It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๘ หักเห



รุ่งขึ้น ฉันกล้าๆ กลัวๆ ที่จะโทรไปหาตาล ที่กล้าก็เพราะห่วง ที่กลัวก็เพราะเกรงจะไปรบกวน ได้แต่จ้องมองโทรศัพท์ เพราะอยากจะได้ยินเสียงของตาล อยากรู้ว่าตาลจะเป็นอย่างไรบ้าง

ในที่สุดเมื่อฉันรอต่อไปไม่ไหว ฉันก็ตัดสินใจบึ่งรถคู่ใจไปหาตาลที่บ้าน หมู่บ้านของเราไม่ห่างกันมากนัก แค่สองป้ายรถเมล์เท่านั้น

ก่อนจะถึงบ้านตาล ฉันก็ผ่านบ้านของภัทรมล เด็กสาวคนที่เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับฉันมาก่อน เห็นเด็กตัวน้อยวิ่งเล่นกับลูกหมาตัวจ้อยอีกตัว ฉันตัดสินใจจอดรถที่หน้าบ้านหลังนั้น

เห็นเด็กคนนี้ทีไรนึกถึงตัวเองเมื่อตอนเป็นเด็กทุกครั้งไปเด็กคนนี้คงเรียนชั้นประถมแล้วสินะ ก็หกขวบแล้วนี่นา สมัยเด็กๆ ฉันอยากเลี้ยงหมา อยากมีลูกหมาเป็นของตัวเอง แต่ไม่ไม่เคยให้เลี้ยง แม่บอกว่าฉันรับผิดชอบไม่พอ ฉันดูแลมันไม่ได้ ฉันอดอิจฉาเจ้าตัวน้อยไม่ได้ที่มีเพื่อนวิ่งเล่นซุกซนสกปรก แบบเด็กๆ

“หวัดดีจ๊ะพี่” เด็กน้อยวิ่งมาหาฉันที่ยืนอยู่ตรงรั้วบ้านของเธอ

“มาเย่นด้วยกันเป่าจ๊ะ” เสียงชักชวนให้ฉันเข้าไปเล่นกับเธอ เจื้อยแจ้ว

“ไม่ดีกว่าหนูน้อย ว่าแต่เจ้าตัวนี้ชื่ออะไร”

“โมโม่” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวน้อยยังกวักมือเรียกเจ้าตัวสีน้ำตาล ขนฟูมาหาตัวเอง และเจ้าตัวนี้ก็คงบ้าพลัง เมื่อมาถึงก็กระโจนเข้าหาเจ้านายของมันทันทีเช่นกัน จนเจ้านายตัวจ้อยแทบจะล้มทั้งยืน

“เหรอทำไมชื่อโมโม่ล่ะ”

“ป้อบอกว่า โมโม่น่ายัก”

“น่ารักหรือน่ายักษ์กันแน่ตัวเล็ก”

“น่ายักจิ น่ายักก็น่ากัวจิ” เสียงที่พูดยังไม่ชัดเท่าไรนัก ถึงเธอจะอธิบายอย่างไร ฉันก็ฟังว่าน่ายักษ์อยู่ดี

“มามะมาเย่นกันแม่มะอยู่ไปทำงาน น้าบิวกะไม่อยู่ ทิ้งนู๋ไว้กับโม่ฉองคน”

“เข้าบ้านได้เหรอ” ฉันเกาะประตูรั้วสนทนากับน้องจิ๋วอยู่สองคน

“ได้จิ เปิดเป็น” น้องจิ๋วพยายามจะเปิดประตูรั้วโดยการเลื่อน แต่กำลังของเด็กก็ไม่สามารถที่จะเปิดประตูหนักๆ นั้นได้ ท่าทางจะบ้าพลังอยู่เหมือนกันนะเด็กน้อย

“เปิดยังไง กล้าให้พี่เข้าบ้านเหรอไม่กลัวพี่ขโมยของไปหมดบ้านเหรอ”

“ไม่กัวจิพี่น่ารักเหมือนโม่”

“อ้าว ไหงมาว่าพี่เหมือนหมาได้ล่ะ” ฉันยังต่อปากต่อคำกับตัวเล็กเพราะคิดว่าเธอคงเหงา

ได้แต่คิดว่าบ้านนี้แปลกดีเนอะปล่อยให้เด็กตัวนิดเดียวอยู่บ้านกับหมาได้อย่างไรกัน ถึงแม้ว่าหมู่บ้านจะเป็นหมู่บ้านปิด มียามคอยดูคนเข้าออก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย

ฉันเคยได้ยินเรื่องรถตู้ขโมยเด็กอยู่บ่อยๆ มันออกจะน่ากลัว หากว่าต้องเสียลูกที่กำลังน่ารักให้กับพวกมิจฉาชีพที่ลักพาเด็กไปขายต่อ หรือเอาไปตัดแขนตัดขาเพื่อที่จะเอาไปขอทานที่สะพานลอย ไม่ก็เอาไปขายให้ชาวต่างชาติที่กำลังต้องการลูกเลี้ยง

บางบ้านก็ดีไป เอาไปเลี้ยงเป็นลูก แต่บางบ้านก็เอาไปจับขังไว้ทำงานเยี่ยงทาส ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน ถ้าพ่อยังอยู่ที่บ้านหลังนี้ พ่อคงไม่ชอบใจแน่ๆ ที่เห็นลูกสาวคนเล็กของพ่อต้องมาอยู่บ้านกับหมา เพราะกับฉันเองเมื่อแม่ไม่อยู่พ่อไม่อยู่ พ่อก็ต้องหาพี่เลี้ยงที่ไว้ใจได้มาดูแลฉัน หรือไม่ก็พาฉันไปอยู่กับยาย แม้จะแค่ชั่วโมงหรือสองชั่วโมง พ่อก็ไม่เคยให้ฉันต้องอยู่คนเดียว

แม้ว่าในใจของฉันจะสับสนเรื่องที่จะยอมรับหรือไม่ยอมรับเด็กคนนี้เป็นน้องก็ตามที แต่มโนธรรมในใจก็ยังเป็นห่วง เพราะเด็กคนนี้อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนร่วมโลก

“งั้นเอางี้พี่เล่นอยู่นอกบ้าน ส่วนน้องไปวิ่งเล่นกับเจ้าโม่ ดีไหม”

“ดีๆ งั้นพี่เล่นกับนู๋ด้วยนะ” จากนั้นมือน้อยๆ ก็พยายามที่จะเปิดประตูรั้วอีกครั้ง แต่ก็ทำไม่สำเร็จเพราะประตูรั้วเหล็กคงหนักเกินไปสำหรับเด็กตัวน้อยๆ อย่างเธอ

“ไม่ต้องเปิดประตูหรอก พี่โยนบอลให้โม่ไปเก็บแล้วน้องเอาบอลมาให้พี่อีกทีดีมะ”

“ขี้โกงจิ พี่กะไม่ได้วิ่งจิให้นู๋กับโม่วิ่งเหนื่อยอยู่ฉองคน” ตัวเล็กต่อล้อต่อเถียง แถมยังทำหน้าเซ็งๆ จะรู้ตัวไหมนะว่าน่ารักมากมาย แก้มเป็นพวงหน้าหยิกน่ากัดนัก

“ก็พี่เข้าบ้านไม่ได้ แล้วจะให้พี่เล่นแบบไหนล่ะ” ฉันยิ้มยั่ว เจ้าตัวน้อย

“กะเปิดเข้ามาจิไม่เห็นจะยากเลย น่านะๆ จะได้เย่นด้วยกัน” เจ้าตัวน้องยังยืนยันคำเดิมชวนฉันเข้าไปเล่นในบ้าน

“ก็พี่เปิดประตูเข้าไปไม่ได้นี่นา” ฉันแย้ง เพราะไม่อยากเข้าไปในบ้านหลังนี้เลยฉันไม่อยากให้ใครๆ ในบ้านนี้เห็นด้วยซ้ำไปว่าฉันมายืนเล่นยืนคุยกับตัวเล็ก

“จะเข้าไปหรือเปล่าล่ะพี่จอยเดี๋ยวบิวเปิดให้” อยู่ๆ ก็มีเสียงมาจากด้านหลังของฉัน ทำเอาตกใจหัวใจอยู่ที่ตาตุ่ม หน้าซีดเป็นไก่ต้ม

“ดูทำท่าเข้าอย่างกับเห็นผี” เจ้าของเสียงอมยิ้มนิดๆ แถมน้ำเสียงยังมีความขบขันอยู่ตอนท้ายอีกด้วย

บิวนั่นเองเธอมายืนอยู่ข้างหลังฉันในมือถือไอติมกรวยมาสองอัน คาดว่าอันหนึ่งจะเป็นของตัวน้อย ส่วนอีกอันหนึ่งเป็นของเธอ

“มาไม่ส่งเสียง คนก็ตกใจเป็นสิ” ฉันต่อว่าบิว เพราะเธอเหมือนกับจะขำฉันอยู่ในที

“ส่งแล้วไงก็ถามว่าจะเข้าไปหรือเปล่าจะได้เปิดประตูให้”

“ไม่ดีกว่าจะไปบ้านตาล พอดีเห็นตัวเล็กวิ่งเล่นเลยแวะมาทักทาย”

“แวะมาหาเลยก็ได้ ไม่ต้องเห็นเป็นทางผ่านหรอกพี่”

“จะเข้าบ้านไม่ใช่เหรอ เข้าไปสิ แล้วต่อไปคราวหน้าคราวหลังอย่าทิ้งเด็กไว้ที่บ้านคนเดียวอีกนะมันอันตราย เกิดใครมาขโมยไปมันจะยุ่ง”

“แล้วใครจะกล้ามาขโมยไปล่ะพี่ บิวแค่เดินไปร้านขายขนมฝั่งตรงข้ามบ้านแค่นี้นี่นะรั้วก็ปิดอย่างดี” บิวชี้ไปที่ร้านขายของชำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านของเธอ มันเป็นร้านเล็กๆ ที่เปิดขายขนมสำหรับเด็กๆ และขายน้ำอัดลม กับน้ำแข็งนิดๆ หน่อยๆ ระหว่างร้านกับบ้านของบิว มีถนนคั่นกลางที่พอให้รถวิ่งสวนทางกันได้ ขนาด 8 เมตรเท่านั้นเอง

“อ้าวเหรอ ก็ไม่รู้นี่นาว่าไปแค่นี้เองเห็นหายไปตั้งนาน เรารึอุตส่าห์เล่นเป็นเพื่อนเด็กเพราะกลัวใครจะมาขโมยไป” ฉันก็เลยต้องแก้เก้อหลบหลีกไปอีกทางโดยการที่โทษบิวอยู่กลายๆ

“ก็ใช่ไง ก็เพราะเห็นพี่เล่นกับหลานอยู่เลยปล่อยให้เล่นไปกันก่อน รู้หรอกน่าว่าคิดถึงน้อง อิอิ” ดูเหมือนว่าบิวจะเริ่มเป็นผู้หญิงอีกคนที่รู้ทันฉันขึ้นมาอีกแล้วหรือว่าฉันอ่านง่ายขนาดนั้นเลยหรือ

“เออ กลับมาก็ดีแล้วงั้นพี่ไปก่อนนะ พี่จะรีบไปหาตาล” ฉันหันหลังให้แทบจะทันทีที่พูดจบและรีบควบรถที่จอดอยู่ข้างรั้วอย่างรวดเร็ว

“บ้านพี่ตาลไม่มีคนอยู่หรอกพี่ ออกไปกันแต่เช้าแล้ว”

เสียงบอกตามหลังของฉันมาทำเอาฉันต้องรีบหันหลังกลับไปยังต้นเสียง

“อ้าวเหรอตาลไปไหนรู้ไหมบิว”

“ไม่ได้บอกนี่ เห็นแต่ว่าป้าเจนพาพี่ตาลออกไปตั้งแต่เช้า พร้อมกับกระเป๋าใบโต ไม่นานนัก ลุงศักก็ออกไปด้วยอีกคน บ้านปิดเงียบเลย”

“ตายล่ะหว่า แล้วงี้ทำไงดีนี่”

“พี่มีธุระอะไรกับพี่ตาลเหรอ ไว้บิวเจอพี่ตาลบิวจะบอกให้”

“ไม่เป็นไรบิว ไว้พี่มาหาตาลใหม่ก็แล้วกัน งั้นพี่ไปก่อนนะ”

“ไม่เข้าบ้านจริงๆ เหรอพี่ วันนี้พี่สาวบิวไม่อยู่หรอกกว่าจะกลับก็เย็นๆ มืดๆ โน่น”

“ไม่ดีกว่าพี่กลับบ้านก่อนดีกว่า ไปล่ะนะ” ไม่พูดเปล่าฉันรีบคว้ารถคู่ใจ บิดกุญแจพร้อมกับสต๊าดเครื่อง เร่งออกมาไม่หันกลับไปมองสองน้าหลานที่ยืนมองมาที่ฉันเป็นตาเดียว ก่อนที่คนเป็นน้าจะเปิดประตูเข้าบ้าน เอาไอติมที่อยู่ในมือให้กับหลานสาวของตัวเอง


ตาลไปไหนทำไมไม่บอกฉันสักคำ หรือว่าน้าเจนกับตาลจะเลือกทางเดินได้แล้ว

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ครอบครัวที่อบอุ่นของตาลก็คงจะจบลงในวันนี้แล้วสินะ ฉันคิดได้อีกอย่างก็คือไปที่ทำงานของน้าศัก ไปถามให้รู้เรื่องว่า ตาลกับน้าเจนไปไหนแต่ที่ทำงานของน้าศักก็ไกลเหลือเกิน แทบจะคนละฟากฝั่งของกรุงเทพ

น้าศักดิ์เป็นนักออกแบบบ้าน หรือที่ใครๆ เรียกกันว่าสถาปนิก มีอารมณ์ศิลปินขนานแท้ พูดจาเรียบร้อยน่ารัก ผิดกับผู้ชายทั่วๆ ไป ฉันไม่แปลกใจอะไรมากนักเมื่อรู้ว่าน่าศักเป็นเกย์ และเมื่อรู้อีกว่าน้าศักไม่ใช่พ่อของตาล ฉันก็ยิ่งเข้าใจน้าศักมากยิ่งขึ้น

เมื่อคิดอะไรไม่ออก บอกใครไม่ได้ ในเรื่องครอบครัวของตาล ฉันก็เลยกลับบ้าน เตรียมตัวที่จะไปหาชุดทำงานไปทำงานในวันจันทร์ที่จะถึง เพราะแม่บอกว่าบริษัทเค้าตกลงที่จะรับฉันเข้าทำงานแล้ว อาจเพราะฉันเป็นลูกของแม่ก็ได้ ฉันเลยได้ทำงานที่บริษัทของแม่ได้รวดเร็วทันใจ

แม้ว่าจะมีเรื่องของตาลมารบกวนในหัวสมองของฉันอยู่เป็นระยะๆ แต่ฉันก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป ฉันก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งในสังคมที่กว้างใหญ่ จะเอาอะไรไปต่อสู้กับสิ่งรอบข้างที่แปรผันไปได้เรื่อยๆ แม้แต่พ่อของตัวเองยังรั้งเอาไว้ไม่ได้ หากฉันจะต้องสูญเสียตาลไป ฉันก็คงต้องทำใจ


และแล้วตาลก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาหาฉันอีกเลย เราห่างกันมาสองปีกว่าๆ ฉันทำงานไปด้วยเรียนต่อภาคค่ำไปด้วย จนเกือบจะจบปริญญาตรีแล้ว

ฉันยังคงคิดถึงตาลเสมอๆ ทั้งชีวิตของฉันตั้งแต่จำความได้ ฉันกับตาลเป็นเพื่อนกันมาโดยตลอด ตาลเป็นรักแรกของฉัน ฉันไม่เคยรักใครมาก่อนถ้าไม่นับพี่จักรกับพี่องุ่นที่เป็นรักแบบเด็กๆ ของฉัน แม้ฉันจะอยู่คนละบ้าน ตาลก็จะวนเวียนไปมาหาสู่กับฉันเสมอๆ

ตลอดระยะเวลาสองปีที่ฉันแทบจะไม่มีวันหยุดทำให้ฉันลืมๆ ความเศร้าของตัวเองลงไปบ้าง วันเสาร์ – อาทิตย์ ก็ต้องไปเรียน ตกเย็นหลังเลิกงานก็ต้องไปเรียน มันไม่ง่ายนักที่จะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย

ฉันเหนื่อยแต่ก็มีความสุขเพราะฉันมีความมุ่งมั่น เหมือนกับที่ตาลเคยบอกเอาไว้ว่า เราต้องทำได้และต้องทำได้ดี ฉันกำลังจะเป็นบัณฑิต จบบัญชีด้วยสิ ถ้าฉันได้เป็นนักบัญชี ฉันจะได้เงินเดือนที่มากกว่าเดิม มีค่าตำแหน่งจากทางบริษัท จากเงินเดือนน้อยนิดก็จะกลายเป็นเรือนหมื่น

คนทำงานคงไม่ได้หวังอะไรมากนัก นอกจากได้ทำงานที่ดี มีเงินเดือนใช้ มีที่กินที่นอน ได้เชิดหน้าชูตาในสังคม

แล้ววันหนึ่งฉันก็ได้รับจดหมายที่ส่งมาจากแดนไกล ที่รู้ว่าไกลก็เพราะว่ามันเป็นแสตมป์ต่างประเทศ ลายมือบนซองทำให้รู้ว่ามาจากใคร ฉันรีบวางของทุกอย่างและรีบเปิดอ่านจดหมายฉบับนั้นอย่างรวดเร็ว

“จอยเราเอง

เรามาอยู่ที่เมกากับแม่ได้สองปีกว่าแล้ว ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้ติดต่อกลับไปหาจอยเลย เรากับแม่ตัดสินใจว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่ เราทำใจไม่ได้อยู่นานเรื่องที่แม่บอกกับเรา เรารับไม่ได้เรื่องพ่อศัก และเรื่องพ่อแท้ๆ ของเราที่ไม่เคยเห็นว่าเราเป็นลูก เรารู้เลยว่าจอยเจ็บแค่ไหนเรื่องพ่อ ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว เพราะเรากับจอยก็ไม่ได้แตกต่างกัน

แรกๆ ตอนที่มาอยู่ที่นี่เรากับแม่ลำบากมากๆ เรามีเงินมาไม่มากนัก แม่ต้องไปรับจ้างเป็นแม่บ้านทำงานตามบ้าน เราเองก็เป็นลูกมือแม่ กว่าจะได้เงินมาแต่ละเหรียญเลือดตาแทบกระเด็น แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว เราสบายดี ได้เรียนต่อ ได้ทำงานในร้านอาหารไทยของเพื่อนแม่ และเรากำลังจะแต่งงาน กับผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง ดูแลเราและแม่ได้เป็นอย่างดี

เราขอโทษด้วยนะจอยที่ทำให้จอยต้องเสียใจ เราไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ เราไม่อยากที่จะรักเพศเดียวกันแล้วทำให้แม่ต้องเสียใจ เราขอโทษอีกครั้ง ที่ทำให้จอยเสียใจ และเราเองก็ไม่ต่างกัน

ลืมเราเถอะนะจอย ลืมคนที่เคยรักจอย เพราะคนๆ นี้ไม่สามารถที่จะเป็นคนๆ เดิมของจอยได้อีกต่อไปแล้ว

หวังว่าเรายังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป

รัก จอยมากนะเพื่อนรัก

ตาล”

เมื่ออ่านจบ น้ำตาของฉันไม่รู้ว่ามาจากไหน ตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาฉันได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งตาลจะกลับมาหาฉัน

ฉันเฝ้ารอวันนั้น แต่ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่แค่จดหมายที่บอกมาว่าขอเลิกกัน

จดหมายที่บอกมาว่าเราไปกันไม่ได้

และไม่ใช่บอกว่าจะแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ แล้วฉันล่ะ ตาลเอาไปไว้ที่ไหน

ฉันแทบไม่มีแรงทำอะไร นั่งจมอยู่กับกระดาษจดหมายที่เปียกน้ำตา จนแม่กลับมาถึงบ้าน เห็นฉันนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว

“เป็นอะไรไปลูก ใครทำอะไรจอยของแม่”

ฉันไม่ได้พูดอะไรกับแม่ ยื่นกระดาษเปียกน้ำตาแผ่นนั้นให้แม่ แม่รับมันไปอ่าน อ่านจบแม่ก็หันมากอดฉัน

“ตาลเค้าทำถูกแล้วลูก ไม่ต้องร้องนะคนดีของแม่ จอยยังมีแม่อยู่ทั้งคนนะลูก อย่าร้องไห้เลยนะคนดี” แม่ลูบหัวฉันไปมา ลูบหลังไหล่ เป็นการปลอบใจ คนที่หัวใจสลายแบบฉัน

ฉันรู้ซึ้งถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องหย่าร้างกับพ่อก็วันนี้ แม่คงปวดร้าวไม่ต่างกับฉัน จะผิดกันก็ตรงที่ แม่ยังมีลูกที่ต้องรับผิดชอบ แม่ต้องอยู่ต่อไปเพื่อฉัน เลี้ยงฉันให้เติบโต ดูแลฉันอย่างดีเท่าที่แม่จะสามารถทำได้

ฉันเคยแอบเห็นแม่ร้องไห้ ตอนที่แม่นอนอยู่ในห้อง แม่ร้องไห้ตอนที่แม่นั่งทำงานที่เอามาจากบริษัท แม่ร้องไห้ตอนที่แม่ล้างจาน หรือทุกครั้งที่แม่อยู่คนเดียว

แรกๆ ฉันเองก็คิดว่าแค่พ่อจากไปมีคนอื่น ทำไมแม่ต้องร้องไห้มากมายขนาดนั้น ตอนนี้ฉันพึ่งรู้ซึ้งแล้วว่า เมื่อความรักจากไป มันเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้สร้างความฝันเอาไว้ พังครืนลงมาอยู่ตรงหน้า

ซากแห่งความสุขกระจัดกระจาย กลายเป็นซากความทุกข์ทับถมอยู่ท่วมตัวไปหมด ซากนี้รอวันที่ร่างกายไร้หัวใจจะจัดการเก็บกวาดให้เข้าที่เข้าทาง หรือบางทีอาจจะส่งกลิ่นเหม็นให้ได้กลิ่นอยู่เป็นระยะๆ พร้อมกับสร้างต้นหนามที่คอยทิ่มแทงหัวใจที่บอบช้ำ ให้ได้เจ็บปวดทุกครั้งที่ไปแตะต้องมัน

แม่พับจดหมายและวางไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะบอกฉันว่า

“แม่เข้าใจนะลูกว่าจอยเจ็บ แต่แม่จะบอกว่าปล่อยวางมันลง ไม่ใช่ว่าตาลพึ่งจะจากลูกไป ตาลไปจากลูกสองปีกว่าแล้ว แต่เพราะลูกเองยังไม่ปล่อยวางยังยึดติดอยู่กับความหลังเก่าๆ”

“แล้วแม่ลืมพ่อได้รึเปล่าคะ มันผ่านมานานมากแล้วเหมือนกัน”

“ไม่ได้หรอกลูก แต่แม่ก็ทำใจให้ลืมมัน เรื่องบางเรื่องเก็บไว้แต่ความทรงจำที่ดีๆ ก็พอ เราไม่จำเป็นต้องจดจำทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต และที่แม่ลืมพ่อไม่ได้ก็เพราะพ่อได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของแม่ มันเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตแม่ นั่นก็คือลูกไงจอย ถ้าแม่ไม่ได้เจอกับพ่อแม่ก็จะไม่มีลูกที่ดีอย่างจอยใช่ไหมลูก”

จากคำพูดของแม่ทำให้ฉันคิดได้ว่า เรื่องบางเรื่องแม้จะเจ็บปวด แต่ก็มาพร้อมๆ กับความสุข

แม้ว่าวันนี้ มันจะเป็นจุดหักเหของชีวิตฉัน แต่มันก็จะต้องมีสิ่งที่ดีๆ ตามมาอีกไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่มีวันนี้ ก็ไม่มีวันพรุ่งนี้ แม้ว่าวันนี้จะเจ็บปวด แต่พรุ่งนี้ก็คงจะเจ็บปวดน้อยลง

ฉันจะพยายามลืมความทุกข์ที่เกิดในวันนี้ แต่จะจดจำความสุขที่เกิดขึ้นในวันวานเอาไว้ เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจของฉันให้ชุ่มชื่น ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเห็น โอเอซิสแห่งใหม่ ในทะเลทรายหัวใจที่แห้งผาก

จบบทที่ ๘



Create Date : 13 พฤษภาคม 2552
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:33:20 น. 0 comments
Counter : 308 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.