Group Blog
 
All Blogs
 
ฉบับที่ ๕ ประจำวันที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘ เรื่อง ดอกบัวในกองหยากเยื่อ

คัดลอกจาก ทางแห่งความดี : อาจารย์วศิน อินทสระ
เพราะไม่มีปัญญาจักษุ คนบางพวกจึงไม่รู้คุณของพระพุทธองค์และพระสาวก

ผู้จัดการออนไลน์ 30 สิงหาคม 2547
//www.mgronline.com/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9470000045321

พระพุทธภาษิต
ยถา สงฺการธารสฺมึ อุชฺฌิตสฺมึ มหาปเถ
ปทุมํ ตตฺถ ชาเยถ สุจิคนฺธํ มโนรมํ
เอวํ สงฺการภูเตสุ อนฺธภูเต ปุถุชฺชเน
อติโรจติ ปญฺญาย สมฺมาสมฺพุทฺธสาวโก

คำแปล
ดอกบัวเกิดในกองหยากเยื่อ อันบุคคลทิ้งไว้ริมทางใหญ่ ยังมีกลิ่นหอม
เป็นที่รื่นรมย์ใจ ฉันใด พระสาวกของสัมมาสัมพุทธเจ้า
แม้เกิดแล้วในหมู่ปุถุชนผู้มืดบอดอันเป็นประดุจกองหยากเยื่อ
ย่อมรุ่งเรืองกว่าปุถุชนเหล่านั้นด้วยปัญญาฉันนั้น

อธิบายความ
ธรรมชาติดอกบัวไม่ว่าเกิดในกองหยากเยื่อหรือเกิดในเปือกตมย่อมส่งกลิ่นหอม เป็นที่รื่นรมย์ใจ หามีกลิ่นเช่นกับเปือกตมหรือกองหยากเยื่อไม่ คงรักษาคุณภาพตามธรรมชาติแห่งตนไว้ เข้าทำนอง
ไม้จันทน์แม้แห้งก็ไม่ทิ้งกลิ่น
หัสดินทร์ก้าวลงสู่สงครามก็ไม่ทิ้งลีลา
อ้อยเข้าสู่หีบยนต์ก็ไม่ทิ้งรสหวาน
บัณฑิตแม้ประสบทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม


สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ฉันนั้น แม้เกิดในหมู่คนพาล อยู่ในหมู่คนพาลก็หาเป็นพาลไปด้วยไม่ มีแต่จะกลับใจคนพาลเหล่านั้นให้เป็นคนดี ไม่ปรับตัวไปในทางเลว สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงรุ่งเรืองด้วยปัญญาอยู่เสมอ

พระศาสดาตรัสพระพุทธภาษิตนี้ ปรารภนายครหทินน์ ขณะประทับอยู่ที่เชตวนาราม เมืองสาวัตถี มีเรื่องย่อดังนี้

เรื่องนายครหทินน์และสิริคุตต์
ในเมืองสาวัตถีมีสหายกัน 2 คน คนหนึ่งชื่อครหทินน์เป็นสาวกของนิครนถ์หรือพวกมหาวีระ คนหนึ่งชื่อสิริคุตต์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เนื่องจาก 2 สหายรักกันมาก จึงปรารถนาให้เลื่อมใสในฐานะอันควรเลื่อมใสอย่างเดียวกัน วันหนึ่งครหทินน์ ได้รับคำแนะนำจากพวกนิครนถ์ ให้ชักชวนสิริคุตต์ไปเลื่อมใสในพวกตน หากสิริคุตต์ไปเลื่อมใสในพวกตนได้ ลาภสักการะและชื่อเสียงเป็นอันมากก็จะเกิดขึ้น เพราะสิริคุตต์เป็นคนรวย และมีพวกมาก

ครหทินน์ก็ทำตามคำของอาจารย์ ชักชวนสิริคุตต์บ่อย ๆ จนสิริคุตต์รู้สึกรำคาญ จึงถามว่า พระผู้เป็นเจ้าของครหทินน์รู้อะไรบ้าง ครหทินน์ตอบว่า "ท่านรู้ทุกอย่างทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน อะไรที่ท่านไม่รู้นั้นไม่มี ท่านย่อมรู้เหตุที่ควรและไม่ควร ย่อมรู้ว่า เรื่องนี้จักมี เรื่องนี้จักไม่มี"

สิริคุตต์ทำเป็นเชื่อ แล้วให้ครหทินน์นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าของเขามาฉันอาหารที่บ้านของตนในวันรุ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อต้องการแกล้งพวกนิครนถ์ให้ได้รับความอับอายขายหน้า จึงให้คนขุดหลุมยาวใหญ่ระหว่างตัวเรือน 2 หลัง ให้เอาอุจจาระเหลวใส่ไว้จนเต็มแล้วเรียบไม้พรางตาเอาไว้ มีเชือกสำหรับดึงให้แผ่นกระดานแยกออกให้นิครนถ์ตกลงไปในหลุมคูถโดยง่าย ให้คนปูอาสนะทับไว้ไม่ให้มองเห็นหลุม ให้เตรียมตุ่มใหญ่ๆ ไว้
ผูกปากตุ่มด้วยใบกล้วยบ้าง ผ้าเก่าบ้าง ทำตุ่มเปล่าๆ เหล่านั้นให้เปรอะเปื้อนด้วยเม็ดข้าวสวย เนยใส น้ำอ้อย และขนมมองดูเหมือนมีของเหล่านั้นอยู่เต็มตุ่มแล้วให้วางเรียงรายไว้หลังเรือน

วันรุ่งขึ้น ครหทินน์รีบไปยังเรือนของสิริคุตต์แต่เช้าตรู่ เพื่อดูว่าอาหารและสถานที่พร้อมหรือไม่ เมื่อเห็นว่าพร้อมแล้วก็กลับไป ขณะที่ครหทินน์ออก พวกนิคนรถ์ก็มาถึง สิริคุตต์ออกจากเรือนไปต้อนรับ ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วยืนประคองอัญชลีอยู่เบื้องหน้าของนิครนถ์เหล่านั้น พลางคิดว่า "นัยว่า ท่านทั้งหลายรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งอดีตและอนาคต อุปฐากของพวกท่าน บอกข้าพเจ้าอย่างนี้ ถ้าท่านรู้จริงก็จงอย่าเข้าไปในเรือนของข้าพเจ้า เพราะวันนี้ข้าวต้มก็ไม่มี ข้าวสวยก็ไม่มี ถ้าพวกท่านไม่รู้ก็จงเข้าไป หากท่านตกลงในหลุมคูถแล้ว จะให้ตีซ้ำ"

พวกนิครนถ์ไม่รู้ความคิดซึ่งอยู่ในใจของสิริคุตต์ จึงเข้าไปในเรือน เมื่อจะนั่งพวกบริวารของสิริคุตต์กล่าวว่า "เมื่อพระคุณเจ้าเข้ามาสู่เรือนของพวกข้าพเจ้า ควรรู้ธรรมเนียมเสียก่อนแล้วจึงนั่ง คือ ท่านทั้งหลายควรยืนอยู่ก่อน-ยืนอยู่ใกล้อาสนะของตนๆ เมื่อทุกท่านพร้อมแล้วจึงค่อยนั่งพร้อมกัน"

พวกนิครนถ์นึกชมเชยอยู่ในใจว่าธรรมเนียมนี้ดี จึงประกาศให้รู้ทั่วกันว่าจะต้องนั่งพร้อมกัน เมื่อพวกนิครนถ์พร้อมเพรียงกันนั่งเท่านั้นพวกมนุษย์ได้ดึงเครื่องลาดออก ดึงเชือกให้นิครนถ์พวกนั้นตกลงไปในหลุมอุจจาระแล้วปิดประตูตีพวกที่ตะเกียกตะกายขึ้นมา เมื่อเห็นว่าพอสมควรแล้วก็เปิดประตูปล่อยไป

นิครนถ์พวกนั้นไปยังเรือนของครหทินน์ ๆ เห็นดังนั้นโกรธมาก รีบไปเฝ้าพระราชาฟ้องว่า สิริคุตต์ทำกับนิครนถ์อันเป็นที่เคารพนับถือของตนๆ ดังนี้ๆ ขอให้พระราชาลงโทษสิริคุตต์โดยปรับเป็นเงินสักพันกหาปณะ

พระราชาทรงส่งหมายไปยังสิริคุตตๆ ทูลเล่าเรื่องทั้งปวงตามเป็นจริงโดยย้ำว่าอยากจะทดลองว่าพวกนิครนถ์รู้สิ่งทั้งปวง ทั้งอดีต อนาคตและปัจจุบันจริงดั่งคำของครหทินน์หรือไม่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นผลของความโอ้อวดในสิ่งอันตนไม่รู้จริง

พระราชาตรัสกับครหทินน์ว่า "เจ้ายินดีคบพวกนิครนถ์ซึ่งไม่รู้แม้เพียงเท่านี้ แต่โอ้อวดว่าตนรู้ ยังสอนสาวกให้โอ้อวดเสียอีกเจ้าเองนั่นแแหละจะต้องถูกปรับหนึ่งพันกหาปณะ"

ครหทินน์โกรธสิริคุตต์มาก หาอุบายแก้แค้นสิริคุตต์บ้างโดยหลอกล่อภิกษุสงฆ์เข้าสู่สกุลของตน จึงพูดดีกับสิริคุตต์แล้วถามว่า "พระศาสดาของท่านรู้อะไรบ้าง?"

สิริคุตต์ตอบว่า "พระศาสดานั้นได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นสัพพัญญูรอบรู้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระองค์ไม่รู้นั้นไม่มี พระองค์ทรงรู้เหตุการณ์ทุกอย่างทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ย่อมกำหนดรู้จิตของสัตว์ทั้งหลายได้ไม่มีกำหนด ไม่มีขอบเขต" ครหทินน์จึงขอให้ทูลนิมนต์พระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวน 500 มาเสวยภัตตาหารที่เรือนของตนในวันรุ่งขึ้น"

พระศาสดาทรงส่งพระญาณไปสำรวจดู ทรงทราบเหตุทั้งปวงแล้วทรงรับ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของครหทินน์และมหาชนเป็นอันมาก

ฝ่ายครหทินน์ให้ขุดหลุมใหญ่ในระหว่างเรือน 2 หลังให้นำไม้ตะเคียนมาประมาณ 80 เล่มเกวียนสุมไฟไว้ตลอดคืน ให้กองถ่านเพลิงไม้ตะเคียนไว้ วางไม้เรียบไว้ปากหลุม ปิดด้วยเสื่อลำแพน ทาด้วยโคมัยสด (ขี้วัวสด) ลาดไม้ผุไว้ด้านหนึ่ง ด้วยหมายใจว่าเมื่อพระเหยียบที่ไม้ผุจักต้องตกลงไปในหลุมถ่านเพลิงอย่างแน่นอน ต่อจากนั้นให้วางตุ่มเรียงรายไว้ทำนองเดียวกับที่สิริคุตต์เคยทำสมัยเชิญนิครนถ์

วันรุ่งขึ้นเมื่อพระศาสดาเสด็จ ครหทินน์ออกมาต้อนรับภายนอกเรือนถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว ยืนประคองอัญชลีอยู่ พลางนึกในใจว่า "พระเจ้าข้า อุปฐากของพระองค์คือสิริคุตต์บอกข้าพระองค์ว่า พระองค์ทรงทราบเหตุทุกอย่างทั้งอดีต อนาคตและปัจจุบัน ทรงสามารถรู้จิตของคนทั้งหลายได้ หากพระองค์ทรงทราบจริงก็อย่าเสด็จเข้าไป หากไม่ทรงทราบก็จงเสด็จเข้าไปเถิด เพราะในเรือนนี้ข้าวยาคู หรือข้าวสวยหรืออาหารใดๆ มิได้มี เมื่อพระองค์และสาวกตกลงไปในหลุมถ่านเพลิงก็จะถูกกดขี่โบยตี" ดังนี้แล้วรับบาตรพระศาสดานำเสด็จและกราบทูลว่า ธรรมเนียมในบ้านของตนมีว่า
เมื่อภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปในบ้านนั่งเรียบร้อยแล้ว ภิกษุรูปอื่นจึงควรเข้าไปทีละรูป

พระโลกนาถ ผู้อนาวรณญาณ ทรงรู้ทุกอย่างไม่มีอะไรติดขัด ทรงเหยียดพระบาทลงเหนือหลุมถ่านเพลิง เสื่อลำแพนหายไปดอกบัวประมาณเท่าล้อเกวียนผุดขึ้นบนหลุมถ่านเพลิงนั้น ไฟดับสนิท พระศาสดาทรงเหยียดดอกบัวไปประทับนั่ง ณ อาสนะที่เขาปูลาดไว้แม้ภิกษุทั้งหลายก็ไปทำนองเดียวกัน

เมื่อเห็นดังนั้น ครหทินน์เกิดร้อนตัว รีบไปหาสิริคุตต์โดยเร็วแล้วเล่าเรื่องทั้งปวงให้ทราบ สิริคุตต์บอกว่าให้ลองไปสำรวจดูอีกทีอาหารอาจมีในตุ่มก็ได้ ครหทินน์ไปเปิดตุ่มดู ปรากฏว่า ทุกตุ่มมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้นเต็มปี่ ครหทินน์เห็นดังนั้นอิ่มอาบไปด้วยปีติปราโมชเสื่อมใสพระศาสดายิ่งนัก อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข

เมื่อเสวยเสร็จแล้วพระศาสดาทรงอนุโมทนาว่า "เพราะไม่มีปัญญาจักษุคนบางพวกจึงไม่รู้คุณของพระองค์และพระสาวก ผู้ไม่มีปัญญาจักษุชื่อว่าเป็นผู้มืดบอดส่วนผู้มีปัญญาชื่อว่าเป็นผู้มีจักษุ"เป็นต้น ดังนี้แล้วตรัสพระคาถาว่า

"ยถา สงฺการธานสฺมี" เป็นอาทิมีนัยดังพรรณนามาแล้วแต่ต้นแล








Create Date : 23 เมษายน 2548
Last Update : 23 เมษายน 2548 14:21:31 น. 0 comments
Counter : 342 Pageviews.

ลูกป้ามล
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ลูกป้ามล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.