อดีตชาวดิน สระบุรี กรมที่ดิน (ราส์ส กิโลหก)
Group Blog
 
All Blogs
 
หมาอาฆาต..!!!


หมาอาฆาต..!!!



ราสส์ กิโลหก



บ้านของผมอยู่ชานเมืองในจังหวัดเล็กๆแห่งหนึ่งทางภาคกลาง ระยะทางของบ้านตั้งอยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 2 กิโลเมตรก็ถือว่าไม่ถึงกับห่างไกลความเจริญจนเป็นบ้านป่าบ้านเขา ที่ดินดั้งเดิมเจ้าของที่ดินได้จัดแบ่งขายเป็นแปลงย่อยๆแปลงๆละ 100 ตารางวา เพื่อจัดสรรขายให้กับคนทั่วไป ที่สนใจจะมีที่ดินเป็นของตัวเอง จำนวนที่ดินทั้งโครงการมีประมาณ 200 แปลงถือว่ากว้างขวางใหญ่โตพอสมควร



ลักษณะแปลงที่ดินเป็นที่จัดสรรทั่วไปรูปร่างเหมือนตาหมากรุก เป็นสี่เหลี่ยม กว้างยาวประมาณ 20 เมตรติดต่อเรียงกันไปเป็นแถวๆโดยมีถนนติดด้านหน้าที่ดินทุกแปลง เพียง แต่ถนนยังไม่มีการพัฒนาเป็นถนนดินลูกรังกว้าง 6 เมตรทุกเส้น



ผมไปดูที่ดิน เห็นว่าทำเลพอเหมาะและราคาไม่แพงเกินกำลัง จึงตกลงซื้อมา 1 แปลงเนื้อที่ 100 ตารางวา เพื่อใช้เป็นที่ปลูกบ้านอยู่อาศัย ซึ่งตอนที่ซื้อที่ดินมา โดยทั่วไปในโครงการยังมีบ้านปลูกอยู่ไม่มากนัก ที่ดินส่วนมากเจ้าของที่ซื้อเอาไว้เฉยๆ ยังไม่มาปลูกสร้างบ้านจึงเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งมองเห็นเป็นที่รกๆอยู่ทั่วๆไป



ซื้อที่ดินมาได้ไม่นานก็วางแผนปลูกบ้านตามกำลังทรัพย์ เพราะผมเช่าบ้านอยู่ในตัวเมือง คิดว่าเราควรสร้างบ้านอยู่เองแม้จะไกลที่ทำงานหน่อยแต่จะประหยัดค่าเช่าบ้านไปได้ และที่สำคัญเราจะได้มีบ้านเป็นของตัวเอง ดังบทเพลงที่ว่า “บ้านเป็นวิมานของเรา”



ใช้เวลาในการก่อสร้างบ้านประมาณ 2 เดือนก็แล้วเสร็จเพราะบ้านไม่ได้ใหญ่โตอะไร เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ตอนที่สร้างบ้านเสร็จแล้วช่างฯยังไม่ยอมเก็บเครื่องมือกลับ เขายุให้ผมทำรั้วคอนกรีตรอบพื้นที่บ้าน ผมก็บ้ายุเสียด้วยทำรั้วก็ดีเหมือนกัน และเล็งเห็นถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินก็ตกลงกัดฟันยอมเสียเงินอีกก้อนเพื่อสร้างรั้วรอบแปลงที่ดิน



ย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ได้ไม่นานนัก วันหนึ่งบริเวณที่ดินแปลงที่ติดอยู่ทางด้านหลังบ้านผม มีคนกลุ่มใหญ่กำลังเดินกันไปมาอยู่ไนในที่ดิน คนงาน2-3คนพร้อมมีดและจอบช่วยกันถากถางต้นไม้ที่ขึ้นรกเต็มพื้นที่ 100 ตารางวา และมีการขุดหาหลักเขตด้วย ในฐานะที่มีพื้นที่ติดต่อกันผมได้ชะโงกหน้าออกไปดู จึงได้มีโอกาสคุยกัน



ได้ความว่าเจ้าของที่ดินคนเดิมเป็นนายทหารระดับ พันโทแต่เกษียณอายุราชการไปแล้วหลายปี และเพิ่งกลับบ้านเก่าเสียชีวิตไปประมาณ 1 เดือนที่แล้ว คนที่มาดูที่ดินเป็นลูกชายผู้พัน มีอาชีพเป็นนายแพทย์ ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ คุณหมอบอกว่าไม่รู้ว่าคุณพ่อมาซื้อที่ดินทิ้งเอาไว้ จนไปค้นเจอโฉนดเก่าจึงเดินทางไปติดต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินจังหวัดฯ เพื่อขอให้ชี้ตำแหน่งที่ดินว่าอยู่ที่ตรงไหน หลังจากช่างแผนที่ได้ตรวจสอบ จึงแจ้งว่าอยู่ตรงนี้ ! คุณหมอบอกอย่างเซ็งๆว่าคงจะไม่เก็บเอาไว้ และสุดท้ายได้เสนอขายให้ผมเพราะเห็นว่าที่ดินแปลงติดกัน เขาให้เหตุผลว่าที่ขายเพราะคงไม่มีเวลามาดูแล..



ผมมองดูแล้วเห็นว่าเป็นที่ดินแปลงติดกันและ จะทำให้มีทางเข้าทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง ราคาก็พอสมควรอีกทั้งการซื้อที่ดินไม่มีความเสี่ยงเพราะไม่มีเสียหายหรือบูดเน่าเก็บไว้ได้ชั่วลูกชั่วหลาน ก็เลยตัดสินใจซื้อเอาไว้อีก 1 แปลงเนื้อที่ก็เท่าๆกันคือ 100 ตารางวา



ช่างฯที่สร้างบ้านให้ผมเขาจมูกไวพอรู้ว่าผมซื้อที่ดินเพิ่ม รีบมาอาสาขอทำรั้วรอบแปลงที่ดินอีก พี่แกอ้างว่าแม้ที่ดินยังไม่มีการปลูกสร้างอะไรแต่การสร้างรั้วไว้ก่อนจะทำให้ที่ดินดูดีขึ้นสวยงามขึ้น จริงๆแล้วผมไม่ได้ เชื่อตามที่ช่างพูดหว่านล้อม หรอก.! แต่ได้พิจารณาดูแล้วราคาอิฐฯไม่แพงมากและค่าแรงช่างคนนี้ก็ไม่โหดจนเกินไป จึงตกลงให้เขาสร้างและให้ทำประตูทางเข้าด้วยความกว้าง 4 เมตรเป็นประตูเหล็กดัด



ผมให้ช่างเจาะรั้วคอนกรีตด้านหลังบ้านเดิม กว้างประมาณ 1 เมตรพร้อมทำประตูปิดเปิด เพื่อที่จะออกไปที่ดินแปลงที่ซื้อใหม่ได้สะดวก เมื่อสร้างรั้วคอนกรีตที่ดินแปลงใหม่เสร็จแล้ว ผมมีความคิดที่จะทำที่จอดรถบนที่ดินแปลงใหม่อีกด้วย จึงวางแปลนไว้ทางด้านริมทิศตะวันตกเพื่อสร้างที่จอดรถและได้สร้างห้องพักเล็กๆกว้าง 4 เมตรยาว 8 เมตร ติดกับที่จอดรถ เผื่อเอาไว้เป็นที่พักคนงาน



วันหนึ่งพรรคพวกที่ทำงานอยู่ที่ศาลฯได้พาผู้ชายคนหนึ่ง อายุประมาณ 28 ปีรูปร่างล่ำสันท่าทางแข็งแรง เหมือนพวกนักมวย เขาแต่งชุดสีกากีเป็นเครื่องแบบของทางราชการ มาหาผมที่หน้าบ้าน



“คุณๆๆ หนุ่มคนนี้ชื่อ ถนอม เป็นคนทางภาคอีสาน ได้ทำงานเป็นลูกจ้างประจำของศาลฯ ตำแหน่งคนขับรถ เงินเดือนมันน้อยและไม่มีที่อยู่ อยากเอามาฝากให้มันอยู่ด้วยซักคน ให้มันอยู่ที่ห้องพักโรงจอดรถ ก็ได้ มันตัวคนเดียว” เค้าคงรู้ว่าผมทำห้องพักเอาไว้และยังว่างอยู่



เจ้าคนขับรถแสดงการเป็นผู้นอบน้อม เค้าเอามือพนมกันแล้วก้มตัวลงหัวเกือบถึงเอว เพื่อไหว้ทำความเคารพผม..



“เอ้า ! ได้ๆๆไม่เป็นไร เดี๋ยวขนของเข้ามาอยู่ได้ไม่เป็นปัญหา !” ผมเอ่ยปากอนุญาต ดีจะได้มีคนดูแลที่โรงจอดรถ



ถนอม ขนของส่วนตัวมาในเย็นวันนั้นเลย หลังจากเลิกงานจากที่ทำงานแล้ว มาถึงก็โชว์ฟอร์มถอดเสื้อใส่กางเกงขาสั้น คว้าจอบมาถากหญ้าทันที เจออะไรที่รกๆโดนเจ้าคนขับรถหวดจนเกลี้ยง จนพื้นที่มองแลดูสะอาดผิดหูผิดตา..ไปเลย !



วันรุ่งขึ้นผมไปธุระที่วัดแถวๆบ้าน ไปคุยกับเจ้าอาวาส พูดคุยธุระเสร็จเดินกลับมาที่รถกำลังเปิดประตูจะก้าวขนรถ มีความรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ใต้ท้องรถ เลยก้มลงมองดูปรากฏเป็นหมาพันธ์ไทยตัวเล็กๆ 2 ตัวนอนเบียดกันอยู่ใกล้ๆล้อรถด้วยท่าทางหวาดกลัว เหมือนกลัวใครจะมาทำร้าย.



ผมต้องตะโกนไล่ให้มันออกมา ไล่ยังไงมันก็เฉยไม่ยอมออกมา ยิ่งตะโกนเสียงดังมากมันก็ยิ่งทำท่าตัวสั่นจนลนลาน ดูท่าทางแล้วคงเป็นลูกหมาที่ถูกคนใจดำนำเอามาปล่อยที่วัด หมาที่วัดนี้มีเป็นฝูงและตัวใหญ่ๆทั้งนั้น เจ้าสองตัวนี้แปลกถิ่นเข้ามาคงกลัวเจ้าถิ่นจะเล่นงานมันจึงแอบมาซุกที่ใต้รถ..นึกในใจอยากให้พวกที่ชอบนำหมามาปล่อยที่วัด ขอให้โดนนำไปปล่อยที่เกาะกลางทะเลบ้างจะได้รู้ว่าเวลาโดนนำไปปล่อยเป็นไงบ้าง !



เมื่อพวกมันไม่ยอมออกมา ผมเลยเอามือคว้าตัวที่อยู่ใกล้ๆดึงออกมาจากใต้ท้องรถ มันร้องครางหงิงๆๆ หางม้วนงอแนบท้องตัวเอง มันมองหน้าผมเขม็ง เหมือนจะบอกว่าขอไปอยู่ด้วยคน...เอ๊ย ! ตัว..



“ตัวผู้ ซะด้วย ! เอ้าอยากอยู่ด้วยกันก็ไป อยู่เป็นเพื่อน เจ้าหนอมคนขับรถก็แล้วกัน” ผมพูดกับหมา..แล้วก็ไม่ลืมเอาอีกตัวไปด้วยพอดึงออกมาจึงรู้ว่าเป็นตัวเมีย. มันคงเป็นพี่น้องคลอกเดียวกัน..



เจ้าหนอม หน้าตาเจื่อนๆเมื่อผมเอาลูกหมา มาปล่อยที่บริเวณโรงรถ และสั่งให้เอาไม้ระแนงมาตีเป็นคอกหมาให้พอกันแดดกันฝนได้ เจ้าตัวผู้ผมตั้งชื่อว่า บุญหลาย ส่วนตัวเมียตั้งชื่อว่า นังแป้ง.



ผมมารู้ที่หลังว่า เจ้าหนอมมันเป็นคนเกลียดหมา พรรคพวกคนที่นำมันมาฝากอยู่กับผมเคยเล่าว่า อ้ายหนอมเคยถูกหมาหลังที่ทำการศาลกัดเอา ปรากฏว่ามันเอาไม้หน้า 3 ไปรอหมาอยู่ที่หน้าบ้านเจ้าของหมา กะจะเอาไม้ฟาดหมาให้ตายคามือ ดีแต่เจ้าหมามันนกรู้เพราะเป็นหมาศาล...เอ๊ย ! หมาข้างศาล มันเลยแอบอยู่แต่ในบ้าน วันไหนถ้าเดินเล่นอยู่นอกบ้านพอเห็นหน้า อ้ายหนอมจอมโหด มันจะใส่ตีนหมาเข้าบ้านเก็บตัวเงียบ..



เจ้าหมาสองตัวยิ่งโตก็ยิ่งดื้อ แต่ท่าทางจะกลัวเจ้าหนอมจนสังเกตได้ ตามธรรมชาติของหมาที่ถูกขังอยู่ในรั้วบ้านถ้ามีคนมาเปิดประตูรั้ว มันจะวิ่งสวนออกไปข้างนอกทันที แต่สำหรับถนอมศักดิ์ ของเรา แค่ไปยืนตรงประตูคนเดียวเจ้าหมาสองตัวก็ไม่กล้าวิ่งผ่านออกไปคงกลัว จนจับใจ..



ครั้งหนึ่งเป็นวันหยุดไม่ได้ไปทำงาน ตอนช่วงบ่ายๆ ผมเปิดประตูเล็กจากด้านหลังบ้านจะมาล้างรถที่โรงรถ เดินมาจวนจะถึง มองเห็นเจ้าบุญหลายพยายามจะวิ่งมาหา แต่วิ่งไปล้มไป เหมือนคนเมาเหล้า ผมยืนมองมันแบบ งงๆๆ มันเป็นอะไรกัน ! กำลังมองอยู่เพลิน.ๆ.



อ้ายหน่อยเพื่อนผมที่ปลูกบ้านอยู่ที่ฝั่งตรงกันข้ามของถนน มันมายืนเกาะประตูรั้ว เรียกผมไปหา.



“เมื่อเช้า กรูเห็น อ้ายหนอมตบบ้องหู เจ้าบุญหลาย ดังบ๊าป ตัวมันกลิ้งไปตามมือ” มันฟ้อง



ไอ้เจ้าบุญหลายหูดับไปหลายวัน เพราะเวลาเอาข้าวมาให้มันกิน เวลาเรียกมันท่าทางเหมือนไม่ค่อยได้ยิน กรรมของบุญหลาย..ได้ความว่าโทษฐานเอารองเท้าสุดหล่อของพระเอกหนอม ไปกัดซะยับเยิน..



ตอนเช้าของวันจันทร์ ผมเตรียมตัวไปทำงานเปิดประตูเล็กหลังบ้านเพื่อไปที่โรงรถ มองเห็นถนอมกำลังวิ่งไล่ตี เจ้าหมา 2 ตัวอย่างเมามัน พอรู้ว่าผมออกมามันจึงหยุดไล่ตีหมา ฟ้องผมว่าหมา สองตัวเอารองเท้าไปกัดอีกแล้ว และดันเอาไปซ่อนด้วยไม่รู้อยู่ที่ไหนหาไม่เจอ ที่สำคัญเช้านี้ท่านหัวหน้าศาลต้องเอารถเข้ากรุงเทพฯด้วย ...ถนอมมันต้องขับรถตู้ไปส่งท่านฯ



รองเท้าของเขามีสองคู่ คือรองเท้าผ้าใบ 1 คู่และ รองเท้าหนังอีก 1 คู่ ทั้งที่รองเท้าสองคู่นี้แอบวางอยู่อย่างดี แต่หมาเจ้ากรรมก็พยายามเอาไปกัดจนได้ และเป็นความบังเอิญหรือจงใจผมก็ไม่ทราบได้เพราะ เจ้าบุญหลายและนังแป้ง มันแอบคาบเอาไปอย่างละข้าง คือ รองเท้าผ้าใบ 1ข้าง , หนัง 1 ข้างจึงเหลือรองเท้าให้ ถนอม ดูต่างหน้า 2 ข้างแต่ต่างชนิดกัน



แต่หมามันยังใจดี แยกคาบให้ด้วย คือ รองเท้าผ้าใบคาบข้างซ้ายไป เหลือแต่ข้างขวา ส่วนรองเท้าหนัง คาบข้างขวาไปเหลือแต่ข้างซ้าย เหลือ 1 คู่พอดีแต่คนละชนิด



เสี่ยหนอมของเรา เช้านี้แต่งเครื่องแบบชุดกากีสุดโก้เพราะมีภารกิจ ต้องขับรถพาเจ้านายเข้ากรุงเทพฯ แต่ต้องจำใจใส่รองเท้าสุดเท่ห์ คือข้างหนึ่งเป็นรองเท้าหนังส่วนอีกข้างเป็นรองเท้าผ้าใบ จะแก้ไขอะไรก็ไม่ทันแล้วเพราะเวลากระชั้นชิดเดี๋ยวนายจะรอ..จะถูกตำหนิเอา ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะเท้าถนอมมันใหญ่กว่าผมแยะ อรองเท้าผมที่เหลืออยู่ในบ้านก็คงใส่แทนกันไม่ได้





เจ้าหนอมหน้าตาบอกบุญไม่รับ รีบเดินทางออกจากบ้านไปรับเจ้านาย ผมมารู้ที่หลังอีกว่า มันมีแผนที่จะไปเดินห้างฯระหว่างที่รอนายเข้าประชุม...แต่ไม่รู้ว่าได้เดินสมใจอยากหรือเปล่า ? ไม่กล้าถาม



หลังจากนั้นมา ผมหวั่นๆใจอยู่ลึกๆว่าเจ้าหมาพวกนี้ คงจะโดนเจ้าหนอมจอมโหดคิดบัญชี หรือ ไม่ ! ถ้าอยู่ต่อหน้าผม หมาพวกนี้จะทำท่าไม่กลัวถนอม เพราะรู้ว่าถ้าผมอยู่ด้วยจะไม่มีใครกล้าทำอะไรพวกมัน..!



หลังจากนั้นอีกไม่นาน..เช้าวันหนึ่งผมเดินจากประตูเล็กหลังบ้านเพื่อมาที่โรงรถจะขับรถออกไปทำงานเหมือนทุกๆวัน ทุกครั้งที่เดินออกมาเจ้าหมาสองตัวจะวิ่งมาล้อมหน้าล้อมหลังให้เป็นที่รำคาญเป็นประจำ แต่วันนี้แปลกใจที่ไม่เห็นทั้งสองตัว ยังนึกในใจว่ามันไปถล่มอะไรในห้องของเจ้าหนอมอีกหรือเปล่า ? แต่มองไปที่ประตูหน้าเห็นใส่กุญแจเรียบร้อยแสดงว่ามันออกไปทำงานแล้ว



ผมเดินไปดูที่กรงหมาซึ่งอยู่ริมรั้วหลังโรงรถ เห็นแต่นังแป้ง นั่งอยู่ มันคราง หงิงๆๆๆเรียกให้ออกมาก็ไม่ออก มองจนทั่วกรงไม่เห็น เจ้าบุญหลาย มันหายไปไหน ?



หรือแอบไปนอนที่หลุม ! หมาพวกนี้ชอบไปขุดหลุมข้างๆต้นกล้วยเอาไว้นอนหลบร้อนในตอนกลางวัน เดินไปดูที่ข้างๆกอกล้วย มองเห็นมันนอนอยู่ในหลุมจริงๆๆแต่แปลกทำไมมันนอนขี้เซาจัง เพราะธรรมดาแค่ได้ยินเสียงผมเปิดประตูหลังบ้านมันก็วิ่งมาหาแล้ว



ด้วยความสงสัย จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เอ่ยปากตะโกนเรียกชื่อมัน 2-3 ครั้งมันก็เฉยไม่ดุก!ดิก! เอ๊ะ ! มันเป็นอะไร ก้มไปดูชัดๆ ปรากฏเจ้าบุญหลาย หมดบุญไปซะแล้ว ผมดูตามตัวไม่มีบาดแผลอะไร พลิกดูทั่วตัวก็ไม่พบอะไร ? หรือถูกงูกัด ? แต่มองเท่าไหร่ ก็ไม่เห็นรูเขี้ยวงู ..จะมีเห็นผิดสังเกตนิดหน่อยก็ตรงข้างลำตัวมีรอยไหม้เล็กๆเป็นทางยาวจากตรงไหล่ไปถึงตะโพก..รอยเล็กๆขนาดเส้นลวด เหมือนถูกไฟฟ้าชอต..



อ้ายหน่อยเพื่อนผม เสนอหน้าอยู่ที่รั้วหน้าบ้านมันคงรู้อะไรดีๆ..มันตะโกนเรียกผมไปหา..



“มีอะไร ? วะ !”



“อ้ายบุญหลาย ตายแล้วไม่รู้เป็นอะไร ?” ผมบอกมัน



“ตอนเช้าซัก โมงครึ่ง กรูได้ยินเสียงเหมือนหมาสองตัว เห่าร้องกันเสียงดัง ไม่รู้มันเป็นอะไรกัน”



“ตอนที่ได้ยินเสียงหมา อ้ายหนอมออกจากบ้านหรือยัง ?” ผมถาม



มันทำท่าคิด “ไม่รู้ ว่ะ! ไม่แน่ใจ เดี๋ยวจะเป็นบาปเป็นกรรมกับอ้ายหนอมมัน” มันไม่กล้ายืนยัน



“มรึง ช่วยเข้ามาดู ศพมันหน่อย ไม่รู้เป็นอะไร ตาย” ผมเปิดประตูรั้วให้มันเข้ามา



พวกเราช่วยกันดูจนละเอียดก็ไม่พบเห็น สาเหตุการตาย แต่ที่น่าสนใจมากคือรอยไหม้ข้างๆตัวหมา อ้ายหน่อยสันนิษฐานว่าคงถูกไฟฟ้าดูดเอาจนตาย มันกลับไปที่บ้านเอาที่ตรวจไฟฟ้ามาตรวจตามลวดที่ขึงอยู่ข้างๆโรงรถ แต่ก็ไม่พบการรั่วของไฟฟ้า..ก็จบ..แต่คนที่อดสงสัยไม่ได้คือ..เจ้าหนอม...เมื่อไม่มีหลักฐาน .ก็ต้องให้ความเป็นธรรม คงต้องรอให้ฟ้าดินลงโทษกันเอง ตามหลัก พระพุทธศาสนา ใครทำกรรมอะไรไว้ก็รู้แก่ใจของตัวเอง..



ผมโทร.บอกถนอมว่า บุญหลายตายแล้ว ! มันทำเสียงตกใจสอบถามอย่างเป็นห่วง..ขณะที่พูดก็ พยายามฟังน้ำเสียงจะจับพิรุธ แต่ก็ไม่มีอะไร ผมสั่งต่อว่าตอนเที่ยงถ้าไม่ติดธุระอะไรให้กลับมาที่บ้านช่วยขุดหลุมฝังให้ด้วย ให้ฝังตรงกอกล้วยที่มันนอนตายนั่นแหละ !



เหลือนังแป้งอยู่ตัวเดียวท่าทางมันเหงาๆ..ตอนกลางคืนผมนอนอยู่ที่บ้านยังได้ยินเสียงมันหอนเป็นช่วงๆอยู่ในกรง คงคิดถึงพี่น้องที่จากไป..น่าสงสาร



นังแป้งหอนอยู่หลายคืน จนคืนหนึ่งมันหยุดหอนไม่ได้ยินเสียงเลย ด้วยความสงสัยก็เดินออกมาดูที่หลังบ้าน เห็นมันวิ่งเล่นไปมาทั่วๆบริเวณโรงรถ เหมือนวิ่งเล่นกับใครผมเอาไฟฉายส่องดูก็เห็นมันตัวเดียว ยังนึกในใจว่ามันจะบ้าไปแล้วมั้ง ! วิ่งอยู่ตัวเดียวในตอนกลางคืน



ช่วงตอนเย็นผมเอาข้าวมาให้ นังแป้งกินตามปกติ อ้ายหน่อยมายืนเกร่อยู่ที่หน้ารั้ว เห็นมันมองไปที่ประตูบ้าน ถนอม พร้อมกวักมือเรียกผมให้เดินไปหา..



“อ้ายหนอม อยู่เปล่า วะ!” ตามันยังมองไปที่ห้องพัก



“ มันไม่อยู่ วันนี้คงไปเข้าเวรที่ศาลกลับเช้านั่นแหละ ! มีไร วะ!”



“เมื่อคืน อ้ายหนอม เอาผู้หญิงมานอนที่ห้อง” มันกระซิบเบาๆ

ผมได้ยินแล้วนึกเคืองๆอยู่ในใจ แต่คิดอีกทีถ้าไม่มาทำความเดือดร้อนก็ไม่อยากว่าอะไร แต่อย่ามาอยู่เป็นประจำแล้วกัน ของแบบนี้ลูกผู้ชายก็เหมือนๆกันทุกคน สำหรับพวกหนุ่มๆ.



อ้ายหน่อยเห็นผมเฉยๆ มันฟ้องต่อว่า อ้ายหนอมไล่ตีหมาทั้งคืน..



สรุปได้ว่า เกือบทั้งคืนได้ยินเสียงถนอม ไล่ตี ไล่ด่าหมาเสียงดังตั้งแต่หัวค่ำ แว่วๆว่าผู้หญิงถูกหมากัด แต่แปลกคราวนี้หมาไม่ได้วิ่งหนีฝ่ายเดียวแต่ได้ยินเสียงเห่ากรรโชกสู้ด้วย เหมือนหมามันไม่กลัวคน แต่คำสุดท้ายของอ้ายหน่อย เล่นเอาผมสะดุ้ง !



“มรึง ไปเอาหมามาให้เป็นเพื่อน นังแป้งอีกตัวหรือ ? เอามาจากไหน วะ ! ฟังเสียงดูท่าทางดุไม่เบา” ถามเสร็จมันยังมองๆไปที่กรงหมา “อ้ายตัวมาใหม่ไปนอนอยู่ที่ไหน วะ !”



ผมเกาหัว “ไม่มี ตัวใหม่หรอก ! มีแค่นังแป้งตัวเดียวนี่ แหละ ! หรือมีหมาที่อื่นหลงเข้ามา”



พื้นที่ตรงนี้ผมทำรั้วล้อมรอบขอบชิด ไม่น่ามีหมาตัวอื่นหลุดเข้ามาได้ นอกจากจะมีการเปิดประตูรั้วทิ้งเอา แต่โดยทั่วไปจะไม่มีการลืมเพราะผมเคยสั่งถนอมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมไม่ต้องการให้หมาเราออกไปมั่วข้างนอก



ผมเปิดประตูให้อ้ายหน่อยเข้ามาภายใน เราสองคนช่วยกันค้นหาดูจนทั่วพื้นที่ ก็เห็นแต่นางแป้งอยู่ตัวเดียวไม่มีหมาตัวอื่น..อ้ายหน่อยทำหน้า งงๆ เดินกลับบ้านไป.



คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์นวลๆดูสวยงาม ผมนั่งเขียนรายงานอยู่ที่ริมหน้าต่างบ้าน ทำงานไปด้วยดูรายการโทรทัศน์ไปด้วย รายการสุดท้ายจบ เวลาคงประมาณ ตี 1..เดินลุกขึ้นไปปิด ทีวีพร้อมยกมือขึ้นบิดตัวหันซ้ายหันขวาไล่ความเมื่อยขบ.จากการที่นั่งทำงานมาหลายชั่วโมง. เดินไปที่สวิตซ์ไฟเพื่อปิดไฟเตรียมเข้านอน



“ว๊ายๆๆๆๆ ช่วยด้วยๆๆๆๆๆ” เสียงผู้หญิงแว่วๆมาจากทางหลังบ้าน



“เสียงใคร ? มาร้องโวยวายดึกดื่นเที่ยงคืน” มันเหมือนเสียงมาจากโรงรถหลังบ้าน ผมนึกโมโหอ้ายหนอมทันทีให้อยู่แล้วยังมาทำความเดือดร้อน..



คว้าไฟฉายวิ่งไปที่หลังบ้าน เปิดประตูเล็กเดินออกไปไปที่โรงรถ ไฟฉายส่องไปเห็นถนอมยืนถือไม้ท่อนกลมขนาดเหมาะมือ อยู่กับหญิงสาวคนหนึ่ง กำลังมองขึ้นไปที่ต้นมะม่วงใหญ่ ซึ่งขึ้นอยู่ที่ดินแปลงข้างๆเป็นที่ดินว่างเปล่าไม่มีคนอยู่ ต้นมะม่วงต้นนี้อยู่ใกล้กับรั้วคอนกรีตที่ดินแปลงของเรา



ผมเดินเข้าไปหา ยัยผู้หญิงเธอหันมายกมือไหว้ พูดเสียงตื่นๆสั่นๆ “สวัสดี ค่า”



สอบถามได้ความว่า แฟนถนอมตื่นขึ้นมาตอนดึกเพราะจะเข้าห้องน้ำ จึงต้องเปิดประตูห้องออกมาเพราะห้องน้ำอยู่ด้านนอก กำลังจะเดินออกมาหูได้ยินเสียงหมาวิ่งไปมาที่ตรงกอกล้วย เหมือนมันวิ่งหยอกล้อกัน เพ่งมองดูเห็นมีแค่ตัวเดียว มันยังวิ่งไปมาไม่หยุด เดียวทำท่าหมอบเดียวหงายท้อง เดี๋ยววิ่งๆไปก็หยุดจนเศษใบไม้แถวๆนั้นกระจุยกระจาย ความอยากรู้อยากเห็น หันซ้ายหันขวามองหาไม้ขนาดเหมาะมือถือเดินออกมา เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ นางแป้งพอเห็นคนเดินมามันหยุดวิ่งหันเดินกลับไปที่กรง เธอกำลังจะเดินกลับปรากฏมีเสียงหมาคำรามมาจากรั้วด้านใกล้ๆต้นมะม่วง



“เสียงมันขู่อยู่ที่ รั้วปูนใกล้ๆต้นมะม่วง หนูหันไปดู ใจหายวาบ เห็นหมาตัวขาวๆไม่โตมากขนาดเดียวกับนังแป้ง มันยืนอยู่บนกำแพงรั้ว แยกเขี้ยวจนเห็นฟันขาว มองมาทางหนู ท่าทางจะเอาเรื่อง” หล่อนเอามือทาบที่หน้าอก ตาโตปากสั่น.



“แล้วเป็นไง?” ผมถาม



“หนูกลัวเลยก้มลงคว้าเอาก้อนหิน ปาไปที่กำแพงรั้ว มันกระโจนจากรั้วลงมาที่หนูเลย ค่า” เธอเอามือกอดอกแน่น.



“ดีพี่หนอมเปิดประตูกำลังจะออกมาออกมา หนูเห็นคาตาเลยค่า โอ๊ย ! น่ากลัวจริงๆๆ” ทำท่าเอามือปิดหน้าปิดตาเหมือนไม่อยากรับรู้อะไร.



“น่ากลัว ยังไง ! เป็นไง ! มันเข้ามากัดหรือเปล่า ?” ผมมองหน้าเธอ ขนาดไฟไม่ค่อยสว่างยังเห็นชัดว่าซีดจนขาว



เธอพูดออกมาอย่างยากเย็น “มันคงได้ยินเสียงพี่หนอมออกมา เลยกระโดดกลับไปที่กำแพงรั้ว ไม่แค่นั้น มันไต่ขึ้นไปบนต้นมะม่วงด้วย ท่าทางปีนต้นไม้เหมือนลิงปีนไม่มีผิดเลย โอ๊ย ! หมาผี แน่ๆเลย หนูกลัว !”



ผมหันไปเห็นหน้าเจ้าหนอมจอมโหด หน้ามันซีดมากกว่าแฟนมันซะอีก..!!!



Create Date : 25 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2551 11:00:34 น. 4 comments
Counter : 805 Pageviews.

 
ดิฉัน เชือ เลย เเหละ คะ ว่า กรรม ของ คน ทํา ร้าย หมามัน บาป มาก หมา ตัว หนึง ฉลาก เท่า กลับ เด็ก 2.ปี ก็ ว่า ใด้...ไคร ที่ ช่วย หมา เเมว เป็น ใด้ บูญ ใหญ่ ...เลย

เเต่ เอ...คุณ เคย เห็น ไหม คะ เขต อิสาน จะ มี คน ขับ รถ มา หา เเลก หมา เขา เอา ไป ฆ่า กิน เห็น เเล้ว สงสาร
มาก เเต่ ไม่ เห็น ว่า คน นั้น เขา กํา ลัง ทํา กรรม ใหญ่...คือ ทั่ง ซือ เเลก ขาย กิน ด้วย เเต่ เขา ไม่ เห็น มี ไคร ห้าม..อย่า ทํา ดิฉัน เห็น คน เเถว อิสาน เห็น จน ชิน บาง คน เเลก หมา ใด้ เเล้ว เอา เงิน ไป ซือ หล้า กิน ดิฉันสงสาน หมา มาก ที่ โดน เเลก เเค่ กระมัง ของ ถูกๆ เเค่ 10.บาท เเต่ หมา เป็น มิตร ที่ ดี กับ เจ้า ของ ...ดิฉัน เคย ไป ต่อ ว่า คน มา หา เเลก หมา เขา กับ ไม่ สน ใจ ดิฉัน เรา ไม่ ถึง ขั้น จะ อด ขนาด นั้น จะ ต้อง หัน มา กิน หมา..ลุง เเก่ บอก ว่า ไม่ ต้อง ไป ว่า มัน นะ พวก นี้ มัน รวย จะ ตาย หมา ตัว หนึง มัน ขาย ใด้ ตั่ง ห้าพันบาท เเน่....เเต่ อย่า ลืม เขา จะ ใด้ รับ กรรม ที่ ก่อ...เชื่อ ใด้ คะ....


โดย: สาธร สาว ผ้า ไหม.. IP: 94.108.162.116 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:2:37:19 น.  

 

...จริงครับ...

...หมาเหมือนเพื่อน..มันไม่ใช่สัตว์.

..แต่เป็นเพื่อนของคน..เพราะหมาซื่อสัตย์

..และแสนรู้..

..แต่คนบางคนเอาเพื่อนไปขาย..น่าอายหมายิ่งนัก

..สำหรับคนไร้ความคิด...พวกขายหมากิน...


โดย: สวนดอก วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:7:40:54 น.  

 
เข้ามาอ่าน


โดย: หมอที่ดิน วันที่: 3 ธันวาคม 2551 เวลา:14:34:26 น.  

 

ขอบพระคุณ ท่านหมอที่ดิน ที่กรุณาติดตามครับ...


โดย: สวนดอก วันที่: 3 ธันวาคม 2551 เวลา:18:27:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สวนดอก
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add สวนดอก's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.