It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๒ ชีวิตที่เปลี่ยนไป



คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าชีวิตในวัยเด็กเป็นชีวิตที่ไม่สนุก ฉันกับเพื่อนๆ ก็เช่นเดียวกันกับเด็กในวัยเดียวกันพวกเราเรียนและเล่นไปวันๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เรียน เล่น กิน และทำการบ้านนอน หรือไม่ก็ดูละครเรื่องโปรดในวันหยุด ดูการ์ตูนตอนเช้าๆ ออกไปเล่นตอนกลางวัน และกลับเข้าบ้านอาบน้ำนอน

เด็กๆ แบบฉันไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งพ่อกับแม่ทะเลาะกันรุนแรงมาก ฉันเห็นพ่อตีแม่ และบอกว่าจะขอเลิกกับแม่ ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างแม่กับพ่อ แต่เท่าที่ฉันเห็น พ่อกับแม่ทะเลาะกันรุนแรง ฉันไม่เคยเห็นพ่อกับแม่จะทะเลาะกันถึงขนาดนี้มาก่อน

ในใจอดคิดไม่ได้ว่าทำไมผู้ชายต้องทำร้ายผู้หญิง แม่ไม่สู้พ่อ แม่ได้แต่หนี และข้าวของในบ้านก็กระจัดกระจาย หล่นไปทั่วพื้น กรอปรูปครอบครัวของเราที่มีรูปฉันและพ่อกับแม่ยิ้มให้กับกล้องหล่นแตกที่พื้น ฉันแอบอยู่ในห้องของตัวเอง พ่อทำร้ายแม่แล้วก็จากไป ไม่กลับเข้ามาที่บ้านของเราอีกเลยนับแต่วันนั้น

แม่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะกระดูกซี่โครงหัก แม่ไม่ได้พูดอะไรกับฉัน แม่ไม่ได้บอกอะไรกับฉัน แม่เงียบไปมากหลังจากวันนั้น ฉันหยุดเรียนมาเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลอยู่สองวันจนแม่ช่วยเหลือตัวเองได้ แม่ก็ให้ฉันกลับไปเรียนเหมือนเคย

ฉันออกจะซึมเศร้าไปกว่าเดิมจนตาลสังเกตเห็น แม้กระทั่งตาลยั่วฉัน ฉันก็ไม่โกรธหรือวิ่งไล่ตามตาลเหมือนอย่างที่เราเคยเล่นกัน

“เป็นอะไรจอย” ตาลถามฉันเธอคงอดทนกับการนิ่งเงียบของฉันไม่ได้

ฉันอายที่จะบอกเพื่อนว่าพ่อกับแม่ฉันทะเลาะกันและเลิกกันไปแล้วและแม่ของฉันก็ต้องมาเจ็บตัวเพราะพ่อของตัวเองทำร้ายร่างกาย ฉันจะกล้าบอกใครๆ ได้เหรอว่าฮีโร่ในดวงใจของฉันกลับกลายเป็นผู้ร้ายในชั่วพริบตา พ่อที่แสนดี ทำร้ายทุบตีแม่ที่ฉันรักแทบปางตาย ฉันไม่กล้าออกไปปกป้องแม่จากการทุบตีของพ่อ ฉันมันคนขี้ขลาด หวาดกลัว ไม่ได้เก่งไม่ได้กล้าแบบที่ใครๆ คิด ฉันทนดูภาพของพ่อตีแม่ไม่ได้ แต่ฉันก็ไม่ไปช่วยแม่ ปล่อยให้พ่อทำร้ายแม่จนต้องไปนอนโรงพยาบาล

“ไม่ได้เป็นอะไรแค่ขี้เกียจเล่นก็แค่นั้น” น้ำเสียงของฉันเนือยๆ เหนื่อยกับชีวิตตัวเองเหลือเกิน

“ไม่จริงมั๊งจอยปกติจอยไม่เคยเป็นแบบนี้นี่นา” ตาลจับแขนฉัน เหมือนเธอจะเค้นเอาความจริงจากฉันให้ได้

“ไม่เป็นอะไรจริงๆ เราขี้เกียจเล่น เราแค่อยากนั่งเฉยๆ” ฉันหันไปดุตาลด้วยอารมณืที่ขุ่นมัว

“แต่มันหลายวันแล้วนะแล้วแม่จอยที่ว่าไม่สบายเป็นอะไรเหรอหายดีหรือยัง”

“อืมม์” ฉันตอบเพียงเสียงในลำคอ เพราะฉันไม่สามารถบอกเรื่องในครอบครัวของฉันกับตาลได้จริงๆ มันน่าอายมากกว่าที่จะเอามาเล่าให้ใครต่อใครฟัง

“งั้นก็ตามใจไม่พูดก็ไม่พูด เอาการบ้านมาลอกหน่อยสิ เรายังไม่ได้ทำเลย”

ฉันหยิบสมุดการบ้านของฉันให้กับตาลเพื่อเป็นการหยุดการซักถามของเพื่อน ฉันยังไม่พร้อมที่จะพูดหรือบอกอะไรกับตาลในตอนนี้ เพราะแม้กระทั่งฉันเองยังรู้สึกสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันรับไม่ได้จริงๆ ที่พ่อ ผู้ชายคนที่ฉันรักมากที่สุดมาทำร้ายแม่ ผู้หญิงที่ฉันรักยิ่งกว่าใครในโลก

แม่ที่ดูแลฉันทุกอย่าง ทั้งเวลากินเวลานอนและอื่นๆ อีกมากมาย แต่ตอนนี้แม่ต้องทำงานมากกว่าเดิมเพื่อหาเงินมาส่งเสียและเลี้ยงดูฉัน ตอนที่พ่อยังอยู่พวกเราพอมีพอใช้ แต่เมื่อพ่อจากไป เราเหลือกันสองคนแม่ลูก ฉันต้องมาช่วยแม่ทำงานบ้านเพราะแม่เลิกจ้างพี่เลี้ยงหรือแม่บ้านที่บ้ารเรา แม่ถามฉันว่าอดทนได้ไหมที่จะต้องทำงานเอง แม่ต้องประหยัดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เงินไปโรงเรียนของฉันถูกลดลง ฉันไม่ได้ต่อว่าอะไรแม่เพราะฉันเข้าใจแม่ งานที่ฉันไม่เคยทำก็ต้องทำ เพราะถ้าฉันไม่ทำแม่ก็ต้องทำ ฉันสงสารแม่ที่ต้องมาทำงานทั้งนอกบ้านและในบ้าน

ชีวิตฉันเปลี่ยนไป จากที่เคยกลับบ้านแล้วออกไปสนามบาสฉันก็ต้องกลับมาซักผ้ารีดผ้าของตัวเอง และหุงข้าวรอแม่กลับมาจากการทำโอทีที่ทำงาน แม่จะมีกับข้าวถุงหิ้วกลับมาด้วยทุกวัน และเพื่อเป็นการช่วยแม่ประหยัด ฉันก็จะเอาข้าวกล่องและกระติกน้ำพกติดตัวไปโรงเรียนด้วย แม้ค่าขนมของฉันมันจะไม่ได้มากมายแต่เมื่อแม่ต้องเป็นคนหาเงินคนเดียว ฉันช่วยแม่ประหยัดได้ฉันก็ประหยัด

แม้ว่าการเงินในบ้านของเราจะไม่ฝืดเคืองมากนักเพราะแม่ทำงานหนักมากขึ้น แม่ได้เลื่อนตำแหน่งและต้องไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านเรากับต่างจังหวัด ฉันก็สามารถที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยที่แม่ไม่ต้องคอยดูแล ฉันพยายามช่วยเหลือแม่เท่าที่ฉันจะพอช่วยได้

ตาลคงเห็นความเปลี่ยนแปลงของฉัน เพราะฉันทำตัวลึกลับมากขึ้นไม่ไปโรงอาหารไม่กินข้าวกับตาล เธอคงทนไม่ได้เลยถามฉันขึ้นมาในวันหนึ่ง

“จอยเธอเป็นอะไรมีปัญหาทางบ้านเหรอ” เมื่อตาลถามจี้จุดขนาดนี้ฉันถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน

“ทำไมเหรอตาลทำไมถามเราแบบนี้”

“เปล่า หรอกแค่ถามดูเฉยๆ แค่นั้นเอง”

“ไม่มีอะไรหรอกเราก็แค่อยากช่วยแม่ประหยัดค่าข้าวค่าขนมก็แค่นั้น”

“พ่อเธอออกจากบ้านไปนานแล้วใช่มะ” เมื่อตาลยิงคำถามนี้ฉันแทบสะอึกกลืนข้าวลงคอไม่ถูก

“รู้ได้ไง”

“รู้สิก็พ่อตัวย้ายมาอยู่ซอยใกล้ๆ บ้านเราทำไมเราจะไม่รู้ แถมมาอยู่กับพี่เพียงพิศ พี่พิศเค้าคุ้นกับบ้านเรา ตอนแรกๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นพ่อจอย แต่พอเราไปดูรูปตอนงานวันพ่อถึงได้รู้ว่าเป็นพ่อจอย พี่พิศน่าสงสารมากๆ เลยนะจอยท้องไม่มีพ่อ ชาวบ้านแถวนั้นมองพี่พิศว่าเป็นผู้หญิงใจง่าย ท้องไม่มีพ่อ พี่พิศก็อยู่คนเดียวมาตลอด เราไม่คิดเลยว่าลูกของพี่พิศจะเป็นน้องของจอย” จากคำพูดที่ฉันได้รับฟังจากปากของตาล ทำเอาฉันถึงกับสะอึกกลืนก้อนแข็งๆ ลงคออย่างยากเย็น

“เราไม่มีน้อง เราเป็นลูกคนเดียวของแม่” ฉันตวาดกลับตาลไปอย่างเหลืออด

“แต่เธอก็ต้องยอมรับความจริงว่าพ่อเธอมีเมียใหม่มีลูกใหม่ และนั่นก็คือน้องของเธอนะจอย”

“ไม่ฟังฉันไม่ฟัง” ฉันยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหูและตะโกนเสียงดังพร้อมๆ กับวิ่งออกไปจากห้องเรียน ทั้งๆ ที่เวลานี้เป็นเวลาเรียน จนครูที่สอนฉันตกใจ เมื่อเห็นฉันแสดงอาการแบบนั้นออกมา ต่างก็ช่วยกันวิ่งตามฉันลงบันไดตึก

ฉันวิ่งไปเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่ได้ใส่รองเท้า ฉันเจ็บปวดกับคำว่าพ่อมีเมียใหม่ และฉันมีน้องใหม่ พ่อทิ้งฉันกับแม่ให้ต่อสู้กันเอง พ่อไม่เหลียวแลฉันซึ่งเป็นลูก ฉันยังจำได้ดีเมื่อตอนฉันยังเป็นเด็ก พ่อจะคอยสอนฉันทำโน่นทำนี่ พ่อคือต้นแบบที่ดีของฉัน เป็นผู้ชายที่ฉันรักและต้องการให้เป็นผู้นำของฉันตลอดไป

แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นหลังจากวันนั้น พ่อไม่เคยเหลียวแลฉันกับแม่อีกเลย พ่อเปลี่ยนไป พ่อทำให้ฉันเกลียดพ่อ พ่อทำให้ฉันหวาดกลัวที่จะเข้าใกล้ผู้ชาย เพราะพ่อทำร้ายแม่ จะให้ฉันคิดอย่างไรในเมื่อผู้ชายที่ฉันไว้ใจที่สุดในโลกกลับกลายมาเป็นมารร้ายทำลายครอบครัวของเราให้แตกยับจนไม่สามารถที่จะผสานกลับมาให้เหมือนเดิมได้อีกต่อไป

“หนูเกลียดพ่อ...” ฉันตะโกนไปสุดเสียงขณะที่วิ่งไปตามทาง ฉันไม่รู้สึกเหนื่อย ฉันร้องไห้และควบคุมตัวเองไม่ได้

เด็กๆ และเพื่อนๆ ออกมาที่ระเบียงห้องเรียนมามองดูฉันที่วิ่งเหมือนคนบ้า ร้องไห้ตลอดทาง และฉันก็มาหยุดตัวเองอยู่ที่กลางสนาม ทรุดลงกับพื้นก้มหน้าร้องไห้ไม่หยุด และสติของฉันก็ดับวูบลงไป


ฉันมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตื่นขึ้นมาในห้องของตัวเองและได้ยินเสียงยายของฉันบ่นแม่

“แม่บอกแล้วเตือนแล้วใช่ไหม ว่ารถไฟเรือเมล์ลิเกตำรวจมันไม่ไว้ใจไม่ได้ลูกก็ไม่เคยจะเชื่อแม่เลยดันทุรังที่จะไปแต่งงานกับมัน แล้วเป็นไงตอนนี้ บ้านแตกสาแหรกขาด จอยมันคงทำใจไม่ได้ที่มีพ่อเลวๆ แบบนั้น” เสียงยายบ่นแม่ของฉัน

แต่ฉันไม่ได้ยินเสียงแม่โต้ตอบกลับยาย ฉันได้ยินแค่เสียงร้องไห้ของแม่เท่านั้น ยายคงจะรู้ว่าแม่เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากพออยู่แล้ว

ฉันลุกขึ้นมาจากเตียงและเดินออกไปหาแม่กับยาย ฉันเห็นแม่กอดยายแล้วร้องไห้

“ไม่เป็นไรลูกแม่หลานแม่แม่เลี้ยงเองได้ ไม่ต้องห่วงนะ จอยมานี่ลูก มาอยู่กับแม่ ให้กำลังใจแม่ เราสองคนแม่ลูกต้องเป็นที่พึ่งให้กันและกัน ยายจะแวะมาบ่อยๆ ก็แล้วกันขาดเหลืออะไรโทรบอกแม่นะลูกนะไม่ต้องเก็บเอาไว้คนเดียว แม่มีลูกก็ต้องดูแลมีหลานก็ต้องเลี้ยงดู” ยายบอกกับแม่ของฉัน ก่อนที่จะลุกเข้าไปทำกับข้าวให้แม่และฉันได้กินกันในมื้อเย็นของวันนั้น


เพื่อนๆ ในโรงเรียนรู้ว่าฉันเกิดปัญหากับครอบครัว มีแต่คนเห็นใจฉันโดยเฉพาะตาล เธอไม่มีคำถามอะไรเกี่ยวกับครอบครัวของฉันอีกเลย และไม่ได้เล่าอะไรเกี่ยวกับพ่อของฉันให้ฉันได้ยินอีกต่อไป

ฉันต้องทำรายงานส่งครูแต่เมื่อต้องไปทำรายงานที่บ้านของตาล ฉันก็ปฏิเสธเพราะฉันไม่อยากไปพบไปเห็นพ่อของตัวเองกับเมียใหม่กับลูกคนใหม่ ฉันยอมรับว่าทำใจไม่ได้จริงๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น

จนสุดท้ายฉันก็เลยชวนตาลมาทำรายงานที่บ้านของฉันเอง แม่เอาขนมที่ซื้อจากตลาดมาให้ฉันกับตาลและไม่ได้เข้ามาวุ่นวายอะไรกับเราสองคน เพราะแม่หอบเอางานกองเท่าภูเขากลับมาทำที่บ้านด้วย เราไม่กวนกันและกัน แม่ทำงานของแม่ฉันทำรายงานกับตาล กว่างานของพวกเราจะเสร็จก็เย็นมากแล้ว แม่ให้ฉันขี่จักรยานไปส่งตาลที่บ้านและให้ฉันแวะซื้อกับข้าวที่ตลาดกลับมาด้วย

แม้ฉันอยากจะบอกแม่ว่าฉันไม่อยากไปแถวๆ บ้านตาล แต่ก็ต้องไปเพราะเป็นคำสั่งของแม่ ฉันกับตาลแวะที่ตลาดกันก่อนและฉันจึงปั่นจักรยานไปส่งตาลที่บ้าน ระหว่างทางฉันเห็นรถที่ฉันคุ้นเคย รถคันนี้เคยไปส่งฉันที่โรงเรียน ฉันเคยนั่งและวางมาดของลูกสาวนายตำรวจอยู่ที่หน้ารถคันนี้

ฉันจอดรถและลงไปยืนดู สักพักก็เห็นพ่อกับผู้หญิงอีกคนและเด็กน้อยๆ น่ารักคนหนึ่ง เธอหน้าตาเหมือนฉันตอนเป็นเด็กไม่ผิดเพี้ยน ฉันยืนมองภาพนั้นและน้ำตาก็ไหล ภาพนี้มันน่าจะเป็นภาพของฉันกับแม่ไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นคนอื่น

ตาลจับมือของฉัน ให้กำลังใจฉัน หัวใจของฉันมันชาไปหมด ฉันรู้แล้วว่า ถ้าพ่อทิ้งผู้หญิงคนนี้ไป ผู้หญิงคนนี้ก็ต้องลำบากแบบเดียวกับที่แม่ลำบาก และเด็กเล็กๆ คนที่พ่ออุ้มก็ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับฉัน มันออกจะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปที่จะรั้งพ่อไว้กับฉันและทำให้เด็กคนนั้นเติบโตมาอย่างไร้พ่อ หรือไม่ได้รับความรักจากพ่อ

ฉันถามตัวเองเสมอว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาพ่อให้ความรักกับฉันบ้างหรือเปล่า คำตอบที่ได้รับคือ

พ่อให้ความรักฉันมากมายเหลือล้น จนดูเหมือนว่าพ่อจะรักฉันเพียงคนเดียว แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ฉันกลายเป็นหมาหัวเน่า เป็นลูกที่พ่อไม่ต้องการ พ่อทิ้งฉันไปโดยไม่สนใจใยดี และมาอยู่กับลูกใหม่ ยิ้มเริ่งร่า ทั้งๆ ที่แม่ของฉันนั่งร้องไห้ก่อนนอนทุกคืน กินน้ำตาแทนข้าว เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าพ่อรู้จักยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่ไปมีอะไรกับผู้หญิงคนนี้

นั่นทำให้ฉันยิ่งเกลียดพ่อเพิ่มมาขึ้นเรื่อยๆ

“ตาลทำไมผู้ชายต้องเห็นแก่ตัวแบบนี้ด้วยนะ”

“ไม่รู้สิไปเถอะจอยอย่าดูอีกเลย เดี๋ยวก็ทำใจไม่ได้อีก” ตาลเตือนฉันแกมขอร้องฉันให้ไปจากหน้าบ้านหลังนั้น

ฉันเข็นรถจักรยานของตัวเองเดินหันหลังให้กับบ้านหลังนั้นและจะไม่มีวันกลับมามองดูภาพบาดตาบาดใจที่บ้านหลังนั้นอีกแล้ว

หัวใจของเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่างฉันจะต้านทานแรงกดดันจากสภาพแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหนกันนะ

ฉันอยากรู้จริงๆ


ฉันกลับมาเป็นคนเดิมเป็นเหมือนเดิม พ่อเอาเงินมาฝากไว้กับครูเพื่อให้เป็นค่าขนมของฉัน พ่อมาที่โรงเรียนของฉันทั้งๆ ที่พ่อสามารถเรียกฉันไปพบได้ แต่พ่อไม่ทำ

ฉันไม่รู้ว่าพ่อคิดอะไร แต่เมื่อเปิดซองเงินนั้นออกดูก็รู้ว่าเงินจำนวนนี้สามารถที่จะเป็นค่าขนมให้กับฉันได้ทั้งปี ตอนเย็นฉันเอาเงินจำนวนนั้นให้แม่ แต่แม่ไม่ยอมรับมัน

“เอาไปเก็บไว้ในธนาคารนะลูก ถ้าจำเป็นค่อยเอามาใช้” แม่บอกกับฉัน

“แต่แม่จำเป็นมากกว่าจอยแม่เอาไปเถอะนะ” ฉันยื่นซองเงินในมือให้กับแม่อีกครั้ง

“แม่บอกว่าให้เอาไปฝากก็เอาไปทำตามที่แม่บอกสิจอย อย่ามากวนแม่ตอนนี้ได้ไหมแม่จะทำงาน” แม่ตวาดฉัน ระยะหลังๆ แม่อารมณ์เสียมากขึ้นทุกวัน แม่ระบายอารมณ์ด้วยการปาข้าวของ และร้องไห้ ฉันรู้ว่าแม่อดทนและเจ็บปวด

มีใครบ้างที่จะไม่เสียใจเมื่อคนรักของตัวเองทรยศและทอดทิ้ง

ฉันว่าไม่มีใครหรอกนะที่จะไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องแบบนี้ ขนาดฉันเป็นลูกยังแทบรับไม่ได้ แล้วแม่เป็นคนที่ได้ชื่อว่าครอบครองทะเบียสมรส เป็นเมียถูกต้องตามกฎหมายแม่หรือจะไม่เสียใจ

ฉันเดินคอตกกลับมาที่ห้องของตัวเอง สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนี้ก็คือโกรธแค้นและเกลียดชังผู้ชายทั้งโลก ที่ทำให้แม่และฉันต้องมาอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่ทุกวันนี้


อาการของฉันที่เกลียดผู้ชายเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งผู้ชายที่เดินอยู่ในตลาด ฉันยังเลี่ยงที่จะไม่เข้าใกล้ ความกลัวทำให้ฉันระวังตัว โชคดีที่โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนหญิงล้วนและมีครูไม่กี่คนที่เป็นผู้ชาย ฉันเลยไม่ลำบากในการดำรงชีวิตประจำวันในโรงเรียนของตัวเอง

ตาลอีกเช่นกันสังเกตความผิดปกติของฉัน และมองฉันเวลาที่ฉันพยายามอยู่ห่างครูผู้ชายที่สอนงานเกษตรเธอเดินเข้ามาหาฉัน

“เป็นอะไรทำอย่างกับว่าครูเป็นผีหรือว่ากลัวครูใช้งาน”

“เปล่าเหม็น”

“เหม็นอะไรใครเหยียบอุนจิหมาหมาหรือไง”

“ไม่มีหรอกแค่เหม็นครูแค่นั้นเอง”

ตาลมองหน้าฉันแบบงงๆ เพราะเธอไม่ได้กลิ่นเหม็นอย่างที่ฉันบอกเธอ ครูก็ดูสะอาดไม่ได้สกปรกแบบที่ฉันบอก

“ท่าจะเป็นเอามากแฮะ โรคกลัวผู้ชายของเธอนี่นะ” ตาลบ่นฉัน แต่ฉันก็รู้ว่าเธอเข้าใจในตัวฉัน

“ทำไงได้มันเป็นไปแล้วนี่ช่วยไม่ได้” ฉันยิ้มกลับไปให้ตาลและลงมือขุดดินเพื่อปลูกผักแปลงใหม่ของเทอมนี้


ปีนี้ฉันเรียนอยู่มอสามไม่ได้มีเรื่องราวอะไรเข้ามาให้ปวดหัว ฉันละเลิกที่จะมองใครๆ ฉันไม่ได้มีความรักให้กับใครอีกเลย ตั้งแต่ฉันเลิกคบพี่แอน และฉันก็ได้ข่าวจากเพื่อนที่เคยคบกับพี่แอนว่าตอนนี้พี่แอนมีแฟนไปแล้วเป็นผู้ชายเรียนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกัน เพราะเธอเรียนอยู่ชั้นมอห้าแล้ว

ฉันรู้สึกดีใจที่ไม่ได้คบกับพี่แอนในตอนนั้นเพราะถ้าเราสองคนคบกันคงเป็นฉันเองที่เป็นฝ่ายอกหัก เพราะพี่แอนไปมีแฟนใหม่ ส่วนเพื่อนของฉันที่คบกับพี่แอนเธอก็มีแฟนใหม่ เธอไปจีบรุ่นน้องที่ห่างกันสองปี

ฉันไม่รู้หรอกว่าทำไมคนเราถึงได้เปลี่ยนแฟนง่ายๆ ทำใจง่ายๆ เหมือนเปลี่ยนกระเป๋าสตางค์ แต่ที่แน่ๆ ใครๆ ก็บอกว่าความรักแบบเด็กๆ แบบฉันรักง่ายหน่ายเร็ว เด็กๆ มีความรักที่ไม่คงทนถาวรแบบนั้นจริงๆ หรือ หรือว่าเป็นเพียงแค่คำพูดของผู้ใหญ่ที่พูดต่อๆ กันมาแค่นั้น

ฉันเห็นเพื่อนๆ รักๆ เลิกๆ กันอยู่บ่อยๆ เปลี่ยนจากคนนั้นไปคนโน้น เปลี่ยนจากคนโน้นไปคนนู้น เรื่อยไปไม่จบไม่สิ้น บางคนรักกันยังไม่ทันเท่าไหร่ ก็เปลี่ยนกันอีกแล้ว หรือที่ผู้ใหญ่พูดจะเป็นจริง จะมีไม่กี่คู่เท่านั้นที่รักกันมานานหลายปี

บางคนรักๆ เลิกๆ บางคนสลับกันไปมา ในวงจรใกล้เคียงกัน เพราะจะมีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะระบุว่าตัวเองชอบผู้หญิงด้วยกันเอง บางคนก็อาจจะเป็นเพราะแฟชั่นแบบที่พี่แอนเป็น พอเจอคนรักที่คิดว่ารักจริงก็เปลี่ยนกลับไปเป็นผู้หญิงแบบที่ควรจะเป็น

ฉันไม่ได้มีนิยามให้กับตัวเอง เพราะฉันก็ไม่รู้ว่าโรคขยะแขยงผู้ชายของฉันจะหายเมื่อไหร่ หรือหากไม่หายจากอาการนี้ไปตลอดชีวิตฉันจะรับได้ไหม หรือใครจะมามองคนอย่างฉันเป็นสนิมของสังคม เกาะกินเหล็กกล้าของสังคมใหญ่แล้วก็ขัดฉันทิ้งไปจากสังคมที่ไม่ต้องการฉัน

ฉันยังไม่เคยรักใครจริงๆ จังๆ สักครั้ง จะมีแค่แอบรักและถูกรัก ยังไม่เคยที่จะรักและมีคนรักตอบ ดังนั้นฉันจึงตอบไม่ได้ว่าความรักที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร

นิยามความรักของฉันจึงว่าเปล่า ไร้ขอบเขต ฉันไม่มีคนในจินตนาการ เพราะคนเหล่านั้นได้หายไปตั้งแต่พ่อจากไป เมื่อก่อนฉันคิดไว้เสมอว่า ผู้ชายที่ฉันจะรักต้องเป็นแบบพ่อ ต้องดูแลครอบครัว ดูแลแม่และดูแลฉันได้เหมือนกับที่พ่อทำ

พอเกิดเรื่องทุกอย่างพังลงมาหมด ฉันไม่เคยคิดจะคบใคร และใครอย่ามาแหยมเข้าใกล้ฉัน ฉันเบื่อที่จะตอบปฏิเสธ หรือตอบรับใครก้มหน้าก้มตาเรียนไปวันๆ มีตาลเป็นเพื่อนพูดคุยแก้ปัญหาเด็กๆ ของฉันไปเรื่อยๆ


จนวันหนึ่งฉันเดินไม่ดูตาม้าตาเรือชนเข้าอย่างจังกับรุ่นน้องคนหนึ่งที่เธอถือแก้วน้ำแดงกำลังจะมานั่งที่โต๊ะกินข้าวในโรงอาหาร

“โอ๊ย” น้ำแดงกระเด็นเลอะเสื้อของเธอและฉันไปทั้งตัว

“นี่เธอเดินประสาอะไรไม่ดูคนเลย” รุ่นน้องคนนั้นดุฉันเข้าให้

“ขอโทษจริงๆ เราไม่ได้ดูทาง” ฉันหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเนื้อตัวของเธอที่เปื้อนน้ำแดงไปทั้งตัว

“คราวหลังก็หัดเดินดีๆ หน่อยก็แล้วกันคนอื่นเค้าเดือดร้อนรู้ไหม”

“เอ๊ะเธอนี่ยังไงนะก็ขอโทษแล้วไงยังจะมาพูดแบบนี้อีก” ฉันเริ่มฉุนออกอาการไม่พอใจกับเด็กรุ่นน้องที่ฉันเดินชนเธอจนแก้วน้ำแดงในมือหกรดเราทั้งสองคนเหมือนกับมีเลือดออกมาจากร่างกายเราทั้งสองคน

“แล้วขอโทษแล้วมันหายหรือไง เสื้อฉันเลอะไปหมดแบบนี้ซักออกหรือเปล่าก็ไม่รู้” เด็กคนนั้นยังกวนประสาทฉันไม่เลิก

“งั้นถอดมาจะซักให้” ฉันเข้าไปหมายจะปลดเสื้อของเธอ เพราะฉันเห็นว่าเธอนั้นสวมเสื้อชุดพละไว้ด้านในอีกตัวหนึ่งคงไม่เป็นไรที่จะถอดเสื้อนักเรียนออกมาซัก

“จะบ้าหรือไง มาถอดอะไรตรงนี้เล่า ประสาทหรือเปล่า” เธอดุฉันเข้าอีกแล้ว

“มีอะไรจอยเกิดอะไรขึ้น” ตาลเห็นฉันยืนต่อล้อต่อเถียงกับยายตัวเล็กปากจัดคนนี้ก็เลยเข้ามาห้ามทัพ

“ก็ดูสิ ว่าเราฉอดๆ จะเอาเสื้อไปซักให้ก็ไม่ยอมถอด” ฉันบอกแบบคร่าวๆ

“ก็เพื่อนพี่นะสิพี่ตาลเดินชนบิวจนน้ำแดงเลอะไปหมดทั้งตัว แถมยังจะมาถอดเสื้อบิวกลางโรงอาหารอีก” เด็กปากจัดยังส่งเสียงฉอดๆ ไม่เลิก

“เอาน่าบิวเพื่อนพี่มันก็ห่ามแบบนี้แหละ งั้นบิวไปถอดเสื้อมาเดี๋ยวพี่จะให้จอยมันเอาไปซักให้ก็แล้วกัน” ตาลดูจะใจเย็นเมื่อพูดคุยกับยายเด็กแสบ ฉันแอบคิดว่าตาลไปพูดดีกับยายเด็กคนนี้ทำไมกัน ท่าทางออกจะเอาเรื่องน่าดู แถมไม่มีสัมมาคาระวะกับรุ่นพี่แบบพวกเราสองคนอีกด้วย

ดูเหมือนว่าคำพูดของตาลจะขลังกว่าคำพูดของฉันยายเด็กบิวเชื่อฟังตาลมากว่าฉันที่เป็นคนก่อเรื่องเสียอีก ระหว่างที่รอเด็กบิวไปถอดเสื้อมาให้ฉันกับตาลก็เข้าไปซื้อผงซักฟอกถุงเล็กในสหกรณ์มาเพื่อรอซักเสื้อให้กับยายเด็กคนนั้น

“ใครเหรอตาลปากจัดฉิบ” ฉันกระซิบถามตาลระหว่างที่เด็กแสบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อเอามาให้ฉันซัก

“เด็กแถวบ้านก็น้องของ...” แล้วตาลก็เงียบไป

“น้องใครเหรอ”

“เปล่าไม่มีอะไรหรอกบอกไปจอยก็ไม่รู้จักหรอกคนแถวบ้านเราก็แล้วกัน ไปรอน้องเค้าดีกว่าเดี๋ยวคงเอาเสื้อมาให้ว่าแต่จอยเถอะจะซักเลยหรือเปล่าเดี๋ยวเอาเสื้อเราไปเปลี่ยนพอดีวันนี้เราต้องซ้อมบาสก็เลยเอาชุดมาเปลี่ยน” ตาลตัดบทและเสนอเสื้อของเธอให้กับฉันเอาไปเปลี่ยนแทนเสื้อที่เลอะน้ำแดงของฉันตัวนี้ เพราะฉันไม่มีเสื้อพละอยู่ข้างในเหมือนเด็กคนนั้น ถ้าจะถอดซักก็คงโป๊

“ก็ดี เปลี่ยนก็ดี เลอะไปหมดทั้งตัวแล้ว เรานี่ไม่ไหวเลยเนอะซุ่มซ่ามจริงๆ เลย เดินไปชนยายบ้านั่นได้ไงก็ไม่รู้ หาเรื่องปวดหัวปวดหูดีแท้ๆ เลยเรา”

“เอาน่าเรื่องมันแล้วไปแล้ว โน่นตัวป่วนมาแล้วเอาไปซักให้เสร็จๆ จะได้ไม่ต้องมาฟังบิวบ่นอีกไง”

ตาลฉุดมือฉันไปหารุ่นน้องที่ชื่อบิวก่อนที่จะเอาเสื้อของเธอมาซักที่ก๊อกน้ำ ข้างๆ โรงอาหาร น้ำแดงที่เลอะมันซักออกยากจริงๆ ฉันขยี้จนเจ็บมือไปหมด จุดแดงเป็นปื้นๆ ก็ออกบ้างแต่ยังคงเหลือร่องรอยคราบติดเล็กๆ น้อยๆ เสื้อของฉันเองก็เช่นกันตาลพยายามซักแต่มันก็ไม่ออก

“แล้วแบบนี้ต้องซื้อตัวใหม่ให้หรือเปล่านี่” ฉันบ่นเพราะขนาดผงซักฟอกที่บอกว่าซักคราบสกปรกฝังแน่นยังซักไม่ออก ขยี้จนเสื้อจะขาดคราบก็ยังติดหนึบเหนียวแน่น โฆษณามาได้ว่าซักสะอาดเหมือนมีมือขยันมาช่วยขยี้ นี่ทั้งซักทั้งขยี้ยังไม่ออก จะไปฟ้องร้องกับองค์กรผู้บริโภคดีไหมนะว่าที่โฆษณามานั้นโกหกทั้งเพ

“ไม่ต้องหรอกบอกน้องเค้าก็ได้บิวน่ารักจะตายไป”

“นี่นะน่ารักปากอย่างกับกรรไกรโรงพยาบาลพูดก็ไม่เข้าหู”

“เอาน่าไว้ลองคบกับน้องเค้าดูจะรู้ว่าน้องเค้าน่ารักจริงๆ อย่างที่เราบอกจอยนะ”

“เอาเถอะเชิญคบแม่ปากปีจอไปเองก็แล้วกันนะตาล เราคงไม่เอาด้วยหรอกปากแบบนี้น่ารำคาญจะตายไป” ฉันแบะปาก พร้อกับพูดเข่นเขี้ยว ไม่ยอมลดละให้กับเด็กแสบคนนั้น

“อย่างกับตัวเองไม่ปากร้ายงั้นแหละ” ตาลหันมาแขวะฉันเข้าให้

“ก็ดีกว่าแม่นั่นก็แล้วกัน เฮ้ยทำไมซักไม่ออกวะ” ฉันหงุดหงิดทั้งตาลและน้ำแดงที่เลอะเสื้อพยายามซักน้ำแดงออกจากเสื้อเท่าไหร่ก็ไม่ออก

“พึ่งจะโดนราดมาหมาดๆ น้ำยังไม่แห้งเลยทำไมคราบมันติดหนึบแบบนี้”

“ก็สีแดงกับสีขาวนี่นา ไว้ลองเอาครามมาลงเผื่อหาย” ตาลเสนอบ้าง

“แล้วถ้าเกิดเสื้อแม่นั่นมันกลายเป็นสีฟ้าแม่นั่นไม่ด่าฉันหูชาไปเลยเหรอตาล”

“ไม่มั๊งปกติบิวปากไม่จัด นี่คงเหลืออดก็เลยบ่นออกมา”

“หุหุ ทำอย่างกับเราไม่เหลืออด ชื่อก็เพราะ ภัทรมล ปากไม่เห็นสมกับชื่อเลย” ฉันเห็นชื่อของเธอที่ปักอยู่คนหน้าอกเสื้อแล้วก็ ยิ้มขำๆ

“เหรอ ตั้งหน้าตั้งตาซักไปเถอะจอย ก่อนที่โรงเรียนจะเข้า เดี๋ยวก็ไม่ได้เอาไปตากพอดี”

ฉันกับตาลช่วยกันซักเสื้อจนรอยคราบนั้นจางลงไปมากกว่าตอนแรก ได้แต่หวังว่ายายเด็กคนนั้นจะไม่วีนแตกตอนที่เห็นเสื้อขาวเปลี่ยนสีก็แล้วกัน


ฉันเอาเสื้อไปคืนบิวหลังจากที่เลิกเรียนแล้ว โชคดีที่แดดส่องมาตรงระเบียงห้องของฉันพอดีในตอนบ่าย

ฉันสำรวจดูแล้วว่าเสื้อตัวนั้นไม่ได้มีคราบแดงๆ เห็นชัดมากมายนัก และเสื้อของฉันเองก็เช่นกันก็เลยเบาใจไปเปราะหนึ่งเพราะคงไม่โดนบิวด่ากลับมาอีกรอบ

ฉันกับตาลมารอบิวที่หน้าห้องหลังเลิกเรียนเพื่อที่จะคืนเสื้อของเธอ บิวออกมาหาตาลและรับเสื้อไปดูและเธอก็ไม่ได้วีนแตกแบบที่ฉันคิดไว้ตอนแรก เธอรับเสื้อแล้วก็ยิ้มๆ เดินจากไปไม่พูดไม่จา

“ยายเด็กนี่ท่าจะประสาทขอบคุณสักคำก็ไม่มี” ฉันบ่นลับหลังบิว

“เอ๊าเค้าพูดมากก็ว่าปากกรรไกร พอไม่พูดก็ว่าประสาทเอาไงกันแน่จอย”

“เออ ขอโทษก็แล้วกันตาลเราคงบ้าไปนิด” ฉันก้มลงมองดูนิ้วของจัวเอง จมูกเล็บลอกออกมาเยอะไปหมด ฉันคงแพ้ผงซักฟอก เพราะปกติที่บ้านแม่จะใช้น้ำยาซักผ้า การที่ต้องมาใช้ผงซักฟอกซักผ้าก็เลยทำให้มือน้อยๆ ของฉันกลายเป็นหนามๆ เต็มไปหมด จะต้องหากรรไกรตัดเล็บมาเล็มหนังที่ลอกออกมา เจ็บก็เจ็บ แต่ต้องอดทน ระหว่างเรียนฉันก็แอบลอกออกจนได้เลือดซิบๆ ตาลเห็นก็เอากรรไกรตัดเล็บมาให้ แทนการมือบอนนั่งดึงหนังที่จมูกเล็บของฉันเอง

“รู้ตัวก็ดีแล้วไปกลับบ้านกันเถอะป่านนี้แม่รอกินข้าวแล้วมั๊งจอย”

“จริงสิลืมไปเลย แม่สั่งให้ซื้อกับข้าวไปด้วย ตายๆ ลืมสนิท” ฉันรีบวิ่งกลับไปที่ห้องเก็บกระเป๋าหนังสือของตัวเองและรอตาลที่จะลงไปเอารถของเธอพร้อมๆ กับฉัน

“กลับไปก่อนเถอะนะจอยวันนี้เรามีซ้อมบาสจะแข่งพรุ่งนี้”

“อ้าวเหรอ เอองั้นเราไปก่อนนะ”

“ขี่รถดีๆ ล่ะ อย่าเหม่อจนไปชนใครเค้าอีกก็แล้วกัน”

“คงไม่ซวยซ้ำทั้งวันหรอกน่าตาล”

“จะไปรู้เหรอเกิดซวยซ้ำซ้อนจะหาว่าเพื่อนไม่เตือนไม่ได้นะ”

“แล้วจะระวังก็แล้วกันไปนะซ้อมดีๆ ล่ะ อย่าให้ซวยเหมือนเราก็แล้วกัน”

“แช่งกันเห็นๆ” ตาลหันไปต่อว่าฉัน เพราะตาลเองก็กลัวรถที่ตามหลังมาจะไล่บี้เข้ากับฟุตบาทข้างถนนเหมือนกัน

“ไม่แช่งเพื่อนแล้วจะให้ไปแช่งใครที่ไหน อ๊ะหรือจะแช่งแม่ตัวแสบของตาลดีนะ อิอิ”

“ไปๆ ไปเลย รีบกลับไป ก่อนที่แม่จะโมโห” ตาลบ่นอีกรอบ

“แค่นี้ต้องมีน้ำโหด้วยไปก็ได้เชอะ” ฉันแกล้งงอนตาลและก็เดินลงมาจากตึกเรียน

ก่อนที่จะเดินไปถึงโรงรถ ฉันเห็นบิวเข็นรถของเธอออกมาจากโรงรถและฉันก็รีบวิ่งไปเอารถของตัวเอง ก่อนที่จะปั่นตามไปไกลๆ ตาลบอกว่าบิวอยู่ใกล้ๆ บ้านของเธอ ฉะนั้นบิวก็ต้องกลับบ้านทางเดียวกับตาลสินะ

“ปี๊นๆ” เสียงแตรรถดังหลายครั้ง

“เอี๊ยด” เสียงรถห้ามล้อเบียดกับถนนอย่างแรงของรถคันนั้น

ฉันออกจะตกใจที่ได้ยิน เสียงเพราะเมื่อสักครู่ยายบิวเด็กปากจัดพึ่งจะโผล่พ้นประตูรั้วออกไป หรือว่ายายเด็กคนนั้นจะโดนรถชน

โอ้วไม่น่ะ อย่าเป็นอะไรนะเด็กน้อย

... จบบทที่ ๒ ...



Create Date : 13 พฤษภาคม 2552
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:28:18 น. 0 comments
Counter : 394 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.