It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๓๐ น้ำผึ้งหวานจริงหรือเปล่านะ



สรุปว่าเราสองคนก็คงไม่ได้กลับเมืองไทย ติดแหงกอยู่ที่สวีเดน เพราะพายุหิมะที่ตกไม่หยุด ทางสายการบินก็โทรมาแจ้งข่าวอยู่เรื่อยๆ ว่าตอนนี้ยังเดินทางไม่ได้ หากจะไปไหนมาไหนได้ก็คงต้องรอให้เลยปีใหม่ไปก่อน

ฉันกับต้องก็เลยขลุกกันอยู่แต่ในบ้าน ออกไปนอกบ้านก็เฉพาะเวลาที่จำเป็นเท่านั้น ก็มันหนาวนี่คะ นอนกอดกันอุ่นๆ ดีกว่า

ฉันขี้เกียจเลยค่ะ พอได้อยู่กับต้องแบบนี้ มันเหมือนกับย้อนเวลาไปหาอดีต ฉันอ้อนต้องราวกับว่าตัวเองเป็นเด็กเล็กๆ จะทำอะไรก็ร้องหาต้อง แอบออดอ้อนต้องเหมือนกับจะทดแทนช่วงเวลาที่ผ่านมา ฉันรู้ว่าเราสองคนละเลยการใส่ใจซึ่งกันและกันมานาน

แม้เราจะอยู่ด้วยกัน แต่ก็นะ เราก็ต้องทำงานด้วยกันทั้งคู่ เวลาในการสวีทหวานก็เลยไม่ค่อยจะมี เมื่อได้มาอยู่กันสองต่อสองแบบนี้ ฉันจึงทำตัวเป็นอิสระจากความรับผิดชอบต่างๆ และลดอายุตัวเองเหลือแค่ 10 ขวบ ทั้งๆ ที่อายุจริงๆ ไม่อยากจะบอกว่าเลยหลักสี่ไปไกลแล้ว

การอยู่ด้วยกันสองคนโดยไม่มีใครมารบกวน ไม่มีงานเข้ามารกหัวสมอง เหมือนๆ เราสองคนกำลังดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันเพียงสองคน สบายอุราจอยดีแท้

ต้องนั่งพิงหัวเตียงอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ส่วนฉันเคล้าเคลียอยู่ไม่ห่าง นอนหนุนตักต้องบ้าง แอบหอมพุงแบนๆ ของต้องบ้าง บางครั้งก็แอบเล่นปูไต่ไปตามแขนขาและเนื้อตัวของต้อง

“ไต่ๆ อะปูไต่ๆ” ฉันเล่นไปก็พูดไปเรื่อยๆ ต้องขยับขาหนี สงสัยเธอจะจั๊กจี้ แต่เธอก็ไม่วางสายตาจากการอ่านหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในมือของเธอ และแล้วเมื่อเล่นไปเรื่อยๆ ต้องก็บ่นออกมาว่า

“พี่จอยเลิกเล่นได้ไหมรำคาญ” ต้องบ่นฉันปล่อยมือจากหนังสือพิมพ์มาตีมือของฉันที่ซุกซนกับรยางค์ของเธอ หมายถึงแข้งขานะอย่าคิดมาก

“โหขนาดรำคาญเลยเหรอ ก็คนมันคิดถึงนี่นาที่รัก” ฉันร้องอ้อนขึ้นมาแทบจะทันที

“ก็รู้ว่าคิดถึง แต่ทำแบบนี้มันจั๊กจี้ไม่รู้เหรอ” ต้องจ้องตาฉันไม่กระพริบ ตายๆ ฉันจะโดนแม่เสือบ่นอีกสักกี่คำกันล่ะนี่

“รู้สิ ถ้าไม่รู้จะเล่นทำไมเล่า” ฉันทำแก้มป่องๆ ปากจู๋ๆ แล้วก็ส่งสายตาเจ้าเล่ให้กับต้อง

ดูเหมือนจะได้ผล ต้องไม่บ่นฉันอีกแล้ว ต้องลูบหัวของฉันไปมา ปัดเส้นผมที่ยาวไม่ได้ทรงของฉันให้เข้ารูป ก็ฉันไม่ได้ใส่ใจกับทรงผมของตัวเองมานานแล้วนี่

“ผมพี่จอยขาวเยอะมากเลยนะ คิดมากหรือไงพี่ อ๊ะหรือว่าแก่แล้ว ต๊าย... คนเรา แก่แล้วทำตัวเป็นเฒ่าทารก” นี่นะคำพูดของต้อง ฟังแล้วชักของขึ้น

“อ้าวๆ ไหงมาว่ากันแบบนี้เล่า ท่าไม่รักจะมานอนหนุนตักเล่นแบบนี้เหรอ” ฉันบ่นกลับไปบ้าง ก็ดูฟังพูดเข้าสิ เข้าหูคนอายุมากแบบฉันซะที่ไหน

“ก็นะพี่ เล่นอะไรก็ให้เป็นผู้ใหญ่บ้าง ต้องมีแฟนอายุมากกว่าก็เพราะต้องการให้พี่ดูแลต้องไม่ใช่ให้ต้องมาดูแลพี่ อะไรกัน” ต้องบ่นอีกแล้ว

“อ้าวเหรอ” ฉันแกล้งทำหน้าตกใจกับคำพูดของเธอ แต่ฉันก็ยังคงนอนหนุนตักต้องอยู่ดี ก็ใครจะลุกง่ายๆ ล่ะ ตักต้องทั้งนุ่มทั้งหอม แถมยังมีอะไรให้ฉันเล่นได้อีกเยอะ เวลามองต้องจากมุมล่างขึ้นข้างบนแบบนี้ ต้องก็ดูสวยไปอีกแบบ

“ก็ใช่นะสิ พี่ไม่รู้ตัวหรอกนะบางเวลาพี่ก็ทำตัวแก่ซะจนต้องตามไม่ทัน บางเวลาพี่ก็กลายเป็นเด็กแล็กๆ อ้อนโน่น อ้อนนี่ ต้องก็ปรับตัวไม่ถูกเหมือนกันนะพี่” ปากต้องก็พูดไป แต่มือก็ยังคงลูบผมของฉันไปเรื่อยๆ ราวกับสิ่งที่ต้องพูดมันไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องใส่ใจ

“ก็แหมนะ”

“อะไรก็แหมๆ แล้วไอ้ตัวแหมของพี่มันเป็นยังไง ไหนบอกต้องให้ต้องเข้าใจหน่อยสิ” ต้องก้มหน้าลงมาใกล้ๆ หน้าของฉัน แล้วก็บ่น

“ก็” ฉันพยายามคิดคำว่าแหมของตัวเองว่ามันคืออะไร แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากตัวเองเหมือนกัน

“ก็อะไร ไหนลุกขึ้นมาแล้วพูดกันดีๆ แบบที่ผู้ใหญ่เค้าคุยกันสิคะ” ต้องจับตัวฉันให้ลุกจากการนอนหนุนตักเธอและให้ฉันนั่งพิงหัวเตียงเคียงข้างเธอ

“ก็พี่รักต้องพี่ก็อยากเคล้าคลอเล่นกับต้องบ้าง บางทีพี่ก็อยากเป็นเด็กเล็กๆ ออดอ้อนต้องเหมือนเด็กๆ ที่ต้องการให้แม่เอาใจ บางทีพี่ก็อยากเป็นคนที่ดูแลต้องปกป้องต้องไม่ให้ต้องเจอกับอะไรที่พี่ไม่อยากให้ต้องเจอ แล้วบางทีพี่ก็อยาก...” ต้องยกมือปิดปากฉัน

“พอๆ ยกแม่น้ำทั้งห้ามา สรุปว่าคนเดียวหลายอารมณ์พอแล้วไม่ต้องขยายให้มากความ”

ฉันยิ้มๆ ต้องพูดถูกฉันเป็นคนหลากหลายอารมณ์จริงอย่างที่ต้องว่า และเป็นหลายอารมณ์ที่บรรยากาศหนาวๆ พาไปด้วยสิ

“แล้วนี่พี่ไม่ต้องไปทำงานกับพี่กิ๊กแล้วเหรอคะ”

“ไม่ต้องแล้วพี่บอกลาออกไปตั้งแต่วันก่อนโน้นแล้ว”

“ไม่รับผิดชอบจริงๆ ปกติ คนจะลาออกต้องลาออกล่วงหนาหนึ่งเดือนให้เจ้าของกิจการเค้าหาคนมาแทนให้ได้ก่อนไม่ใช่เหรอ”

“ถ้าทำงานแบบเต็มเวลาก็คงต้องทำแบบนั้น แต่นี่พี่ทำงานแบบผี หลบๆ ซ่อนๆ ไม่ต้องลาออกล่วงหน้าก่อนเดือนนึงก็ได้”

ต้องพยักหน้าเข้าใจที่ฉันพูด

“ต้องเราออกไปเดินเล่นกันไหม”

“หนาวแบบนี้นี่นะจะไปเดินเล่น ประสาทหรือเปล่าพี่จอย”

“ไม่ได้ประสาท แต่เราสองคนอยู่แต่ในห้องพี่ก็อยากให้ต้องออกไปเดินเล่นบ้าง อีกอย่าง เราสองคนจะได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เวลาที่เราสองคนจะอยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้มันมีน้อยนะต้อง เก็บความสุขกลับไปสิ อย่างน้อยเราก็จะได้เดินข้างๆ กัน ในสถานที่แปลกๆ เราจับมือกันเดินเที่ยว โรแมนติกดีออกจะตายไป”

“เออนะ คิดได้นะพี่ ทีตอนหนีต้องมาไม่ยักกะคิด”

เอาแล้วซวยแล้วไอ้จอยเอ๊ย แม่นางต้องขุดเอาเรื่องโบราณยุคสมัยหินออกมาแล้ว แก้ตัวยังไงล่ะคราวนี้

“ก็แหมนะ”

“อะไรก็แหมๆ เลิกพูดซะทีได้ไหมเวลาคิดอะไรไม่ออกเถียงอะไรไม่ทันก็แหมทุกที ขอซื้อไม่ไหมได้คำว่าแหมของพี่คำนี้”

“ซื้อด้วยอะไรล่ะ ถ้าให้ราคาดีพี่ก็ขาย”

“ซื้อด้วยตัวและหัวใจของต้อง ให้ราคาดีไหม แล้วก็เลิกเถียงต้องซะที หัดสงบปากสงบคำบ้าง เข้าใจไหม” ต้องมาไม้นี้ก็ต้องเงียบสิคะ

“อะจ้า เข้าใจแล้วจ้า” และแล้วฉันก็รู้ในทันทีว่า สิ่งที่แม่นางต้องต้องการจริงๆ คืออะไร เธอต้องการคนรู้ใจที่ไม่มีปากไม่มีเสียง สงบปากสงบคำ ไม่พูดไม่เถียง หากเธอต้องการอะไรก็แค่รับคำว่า “จ๊ะ” คำเดียวเท่านั้น อีกหน่อยฉันคงต้องเรียกต้องว่า “แม่” อีกคนแล้วสิ เศร้าไปเลยไอ้จอยเอ๊ย

หรือผู้หญิงเป็นแบบนี้กันหมดทุกคน เพราะฉันเองก็เป็น วะฮะฮ่า...


ฉันพยายามทำตัวเป็นแฟนที่ดี ไม่ทำให้ต้องหงุดหงิดโมโห เพื่อทดแทนความผิดที่ตัวเองได้ก่อขึ้นพาต้องเดินในตัวเมืองหาซื้อของใช้ และของฝากกลับไปเมืองไทย ต้องเดินเลือกซื้อของอยู่นานแต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรติดมือออกมา

แม้ว่าสินค้าลดราคากระหน่ำวินเทอร์เซลล์ จะวางขายเกลือน ต้องก็ได้แต่หยิบๆ จับๆ และก็ถอยตัวฉากออกมา

“ไม่ซื้อล่ะกลับไปจะได้มีอวดว่าใส่ของนอก”

“ไม่เอาอะพี่มันแพง อีกอย่างอยู่ป่าอยู่ดอยใส่อะไรก็ได้ไม่ต้องไปอวดใคร ของแพงๆ แบบนี้ไม่ซื้อหรอกเปลือง”

“ก็อย่าคิดว่าเป็นราคาบ้านเราสิ คิดว่าเป็นราคาของที่นี่ก็ได้จะได้ไม่ต้องคิดมาก” ฉันมองป้ายราคาสีแดงๆ พอเห็นราคาเก่ากับราคาใหม่เปรียบเทียบกันแล้ว มันลดลงไป ถึง 80 % น่าจะได้

“ถูกที่ไหนกันตั้ง 200” ต้องทำตาโตเมื่อเห็นป้ายราคา

“แต่ราคาเก่ามันพันกว่าๆ นะ” ฉันอ้างเหตุผลและชี้ให้ดูป้ายราคาเก่าที่ถูกแปะทำด้วยป้ายใหม่สีแดง

“นั่นแหละแพง พี่เอา 5 บาทคูณไปสิ เสื้ออะไรตัวนิดเดียวราคาตั้งพัน ไปซื้อสำเพ็งถูกว่าตั้งเยอะ สวยกว่านี้ถมไป” ต้องบ่นแล้วก็ลากฉันออกมาจากกองเสื้อผ้าที่ลดราคา

“จ๊ะแม่ แพงก็แพง” ฉันเดินตามต้องออกไปจากฝูงฝรั่งมุง แล้วต้องก็มาหยุดอยู่ที่ร้านขายผ้าพันคอ เธอเดินไปเลือกซื้อผ้าพันคอที่ทำจากขนสัตว์ พอเห็นป้ายราคาแล้วก็อดตกใจไม่ได้ ราคาแพงกว่าที่ต้องบอกว่าแพงเมื่อกี้เห็นๆ

“ไหนว่าไม่ซื้อของแพง จะไปซื้อที่สำเพ็งไงต้อง”

“อันนี้มันเป็นผ้าขนสัตว์ พันคอแล้วอุ่นดี จะซื้อเอาไปฝากพี่หมอ”

พอได้ยินคำว่า “พี่หมอ” แค่นั้นไฟก็ปะทุขึ้นมาในสมองฉันทันทีโดยที่ก่อนหน้านี้มันมอดไปนานแล้ว ความโกรธพุ่งทวีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต้องพูดต่อไปอีกว่า

“หนาวๆ แบบนี้พี่หมอต้องมีอะไรกันหนาวบ้าง ไม่เคยใสใจดูแลตัวเองเลย มัวแต่ห่วงคนไข้ หมอเองก็จะแย่เหมือนกัน”

ฉันไม่ได้พูดอะไรจากสีหน้ายิ้มๆ ก่อนหน้านี้มันกลายเป็นปั้นปึ่ง ต้องคงไม่ได้สังเกตฉันหรอก เพราะเธอมัวแต่เลือกผ้าพันคอขนสัตว์ของเธอไปเรื่อยๆ

“ทีเสื้อผ้าตัวเองบอกว่าแพง ทีซื้อให้ไอ้หมอบิวบอกว่าถูก ชิ หมั่นไส้” ฉันบ่นแต่ไม่ดังมาก ต้องคงไม่ได้ยินเพราะเสียงผู้คนรอบข้างคงดังกว่าเสียงของฉัน

ต้องเลือกซื้อของอีกสองสามอย่าง แต่ละอย่างก็เป็นของฝากทั้งนั้น ดูเหมือนว่าต้องจะไม่ได้ซื้อของอะไรที่เป็นของเธอเองเลยสักอย่าง ครีมสำหรับพี่แขก กระเป๋าสะพายของแม่ฉัน มีดพกให้กับผู้จัดการไร่ แต่ของเธอ เธอไม่ได้มอง

ฉันสิเดินเข้าไปเลือกซื้อนาฬิกาเรือนใหม่ให้กับต้อง และซื้อเป้สะพายใบใหม่ให้เธอ ฉันรู้ว่าต้องชอบใช้เป้มากกว่ากระเป๋าเดินทาง เธอบอกว่ามันสะดวกเวลาจะแบกไปไหนต่อไหน ได้ของตามที่เราสองคนต้องการเมื่อเหนื่อยและหิว เราก็ตัดสินใจไปที่ร้านของกุ๊กกิ๊ก เพื่อกินอาหารกัน


กว่าจะเดินจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินมาที่ร้านของกุ๊กกิ๊กได้ ก็ใช้เวลานาน พื้นทางเดินลื่นๆ แถมยังไกลทำเอาเราแทบหมดแรง

เสียงกรุ้งกริ้งจากกระดิ่งที่ติดอยู่ตรงประตูทางเข้า ทำให้คนในร้านตะโกนต้อนรับเราสองคนก่อนที่จะเห็นหน้าด้วยซ้ำไป

“ร้านไทยสวัสดีค่ะ เชิญค่ะ”

มันเป็นกฎของกุ๊กกิ๊กที่จะต้องให้พนักงานทุกคนส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ต้อนรับลูกค้าด้วยภาษาไทยและเมื่อลูกค้าเดินเข้าไปในร้านก็ต้องยกมือไหว้สวัสดีอย่างนอบน้อม เป็นการต้อนรับลูกค้า กุ๊กกิ๊กบอกว่าเป็นคนไทยก็ต้องรักษาวัฒนธรรมไทยๆ เอาไว้ อย่างให้ใครดูถูกได้

กุ๊กกิ๊กเห็นฉันเธอก็รี่เข้ามาหาแทบจะทันทีพร้อมกับเสียงแหลมๆ ที่ฉันคุ้นชิน

“ต๊ายนังจอยลมอะไรหอบแกมายะ”

“ลมหิวเว่ยมาขอข้าวกินฟรี” ฉันตอบแบบเซ็งๆ เพราะยังกรุ่นอยู่กับการไม่พอใจต้องที่เลือกของฝากไอ้เจ้าหมอบิว

“เอองั้นนั่งก่อนจะกินอะไรดีฉันจะไปทำให้”

“เอาอะไรมาก็ได้สองอย่างหิวเว่ยรีบๆ เลยนะแก ไม่อย่างนั้นฉันพังร้านแกแน่ๆ”

“ไอ้นี่ท่าจะโมโหหิวของแท้ งั้นเอาผัดไทยกับข้าวคลุกกะปิแล้วกันวันนี้มันเป็นเมนูแนะนำ หนูสองไปเอามาให้ไอ้พี่จอยด่วนจี๋เลยเดี๋ยวร้านพี่พังเพราะความหิวของมัน” กุ๊กกิ๊กหันไปสั่งน้องสองเด็กไทยอีกคนที่ย้ายถิ่นฐานตามครอบครัวมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบประถมต้นด้วยซ้ำไป

ฉันกับสองเราสนิทกัน เพราะสองจะช่วยสอนภาษาสวีดีสให้กับฉัน ในบางคำที่เป็นศัพท์แสลง ไม่มีในพจนานุกรม และเราก็ช่วยกันทำงาน ในร้านของกุ๊กกิ๊ก

เด็กไทยจะรู้กันว่าที่ร้านนี้มีงานให้ทำเสมอ ในยามที่ตกยาก และรู้ว่ากุ๊กกิกเป็นกระเทยใจพระ คอยช่วยเหลือดูแลเด็กๆ ที่รักดี อยากมีเงินเอาไปจุนเจือตัวเองยามยาก แต่ต้องขยันนะ เพราะกุ๊กกิ๊กไม่ใช่คนจับจด คนที่มาทำงานต่างรู้ดีว่าถ้าวันไหนได้หน้าที่อะไรก็ต้องทำตามนั้น

หั่นผักก็ต้องหั่นเป็นสิบกิโล หั่นเนื้อก็เหมือนกัน แรกๆ ฉันเองก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน เรียกว่าหั่นจนไม่อยากจะหั่นหรือจับมีดอีกเลย เพราะมันเยอะมากๆ พอทำเสร็จก็ต้องเอาเข้าตู้แช่แข็ง เพื่อถนอมอาหาร เพราะสินค้าพวกผักพวกปลาที่ไม่ใช่ของในแถบนี้จะแพงมากๆ ถ้าเก็บไม่ดีของเสียหายก็เจ๊งกันเป็นแถบ

ฝรั่งเรื่องมากแต่ก็จ่ายงาม จ่ายค่าข้าวแล้วก็ต้องทิปให้กับทางร้าน ประเภท บวกบวก ทำนองนั้น ทั้งภาษีที่แพง ทั้งค่าพนักงานเสริ์ฟ และทิปให้กับพนักงานต่างหาก

แม้ว่าจะจ่ายด้วยบัตรเครดิตสำหรับอาหารแล้ว แต่ก็ต้องทิปด้วยใบละยี่สิบเป็นการตอบแทน ดังนั้นพวกฝรั่งจึงเลือกที่จะไปกินอาหารในห้างมากกว่าเพราะที่เหล่านั้นจะไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มนอกจากราคาอาหาร และการที่จะเข้ามากินอาหารในร้านต้องเป็นร้านที่คนเหล่านั้นเลือกแล้วจริงๆ ว่าบริการดี อาหารอร่อย

ฝรั่งไม่ชอบปรุงแม้ว่าทางร้านจะมีพวงเครื่องปรุงมาให้พร้อมๆ กับอาหารก็ตาม แต่ก็มักไม่มีใครหยิบจับพวงเครื่องปรุง ทุกคนพอใจในรสชาติอาหารที่ตัวเองได้รับ และก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานของตัวเองจนเกลี้ยงจาน

น้องสองเอาอาหารมาให้ฉันกับต้อง และฉันก็นั่งกินเงียบๆ ไม่พูดไม่จา ราวกับว่าอาหารตรงหน้าคือจุดสนใจของฉัน แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย กินผัดไทยแต่ใจอยากฆ่าคน

ก็มันหึงนี่นา ทำไงได้ แล้วดูเจ้าตัวสิไม่ทุกข์ไม่ร้อน นั่งกินข้าวคลุกกะปิสบายใจเฉิบ

มันน่านัก น่าจับปล้ำให้ลืมไอ้หมอบ้าคนนั้นจริงๆ ให้ตายสิ

ดูสิดูทำหน้าเข้า ยิ้มอยู่ได้ ฉันน่ะ โมโหอยู่นะเว่ย ขอบอกครับขอบอก


กินเสร็จฉันเก็บจานมาล้างในครัวแล้วก็เดินเข้าไปคุยกับน้องสองที่กำลังประจำหน้าที่ล้างจานของเธอ คนที่ทำงานในร้านไม่ได้มีหน้าที่ตายตัว ยกเว้นก็แต่แม่ครัว ที่คงออกไปข้างนอกไม่ได้เพราะต้องดูแลการทำอาหารอยู่หน้าเตา หากละเลยหน้าเตาไปคนอื่นๆ ก็ทำแทนไม่ได้ รสมือไม่เหมือนกัน แม่ครัวจึงสำคัญที่สุดในร้านอาหารแห่งนี้

“ไงสองเหนื่อยไหมไอ้หนู”

“เหนื่อยสิพี่ ช่วงนี้กลับบ้านกันหมด ไม่มีใครทำงานเลย มีแต่น้าจิตกับป้าผ่องทำครัว สองแทบกระอักแล้วพี่จอย” สองบ่นความเหนื่อยของเธอให้ฉันฟัง ฉันพอเข้าใจเพราะรู้ว่าช่วงเทศกาลแบบนี้ ผู้คนในเมืองหนีออกไปกันหมด บางคนก็เดินทางไปต่างประเทศ คนที่นี่ลาพักร้อนได้เดือนเต็มๆ แต่ก็ต้องทำงานมหาโหดทั้งปี แล้วไปเสวยสุขตอนสิ้นปีกันแทบทั้งนั้น

“อดทนหน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไปได้” ฉันโอบไหล่น้องสองแล้วก็ให้กำลังใจเธอ และยืนพิงขอบอ่างล้างจานคุยกับสองไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่แขนยังโอบไหล่ของสองอยู่

“ทนอยู่แล้วพี่ เงินดีขนาดนี้หาได้ที่ไหน เหนื่อยหน่อยแต่ก็คุ้ม”

“แล้วเมื่อไหร่จะซื้อบ้านไหนว่าเก็บเงินได้แล้วไง” ฉันยังชวนสอคุยไปเรื่อยๆ เพราะสองเคยบอกว่าอยากจะซื้อบ้านและแยกตัวเองออกมาอยู่คนเดียว เพราะเธออึดอัดกับพ่อเลี้ยงต่างชาติของเธอที่กินเหล้าทุกวัน ฉันก็พึ่งจะรู้นี่แหละว่าไม่ใช่แต่คนไทยที่ติดเหล้า ฝรั่งเองก็ติดเหล้าไม่เป็นอันทำงานทำการเหมือนกัน สองก็คงจะอึดอัดใจที่มีพ่อเลี้ยงแบบนั้น เพราะเธอมาบ่นให้ฉันฟังเกือบจะทุกวันว่าพ่อเลี้ยงของเธอเป็นอย่างไร

แต่สองกับแม่ก็ต้องทนเพราะพ่อเลี้ยงคนนี้ทำให้เธอกับแม่มาอยู่ที่นี่และได้เป็นประชากรของที่นี่ก็เพราะพ่อเลี้ยงคนนี้ ใครบอกว่าแต่งงานกับฝรั่งแล้วสบาย ย้ายมาอยู่ที่เมืองนอกแล้วสบายมันไม่ใช่เลยสักนิด เมืองนอกถือเอาตัวเองเป็นหลัก ไม่ค่อยจะสนใจใคร ถ้าใครไม่มายุ่งกับเค้า เค้าก็จะไม่ยุ่งกับใคร ขนาดฉันจะทาสีห้องก็ต้องขออนุญาตคนที่อยู่ร่วมชั้นว่าฉันจะทาสี ถ้าทุกห้องไม่อนุญาต ก็ทาไม่ได้ เพราะกลิ่นสีจะไปรบกวนคนที่อาศัยร่วมชั้นเดียวกัน

“ยังหรอกพี่พอไปดูอีกทีมีคนตัดหน้าไปแล้ว แล้วพอจะหาใหม่มันก็ไกล นั่งรถไฟตั้งชั่วโมง” สองบ่นๆ

“ก็เลยยังไม่ได้ เอาน่าใจเย็นๆ ไว้ถ้ามันจะเป็นของเราก็ต้องเป็นของเราจริงไหม” ฉันจับจมูกของสองบี้ไปมาเพราะสองเป็นชาวตะวันออกเฉียงเหนืออย่างชัดเจน จะดีก็ตรงที่มีผิวขาวกว่าใครก็เท่านั้น

“เจ็บนะพี่จอย เอามือออกไปเลย ว่าแต่พี่เถอะ จะกลับแล้วนี่นาเนอะ ดีใจด้วยนะที่แฟนมาขอคืนดี แต่เมื่อไหร่ไม่พอใจยกให้สองก็ได้นะพี่ ของแบบนี้สองไม่ถือ” สองจับมือของฉันออกจากจมูกของเธอ มันจึงเหมือนเราสองคนกำลังบอกรักหรือจู๋จี๋กันอยู่ที่อ่างล้างจานในครัว

“ไอ้บ้าพี่หวงเว่ยไม่ให้” ฉันบอกเจตนาของตัวเองด้วยเสียงดุๆ

“ล้อเล่นน่าพี่ ทำเป็นจริงจังไปได้” สองทำลอยหน้าลอยตาจนฉันเขกหัวเธอไปหนึ่งที เจ้าตัวก็ลูบหัวตัวเองปอยๆ

“ไงไอ้จอยตอนอยู่ต่อหน้าแฟนทำหน้าเป็นตูดลิงกัง พอมาคุยกับสองยิ้มหน้าบานเชียวนะยะหล่อน” กุ๊กกิ๊กเดินกอดอกเข้ามาหาฉัน

“ก็จะไงล่ะแก พาไปซื้อของดั๊นไปซื้อของฝากหมอบิวซะงั้น นี่ไม่รู้บ้างเลยหรือไงนะว่าฉันหึงนะเว่ย” ฉันบอกกิ๊กด้วยเสียงขุ่นๆ กุ๊กกอ๊กเองก็พอจะรู้มาบ้างว่าที่ฉํนมาอยู่ที่นี่ต้นสายปลายเหตุก็เพราะหมอบิวคนนั้น

“เหรอ แล้วไม่คิดบ้างเหรอว่าที่แกมานั่งกอดกับน้องสองต้องเค้าจะไม่หึง” กุ๊กกิ๊กหน้าตายแบบที่เธอเป็น

“จะหึงได้ไง ก็ฉันกับสองไม่ได้คิดอะไรกันเราสองคนเป็นพี่น้องกัน คิดไปได้” ฉันแก้ตัวไปตามความจริง เพราะฉันกับสองเรามีทางเดินที่แตกต่างกันไม่มีทางมาร่วมลงเรือลำเดียวกันได้หรอก

“คนที่เค้าไม่เคยรู้ เค้าก็ไม่รู้แกไปดูแฟนแกเองก็แล้วกัน เกิดโมโหหึงขึ้นมาร้านฉันจะพังไปซะก่อน” กุ๊กกิ๊กบอกเสียงเรียบๆ หน้าเดิมๆ

“หึงตรงไหนมิทราบ” ฉันย้อนกลับไปบ้าง

“ก็หึงตรงที่แก คุยยิ้มๆ สนุกๆ กับน้องสองแล้วก็กอดกันให้แฟนแกเห็นไงเล่า”

“อ้าวเฮ้ย” พอฟังที่กุ๊กกิ๊กบอกฉันเต้นผาง

“เออ เมื่อกี้ฉันเห็นต้องจะมาตามแกออกไปข้างนอกแล้วก็เดินหันหลังกลับไป แค่นี้แกพอเข้าใจหรือยังไอ้จอย”

“ฉิบแล้วไอ้กิ๊ก” ฉันตบอกตัวเองดัง “ตุ๊บ”

“เออไปง้อเองแล้วกัน เกิดโมโหกลับเมืองไทยไปก่อน แกนั่นแหละจะซวย”

พอหมดคำพูดของกุ๊กกิ๊กฉันก็รีบออกมาที่หน้าร้านแทบจะทันทีฉันเห็นต้องนั่งอยู่ที่เดิม ดื่มน้ำในแก้วช้าๆ ด้วยอารมณ์ที่เยือกเย็นจนฉันสัมผัสได้ ฉันยิ้มเจื่อนๆ และเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามเธอ

“อิ่มหรือยังต้องเอาอะไรอีกไหมมีขนมไทยนะ ป้าผ่องแกทำฝีมือดีมากลองกินสักหน่อยไหม”

ไม่มีเสียงตอบจากต้องแต่พอมองไปที่ดวงตาของต้องตาคู่นั้นกำลังร้องไห้ ใช่ต้องร้องไห้ ใบหน้าของต้องแดงหูแดง ตาแดง หรือว่าต้องจะโกรธฉันจริงๆ

“พี่กับสองเราเป็นแค่พี่น้องกันนะต้องไม่ได้มีอะไรเกินเลย” ฉัยพยายามจะอธิบาทั้งๆ ที่ต้องไม่ได้พูดอะไรเลยสักนิด เหมือนตุ๊กแกกินปูนร้อนท้องเลยเชียวแหละ ต้องนิ่งและเงียบมาก จนฉันกลัว

“ต้องพูดอะไรบ้างสิอย่างเงียบแบบนี้” ฉันพยายามบอกต้องให้ส่งเสียงอะไรออกมาก็ได้ เธอเป็นแบบนี้ฉันกลัว

“กลับบ้านแล้วเราค่อยคุยกัน” ต้องพูดช้าๆ น้ำเสียงของต้องที่ฉันได้ยินมันเยือกเย็นยิ่งกว่าหิมะที่ปกคลุมอยู่ด้านนอกด้วยซ้ำไป ต้องหยิบถุงที่เราสองคนซื้อมา แล้วเดินออกจากร้านไปหน้าตาเฉยปล่อยให้ฉัน นั่งบื้อเพราะทำอะไรไม่ถูก

หรือต้องจะหึงฉันขึ้นมาแล้ว

ซวยแล้วไอ้จอย งานเข้าแล้ว เซ็งจริงๆ ขอบอก

จบบทที่ ๓๐



Create Date : 13 พฤษภาคม 2552
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:59:24 น. 0 comments
Counter : 380 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.