It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๔ เพื่อนหรือแฟน



หลังจากวันนั้น ฉันกับตาลก็สนิทกันมากกว่าเดิม แม้เราจะไม่ได้เรียนห้องเดียวกัน แต่ฉันก็มักจะไปวุ่นวายที่ห้องเรียนพิมพ์ดีดของตาลเสมอ

ฉันให้ตาลสอนพิมพ์ดีดในตอนเลิกเรียน เพราะฉันไม่ต้องรีบกลับบ้าน ตอนนี้ฉันตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าตาลจะไปเรียนที่ไหน ฉันก็จะตามตาลไปด้วยทุกที่

เพราะอะไรนะเหรอ เพราะตาลเอาหัวใจของฉันไปแล้วนะสิ ดูเหมือนว่าตาลเองก็รู้ว่าฉันคิดแบบไหน เหมือนที่เธอพูดกับฉันในคืนนั้นว่า

“เรื่องบางเรื่องเราก็ควรเก็บมันไว้ในใจเรา ไม่พูด ไม่ถาม ไม่ตอบ เพราะมันอาจจะมีคำตอบในตัวของมันเองอยู่แล้ว”

จริงของตาล เราสองคนไม่เคยถามถึงความสัมพันธ์ของเราที่มีต่อกัน เราไม่เคยพูดหรือทวงถามความเป็นเจ้าของเหมือนที่เพื่อนๆ เคยกินในที่ลับไขในที่แจ้ง

ฉันไม่ใช่ทอม และตาลก็ไม่ใช่ดี้ เราสองคนเป็นเพื่อนกันในสายตาของทุกคน เพื่อนที่เป็นมากกว่าเพื่อน ไม่มีใครรู้ถึงเรื่องที่เราคบกัน พ่อกับแม่ของตาลเองก็ไม่รู้ แม่ฉันเองยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่

แม่เคยไปขอพ่อกับแม่ของตาลให้มาอยู่เป็นเพื่อนกับฉันที่บ้านด้วยซ้ำไปเมื่อฉันบอกว่าฉันเหงา ฉันอยากให้ตาลมานอนเป็นเพื่อนฉันที่บ้าน

เราสองคนคบกันบนพื้นฐานของความเป็นเพื่อน จะมีเกินเลยกันก็แค่กอดจูบในบางครั้งที่เราอยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้องนอนของฉันหรือของตาลก็เท่านั้น

เมื่ออยู่โรงเรียนทุกอย่างปกติ ไม่มีใครจับผิดความผิดปกติของเราสองคนได้เลยสักนิด หากใครเห็นแววตาของฉันและตาลที่มองกัน ก็อาจจะรู้ว่าเราสองคนคิดกันเกินเพื่อน สิ่งเดียวที่ผูกมัดใจของเราไว้ได้ก็คือ “ความรัก” เราสองคนรู้ว่าเรารักกัน รักไม่มีเหตุผล รักในความดีของกันและกัน

ฉันอาจไม่ดีเพียงพอสำหรับใคร แต่ฉันดีกับตาลเสมอต้นเสมอปลาย

และตาลอาจจะปากร้ายกับใครต่อใคร เพราะเธอมักพูดในสิ่งที่เธอคิดเสมอๆ ไม่เคยปกปิดหรือเบี่ยงแบนประเด็น มาสิบไปสิบ มาร้อยไปร้อย มาพันไปพัน หรือไม่มาก็ไม่มีอะไรส่งกลับไป แต่กับฉันตาลจะคอยตักเตือนคอยห่วงใยแม้กระทั่งเรื่องการกินอยู่ที่บ้านของฉัน

แปลกแต่จริง ตาลทำกับข้าวเก่งมาก ฉันสิทอดไข่ยังไหม้ ต้มไข่ก็อาศัยเอาไข่ไปล้างแล้วใส่ลงหม้อข้าว แต่กับตาลไม่เลย เธอต้มไข่ได้อร่อยมากๆ ไข่ทุกลูกเป็นยางมะตูม กินกับข้าวสวยร้อนๆ น้ำปลาพริกมะนาว มื้อนั้นก็อร่อยเหาะแล้วสำหรับคนอย่างฉัน

“วันนี้กินอะไรดีจอย”

“ไข่ต้มก็ได้”

“กินไข่ต้มจนจะกลายเป็นไอ้หัวไข่อยู่แล้วไม่เบื่อบ้างเหรอไงนะ”

“ไม่เบื่อหรอกถ้าตาลทำให้กิน” ฉันเหมือนจะหยอดคำหวาน แต่คำพูดที่บอกตาลไปนั้นมันเป็นเรื่องจริง

“อะนะพอเบื่ออย่ามาบอกแล้วกันว่าฉันเบื่อไข่ต้มแล้ว ทำอะไรที่มันอร่อยกว่านี้ได้ไหมยะ”

“ไม่มีทางหรอกตาล แค่ตาลทำให้เรากินก็ถือเป็นบุญคุณกับเรามากๆ แล้ว” ฉันหยอกคำหวานให้ตาลอีกแล้ว มันเป็นสิ่งที่ฉันทำได้โดยไม่รู้เบื่อ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตาลจะเบื่อฉันบ้างหรือเปล่า

“ขอให้จริงอย่างปากเถอะทำปากหวานพูดเจื้อยแจ้ว”

“เราพูดจริงๆ นะ ไม่ได้ปากหวาน”

“ไหนมาชิมสิ” ตาลเดินเข้ามาใกล้ฉันและประกบปากฉันกับปากของเธอ ก่อนที่จะผละออกไป

“หวานจริงๆ ด้วยนี่แสดงว่าโกหกเราใช่ไหม” ตาลแยกเขี้ยวใส่ฉันทันที่ที่ผละออก

“อ้าวไหงเป็นงั้นล่ะ ซวยเลยไอ้จอยเอ๊ย”

แล้วตาลก็หัวเราะกับคำพูดของฉัน เวลาเราอยู่ด้วยกันสองคนโลกมักเป็นสีชมพูแบบนี้เสมอ


ฉันและตาลสอบเข้าอาชีวะได้สมใจ แม่ไม่ว่าอะไรที่ฉันจะเรียนแบบที่ตาลเรียน เพราะเหตุผลของฉันก็คือ

“จอยไม่อยากให้แม่ต้องมาส่งจอยเรียน จอยอยากทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยแม่จะได้เบาแรง”

เป็นเหตุผลที่แม่ฟังแล้วไม่อาจจะคัดค้านอะไรฉันได้ เพราะแม่ก็รู้ว่าเวลาฉันดื้อขึ้นมาอะไรก็ฉุดไม่อยู่

ใครว่าเรียนอาชีวะง่ายๆ ฉันว่าไม่จริงเลย วิชาบัญชี ที่ต้องเรียน เดบิตเครดิตมั่วไปหมด แต่ตาลสามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง เธอเรียนได้ดีและเก่งกว่าฉันเสียอีก แรกๆ ฉันคิดแต่เพียงว่าอาชีวะก็คือ การเรียนพิมพ์ดีด เรียนเพื่อออกไปทำงานธุรการเป็นเสมียน หรืองานง่ายๆ แต่พอมาเรียนเองก็รู้ว่าสิ่งที่คิดมานั้นมันไม่ใช่เลย

เป็นครั้งแรกที่ได้เรียนกับเพื่อนผู้ชาย แต่โชคดีหน่อยที่เพื่อนๆ ที่เรียนห้องเดียวกับฉันและตาลเป็นสาวประเภทสองเป็นส่วนใหญ่ เพราะผู้ชายจริงๆ หรือชายแท้ๆ มักจะไปเรียนการตลาดมากกว่าเรียนบัญชี โรคเกลียดผู้ชายของฉันยังคงเป็นอยู่และไม่มีทางหาย

ตาลเองก็รู้ว่าฉันเข้าใกล้ผู้ชายมากนักไม่ค่อยได้ เธอจะคอยกันท่าให้ฉันเสมอมา และนั่นยิ่งทำให้ฉันซึ้งน้ำใจของตาลมากขึ้น เราสองคนไม่เคยมีเรื่องปิดบังอะไรกัน มีอะไรก็พูดคุยกันทุกเรื่อง

ฉันกับตาลคบกันแบบไม่เปิดเผยจนเราเรียนจบปวช. และเรียนปวส. ปีสุดท้ายเรื่องไม่เป็นเรื่องก็เกิดขึ้น


สันติหนุ่มน้อยหน้ามนคนหล่อประจำเอกการตลาดเข้ามาจีบตาล ฉันไม่เคยหึงหวงตาลเลยสักครั้ง เพราะฉันไว้ใจตาลเสมอมา

“หวัดดีจอยตาลล่ะ” สันติเข้ามาทักทายฉัน ที่กำลังมาขอหนังสือไปฝึกงานที่บริษัทของแม่

“เห็นหน้าเราถามถึงตาลเลยนะ” ฉันแขวะสันติกลับ แต่ดูเหมือนสันติจะไม่เข้าใจกับสิ่งที่ฉันทำ โง่จริงหรือแกล้งโง่กันนะนายสันติ

“ไม่ได้สิ คนกำลังตกหลุมรักจังเบ้อเร่อ ก็แบบนี้”

“เหรอ แล้วไง” ฉันทำหน้าตายและย้อนถามกลับไปอีกครั้ง

“ไม่แล้วไง ตาลอยู่ไหนแม่ฝาแฝด” เหมือนสันติจะมีอารมณ์โมโหฉันอยู่บ้างเหมือนกัน

“ตาลไปหาครูเดี๋ยวคงตามลงมามั๊ง” เมื่อเห็นท่าทางอารมณ์เสียของสันติฉันก็เลยตอบส่งๆ กลับไป

“ตาลฝึกงานที่ไหนรู้ไหม”

“ไม่รู้สิ ตาลกำลังไปขอให้ครูเลือกที่ให้”

“เหรองั้นเราไปก่อนนะ” สันติไม่พูดพล่ามทำเพลงรีบวิ่งไปที่ห้องพักครูเพื่อตามหาตาล

แต่คงช้าไป ตาลเดินลงมาจากบันไดอีกฝั่งของตึก และรีบเดินจ้ำอ้าวมาหาฉัน

“ตกลงเราไม่ได้ฝึกงานที่เดียวกันนะจอยเพราะครูให้เราไปอีกบริษัทนึง ครูบอกว่าเราเคยไปฝึกแล้วตอนเรียนปวช.ก็เลยให้เราเปลี่ยนที่ฝึกแย่จังเลยนะ”

“อ้าวเหรอแล้วทำไมครูไม่เปลี่ยนที่ฝึกเราบ้างล่ะ ไม่เป็นไร ไว้เราค่อยมาเจอกันตอนเลิกงานก็ได้” ฉันรู้ดีว่าการฝึกงานของเรามันอาจจะไม่ได้ฝึกที่เดิม แต่เพราะว่าฉันจะไปฝึกบริษัทของแม่ตัวเองก็เลยไปขอได้ง่ายหน่อย การฝึกงานไม่ใช่ว่าอยากจะไปฝึกที่ไหนก็ไปได้ เพราะบริษัทต้องตอบกลับมาก่อนว่าจะรับพวกเราหรือไม่

อีกอย่างเราไม่ได้แค่ฝึกอย่างเดียวเรายังได้เงินวันละตั้งร้อยบาท มันมากกว่าค่าขนมที่เราได้มาโรงเรียนด้วยซ้ำไป

“ไม่เป็นไรแน่นะจอย”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ตาลไปฝึกบริษัทที่ครูเลือกเถอะเรื่องมากเดี๋ยวก็ไม่จบกันพอดี” ฉันยิ้มตอบตาลเพราะอย่างน้อยฉันก็รู้ว่าตาลยังคงเป็นห่วงความรู้สึกฉันเสมอ

“เราไม่ต้องตัวติดกันมากนักก็ได้นี่ตาลจริงไหม เพราะเราสองคนมีใจที่ติดกันแล้วนี่นาเนอะ”

“นี่ทำพูดดีไปถ้าอยู่บ้านนะจะ...” ตาลแกล้งทำหน้าทำตาล้อฉัน

“อย่าๆ เดี๋ยวเค้าเขินนะตะเอง”

“เซี้ยวใหญ่แล้ว” ตาลหยิกหนึบเข้าที่ต้นแขนของฉัน

“อูย... เจ็บนะเฟ้ย” เสียงร้องออกมาจากปากของฉัน และท่าทางลูบแขยปอยๆ ของตัวเอง มันอาจจะเรียกคะแนนสงสารจากตาลได้บ้าง แต่เปล่าเลย

“ก็ให้เจ็บนะสิจะได้ไม่ทำเล่นไปซะหมดทุกเรื่อง”

“เออเมื่อกี้นายสันติมาถามถึงตาล ถามว่าตาลฝึกงานที่ไหนเราเลยบอกว่าไม่รู้ เพราะเราไม่รู้จริงๆ ว่าตาลฝึกที่ไหน”

“นายนั่นอีกแล้วเหรอ น่าเบื่อชะมัด”

“เอาน่า ไม่ต้องคิดอะไรมากนักหรอกทำเฉยๆ ซะ นายนั่นก็คงเลิกไปเองนั่นแหละ”

“ให้มันจริงเถอะจอย เรานะขี้เกียจจะไปต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้ว คนอะไร หน้าด้านชะมัด”

“ผู้ชายก็แบบนี้มั๊งตาลไม่ได้ก็ไม่เลิก พอได้แล้วก็ทิ้งๆ ขว้างๆ”

“แล้วผู้หญิงแบบจอยล่ะ ได้แล้วจะทิ้งเราไหม” ตาลหยุดเดินและหันมามองหน้าฉัน

“เออ... ถามแบบนี้ต้องให้ได้ก่อนสิถึงจะตอบได้” ไม่ทันที่ฉันจะพูดจบตาลก็ซัดมือของเธอมาที่ไหล่ฉัน

“โอ๊ยเจ็บนะ”

“คราวหลังอย่ามาพูดอะไรแบบนี้อีกนะเข้าใจไหมแม่ตัวดี”

“ทำไมล่ะทำไมจะพูดไม่ได้” ฉันพูดเรื่องจริงเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเราสองคนยังไม่เคยมีอะไรเกินเลยไปจากที่เคยเป็น ฉันอาจจะงมโข่งอยู่ในเปลือกหอยแข็งๆ ที่ฉันสร้างขึ้นมาเป็นเกราะป้องกันตัวเองจากโลกภายนอก

ฉันกับตาลเรื่องกอดจูบหอมแก้มเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับเราสองคน และเราก็ไม่เคยคิดที่จะทำอะไรเลยเถิดไปมากกว่าที่เราทำกัน เมื่อตาลไม่พร้อมฉันก็ไม่พร้อม ก็เลยหยุดไว้เพียงเท่านั้น

เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ของเราสองคนในอนาคต แต่ที่แน่ๆ ในอีกไม่กี่วันที่จะถึงเราสองคนต้องไปฝึกงานคนละบริษัท และนั่นอาจจะทำให้เราทั้งคู่ห่างกันไปเลยก็ได้ใครจะรู้


ตาลบอกกับฉันหลังจากที่เลิกงาน ว่าวันนี้ตาลจะมานอนที่บ้านของฉัน และตาลยังบอกอีกว่าสันติได้ฝึกงานที่เดียวกับตาล พอตาลรู้ทำให้ตาลก็ทำท่าเบื่อไม่อยากที่จะไปฝึกงาน และฉันก็ให้กำลังใจตาลเหมือนเช่นที่เคยผ่านมา

“เอาน่าเรื่องแค่นี้ไม่ต้องคิดมากหรอกตาล”

“ไม่ให้คิดมากได้ไงล่ะจอยนายนั่นตื้อเราไม่เลิก จะไปกินข้าวก็เดินตามเป็นลูกเป็ด ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ฝึกงานแผนกเดียวกันซะหน่อย น่าเบื่อชะมัดเลย” ท่าทางตาลดูเบื่อๆ โลกยังไงก็ไม่รู้

“ฮ่าๆ เหรอ ก็ตาลสวยนี่นานายนั่นก็เหมือนผึ้งชอบดอกไม้สวยๆ หอมๆ”

“พูดเหมือนไม่เคยหึงเราเลยนะจอย” ตาลค้อนฉันวงใหญ่

“เราไม่หึงหรอกเพราะเรารู้ว่าตาลไม่มีทางไปคบกับนายนั่นแน่ๆ”

“มั่นใจจริงๆ นะ เกิดเราไปชอบนายนั่นเพราะลูกตื้อจอยไม่กลัวบ้างเหรอคนสวย” ตาลบีบจมูกของฉันไปมา จนเริ่มรู้สึกเจ็บนิดๆ

“ไอ้กลัวก็กลัวอยู่แต่ถ้าไม่รักกันแล้วก็ต้องปล่อยไป” พูดไปก็จับมือของตาลออกจากจมูกของตัวเอง

“พูดเหมือนไม่รักเราแล้ว” ดูเหมือนตาลจะงอนฉันจริงๆ

“รักสิทำไมจะไม่รักเราน่ะรักตาลคนเดียวไม่เคยเปลี่ยนใจ แต่ที่พูดแบบนี้เพราะแม้กระทั่งพ่อของเราเองเรายังรั้งไว้ไม่ได้ เราจะไปมีปัญญารั้งตาลไว้เหรอ อีกอย่างเรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับใจของตาลไม่ใช่เรา ถ้าเราจะบอกว่าอย่าไปเลยตาลอย่าไปรักนายนั่น แล้วเกิดตาลรักนายนั่นเราก็ทำอะไรไม่ได้รั้งตาลไว้ไม่ได้อยู่ดี จริงไหมตาล” ฉันพูดความจริงทุกประการ และตาลเองก็รู้และเข้าใจได้เป็นอย่างดีกับสิ่งที่ฉันพูด

“ก็จริง แต่ทำท่าหึงหวงเราหน่อยได้ไหมล่ะ คิดซะว่าคนรักกันเค้าต้องหึงกันบ้างสิจริงไหมจอย”

“งั้นเรามัดจำไว้ก่อนดีไหม ตาลจะได้ไม่นอกใจเราไง” ฉันยิ้มกว้างๆ กับคำพูดของตัวเอง

“มัดจำแบบไหนหอมแก้มเหรอ อะหอมซะ” ตาลเอียงแก้มให้ฉัน

ฉันก้มลงหอมแก้มตาลและกระซิบที่ข้างหูของตาล “ไม่ใช่แค่นั้นมันมากกว่านั้น” คำพูดของฉันที่กระซิบข้างหูของตาลทำเอาตาลขนลุก

“บ้าเล่นอะไรบ้าๆ” ตาลไม่พูดเปล่าผลักฉันออกไปไกลๆ เธอ

“ใครว่าเล่นเราเอาจริงนะ” ท่าทางของฉันดูขึงขังอย่าบอกใคร

“เป็นเหรอ” สายตาของตาลที่มองฉันดูกรุ้มกริ้มแปลกๆ

“แฮะๆ ไม่เป็น” ฉันส่ายหน้าน้อยๆ เป็นการยืนยันคำพูดที่ว่า “ไม่เป็น” ของตัวเองอย่างชัดเจน

“โด่เอ๊ยแล้วทำมาคุย เชอะ”

“ไม่ลองไม่รู้นี่นาจริงไหม” สายตาของฉันบ่งบอกเสมอว่ามีความต้องการ แต่ดูเหมือนว่าตาลจะไม่ตอบรับปฏิกริยาที่ฉันส่งไปให้กับเธอสักนิด

“นี่เห็นเราเป็นเครื่องทดลองหรือไงจอย”

“เปล๊า เปล่าเลยเห็นเป็นคนรักต่างหากเล่า” ฉันกระซิบที่ใบหูของจอยอีกครั้ง

“คนรักกันเค้าบังคับคนที่รักให้ทำตามใจง่ายๆ แบบนี้เหรอจอย บรื้อๆ ขนลุก”

“ไม่ได้บังคับแต่จะพยายามทำให้โอนอ่อนผ่อนตามอยู่นี่ไง” ไม่พูดเปล่า ฉันขบเบาๆ ที่ซอกคอของตาลอีกด้วย

“วันนี้วันฮาโลวีน ผีสาวจะกินเลือดสาวสวยแล้วนะ” ฉันกระซิบที่หูของตาลอีกครั้งและเป่าลมไปที่ใบหูของตาลอีกด้วย

“มะ ไม่นะจอยเรายังไม่พร้อม” พอฉันจะเอาจริงตาลกลับถอยหนี

“อีกนานแค่ไหนตาลถึงจะพร้อม ทุกวันนี้เรายังคิดเสมอว่าตาลมองเราเป็นแค่เพื่อน เราสองคนเป็นแฟนกันจริงๆ หรือเปล่าเรายังไม่รู้เลย”

“แล้วจอยพร้อมที่จะบอกกับทุกคนแล้วเหรอว่าเรารักกัน”

“เราก็อยากจะบอกแต่กลัวแม่เสียใจ”

“นั่นแหละประเด็นอยู่ตรงที่เราสองคนไม่พร้อมที่จะบอกใคร”

“เราจำเป็นด้วยเหรอตาลที่ต้องบอกใครๆ ว่าเรารักกัน”

“แล้วเราจะหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน สักวันเมื่อเราสองคนทำงานเราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว หรือไม่ก็นานๆ ครั้งเราจะได้อยู่ด้วยกัน จอยก็รู้ว่าคนรักกันมันแยกจากกันก็มีแต่ระแวงกันไปมา สุดท้ายความระแวงก็เป็นบ่อเกิดของความร้าวฉานของความรัก”

“แต่ถ้าเราสองคนมั่นคงเรื่องต่างๆ ก็ไม่เกิดนี่ตาล”

“เราจะมั่นคงไปได้อีกกี่ปีล่ะจอย”

“เราก็ไม่รู้ เราตอบไม่ได้”

“เมื่อจอยไม่รู้และจอยตอบไม่ได้ เราก็คบกันแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจณ์ทุกสิ่งอย่าง”

“เมื่อเอยเมื่อนั้นก็แล้วกันตาล นอนเถอะพรุ่งนี้เราต้องไปถ่ายเอกสารอีกตั้งเบ้อเริ่ม ไม่รู้ว่าจะเมื่อยอีกเท่าไหร่”

“อือเราก็เหมือนกัน นักศึกษาฝึกงานก็แบบนี้แหละเนอะ ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าการยืนถ่ายเอกสารเป็นวันๆ หรือไม่ก็รอที่พี่เค้าสั่งให้ทำ น่าเบื่อจริงๆ เลย”

“ก็ยังดีได้เงินค่าขนมไม่ต้องขอแม่”

“เห็นแก่เงินจริงๆ เลยนะจอย”

“ไม่ได้เห็นแก่เงินแต่มันทำให้เรารู้ว่ากว่าแม่จะได้เงินมาให้เราใช้แต่ละบาทมันหามายากแค่ไหน วันนี้เราก็ยืนจนน่องปูดเลยนะตาล”

“เรานวดให้ไหมจอย” ไม่ว่าเปล่าตาลจับขาของฉันขึ้นมาพาดที่ตักของเธอ และนวดให้กับฉันจนคลายปวดเมื่อย

“ถ้าแถมนาบให้ก็จะดีไม่น้อยนะตาล” ฉันพูดเคลิ้มๆ เพราะกำลังเพลินจากการนวดของตาล

“ประสาทเลิกๆ นอนๆ ทำดีไม่ได้ดี ได้คืบจะเอาศอกฝันไปเถอะ รีบๆ หลับแล้วฝันไปเลยแม่ตัวดี” ตาลยกขาของฉันออกจากตักเธอและล้มตัวลงนอนหันหลังให้กับฉันทันที

สรุปปากของฉันพาจน อดทั้งนวดและนาบ หรือว่าฉันจะไร้น้ำยาจริงๆ เพราะดูเหมือนตาลจะหลับไปแล้วอย่างง่ายดาย คงเพราะความเพลียที่ต้องยืนถ่ายเอกสารทั้งวัน ฉันเองก็เช่นกัน เมื่อยอย่าบอกใคร


สันติยังตามตื้อตาลไม่เลิกจนตาลต้องเอาเรื่องที่สันติตามตื้อเธอไปบอกกับพี่ที่ทำงานด้วยกัน เพราะเธออึดอัดใจที่สันติ มาคอยรับคอยส่งเธอ แถมยังถึงเนื้อถึงตัวจับต้องมือเธออีกด้วย

“พี่คะ ถ้าตาลจะขอย้ายไปทำงานที่สาขาอื่นจะได้ไหม”

“ทำไมล่ะตาลที่นี่ไม่ถูกใจหรือไง”

“คืองี้ค่ะพี่ พอดีตาลเบื่อนายสันติตามตื้อไม่เลิก”

“เอางี้ดีกว่าตาลอยู่ที่นี่แต่พี่จะไปบอกนายของนายนั่นให้ส่งไปที่สาขาจะดีกว่า อีกอย่างงานของตาลก็ยังมีอีกเยอะไหนจะต้องส่งภาษีให้กับพนักงานไหนจะซองเงินเดือนอีก มันเยอะไปหมด พี่คงให้ตาลไปฝึกที่อื่นไม่ได้หรอกนะ”

“ค่ะพี่” ตาลได้แต่ตอบรับคำของพี่หัวหน้างานเพราะเธอรู้ดีว่างานที่เธอรับผิดชอบนั้น แบ่งเบาภาระให้กับพี่หัวหน้ามากแค่ไหน ถ้าพี่หัวหน้าสามารถย้ายสันติไปได้จริงๆ เธอเองก็จะสบายใจ


สันติเดินมาหาตาลตอนพักเที่ยงด้วยใบหน้าที่หดหู่อย่าบอกใคร

“ตาลเราคงไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ตาลอีกแล้ว” น้ำเสียงของสันติฟังแล้วเศร้าจริงๆ เพราะท่าทางของสันติที่เดินคอตก เหมือนคนกำลังอกหักและเข้ามาหาตาลนั้น ทำเอาทุกคนที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะอาหารกับตาลอดสงสารสันติไม่ได้

“อ้าว ทำไมล่ะ” ตาลแกล้งทำท่าทางตกใจแต่ในใจนั้นยิ้มร่า

“พี่เค้าให้เราไปฝึกที่สาขาออกไปขายของด้วย แต่ก็ดีนะเราจะได้ค่าคอมมิชชั่นถ้าเราขายของได้”

“ก็ดีแล้วนี่นาจะได้เก็บเงินไว้เยอะๆ” ตาลพูดด้วยความหวังดี เพราะเธอรู้มาว่าครอบครัวของสันตินั้นไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมายนัก หากว่าสันติเก็บเงินได้และเอาไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็นเธอก็จะยินดีด้วย

“เอาไว้มาขอตาลนะเหรอ ว่าแต่ค่าตัวเท่าไหร่ล่ะ” จากที่หงอยๆ เมื่อสักครู่ ตอนนี้ตาของสันติเป็นประกายระยิบระยับ

“นี่นายสันติฉันไม่ใช่พวกนางกลางเมืองนะจะได้มาเรียกค่าตัว” ตาลแวดใส่สันติแทบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่

“อ๊ะหรือว่าพอใจให้ฟรี” สันติพูดไม่ระวังปากทั้งๆ ที่โต๊ะอาหารของตาลมีพี่ๆ ในฝ่ายบัญชีนั่งร่วมโต๊ะอยู่เต็มไปหมด

“นี่นายสันติ ปากนายน่ะเก็บไว้พูดสิ่งดีๆ บ้างไม่ได้หรือไงพูดออกมาแต่ละอย่างกลิ่นยิ่งกว่าโถส้วมสาธารณะ” ตาลลุกขึ้นต่อว่าสันติแรงๆ จนคนทั้งโรงอาหารได้ยินกันทั่ว จากที่เคยคิดจะพูดดีๆ ด้วย ตอนนี้ความคิดนั้นหมดไปจากหัวสมองของตาลแล้ว และตาลก็โมโหสันติเป็นอย่างมาก

“อ้าวก็ตาลพูดมาก่อนเองทำไม เราก็นึกไปตามคำพูดของตาลนะสิ”

ท่าทางสันติจะเล่นไม่เลิก พี่ที่ฝ่ายบัญชีเห็นท่าทางของตาลแล้วก็ต้องรีบเข้าไปฉุดตาลออกมาจากวงสนทนาของตาลกับสันติ

“ไปตาลกลับห้องแล้วก็ใจเย็นๆ”

“ก็พี่เห็นไหมล่ะคะว่านายนั่นปากเสียแค่ไหน”

“เอาน่าไงพรุ่งนี้ก็ไม่ได้เจอกันอยู่แล้ว โมโหไปก็เท่านั้น ไปหาไอติมกินกันดีกว่าพี่เลี้ยงเอง” พี่หัวหน้ายังใจดีกับตาลเสมอ ตาลก็แปลกใจที่พี่หัวหน้าของเธอใจดีแบบนี้แต่ทำไมไม่มีแฟน หรือว่าวันๆ ไม่มีเวลาที่จะไปคบหาสมาคมกับใคร เพราะงานบัญชีมันล้นมือ จนแทบไม่มีเวลาปลีกตัวไปทำอะไรที่ไหน

เคยมีคนมาเล่าเรื่องของพี่หัวหน้าว่าเมื่อก่อนพี่หัวหน้าเคยมีคนมาจีบแต่เธอก็ไม่สนใจ เพราะเธอบอกว่าอยู่คนเดียวสบายกว่าอยู่สองคน ผู้ชายมักเห็นแก่ตัวเสมอ ตาลไม่ได้ปักใจเชื่อเรื่องที่พี่ๆ ในฝ่ายบอกเท่าไรนัก เพราะพ่อของเธอไม่ได้เป็นอย่างที่พี่ๆ เหล่านั้นบอก พ่อของเธอน่ารัก มากกว่าผู้ชายไหนๆ บนโลก และพ่อของเธอก็รักเธอมากเช่นกัน

จะมีก็แต่พ่อของจอยที่ทำให้เธอดูจะหวาดๆ กับผู้ชายอยู่บ้างแต่ไม่ถึงขนาดจอยที่ออกอาการเกลียดและไม่อยากเข้าใกล้ผู้ชายคนไหนบนโลกนี้อีกเลย และเท่าที่ดู จอยอาจจะทำงานในบริษัทเครื่องสำอางของแม่เธอหลังจากที่เรียนจบปวส.ก็ได้ เพราะจอยคงอยากอยู่ใกล้ๆ กับผู้หญิงเยอะ ๆ แบบนั้น มากกว่าที่จะออกมาหางานใหม่ทำ อย่างน้อยแม่ของจอยก็เป็นผู้จัดการอยู่ที่บริษัทนั้น การที่จะรับลูกของตัวเองเข้าทำงานคงไม่ยากมากนัก เพราะคนที่บริษัทก็คงจะไม่พออยู่แล้ว เท่าที่จอยเล่าให้เธอฟัง

เธอเองต่างหากที่เรียนจบแล้วไม่รู้ว่าจะไปทำงานอะไรที่ไหน หรือเธออาจจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเอกชนสักแห่ง หรืออาจะเรียนภาคค่ำและทำงานไปด้วยก็เป็นได้


“ตาลอยากทำงานที่บริษัทแม่เราไหม” อยู่ๆ จอยก็ถามตาลขึ้นมาระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังนั่งกินข้าวมื้อเย็นอยู่ที่บ้านของจอย

“อยากสิถามได้”

“งั้นบอกแม่ให้นะว่าตาลอยากทำงานด้วย”

“ได้เหรอ”

“ได้ๆ ไม่ยากแม่บอกว่าที่บริษัทต้องการคนเพิ่ม ต่อไปเราก็ทำงานด้วยกัน แต่แม่ว่าเราสองคนอาจจะต้องแยกกัน คนหนึ่งทำบัญชีอีกคนทำตรวจสอบ แต่ก็ดีที่เราไม่ต้องแยกกันทำงานคนละที่”

“ตัวติดกัน ยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้จะดีเหรอจอย”

“ไม่ดีเหรอ ว้า”

“ดีก็ดีอยู่หรอก แต่มันจะทำให้จอยเบื่อเราเร็วไปหรือเปล่า จริงๆ พี่หัวหน้าก็ถามเรานะว่าถ้าเรียนจบแล้วอยากทำงานกับพี่เค้าหรือเปล่า”

“ถ้าตาลคิดแบบนั้นเราก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ จริงๆ มันก็ดีนะที่เราทำงานแยกกัน เราจะได้ไม่เบื่อกันง่ายๆ อย่างที่ตาลว่า อีกอย่างเวลาที่เราทะเลาะกันจะได้ไม่ต้องลำบากใจที่จะต้องทำงานที่เดียวกัน”

“คิดไปไกลโน่นเลยนะยะ ยังไม่ทันคบกันคิดไปถึงเรื่องทะเลาะแล้ว”

“อ้าว ก็หรือไม่จริงอะ”

“คิดเผื่อไว้มันก็ดี แล้วนี่แม่ไม่อยู่เหรอ” ตาลเปลี่ยนเรื่องแทบจะทันที ดูเหมือนว่าตาลไม่อยากจะพูดเรื่องนี้กับฉันเท่าไหร่นัก

“ตามเคยแหละตาลไปต่างจังหวัด”

“งั้นคืนนี้เราก็นอนบ้านจอยได้สิ”

“นอนได้สิถึงแม่อยู่ตาลก็นอนได้ ถามแปลกๆ”

“ไม่แปลกหรอกแค่ถามเฉยๆ”

“คิดจะทำอะไรเราหรือไงมาถามอะไรแบบนี้” ความคิดฉันไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว

“ไม่บอก”

“บอกหน่อยนะๆ”

“ไว้คืนนี้ก็รู้เอง”

และคืนนั้นฉันก็ได้รู้ว่าฉันกับตาลตกลงใจเป็นแฟนแบบลับๆ กันมาเป็นเวลาห้าปีเต็มๆ นับจากวันนั้นที่เราสองคนจูบกันในห้องนอนของฉัน ห้าปีเต็มๆ กับการคบกัน ในฐานะมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนของเรา

... จบบทที่ ๔ ...



Create Date : 13 พฤษภาคม 2552
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:30:00 น. 0 comments
Counter : 341 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.