It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๑๓ การลาจาก



และแล้ววันรับปริญญาของต้องก็มาถึงฉันเลือกชุดที่ดูดีที่สุด ใส่นาฬิกาที่ตาลซื้อให้ที่ข้อมือข้างซ้าย วันนี้เป็นวันที่นาฬิกาของฉันกับนาฬิกาของตาล เดินเวลาเดียวกันอีกครั้ง หลังจากที่เวลาของสองเราเดินคนละซีกโลกมากว่าสิบปี

ฉันไปรับตาลจากโรงแรม เธอไม่ได้พักที่บ้านของต้องเพราะเธอไม่สะดวกใจที่จะอยู่บ้านเดียวกับพ่อและย่าของเธอแม้ว่าพ่อกับแม่จะคืนดีกันแล้วก็ตาม แต่ย่าของตาลยังไม่ยอมรับว่าตาลเป็นลูกสาวของพ่อ ตาลก็เลยตัดปัญหาออกมาเช่าโรงแรมอยู่เองดีกว่า ฉันมารอตาลที่ล็อบบี้โรงแรม ไม่นานนักตาลก็ออกมาจากลิฟต์ เธอไม่ได้เปลี่นไปจากวันก่อน เธอยังคงเหมือนเดิมเป็นตาลคนเดิมในสายตาของฉัน

ฉันลุกจากโซฟาและยืนรอให้เธอเดินเข้ามาหา หัวใจพองโต อยากจะกอดเธอให้สมกับความคิดถึง ตาลเดินเข้ามาหาฉัน หยุดอยู่ตรงหน้าฉันก่อนที่จะพูดว่า

“นี่ตาลไม่ได้ฝันไปใช่ไหมจอย จอยจริงๆ ใช่ไหม”

“ใช่ตาลไม่ได้ฝัน เราเองจอยเพื่อนเธอ”

เราสองคนกอดกันโดยไม่แคร์สายตาของแขกที่พักในโรงแรมที่เดินผ่านไปผ่านมา ฉันอยากทำมากกว่ากอดด้วยซ้ำไป ก็ได้แต่ยั้งตัวเอง ที่นี่เมืองไทย เราคนไทยไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อและอีกอย่างตาลก็อาจจะไม่อยากทำแบบที่ฉันทำก็ได้

“คิดถึงจังเลยตาล คิดถึงตาลที่สุดในโลกเลยรู้ไหม” ฉันพูดปนสะอื้น ตาลเองก็ไม่ได้ต่างอะไรกับฉัน เธอร้องไห้เหมือนกัน สักพักตาลผละออกจากอ้อมกอดฉัน

“หยุดร้องไห้ได้แล้วเด็กน้อย ไม่ได้เจอกันตั้งสิบปี ขี้แยไม่เปลี่ยนเลยนะ”

“ก็คนมันคิดถึงนี่นา ต่อให้กี่ปีเราก็จะร้องต่อให้โตแค่ไหนเราก็จะร้อง” ฉันทำตัวเป็นเด็กโยเยนานๆ จะทำตัวแบบนี้สักครั้ง กับตาลฉันเป็นตัวของตัวเอง ทุกอย่างสามารถแสดงออกได้ เพราะตาลกับฉันอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว ไม่ต้องเปิดปากแค่มองตาก็รู้ใจ

“ขี้แยแบบนี้ไปเป็นอาจารย์ได้ไงกัน ดูสิร้องไห้เป็นเด็กๆ อ้อนแม่ไปได้” ตาลทำเสียงขู่ฉันราวกับว่าฉันเป็นลูกของเธออีกคน

“ระ เรา จะ ไม่ ร้องแล้วฮือๆๆ” ปากก็ว่าจะไม่ร้องแต่น้ำตาไม่รู้มาจากไหนมันไหลไม่หยุด

“รีบไปเถอะเดี๋ยวต้องออกมาจากหอประชุมจะไม่ทัน”

ถ้าตาลไม่บอกฉันก็ลืมไปเลยว่าตาลกลับมาเพื่อที่จะมางานรับปริญญาของน้องสาวเธอ เธอไม่ได้กลับมาหาฉัน น้ำตาแห่งความน้อยใจก็เริ่มไหลออกมาอีกครั้ง ตาลคงลืมฉันไปแล้วแต่ฉันยังไม่เคยลืมเธอเลยสักวินาที เงาของตาลยังวนเวียนอยู่ข้างๆ ฉันไม่ได้จากไปไหน ส่วนเธอมีครอบครัว มีคนที่เธอรักรออยู่ข้างหลัง คนที่ร่วมทางกับเธอไม่ใช่ฉัน

ความสับสนเริ่มก่อเกิดในใจฉันอีกครั้ง ฉันพาตาลมาที่มหาวิทยาลัย โชคดีที่ฉันมีบัตรผ่านสามารถที่จะเข้าไปจอดรถในมหาวิทยาลัยได้ ก็เลยไม่ต้องจอดรถไกลๆ การมีอภิสิทธิ์ก็ดีแบบนี้นี่เอง ฉันกับตาลมาถึงก่อนที่ต้องจะออกมาจากหอประชุม ตาลแวะทักทายสวัสดีพ่อและย่าของเธอ ดูเหมือนว่าย่าของตาลจะทำปั้นปึ่งกับตาลอยู่ แต่ตาลก็ไม่ได้แสดงออกอะไรมากนัก เธอยิ้มให้กับพ่อและย่า

“สวัสดีค่ะย่า สวัสดีค่ะพ่อ” ตาลกับฉันยกมือไหว้สวัสดีผู้อาวุโสทั้งสอง พ่อของตาลรับไหว้เราทั้งสองคน แต่ย่าของเธอทำราวกับว่าพวกเราสองคนเป็นอากาศ มองผ่านเลยเราสองคนไปไม่รับไหว้ ไม่มองหน้า

ทักทายกันเรียบร้อยเราสองคนก็แยกตัวออกมานั่งรออีกฝั่งของคณะ ฉันรู้เลยว่าทำไมตาลถึงไม่อยากไปพักที่บ้านของพ่อ เพราะบรรยากาศเป็นแบบนี้นี่เอง ย่าของตาลไม่เป็นมิตรกับหลานตัวเองเลยสักนิด ขนาดว่าฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย เป็นแค่เพื่อนของตาลย่ายังแกล้งทำเมินเฉยเอาดื้อๆ

พอต้องออกมาจากหอประชุมเราก็ไปถ่ายรูปกับต้องและพาพ่อกับย่าของตาลไปกินข้าวที่โรงแรมที่ตาลพักอยู่ ระหว่างมืออาหารพวกเราไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากนัก เพราะส่วนใหญ่ต้องจะเป็นฝ่ายชักชวนเราให้คุยมากกว่า ฉันยังคิดว่าถ้าไม่มีต้องบรรยากาศคงอึมครึมน่าดู

“ย่าคะนี่อาจารย์จอยอาจารย์ของต้องค่ะย่า สอนเก่งและสอนดีมากๆ เลยนะคะ ที่สำคัญใจดีอีกต่างหาก” ต้องแนะนำฉันให้รู้จักกับย่าของเธออย่างเป็นทางการ

“อ้าวเป็นอาจารย์ของต้องหรอกเหรอนึกว่า...” ย่าหยุดพูดแค่นั้น และทำสีหน้าเจื่อนๆ เพราะคิดว่าตัวเองเข้าใจผิดว่าฉันเป็นเพื่อนของตาลมาเป็นเพื่อนตาลมางานรับปริญญาของต้องเท่านั้น

“ค่ะ เป็นอาจารย์ของต้องคะแล้วก็เป็นเพื่อนของตาลด้วย คือจอยกับตาลเป็นเพื่อนเรียนโรงเรียนเดียวกันจนจบปวส. แล้วก็แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง นี่ก็พึ่งได้เจอกันเพราะว่าต้องรับปริญญานี่แหละคะ”

“แล้วคุณจอยจบอะไรมาคะถึงได้มาสอนหนังสือเจ้าต้องมันได้”

“อ๋อจอยจบโทคะตอนนี้กำลังหาลู่ทางต่อเอกอยู่”

“เป็นผู้หญิงเรียนอะไรนักหนาเดี๋ยวก็แต่งงานมีลูกมีเต้า คร้านจะไม่มีเวลาทำงาน”

“โธ่ย่าขาสมัยนี้ผู้หญิงเค้าเรียนสูงๆ ออกถมไป ไม่ต้องรอให้ผู้ชายเลี้ยงแล้วนะคะย่า ต้องเองก็อยากจะเรียนจบสูงๆ เลยย่า นี่ต้องว่าถ้าจบแล้วต้องจะไปอยู่กับพ่อที่โน่น เค้าว่ากันว่าที่โน่นจบง่ายกว่าเมืองไทยเยอะเลย ต้องจะขอย่าไปอยู่กับพ่อจะได้หรือเปล่าคะนะคะย่าขา” ต้องออดอ้อนผู้เป็นย่าที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เกิดใหม่ เพราะแม่ของเธอเสียไปตั้งแต่คลอดเธอออกมา หมอให้เลือกว่าจะเอาแม่ไว้หรือเอาลูก พ่อของต้องเลือกทั้งสองฝ่าย แต่สุดท้ายแม่ของเธอก็จากไปอย่างสงบอีกสองวันถัดมา เหลือแต่เพียงเธอให้พ่อเลี้ยงไว้ดูต่างหน้าแม่ที่จากไป

“จะทำอะไรก็ตามใจ ใช่สิฉันมันแก่แล้วนี่อะไรจะไปสู้พ่อของแกได้ยัยต้อง พอเห็นพ่อไปเมืองนอกเมืองนาหน่อยละเป็นไม่ได้ ระริกระรื่นกระดิกหางตามพ่อเชียวนะยะ”

“ย่าก็พูดเกินไปหน่อยนะ ต้องแค่อายากมีดีกรีเมืองนอกกับเค้าบ้าง ใครๆ เค้าก็ไปกัน ต้องมีพ่ออยู่ด้วยทั้งคนจะไปกลัวอะไร”

“ระวังเถอะแม่เลี้ยงแกจะกลั่นแกล้งจนแกอยู่ไม่ได้”

ตาลได้ยินถ้อยคำนั้นชัดเจนถ้อยคำที่ดูถูกแม่ของเธอ เธอรู้ว่าสาเหตุที่ย่าไม่ชอบหน้าแม่ของเธอก็เพราะเมื่อสมัยแม่ยังเป็นวัยรุ่น ยังไม่มีความยับยั้งชั่งใจ แม่กับพ่อมีเธอตอนที่พ่อและแม่ยังไม่พร้อม แม่เล่าด้วยซ้ำไปว่าย่าให้แม่ไปเอามารหัวขนแบบเธอออก บังคับให่พ่อเลิกกับแม่ ส่งพ่อไปเมืองนอก แม่ต้องลำบากอุ้มท้องอยู่คนเดียวจนพ่อศักเข้ามารับว่าจะช่วยเหลือเธอและเป็นพ่อให้กับลูกในท้อง จนแม่ของเธอคลอดเธออกมา พ่อศักก็เลี้ยงดูเธอเป็นอย่างดี

แม่ของเธอต้องเลี้ยงเธอไปด้วย ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ไม่ได้สบายแบบที่ใครๆ คิด แม่ของเธอลำบากตั้งแต่คลอดเธอออกมา ความเจ็บแค้นในตัวของพ่อและโมโหย่าเมื่อรู้ความจริงว่าย่าคิดอย่างไรกับเธอ มันพอกพูนทวีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อพ่อกลับมาคืนดีกับแม่อีกครั้งและอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอเข้าใจ ตอนนี้เธอกลับเห็นเรื่องที่ย่ากำลังพยายามกีดกันพ่อกับแม่เป็นเรื่องตลกขำขัน

“แกจะกลับไปเอาแตงเถาตายทำไมผู้หญิงดีๆ โสดๆ ซิงๆ มีถมไป”

“ผมจะกลับไปหาหัวใจของผมครับแม่ แม่บังคับผมมามากพอแล้วตอนนี้ผมมีอิสระแล้ว ผมกับเจนเรารักกันและรักกันมานานแล้ว ผมขอเถอะนะครับอย่ากีดกันเราอีกเลย”

พ่อของเธอกลับไปขอคืนดีกับแม่ พ่อใช้ความพยายามอยู่หลายปี ทิ้งต้องให้อยู่กับย่าเพราะพ่อไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะได้กลับมารับลูกสาวคนเล็กไปอยู่ด้วย และสุดท้ายเมื่อทุกอย่างลงตัวต้องเรียนจบ อีกไม่นานทั้งสองคนก็จะโยกย้ายไปตั้งรกรากที่อเมริกา ตาลกลับมางานรับปริญญาของต้องและมาช่วยทำเอกสารรับรองให้ต้องย้ายไปอยู่กับเธอและแม่อย่างถาวร

แรกๆ ย่าไม่ยอมที่จะปล่อยต้องไป แต่ก็ต้องจำยอมในที่สุดเพราะพ่อของตาลไม่ยอมลดละความตั้งใจ เขาพยายามอธิบายทุกอย่างให้แม่ตัวเองได้รับรู้ และสุดท้ายถึงไม่ยอมก็ต้องจำใจปล่อยให้หลานสาวที่เลี้ยงมากับมือไปอยู่ไกลหูไกลตา


เมื่อเสร็จมื้ออาหารพ่อกับย่าและต้องก็ขอตัวกลับส่วนฉันกับตาลด้วยความที่ไม่ได้พบเจอกันนาน ฉันบอกกับแม่ว่าฉันขอนอนค้างกับเธอ แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะรู้ดีว่าฉันกับตาลสนิทกันมากแต่ไหน ตาลพาฉันออกมาสูดอากาศที่ข้างระเบียงห้องของเธอ สั่งแชมเปนมาหนึ่งขวด ฉลองให้กับการที่เราสองคนได้กลับมาพบกันใหม่

นั่งดื่มไปสักพัก ตาลก็ลุกขึ้นมาชวนฉันให้เต้นรำ เธอคงมึนมากแล้ว เพราะครึ่งขวดที่หมดไปเป็นฝีมือเป็นของเธอ ส่วนฉันแก้วเดียวก็หน้าแดง เลือดในกายสูบฉีดจนร้อนไปหมดทั้งตัวแล้ว

“มาจอยเรามาเต้นรำกัน เหมือนตอนที่เรายังเป็นเด็กไงครูสอนเราเต้นยังจำได้ไหม” แล้วเธอก็ร้องเพลงขึ้นมาไม่เป็นปี่เป็นขลุ่ย

“Oh we change to the left and we change to the right” ตาลร้องไปได้สักพักก็หยุดรอให้ฉันลุกขึ้นมาจากที่นั่งอยู่

ฉันร้องตามเธอ ออกมาด้วยนึกสนุก “and we walk and we walk and we walk all night on the heel and the the toe and half way go around on the heel and the toe and a new friend found”

เราสองคนร้องเพลงเสียงดังแถมยังเต้นท่าที่ครูพละสอน ไม่คิดว่าจะจำกันได้ หมุนไปหมุนมาอยู่กันสองคน ดีกรีในกระแสเลือดประกอบกับท่าเต้นที่ต้องหมุนไปหมุนมา ทำให้เราเซจากที่ยืนเต้นกันอยู่ ล้มตัวลงไปนอนบนเตียงอันแสนนุ่ม

ฉันยั้งใจไม่ได้อีกแล้ว สมองไม่ได้สั่งว่าต้องหยุดตัวเอง ฉันจูบที่ปากของเธอ และได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน ไม่มีการยับยั้ง เราสองคนต่างฝ่ายต่างต้องการกันและกัน ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาจากปากของเราสองคน มีเพียงเสียงแห่งความคิดถึง ความสุขและความรักของเราสองคนเท่านั้น ที่เล็ดรอดออกมา


กว่าจะรุ่งสาง ความอ่อนล้าไม่ได้ย่างกรายเข้ามาใกล้เราเลยสักนิด เวลาผันผ่านไป ทุกอย่างจางลง สติมาปัญญาเกิด ฉันได้แต่เอ่ยปากขอโทษเธอ แม้ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเราสองคนจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี แต่ศีลธรรมในใจกลับทำให้ฉันว้าวุ่นใจ

“จอยไม่ผิดหรอกเราผิดเองที่ฉุดรั้งอารมณ์ฝ่ายต่ำในใจของเราไม่ได้ เราไม่เคยลืมจอยแม้แต่วินาทีเดียว มันเป็นความทรงจำที่ดีของเรา อย่าโทษตัวเองเลยจอย เราต่างหากที่ต้องโทษตัวเราเอง เย็นนี้เราก็ต้องจากกันแล้ว เรายังไม่เคยลืมเลยนะ ที่เราตื่นขึ้นมาพร้อมๆ กัน มองดูพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าด้วยกัน เราเสียใจด้วยซ้ำไปที่คนแรกของเราไม่ใช่จอย ความรักมันงดงามเสมอ เมื่อมันอยู่ถูกที่ถูกเวลา อย่าคิดมากนะจอย”

เธอลูบมือนุ่มๆ ของเธอไปตามใบหน้าของฉัน น้ำตาของฉันมันเป็นน้ำตาแห่งความสุข ฉันไม่เคยคิดรังเกียจเธอเพราะเธอคือหนึ่งในใจของฉัน

ใครจะลืมรักครั้งแรกได้ง่ายๆ ใครจะลืมคนที่รักหมดหัวใจได้ลง คงไม่มีใครทำได้ ความรักที่ไม่มีวันสมหวัง ความรักที่ต้องถูกต้องตามจารีตประเพณี ฉันเข้าใจความคิดของตาล ฉันโทรไปลางานบอกแม่ว่าวันนี้จะพาตาลไปเที่ยวไปไหว้พระเพราะตอนเย็นตาลต้องบินกลับไปหาครอบครัวของเธอ แม่ก็เข้าใจฉันและให้ลางานพาจอยไปไหว้พระ

ฉันพาตาลเข้าวัดโน้นออกวัดนี้ เราเริ่มต้นที่วัดอรุณ ใครๆ ก็บอกว่าไหว้พระวัดอรุณ จะได้เจริญเหมือนอรุณที่เริ่มต้นของวัน และไปต่อที่วัดระฆัง ให้เสียงระฆังบอกบุญไปยังแดนไกล ไปวัดพระแก้ววัดคู่บ้านคู่เมือง ไปวัดโพธิ์เพื่อความสงบร่มเย็น ไปเสาหลักเมืองจะได้มั่นคงตลอดกาล ไปวัดชนะสงครามจะได้ไม่มีคู่อริมาต่อกร

ไปศาลเจ้าพ่อเสือ เราจะได้ข่มขวัญคู่ต่อสู้ และอีกหลายๆ หวัดในระแวกนั้น จนเกือบได้เวลาที่เครื่องจะออก ตาลบอกว่าต้องไปต่อเครื่องที่ญี่ปุ่น ไม่มีเครื่องที่บินตรงไปยังรัฐที่เธออยู่ ฉันก็พอเข้าใจ เราจากกันทั้งน้ำตาและความอาลัย

“เราจะกลับไปเลิกกับเค้า แล้วเราจะกลับมาหาจอยรอเรานะ” อยู่ๆ ตาลก็พูดขึ้นมาหน้าตาเฉยทำเอาฉันงง

“แล้วลูกจะอยู่กับใครคิดดีๆ นะตาล”

“ลูกก็อยู่กับเราสิ ลูกของเราเราเลี้ยงเองได้”

“ทำไมล่ะตาล” ฉันงงกับคำตอบของเธอ ที่เธอแต่งงานเธอไม่ได้รักผู้ชายคนนั้นเลยหรือไร แล้วภาพที่เห็นว่าเธอยิ้มในวันแต่งงานมันคืออะไรกัน ภาพแห่งความสุขเหล่านั้นมันคือภาพลวงตาหรอกหรือ

“เรารู้ตัวดีว่าเราไปกันไม่รอดตั้งแต่แรกคบกันแล้ว เค้าก็ไม่ได้รักอะไรเรามากมาย ตอนนั้นเรายังเด็กเกินไป เราคิดสั้นเกินไปจอย เราเข้าใจแม่มากขึ้นก็ตอนที่เราเองตัดสินใจผิดพลาดไป แต่สมัยนี้ไม่แปลกอะไรหรอกนะแต่งแล้วหย่า หย่าแล้วแต่งเรื่องปกติ”

“มันปกติสำหรับฝรั่งแต่บ้านเรามันไม่ปกติหรอกนะตาล” ฉันจับมือทั้งสองข้างของเธอมากุมไว้ที่มือของฉัน

“จอยแคร์ด้วยเหรอกับสายตาคนอื่น สำหรับเราเราไม่ได้ขอใครกินเราทำอาชีพของเรา เราไม่สนใจใครอีกแล้ว เราสนแค่ว่าเรารักจอยและรักมากที่สุดในชีวิตของเรา เราขอโทษนะจอยที่ทำให้จอยเสียใจมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา รอเรานะจอย จอยไม่ต้องรอเรานานเท่าเมื่อก่อนอีกแล้วเรารู้แล้วว่าหัวใจของเราอยู่กับใคร เราจะไม่หลอกตัวเองอีกต่อไปแล้ว สัญญานะจอยว่าจะคอยเรา”

“จ๊ะสัญญาคนดีของเราเราจะรอตาลกลับมา” เราสองคนกอดกันและตาลก็เดินจากไป ฉันไม่มีน้ำตาเพราะการจากกันครั้งนี้ฉันมีความหวัง ว่าตาลจะต้องกลับมา


ฉันเห็นข่าวในโทรทัศน์ตอนที่ไปกินข้าวกลางวัน ข่าวเครื่องบินจากญี่ปุ่นของสายการบินต่างประเทศแห่งหนึ่งตกในมหาสมุทรดังครึกโครมไปทั่วโลก ในข่าวบอกว่าเครื่องบินบินหลงเข้าไปในพายุที่กำลังก่อตัว และหายไปจากจอเรดาร์ มาตรวจพบอีกครั้งก็ตกเป็นชิ้นๆ กระจายเกลือนมหาสมุทร ลูกเรือและผู้โดยสารคาดว่าเสียชีวิตหมดทั้งลำ

ฉันไม่ได้สนใจข่าวนี้เท่าไหร่ เพราะฉันต้องทำงานเมื่อลางานไปสองวันงานที่ต้องสะสางก็กองเท่าภูเขา พี่แขกช่วยฉันทำงานบางอย่างไปแล้ว แต่ก็ยังมีงานที่ค้างอยู่อีกหลายงาน

ตอนบ่ายน้าศักโทรมาหาฉันที่บริษัทถามว่าฉันสบายดีหรือเปล่าเสียงของน้าศักเศร้าๆ ฉันก็แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น น้าศักไม่ได้พูดอะไรอีก แค่บอกว่าคิดถึงฉันเท่านั้น

สักพักต้องโทรมาหาฉันอีกคน ฉันอดแปลกใจไม่ได้ว่าต้องเอาเบอร์โทรที่ทำงานของฉันมาจากไหน เธออาจจะได้จากตาลหรือจากน้าศักก็ได้ ฉันเองก็ไม่รู้

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าต้องเมื่อกี้น้าศักก็โทรมาหาพี่ แต่ไม่ได้บอกอะไรแค่ถามว่าสบายดีหรือเปล่าเท่านั้นเอง”

“แล้วพี่จอยสบายดีหรือเปล่าคะ”

“ก็สบายดีแต่งานยุ่งมาก ต้องต่างหากล่ะมีอะไรหรือเปล่าโทรมาหาพี่หรือว่าจะถามเรื่องงานพี่ยังไม่ได้ถามที่บุคคลให้เลยว่ามีตำแหน่งชั่วคราวว่างหรือเปล่าต้องรอเดี๋ยวได้ไหมเดี๋ยวพี่โทรลงไปถามให้ต้องจะได้ไม้ต้องโทรมาหลายรอบ” ฉันเข้าใจว่าต้องโทรมาหาฉันเพราะเธอต้องการจะถามถึงเรื่องตำแหน่งานว่างที่ฉันสัญญาว่าจะดูให้เธอ

“พี่จอยสบายดีก็ดีแล้วค่ะ คือตอนนี้พี่จอยนั่งหรือยืนคะ”

“นั่งสิพี่นั่งรับโทรศัพท์อยู่ถามอะไรแปลกๆ พี่จะยืนรับโทรศัพท์ทำไมกัน” ฉันอดขำคำถามของต้องไม่ได้ เด็กอะไรถามมาได้ว่านั่งหรือยืนรับโทรศัพท์ท่าจะกินอาหารผิดสำแดงเลือดลมเดินไม่สะดวก

“พี่จอยให้พี่อาจารย์แขกมาอยู่ใกล้ๆ ได้หรือเปล่าคะ”

“ทำไมพี่แขกเธอทำงานอยู่ไม่ต้องหรอกต้องเป็นอะไรหรือเปล่าหรือว่าทะเลาะกับย่ามาอีก หรือว่าย่าไม่ให้ไปเรียนต่อเมืองนอกแล้ว”

“เปล่าค่ะ พี่จอยไปบอกอาจารย์แขกมารับสายต้องหน่อยได้เปล่าคะ”

“เดี๋ยวนะพี่โอนให้” พูดจบฉันก็โอนโทรศัพท์ไปให้พี่แขกในห้อง พี่แขกรับโทรศัพท์ของต้องแล้วก็สีหน้าเครียดๆ เธอเดินไปหาแม่ของฉันที่ห้องและสักพักก็กลับมาพร้อมๆ กับแม่

“มีอะไรเหรอคะแม่พี่แขก” ฉันอดแปลกใจไม่ได้ที่แม่กับพี่แขกมาหาฉันพร้อมๆ กันเพราะปกติถ้าไม่มีเรื่องงานด่วนหรือมีประชุม สองผู้ยิ่งใหญ่จะไม่เยื้องกรายมาหาฉันพร้อมๆ กับแบบนี้ง่ายๆ

“ทำใจดีๆ ไว้นะจอย” พี่แขกบอกฉัน

“มีอะไรเหรอคะ หรือว่าจอยโดนหางเลขอะไรอีก” อดใจแป้วไม่ได้เพราะงานที่พึ่งส่งเข้าไปให้พี่แขกอาจจะโดนตีกลับให้ทำใหม่ทั้งหมด

“จอยยังสบายดีอยู่หรือเปล่าลูก” แม่มองฉันด้วยสายตาห่วงใย

“ค่ะแม่ จอยปกติดี แปลกเน๊อะทำไมวันนี้มีแต่คนถามว่าจอยสบายดีหรือเปล่า” ฉันตอบยิ้มๆ

“งั้นจอยฟังแม่ดีๆ นะลูก จอยเห็นข่าวเครื่องบินตกเมื่อกลางวันหรือเปล่า”

“เห็นคะแม่ทำไมเหรอ”

“เครื่องบินที่ตาลไปมันตกในทะเลเมื่อวานนี้ ทุกคนตายหมดไม่มีใครรอดเลยสักคน” เมื่อสิ้นคำพูดของแม่ มือไม้ฉันอ่อนไปหมด เหมือนโลกหยุดหมุน

“ไม่จริงใช่ไหมพี่แขก แม่โกหกตาลใช่ไหมพี่” ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีฉันเขย่าแขนพี่แขกเพราะไม่เชื่อคำพูดของแม่

“จริงจอย ตาลไปกับเครื่องบินลำนั้น มีชื่อของตาลอยู่ในรายชื่อผู้โดยสารเครื่องบินลำนั้นด้วย คุณศักโทรมาบอกพี่ ต้องก็บอกพี่ ทุกคนที่บ้านโน้นกำลังเตรียมตัวบินไปรับศพที่อาจจะโผล่ขึ้นมาจากซากเครื่องที่ตก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพบหรือเปล่า” พี่แขกบอกฉันอีกรอบ


ฉันหมดสติไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ระหว่างนั้นฉันเห็นตาลมาหาฉัน มาบอกว่าขอไปเที่ยวสักพักแล้วจะกลับมา แสงขาวๆ ระหว่างทางเดินที่ตาลเดินไป ฉันไม่สามารถที่จะเดินตามตาลไปได้ ตาลเองก็ห้ามฉันไม่ให้ตามเธอไป

ฉันพยายามคว้าแขนของตาลและยึดมือของเธอไว้มั่นแต่ก็หลุดจากมือของฉัน

“ตาลอย่าไป ตาลกลับมาหาเราเถอะเรารักตาลนะ” เสียงของฉันในความฝันดังก้องไปทั่ว

“จอยลูกจอยตื่นเถอะนี่แม่นะลูกจอยจ๋าตื่นสิลูก” เสียงของแม่ปลุกฉันจากความฝัน

เมื่อลืมตาขึ้นมาได้ ฉันมองไปรอบๆ มันคงจะเป็นโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง เห็นแม่กับพี่แขกยืนอยู่ข้างๆ เตียงที่ฉันนอน “จอยฝันไปใช่ไหมคะแม่ ตาลไม่ได้เครื่องบินตกใช่ไหมคะ”

แม่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่น้ำตาไหล พี่แขกก็หน้าเศร้าๆ

“บอกจอยสิคะแม่ว่ามันไม่จริง จอยฝันไปใช่ไหมคะ” ฉันตะโกนลั่นห้องคนไข้ จนแม่ต้องเข้ามากอดฉันเอาไว้กับอก แม่ร้องไห้ ฉันเองก็ร้องไห้

“ไม่จริง มันไม่ใช่เรื่องจริง จอยยังกอดตาลอยู่เลยเมื่อวันก่อน ตาลสัญญาว่าจะเลิกกับหมอนั่นแล้วจะกลับมาหาจอย ไม่จริง จอยไม่เชื่อ จอยไม่เชื่อ” ฉันตะโกนเหมือนคนคุ้มคลั่ง

“จอยฟังแม่นะลูก จอยต้องใจแข็งเอาไว้นะลูก ตาลเค้าไปดีแล้ว ตาลไปสบายแล้ว”

“ไม่แม่ ตาลไม่ได้ไปไหนตาลไปหย่ากับหมอนั่นใช่ไหมแม่ บอกจอยมาสิแม่ ไม่จริงจอยไม่เชื่อ” ฉันสติแตกร้องไห้ตะโกนลั่น จนพี่แขกต้องเรียกพยาบาลมาฉีดยาระงับประสาทให้กับฉัน และเมื่อได้ยาฉันก็หลับอีกครั้ง


ความฝันของฉันก็ยังเป็นความฝันเดิม ตาลมาบอกว่าจะไปเที่ยวดินแดนอันแสนไกล ชีวิตบนโลกในภพนี้ของเธอได้หมดลงแล้ว เธอมาขอบคุณฉันที่ทำให้เธอมีความสุขหลังจากที่ต้องทนทุกข์มาเกือบสิบปี และขอบคุณฉันที่พาเธอไปไหว้พระทำให้เธอพอที่จะมีบุญไปเกิดใหม่ในชาติภพหน้า

“ตัดใจจากเราเถอะนะจอยเรามีบุญที่ได้พบกันแค่นี้ ชีวิตของจอยยังอีกยาวไกลนัก ต้องพบเจอกับอะไรอีกมากมายลืมเราซะ เราสองคนหมดบุญกันแค่นี้”

“ไม่นะตาลเราลืมตาลไม่ได้”

“ลืมเราซะจอย โลกยังสดใสอย่าหมกมุ่นอยู่กับคนอย่างเราเลย”

“ทำไมตาล ตาลไม่ได้รักเราแล้วเหรอ ตาลทิ้งเราไปทำไม”

“เรารักจอยแต่เราสองคนไปกัไม่ได้หรอกลาก่อนนะจอยที่รักของเรา”

ฉันคว้าตาลเอาไว้แต่ก็ไม่สำเร็จ ตาลจากไปแล้วจริงๆ ฉันสะดุ้งตื่นอีกครั้ง คิดทบทวนความฝันของตัวเอง คิดถึงคำพูดของตาลที่บอกว่าให้ฉันรอ เธอจะกลับมาอยู่กับฉัน เธอจะไม่ฝืนใจตัวเองอีกแล้ว เธอรักฉัน

และสมองของฉันก็ตัดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่รับรู้อะไรอีกเลย

จบบทที่ ๑๓



Create Date : 13 พฤษภาคม 2552
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:39:09 น. 2 comments
Counter : 409 Pageviews.

 
ทำไมทำร้ายความรักของพี่จอยกะตาลจัง
หือ....ใจร้ายนะคนเขียนหนะ


โดย: joop IP: 223.25.212.120 วันที่: 2 พฤษภาคม 2555 เวลา:18:11:42 น.  

 
ใจร้ายนิดหน่อยเองค่ะ


โดย: รันหณ์ วันที่: 21 มิถุนายน 2555 เวลา:22:47:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.