฝากซื้อมาให้ พร้อมกับเอาเงินที่เหลือจากการซื้อของมาให้

“ปี้ก๋าเปิ้นบอกว่าผักขายบ่าได้ราคา โลบ่ากี่บาทเจ้าครู”

“เฮ้อ เน๊อะ ของก่าแพง ขายผักก่าบ่าได้ราคาเน๊อะ”

“นั่นก่า เบื่อเน๊อะครู”

“ยะจะไดได้เนอะเฮาบ่าใจ๋คนกำหนดราคาเป็นจะอี้เนอะ ขอบใจจ๋าดนักเน้อเจ้าปี้จ๋อมติ๊ดหน้าเหมือนเดิมเน้อ”

“เจ้าครู”

ฉันเดินออกมาจากบ้านอ้ายก๋าระหว่างทางตัวยุ่งก็พูดขึ้นมาว่า

“ทำไมขายไม่ได้ราคาเหรอคะ”

“อืม พวกพ่อค้าคนกลางกดราคาหาว่าผักของพวกพี่ไม่สวยบ้างล่ะ ผักล้นตลาดบ้างล่ะ”

“แล้วผักพี่ไม่สวยเหรอก็สวยดีนี่นาตอนอยู่ในจาน”

“พวกพี่ไม่ได้ใช้สารเคมี สู้ราคาไม่ไหว ใช้ธรรมชาติมันก็เลยมีหนอนบ้าง”

“ดีออกเกษตรธรรมชาติไร้สารเคมี”

“คนซื้อเค้าไม่ชอบไง เค้าชอบผักสวยๆ ไม่มีรู”

“เออนะ แล้วทำไมไม่กางมุ้งให้พวกมันอยู่อะพี่”

“ทุนสูง”

“ลงทุนครั้งเดียวเอง”

“ขายไม่ได้ราคานะสิกว่าจะคุ้มทุนที่ลงไปไม่คุ้มหรอก”

“พี่ไม่ทำตลาดผักปลอดสารไปเลยอะคะ เอามาใส่ถุง ติดตราขายราคาดีออก”

“เคยคิดเหมือนกันแต่ไม่ได้ทำพี่ไม่ได้จบการตลาดมาเน้อ”

“งั้นสาวการตลาดแบบต้องจะทำให้พี่เอง”

“จริงดิ ต้องจบการตลาดมาเหรอ”

“ทั้งตลาดทั้งบัญชีเลยแหละพี่”

“อืม เก่งๆ งั้นไปจัดการเขียนโครงการมาพี่ทำตาม”

“เอาจริงอะ”

“จริงสิถ้าพี่ทำได้ จะให้ชาวบ้านจะได้ทำตาม ดีกว่าไปขายให้พวกพ่อค้าหน้าเลือด”

“งั้นตกลงตามนี้นะ จับมือกันหน่อยหุ้นส่วน” ต้องยื่นมือของเธอมาให้ฉันฉันก็จับมือของเธอ

“เราเป็นหุ้นส่วนกันแล้วนะพี่จอย อย่าไล่ต้องออกจากบ้าน พี่ล่ะ”

“อืมไม่ไล่หรอก ทำไมถึงคิดว่าพี่จะไล่ต้องออกจากบ้านพี่ล่ะ”

“ก็ต้องเป็นเด็กไม่เอาไหนในสายตาของพี่ กลัวพี่จอยจะไล่ต้องออกจากบ้านพี่น่ะสิคะ”

“พี่เหรอมองต้องเป็นเด็กไม่เอาไหน”

“หรือไม่จริงเล่า พี่จอยเห็นต้องเป็นเด็กอยู่ร่ำไป ไม่เคยเห็นต้องโตเลยในสายตาของพี่”

“อ้าว”

“ไม่อ้าวล่ะ ต้องรู้หรอกน่า ต้องเทียบอะไรไม่ได้เลยกับพี่ตาล ใจของพี่จอยมีแต่พี่ตาล ไม่เคยมีต้องอยู่ในใจของพี่เลยสักนิด แต่ไม่เป็นไรต้องจะทำให้พี่รู้ว่าต้องก็ไม่ได้มีอะไรด้อยไปกว่าพี่ตาล แต่ที่ด้อยกว่าก็แค่ต้องอายุน้อยกว่าพี่ตาลเท่านั้น”

“ว่าไปโน่น ละเมอหรือเป็นไข้แม่พุดเดิ้น” ฉันยกมือแตะหน้าผากของต้อง

“ตัวไม่ร้อนนี่ เพ้อได้ขนาดนี้เลยน้องฉัน”

“เห็นมะ ไม่ทันไรพี่ก็ว่าต้องเด็กอีกแล้ว จำไว้เลยนะคนใจร้าย”

คนพูดเดินสะบัดก้นไปไกลแล้วปล่อยให้ฉันมองตามหลังคนขี้งอนใจน้อยไปด้วยความงุนงงเด็กอะไรเปลี่ยนอารมณ์เร็วยิ่งกว่าคนวัยทอง


ตกกลางคืนฉันเห็นต้องเอาสมุดปากกาออกมานั่งเขียนอะไรไปเรื่อย ใต้แสงตะเกียงส่วนตัวเองก็ล้มตัวลงนอน เมื่อวานนอนดึก เมื่อเช้าก็ตื่นเช้าฉันเลยเพลีย หลับลงไปอย่างง่ายดาย

แต่ก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อมีเสียงเรียก

“พี่จอย พี่จอย พาต้องไปเข้าห้องน้ำหน่อยสิ”

“หืออะไรนะ”

“ต้องจะไปห้องน้ำ ไปส่งต้องหน่อยสิพี่จอย”

“อืมรอเดี๋ยวนะ” ฉันอดอมยิ้มไม่ได้ คนเก่งทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่มาตกม้าตายตอนกลัวผีนี่เองฉันไปส่งต้อง เหมือนเคยเธอไม่ยอมปิดประตูห้องน้ำ สองคืนแล้วนะที่เป็นแบบนี้ ถ้าเป็นอีกหลายๆ คืน ฉันคงต้องเป็นโรคผวาตื่นตอนกลางคืนแน่ๆ เลย

กลับเข้ามาในบ้านต้องก็ยังไปนั่งเขียนอะไรของเธอต่อไปอีก ฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งต้องนั่งหลับอยู่ที่กองกระดาษของเธอ

“ต้องๆ มานอนเถอะ ดึกแล้วเดี๋ยวไม่สบาย” ฉันลุกไปปลุกต้องให้กลับมานอนเธองัวเงียและลุกมานอนแต่ไม่ยอมไปนอนที่ของตัวเอง

“ไปนอนที่นอนใหม่สิมานอนกับพี่ทำไม”

“ก็ต้องหนาวนี่นาต้องนอนด้วยคนนะ ลูบหลังให้ด้วยนะ พี่จอย” เสียงงัวเงียยังสั่งฉัน

“เออนะแม่คุณ นอนสบายๆ ก็ไม่นอนมานอนเบียดกันอยู่ได้ อะนอนๆ หลับซะ เด็กน้อย” ฉันลูบหลังให้ต้อง จนเธอหลับไปอีกครั้ง

สองคืนมาแล้วที่ฉันได้สัมผัสกับต้อง ผู้หญิงตัวเป็นๆ แม้จะพยายามข่มตาหลับ แต่ก็ยากกว่าที่เคยเป็น ทำไมนะหัวใจ และความต้องการของร่างกายฉัน มันถึงทำให้ตัวฉันร้อนรนแบบนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้มานานแสนนานแล้ว

“ตัดใจเถอะจอย แกต้องทำให้ได้” ฉันบ่นตัวเองก่อนที่จะข่มตาหลับลงอย่างยากลำบาก


เหมือนทุกวันชีวิตก็ดำเนินไป ฉันออกไปทำสวนผักและกลับมาทำกับข้าว ต้องกินไม่จุ กินนิดๆ หน่อยๆ ตามประสาสาวๆ ส่วนฉันกินเพื่อให้มีแรงทำงาน เช้านี้ต้องเอาโครงงานของเธอมาให้ฉันดู เธอคำนวณทุกอย่างเอาไว้เสร็จสรรพ ราคาของที่จะต้องใช้ และโรงเรือนที่จะทำการปลูกผักปลอดสาร รวมถึงระบบท่อส่งน้ำ ที่จะส่งน้ำแทนการรดน้ำด้วยมือ

“โหทำไมมันแพงแบบนี้ล่ะต้อง”

“ก็นะพี่โรงเรือนเนอะไม่ใช่กางมุ้ง”

“เอางี้ดีเปล่าเราทำแบบกางมุ้งก่อนแล้วค่อยขยายทำโรงเรือนได้เปล่า”

“ลงทุนทั้งทีเอาให้คุ้มเลยพี่ ทีเดียวอยู่หมัด เรื่องเงินไม่ต้องห่วงต้องมีเยอะ”

“ไม่ใช่หมายถึงแบบนั้น คือพี่คิดว่าเงินแสนกว่าจะขายผักคุ้มทุน มันจะนานเกินไปหรือเปล่าแล้วเมื่อไหร่พี่จะขายผักเอาเงินไปใช้ต้องได้ล่ะ”

“ก็ไหนว่าเราเป็นหุ้นส่วนกันไงพี่ กี่ปีก็ได้ต้องไม่ว่าพี่หรอกเพราะถ้าพี่ใช้หนี้ต้องไม่หมด ก็ต้องเลี้ยงต้องไปตลอดชีวิต”

“มากไปเปล่าต้อง”

“เลี้ยงต้องแค่นี้ทำบ่น เอาเถอะ ต้องจะกินให้น้อยลงก็ได้ คนอะไรงกจริงๆ”

“พี่ไม่ได้งก แต่พี่เกรงใจต้อง”

“พี่เอาความเกรงใจมาเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้หรือเปล่า”

“เปลี่ยนเป็นอะไร”

“เปลี่ยนเป็นความรักไง คริกๆ”

“ประสาท เอาความรักมาล้อเล่น”

“ใครว่าเล่นเอาจริงวุ้ย ไม่คุยด้วยแล้ว คนอะไรซื้อบื้อชะมัด เค้าให้ท่าขนาดนี้แล้วยังจะเล่นตัวอีก คอยดูเถอะ เล่นตัวบ้างแล้วอย่ามาง้อก็แล้วกันเชอะ” งอนอีกแล้วแม่พุดเดิ้น

ถึงต้องจะงอนฉันแต่เธอก็ทำงานของเธอไปเรื่อย มายืนดูฉันทำงาน ไปโรงเรียนกับฉัน ดูเหมือนเด็กๆ จะชอบต้อง ครูใหม่ของพวกเด็กๆ เล่นกับพวกเธอ สอนพวกเธอให้รู้คำศัพท์ใหม่ๆ ที่ฉันไม่เคยคิดจะสอน สอนเด็กๆ เล่นเกมส์ที่ฉันไม่เคยคิดจะเล่น ต้องกลายเป็นครูคนใหม่ที่เด็กๆ โปรดปราน ส่วนฉันเป็นครูเก่า (แก่) ที่ตกกระป๋อง

“วันพูกครูมาสอนอีกก่อเจ้า”

“มาสิคะ ถ้าครูจอยมาครูก็มา”

“อั้นวันพูกหนูเอาขนมมาฮื้อครูเน้อเจ้า”

“จ้าเอามาแบ่งเพื่อนๆ ด้วยนะ”

“เจ้าครู” เด็กน้อยวิ่งกลับไปแล้วฉันได้แต่ยืนยิ้ม

“ยิ้มอะไร เค้างอนอยู่นะมายิ้มทำไม”

“ยิ้มก็ไม่ได้เออนะแปลกคน มาห้ามคนอื่นยิ้ม”

“ก็ไม่ให้ยิ้มไงไม่ได้ยินเหรอ หรือว่าจะเยาะเย้ยว่าเค้าเด็กอีก”

“เปล่าซะหน่อยใครจะกล้า”

“ขอให้จริงเถอะเชอะ” แล้วแม่พูดเดิ้นก็งอนไปอีกรอบ

“เฮ้อเด็กหนอเด็ก ไม่เข้าใจเล๊ยจริงๆ จะงอนไปถึงไหนกันนะ” ฉันส่ายหน้าอีกครั้งแต่มุมปากก็ยังมีรอยยิ้มอยู่ดี เมื่อนึกขึ้นได้ ว่าเจ้าตัวไม่ให้ยิ้ม ฉันก็หุบยิ้มแทบไม่ทัน แล้วก็ขำตัวเอง จะต้องมากลัวอะไรกับเด็กอย่างต้องด้วยก็ไม่รู้สิ แปลกแต่จริง

จบบทที่ ๑๗



Create Date : 13 พฤษภาคม 2552
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:42:45 น. 1 comments
Counter : 370 Pageviews.

 

แวะมาอ่านต่อค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 13 พฤษภาคม 2552 เวลา:19:38:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.