ไปเที่ยวกันดีกว่าค่ะ .. ^^
Group Blog
 
All Blogs
 

มิงกาลาบา ตอน 3 : เก็บตกเมืองหงสา เยี่ยมวังบุเรงนอง [1]

เที่ยวพม่าวันแรกไฮไลท์อยู่ที่เจดีย์ชเวดากอง 
สำหรับวันที่สองไฮไลท์อยู่ที่พระธาตุมุเตา และพระธาตุอินทร์แขวน 

สำหรับเที่ยวพม่า "มิงกาลาบา" ตอนที่ 3 นี้
คุณริวก็ได้สะบัดปลายปากกาและผ้าโสร่ง
เขียนเล่าให้ฟังกันแบบพริ้วๆ เช่นเดิม


........................ตามเราไปเที่ยวกันเลยค่ะ






เที่ยววันที่สาม วันที่ 13 กันยายน 2556


ตื่นตั้งแต่ตี 4.30 เพราะมีพนักงานของ KyaiKhto Hotel 
มาปลุกทุกห้อง   เวลาตี 5 นัดเจอกันที่จุดนัดพบ
เพื่อไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวนอีกครั้ง 
เช้านี้มีคนขายของเพื่อไปถวายพระธาตุอินทร์แขวนด้วย 
วันที่ผมไปมีอยู่เจ้าเดียวอาจเพราะฝนตกและไม่ใช่ช่วงหน้าท่องเที่ยว 
แม่ค้าเลยน้อย คนก็ไม่เยอะ 

พวกเราก็ไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวนอีกรอบเป็นรอบที่ 3 
แล้วก็เดินกลับมาทานข้าวเช้าที่โรงแรม 




ของไหว้ที่วางขายกันตั้งแต่เช้ามืด




พระธาตุอินทร์แขวนยามเช้ามืด
อากาศหนาว หมอกลงจัดต้องใส่เสื้อกันหนาวไปด้วย




ถ่ายภาพร่วมกัน




รุ่งเช้าที่อินทร์แขวน





อาหารเช้าบุฟเฟต์ที่โรงแรม


7 โมงเช้าเช็คเอ้าส์จากโรงแรมขึ้นรถขนหมูกลับลงไปคิมปุ่นแคมป์ 




นั่งรถขากลับ


ระหว่างทางมีการทำถนนด้วย ด้วยการเทปูนซีเมนต์
ทำให้ถนนที่แคบอยู่แล้วยิ่งแคบไปอีกต้องนับถือโชเฟอร์ที่ขับรถจริงๆ 
ขอบถนนก็เป็นเหวขับรถกะระยะล้อได้แม่นมาก

ทิวทัศน์ระหว่างทางขากลับ












ลุงไข่ยามเผลอบนรถ








คนทำทาง














วิถีชีวิตที่พบเห็นระหว่างการเดินทาง


วันนี้เรามีแผนต้องไปวัดไจ้คะวาย
เป็นโรงเรียนโรงเรียนสอนพระพุทธศาสนา 
เพื่อตักบาตรพระให้ทันตอน 11.00 น.  


ระหว่างทางได้ซื้อขนม มาม่า อาหารแห้งรวมๆกัน
เลือกมาแล้วหารเฉลี่ยกันถือว่าได้ทำบุญร่วมกัน 
ที่หน้าร้านมีแตงโมขายด้วยลูกใหญ่มากซื้อมา 1 ลูก ราคา 2000 k 
ให้แม่ค้าหั่นเป็นชิ้นใส่ถุง ไปกินหลังอาหารเที่ยง


สำหรับตอนที่ 3 นี้ ได้แบ่งเป็น 3 ตอนย่อย [1]  [2]  [3]  ค่ะ ^^


ผู้เขียน : คุณริว ผู้นำทริปพม่าทริปนี้



............... โปรดติดตามตอนต่อไป

//www.facebook.com/moonwatcherBP






 

Create Date : 03 ตุลาคม 2556    
Last Update : 3 ตุลาคม 2556 11:18:02 น.
Counter : 1513 Pageviews.  

มิงกาลาบา ตอน 2 : เที่ยวเมืองหงสา มุ่งหน้าสู่อินทร์แขวน

เที่ยวพม่าวันแรกก็ผ่านไปแล้ว ไฮไลท์ในวันแรกอยู่ที่เจดีย์ชเวดากอง
ซึ่งก็เป็นการท่องเที่ยวท่างกลางสายฝนกระหน่ำอย่างแรง
ในบางช่วงของวัน สลับกับช่วงที่ฝนซา ฟ้าเปิด
อย่างไรก็ตามเราได้ชมเจดีย์ชเวดากองท่างกลางบรรยากาศ
ที่สวยงามและฟ้าเปิดสมดังใจ


สำหรับวันที่สองของทริปนี้ ไฮไลท์อยู่ที่พระธาตุมุเตา
และพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งวันนี้ชาวคณะได้เดินทาง
ด้วยท้ายรถบรรทุกขนหมูท่ามกลางฝนกระหน่ำ
ขึ้นไปตามไหล่เขาสลับซับซ้อน สวยงาม น่าหวาดเสียว (บ้าง)
กว่าจะถึงยอดเขาก็ทุลักทุเลกันพอสมควร
แต่ก็สนุกสนาน แอดเวนเจอร์กันมาก


สำหรับเที่ยวพม่า "มิงกาลาบา" ตอนที่ 2 นี้
คุณริวก็ได้สะบัดปลายปากกาและผ้าโสร่ง
เขียนเล่าให้ฟังกันแบบพริ้วๆ เช่นเดิม


........................ตามเราไปเที่ยวกันเลยค่ะ


เที่ยววันที่สอง วันที่ 12 กันยายน 2556






มุ่งหน้าสู่หงสา Bago และพระธาตุอินทร์แขวน Kyaik Hhto


วันนี้ตื่นตอน 6 โมงเช้าลงมาทานอาหารเช้า 7 โมง
นัดลุงไข่มารับที่โรงแรมตอน 8 โมงเช้า
และนัดคุณตุ๊ก คุณหมูไปรับที่สนามบินตอน 9 โมง
รวมเป็นทั้งหมด 12 ชีวิต



ลุงไข่และรถมินิบัสนั่งสบายที่พามารับ
นอกจากไกด์มีเจ้าหน้าที่ประจำรถมีสองคน
บริการดี น่ารักมากทั้งสองคนเลย



ลุงไข่มาถึงก็มีการเคลียร์เรื่อง ค่ารถ ค่าห้องที่ไจ้ทีโยค่าไกด์
ค่าห้องไกด์ที่ไจ้ทีโยผมตัดสินใจที่จะจ่ายไปหมดเลย
เพราะไม่อยากเก็บเงินไว้กับตัวและความที่เชื่อว่าลุงไข่ไม่ทิ้งเราแน่
ซึ่งจริงๆลุงไข่ก็บอกว่าจ่ายแค่ค่าห้องที่ไจ้ทีโยกับค่าห้องไกด์ก่อนก็ได้
ส่วนที่เหลือเคลียร์กันวันสุดท้ายในวันกลับก็ได้

หลังจากนั้นเราก็ออกจากโรงแรม ลุงไข่ก็มีการแนะนำตัว
ว่าชื่อ Mr.Khine ออกเสียงคาย หรือ ไค
แต่ผมก็ว่าในพันทิปเรียกลุงไข่ ลูกทัวถ์ทุกคนเลยเรียกลุงไข่ไปด้วย

ระหว่างทางลุงไข่ก็อธิบายถึงประเทศพม่า ประวัติความเป็นมา
ของประเทศพม่า กษัตริย์องค์ไหนที่เป็นผู้รวมรวมประเทศพม่า
ตรงนี้ได้ความรู้มาก มอญ ยะไข่ ไทยใหญ่
โรฮิงญาอาศัยอยู่ส่วนไหนของประเทศพม่า
ลุงไข่จะมีแผนที่มาประกอบการเล่า

เจดีย์ชเวดากอง ประวัติเจดีย์ชเวดากอง การสร้างเจดีย์ชเวดากอง
สัตว์ประจำวันเกิดการรดน้ำสัตว์ประจำวันเกิด พร้อมวิธีการไหว้พระที่
ถูกต้อง ก็มีการเล่าเป็นสังเขป

เทพทันใจมีประวัติอย่างไร ทำไมเทพทันใจที่โบตะทาวน์
ชี้มือไปข้างหน้า ทำไมเทพทันใจที่ สุเหร่ชี้มือต่ำกว่าเทพทันใจ
ที่โบตะทาวน์ ไม่เหมือนกัน

จนรถเราผ่าน สุสานพันธมิตร แม่น้ำสะโตงลุงไข่เล่าว่า
ช่วงที่สร้างสะพานนี้ คือช่วงที่แคบที่สุดของแม่น้ำสะโตง
แต่การพูดคุยเราพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องการเมืองเรื่องเสียกรุง
เพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศในการท่องเที่ยว

ระหว่างทางเพื่อนใหม่ของเราป้านิกกี้ เจ๊ม๊อค เจ๊เอ๋ เพื่อนทั้ง 3 คนก็
ปล่อยมุกตลก หัวเราะกันตลอดคอยเป็นล่ามแปลลุงไข่อีกที
บางคำลุงไข่จะใช้ภาษาอังกฤษในกรณีที่นึกคำภาษาไทยไม่ออก
ป้านิกกี้ก็จะคอยแปล เป็นตัว translate แปลที่ลุงไข่เล่า
บางทีป้าก็ฟังเพี๊ยนแปลผิดก็โดนแซวไปสนุกสนามเฮฮากันทั้งรถ
ป้านิกกี้คือสีสันของทริปจริงๆๆ


ภาพประกอบวันนี้ ส่วนใหญ่ใช้ภาพของคุณริว เกือบทั้งหมดค่ะ






Bago พะโค หงสา (เมืองเดียวกัน)


จากย่างกุ้ง จะไปพระธาตุอินแขวนไปถึงพะโค
ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ระหว่างทางลุงไข่ได้เล่าถึงเมืองบาโก
หรือหงสา ว่า เมืองบาโกเดิมเป็นเกาะเล็ก ๆ ในอ่าวเมาะตะมะ
เป็นยอดของแผ่นดินที่โผล่พ้นน้ำมาเพียงนิดเดียว

วันหนึ่งมีหงส์ 2 ตัวบินผ่านมาเกิดเหนื่อย เลยหยุดพัก
แต่เนื่องจากมีพื้นที่พอแค่ให้หงส์1ตัวเกาะ
หงส์ตัวเมียเลยต้องเกาะบนหลังหงส์ตัวผู้
รูปปั้นหงส์ตัวเมียเกาะหลังหงส์ตัวผู้ จึงเป็นสัญญลักษ์ ของเมืองบาโก
ที่นี่จะมีคนมอญอยู่เยอะเพราะเป็นเมืองหลวงเก่าของมอญ

รูปนี้ถ่ายจากบนรถ





ระหว่างทางลุงไข่ก็บอกจะมีร้าน 2 ร้านที่แนะนำ

1 ร้านชาจะมีชาอร่อยจริงๆก็คือชา Royal สีเขียว
ขายแก้วละ 10 บาท มีห้องน้ำให้เข้า
(จุดประสงค์ที่พาไปที่นี่ก็เพื่อเข้าห้องน้ำฟรี )

2 ร้านไก่บ้านทอด เป็นร้านพื้นเมือง ให้ไปทานรองท้องกันที่นี่


วันนี้ลุงไข่พาไปร้านไก่บ้านทอด เราแบ่งเป็น 2 กลุ่มโต๊ะละ 6 คน
โต๊ะผม มี ผม ชาติ คุณตุ๊ก คุณหมู คุณบุ๋ม
อาหารพม่าจะมีเครื่องเคียงเยอะมากที่ยกมาก็มีหอมแดงทอด
พริกทอดผัดน้ำมัน กับบางอย่างที่ดูไม่ออก และไม่กล้าชิม
กินไก่ไปซักพักลุงไข่ถามเอาข้าวห่อใบตองไหม
เราก็บอกเอาแล้วทานกับมือกัน

ไก่ทอดจะเป็นไก่คลุกผงขมิ้นลุงไข่บอกว่าเป็นไก่ทอดแบบอินเดีย
ปรากฎว่าโต๊ะผมกินเยอะมาก เพราะไก่อร่อย

เราสั่งเพิ่มกันแบบไม่ยั้งกระดูกกองโตมาก
คาดว่าพวกเราแต่ละคนกินไก่ไม่ต่ำกว่าคนละ 5 ชิ้น
น่าจะประมาณได้คนละ ตัว กว่าๆ

ต้องการอะไรก็ชี้ๆเอาเพราะน้องๆที่ร้านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคสำหรับพวกเราชี้ๆ แล้วทำท่าเอาว่าต้องการอะไร
น้องๆน่ารักมากคอยดูตลอดว่าเราต้องการอะไรพร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือ

ค่าเสียหายเฉพาะโต๊ะผม 29300 K คิดเป็นเงินไทยราว 1000 บาท
กินกัน 6 คน ตกคนละราว 170 บาทซึ่งบอกว่าคุ้มมาก

ต้่องบอกว่าถ้าผ่านทางนี้ต้องแวะร้านนี้ให้ได้เป็นร้านที่อร่อยมาก

เครื่องเคียงที่มากินกับไก่ทอด แต่ไม่ค่อยมีใครกิน
เพราะเน้นแต่กินไก่อย่างเดียว










Shwe Maw Daw Pagoda


จากนั้น ลุงไข่ก็พาไป Shwe Maw Daw Pagoda
หรือ พระธาตุมุเตาที่นี่เราต้องจ่ายคนละ 10000 K หรือ 10 ดอลล่าร์
ให้เราเก็บบัตร และสติ๊กเกอร์ให้ดีเพราะเอาไว้ใช้ได้ตลอดที่อยู่ในบาโก
ถ้าบัตรหายก็ต้องจ่ายใหม่อีก 10ดอลล่าร์ ที่นี่มีการเก็บค่ากล้องด้วย
เจอคนไทยบางคนเอากล้องมือถือถ่ายแต่ไม่ยอมจ่ายค่ากล้อง
จนท.เข้ามาเตือนให้เก็บมือถือใส่กระเป๋า

ตั้งแต่บาโก -อินทร์แขวน เราไม่สามารถใช้เงินดอลล่าร์ ได้
ถ้าไปแลกก็จะได้เรทที่ต่ำกว่าย่างกุ้ง ลุงไข่จึงแนะนำว่า
ที่นี่ให้ใช้เงินจ๊าดถ้าไม่พอให้ยืมลุงไข่ก่อน
แต่ด้วยความเกรงใจเงินจ๊าดหมดผมก็ขอยืมคุณบุ๋มก่อน
แล้วกลับมาเคลียร์ที่ย่างกุ้ง ซึ่งจริงๆการไปเที่ยวไม่พอ
ก็ยืมกันก่อนแล้วกลับมาเคลียร์ ใช้จ่ายก็เก็บกันเป็นรอบๆๆ





พระธาตุมุเตาเป็นเจดีย์ของคนมอญ
ลุงไข่บอกว่าเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพม่า

มุเตา เป็นภาษามอญ แปลว่า จมูกร้อน
เพราะเจดีย์มีความสูงมากจนต้องแหงนหน้าขึ้นคอตั้งบ่า
เพื่อมองไปที่ยอดเจดีย์ทำให้จมูก ร้อนเพราะแสงแดดเผา
ส่วนประตู มีกี่ประตูลุงไข่ก็เล่าให้ฟังแต่ลืมไปแล้ว

ที่นี่จะมีลานอฐิษฐาน เมื่อพระเจ้าบุเรงนองจะออกทำศึก
จะทรงสักการะขอพรจากพระธาตุนี้ทุกครั้ง
และเมื่อก่อนพระธาตุมุเตาก็อยู่ในเขตพระราชฐาน
ของพระเจ้าบุเรงนองและพระองค์มักจะเสด็จมาสักการะในตอนเช้า
ก่อนออกว่าราชการทุกวัน และที่ตำหนักของพระองค์
ก็สามารถมองเห็นพระธาตุมุเตา แสดงให้เห็นถึงความศรัทธา
ที่ทรงมีต่อพระธาตุมุเตา

เมื่อไปจุดธูปจุดเทียนไหว้ก็ให้ไปอฐิษฐาน
สำหรับการอธิษฐาน ให้นำธูปมา โค้งและค้ำตามรอยต่อของอิฐ
ถ้าค้ำหรือโค้งได้โดยที่ธูปไม่หักหรือไม่กระเด็นหลุดออกจากก้อนอิฐ
เชื่อกันว่าคำอธิษฐานจะเป็นจริง
หรือ อีกนัยหนึ่งการโค้งธูปโดยไม่หักก็ทำให้มีคนมาหนุน เกื้อกูล
มาค้ำจุนนอกจากพ่อแม่ อันนี้ลุงไข่เล่ามาอีกที




เสาที่นี่จะเป็นรูปหงส์2 ตัวเหยียบหลังกันเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองบาโก
ทุกเจดีย์จะมีเสาถ้าเป็นบ้านเราคงเป็นเสาหลักเมือง
ถ้าเป็นเสาในย่างกุ้งหรืออินแขวนก็จะมีเทวดายืน 4 ทิศรอบเสา
และทุกเจดีย์จะมีสัตว์ประจำวันเกิดให้คนมารดน้ำทุกเจดีย์
หารูปเสารูปหงส์ไม่เจอ ไว้เจอจะมาแปะให้ดู

รูปนี้เป็นรูปสัตว์ประจำวันเกิดซึ่งจะมีอยู่รอบเจดีย์ทุกที่





ที่นี่เคยเกิดแผ่นดินไหวทำให้ยอดพระธาตุตกลงมา
แต่ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แต่ก็ได้มีการสร้างใหม่
แต่ยอดเจดีย์ที่ตกลงมาก็เป็นที่สักการะของคนพม่า
ที่นี่และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของพระธาตุมุเตา




ออกจาก พระธาตุมุเตาจากนั้นลุงไข่ก็พาไปทานข้าวเที่ยง
แต่พวกเราก็ยังอิ่มกับข้าวไก่ทอด โต๊ะผม 6 คน
เลยไปเดินสำรวจร้านอาหารตัดสินใจสั่งเหมือนกันหมด
คือบะหมี่น้ำไก่ แบบไทยใหญ่แต่บะหมี่น้ำที่นี่ไม่มี
เครื่องปรุงไม่มีพริกน้ำส้มรู้สึกขัดใจผมมาก
เลยไปเอาซอสพริกมาใส่ปรุงรส แทน


สำหรับน้ำส้มโอปั่นในใจเรานึกมันต้องปั่นแบบมีน้ำแข็งเป็นเกล็ด
กินแล้วเย็นชื่นใจ แต่จริงๆแล้วนั่นคือความฝันน้ำส้มโอปั่น คื
อ เอาเนื้อส้มโอปั่น แล้วหย่อนน้ำแข็งมาในแก้ว 1
ก้อนขนาดประมาณหัวแม่มือกินแล้วพอรู้สึกว่ามีน้ำแข็งในแก้ว

คุณบุ๋มอยากลองทานยำของพม่า
หลังจากที่ส่องดูแล้วว่าร้านนี้ใส่ถุงมือในการขยำยำให้เรากิน
ไม่ใช่ยำนิ้วคลุกแบบในร้านข้างถนนที่ย่างกุ้ง
เลยได้ยำบะหมี่แบบไทยใหญ่มา 1 จาน รสชาติก็อร่อยดี

ที่นี่ห้องน้ำสะอาดมาก มี 2 แบบด้วย
คือแบบนั่งยองๆกับแบบชักโครก
ตอนขึ้นรถกลับก็มีพนักงานยืนแจกลูกอมให้ด้วย






จากหงสา Bago สู่พระธาตุอินทร์แขวน KyaikHto


ก่อนจะมาอินทร์แขวนเราได้เตรียมตัวฝากกระเป๋าสัมภาระส่วนใหญ่
ไว้ที่โรงแรมเพราะเราต้องกลับมาพักที่นี่อีก โดยแบ่งใส่เป้เล็กมา
กะว่าใช้แค่คืนเดียวให้มีน้ำหนักน้อยที่สุดเผื่อต้องแบกเป้เดินขึ้นเขา

ส่วนคุณตุ๊กที่เรารับที่สนามบินและเพื่อนอีก4 คนที่จะแยกกับเรา
หลังจากลงจากอินทร์แขวน ก็เอาของฝากไว้ที่รถ
จะได้ไม่ต้องแบกขึ้นเขาไป การเหมารถก็ดีตรงนี้

สิ่งของที่ต้องเตรียม

1 เสื้อกันฝน +ถุงใบใหญ่ที่ใส่เป้ได้
2. เสื้อกันหนาวหรือเสื้อแขนยาว เพราะตอนตี5
เราต้องไปไหว้พระธาตุอีกรอบ
3. เสบียงสำหรับคนที่คิดว่าทานอาหารยากอาจไม่ถูกปาก
พกมาม่า โอวัลติน กาแฟติดมาบ้างก็ดีไม่ต้องเยอะ
หรือเอาเผื่อมาใส่บาตรฤาษีก็ได้ถ้าทานไม่หมดก็แจกเด็กๆบนนั้นไป
4. ยาดม ยาแก้ไข้ แก้หวัดยาแก้ท้องเสีย ผงเกลือแร่
ควรมีติดกระเป๋าไว้ตลอด




แล้วเราก็มุ่งหน้าไปคิมปุ่นแค้มป์ ระหว่างทางฝนก็เริ่มตก
ลุงไข่ก็ชี้ให้ดูทางแยกไปเมียวดี เข้าทางอ.แม่สอด จ.ตาก
บอกว่าถ้าจะไปอินทร์แขวนทางรถจากประเทศไทย
เข้าทางไทยจะใกล้ที่สุด ใช้เวลาเดินทางทางรถเป็นเวลา 3 วัน
รถที่วิ่งจะเป็นวันเวย์ วันนี้ให้รถจากทางไทยเข้ารถจากทางฝั่งพม่า
ก็ต้องรอ เพราะถนนแคบรถสวนทางกันไม่ได้

ที่คิมปุ่นแคมป์ เราขึ้นรถขนหมูกัน
ระหว่างที่รอขึ้นรถฝนก็เริ่มตกใครที่ไปอินทร์แขวน
อย่าลืมเสื้อกันฝนแบบบางๆ ถุงใบใหญ่ๆแบบใส่เป้ได้
เอาติดไปด้วยก็ดี เพราะเราต้องสอดเป้เข้าใต้เก้าอี้
พื้นอาจสกปรกและเปียกก็จะช่วยให้เป้ไม่สกปรก
หรือฝนตกหนักของข้างในก็จะไม่เปียก




ค่ารถขึ้นอินทร์แขวนเที่ยวละ 2500 K ต่อคน
พวกเราเก็บค่ารถแล้วรวบรวมให้ลุงไข่ไปทีเดียว
คนละ 5000 K รวมทั้งค่ารถของลุงไข่ด้วย

ราคานักท่องเที่ยวและคนพม่าราคาเท่ากัน
ที่นี่ไม่มีการซื้อตั๋วก่อนขึ้นรถขึ้นไปนั่งแล้ว
หลังจากยัดเยียดคนนั่งแถวละ 6 คน
ก็จะมีพนักงานมาเก็บค่ารถบนรถ
การนั่งรถขนหมูสนุกมาก ถ้าจะให้ดีเลือกนั่งริมสุด
จะได้มีเหล็กให้จับและได้นั่งดูขอบเหวข้างทางตื่นเต้นดี

ถ้าอยากสบายหน่อยหรือมีผู้สูงอายุก็ให้เลือกนั่งข้างหน้า
แต่ต้องจ่ายเพิ่ม วันที่เราไปมีแถวแรกอยากนั่งสบาย
เลยซื้อที่นั่งแถวแรก แต่นั่งแค่ 4 คน
ก็มีการทะเลาะโวยวายกับคนที่จะไปแต่ไม่มีที่
ทะเลาะกันภาษาพม่าน้ำหมากกะจาย





แต่ผมคิดว่าการนั่งเต็มแถวแน่นๆจะช่วยเราไม่ให้หลุดจากรถได้
ใครที่กลัวความสูงหรือหัวใจอ่อนแอพกยาดมไปด้วย
นอกจากความหวาดเสียวยังมีกลินหมาก
กลิ่นตัวของผู้ร่วมทางคนทีไม่คุ้นกลิ่นอาจจะรู้สึกไม่ดี

เราไปคราวนี้โชคดีที่ไม่ต้องเดินรถไปจอดถึงยอดเขา
ทราบมาว่าหลังๆมานี่นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต้องลง
เพื่อเดินรึขึ้นเสลี่ยง แต่ไม่รู้ว่าหน้าท่องเที่ยวจริงๆ
จะให้ลงเดินหรือใช้บริการสลี่ยงอีกหรือไม่
เพื่อสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านหรือไม่

เราไปถึงตอนเย็นพอดี พอไปถึงก็มีก็จะมีคนรับจ้างขนของ
มีเด็กๆเข้ามากางร่มให้ มีมาช่วยยกกระเป๋า
ถ้าไม่อยากจ่ายยุบยับกระเป๋าเราก็ยกเองแบกเอง
เพราะระยะที่ลงรถไปโรงแรมก็ไม่ไกล
ที่นี่เราต้องจ่ายค่าเข้าชมพระธาตุอินแขวน คนละ 6000K








เช็คอินโรงแรม ลุงไข่ก็ให้เวลาเอาของไปไว้ 20 นาที
และนัดแนะพรุ่งนี้ ตี 4.30 จะมีพนักงานไปเคาะปลุกทุกห้อง
ให้มาพร้อมกันที่จุดนัดพบ

เพือ่ไหว้พระตอนเช้าและหลังจากกลับไหว้พระก็ทานอาหารเช้า
และรีบลงเขาเพื่อไปตักบาตรที่วัดไจ้คะวาย

ตอนหัวค่ำของเราพอเราเริ่มออกเดินจากโรงแรมเพื่อไปให้ถึง
พระธาตุอินทร์แขวนฝนก็ยังตก
แต่ด้วยแรงศรัทธาทุกคนก็พร้อมใจกันมุ่งมั่นที่จะไปไหว้พระธาตุ

ระหว่างเดินไปพบไม้แกะสลัก เป็นรูปคนแบกหมูป่าไว้บนบ่า
ลุงไข่เล่าว่าพายุ Nargisได้พัดถล่มพม่าต้นไม้ใหญ่ๆได้โค่นลง
มีบริษัททำไม้ได้นำมาแกะสลักและวางไว้ที่นี่
และเรียกว่า Nargis Souvenir ปรากฎว่าป้ากี้ เครื่องTranslate
ได้แปลว่า บริษัทนากีสได้สัมปทานไม้มาเลยแกะสลักไม้
และนำมาไว้ที่นี่ เป็นทีฮา กันมากกับ Nargis Company
ไม้แกะสลัก Nargis Company ของป้ากี้





เมื่อเราไปถึงที่แรกที่ ลุงไข่ก็พาเข้าไปคืออาคารด้านขวา
ห้องที่เล่าประวัติของพระธาตุอินแขวนจะมีรูปทีบอกเล่าถึง
ก้อนหินที่พระอินทร์นำมาวาง คนพม่าจะเรียก ไจ้ก์โถ (Kyaikhtiyo)
แต่คนไทยจะเรียกพระธาตุอินทร์แขวนเป็นหินรปหัวฤๅษี
พระธาตุอินทร์แขวนนับเป็น1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ และยังเป็นพระธาตุประจำปีจอ (สุนัข)

ลุงไข่เล่าว่าในสมัยพุทธกาลว่า มีฤๅษี(ชื่ออะไรจำไม่ได้)
ลุงไข่จำได้ แต่ผมจำไม่ได้เป็นผู้ที่ได้รับพระเกศาจากพระพุทธเจ้า
ที่ได้ทรงมอบให้ไว้ ฤาษีก็เอาเก็บไว้ในมวยผม
ต่อมาฤาษีรู้ว่าตัวเองใกล้จะละสังขารจึงได้ขอให้พระอินทร์
ช่วยหาหินที่มีลักษณะคล้ายศีรษะของตน
และนำพระธาตุไปใส่ไว้ในก้อนหินแล้วนำมาแขวนไว้ที่นี่

ลุงไข่เล่าว่า 2500 ปีก่อน ก้อนหินจะลอยอยู่
ช่องว่างระหว่างระหว่างก้อนหิน กับพื้นไก่สามารถลอดได้
1000ปีต่อมา นกลอดได้ ปัจจุบัน เชือกลอดได้
(แต่ไม่มีโอกาสได้ลองว่าเชือกลอดได้จริงหรือไม่)
ตอนไปไหว้ก็พยายามก้มมองว่ามีช่องว่างระหว่างหินกับพื้นหรือไม่

ลุงไข่เล่าว่าพม่าได้เกิดแผ่นดินไหวหลายครั้ง
บางครั้งแผ่นดินไหวรุนแรงถึงขนาดเจดีย์ ที่อยู่บนก้อนหินตกลงมา
แต่ก้อนหินกลับไปไม่ตกลงไป
เพราะหินก้อนนี้พระอินทร์เป็นคนมาแขวนไว้




ในห้องนี้ ยังมีก้อนดินหรือหิน ที่ขุดมาจากอินเดีย
ลุงไข่เล่าว่าเอามาจากใต้ต้นโพธิ ที่ตรัสรู้ ให้เราม้วนเงินเป็นกรวย
เสียบ เขียนชื่อ และคำอฐิษฐานก็จะให้สิ่งที่ขอนั้นเป็นจริง

ในห้องยังมีรูปพระพุทธบาทจำลอง และรูปปั้นต่างๆมากมาย

ได้มีโอกาสถามลุงไข่ว่าเจดีย์นั้นไปอยู่ข้างบนสร้างยังไง
ลุงไข่บอกว่าทำนั่งร้านนับว่าเป็นความพยายามมาก
ที่ทำนั่งร้านหมิ่นเหม่ กับขอบหน้าผาแบบนี้

อีกเรื่องที่ลุงไข่เตือน การเข้ามาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ขอให้ระมัดระวังคำพูด การพูดเล่น คำหยาบถือเป็นเรื่องไม่สมควร
และเล่าว่าเคยมีฝรั่งมาเที่ยวพระธาตุอินทร์แขวน
แล้วกินเหล้ากันมาเมาแล้วมาไหว้พระธาตุเกิดตกหน้าผาไปขาหัก

ก้อนหิน หรือดินที่ลุงไข่เล่าว่านำมาจากใต้ต้นโพธิ์ที่อินเดีย










ศรัทธากลางสายฝน












หลังจากเรายืนชื่นชมความงามกลางคืนของพระธาตุอินทร์แขวนแล้ว
ก็ไปทานอาหารมื้อค่ำกัน เป็นร้านพื้นเมืองอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม
อาหารที่สั่งมีต้มมาม่า ข้าวผัด ไข่เจียว แล้วเขามีถั่วเหลืองแบบโปรตีน
เกษตรทอดมาให้กินฟรี 1 จาน แต่พวกเราติดใจเลยสั่งไปอีก 2 จาน
อาหารรอนานนิดนึงถ้าใครไปติดเสบียงไปนิดก็ดีครับจะได้เสริม







หลังจากทานอาหารเราก็ไปไหว้อีกรอบเป็นรอบที่ 2 ตอนนี้ฝนหยุด
แล้วเลยได้ชมสวยๆแบบไม่เปียก ที่ต้องระวังคือพื้นจะลื่นเดินต้องระวัง
ถ้ามีไฟฉายเล็กๆไปด้วยก็ดีครับเพราะจะมีขี้หมา น้ำหมาก บนพื้นเป็น
ระยะ ขากลับรอบนี้ อาคารด้านซ้าย

เราได้ผ่านห้องที่เป็นรูปปั้นผู้หญิงนอนอยู่ลุงไข่ได้เล่าว่า
คือ รูปปั้นนาง....(จำชื่อไม่ได้)

มีความเชื่อกันว่าหากเจ็บป่วยตรงส่วนไหนของร่างกาย
เวลาไหว้รูปปั้นก็ให้จับรูปปั้นตรงส่วนนั้นแล้วตั้งจิตอธิษฐาน
อาการเจ็บป่วยก็จะหาย ก็มีเพื่อนร่วมทริปที่ไปด้วย
ถามผมว่าชั้นปวดหลังอะจะแตะไงอะ
ผมก็ว่าแตะท้องแล้วอฐิษฐานเอาละกัน





กลับมาอาบน้ำนอนมีน้ำอุ่นด้วย ห้องนอนไม่มีแอร์
มีแต่พัดลมแต่อากาศ
บนภูเขาเย็นสบายพัดลมเปิดเอากางเกงตากเป่าให้แห้ง
แล้วรีบนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นตี 4.30 ไปไหว้พระธาตุอีกรอบ

อีกอย่างไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวนขอให้แลกแบงค์เล็กๆ
ติดไปเยอะๆครับทุกจุดที่ไปไหว้จะมีจนท.คอยเรียก(แกมบังคับ)
ให้ทำบุญ อย่างเช่นอาคารด้านขวาที่ไปดูประวัติพระธาตุอินทร์แขวน
พอจะเดินออก จนท.ก็จะแกมบังคับชี้ไปที่ขันบริจาค
หรือไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวน จนท. ก็จะยืนตรงประตู
ชี้แกมบังคับให้ทำบุญ ดังนั้นควรแลกแบงค์เล็กๆไปเยอะๆ




ผู้เขียน : คุณริว ผู้นำทริปพม่าทริปนี้



............... โปรดติดตามตอนต่อไป

//www.facebook.com/moonwatcherBP


รีวิวเดิม
มิงกาลาบา ตอน 1 : ทุลักทุเลทัวร์ กว่าจะได้ไปพม่า

คลิกอ่านรีวิวตอนที่ 1




 

Create Date : 01 ตุลาคม 2556    
Last Update : 2 ตุลาคม 2556 13:14:37 น.
Counter : 3635 Pageviews.  

มิงกาลาบา ตอน 1 : ทุลักทุเลทัวร์ กว่าจะได้ไปพม่า

ทริปพม่า เป็นทริปที่คณะของเรา เดินทางไปท่องเที่ยวกัน
ตั้งแต่วันที่ 11 – 17 กันยายน 2556
โดยมีคุณริว กับคุณชาติ เป็นผู้นำทริป เป็นผู้จัดการ
และวางแผนทั้งหมดทั้งมวล

หลังจากกลับมาจากพม่า คุณริวก็ได้สะบัดปลายปากกาและผ้าโสร่ง
รวบรวมข้อมูลและประสบการณ์เขียนออกมา
เป็นบทบันทึกการเดินทางครั้งนี้ขึ้น เพื่อให้เป็นประโยชน์
แก่เพื่อนๆ ผู้รักการท่องเที่ยว ที่กำลังจะตามรอยทริป
คณะเราเดินทางไปท่องเที่ยวพม่าอีกในไม่ช้า
จำนวนหลายคณะด้วยกัน

เราจึงขอนำบทบันทึกของคุณริว ซึ่งเขียนได้สนุก
และลงรายละเอียดข้อมูลการเตรียมตัว วางแผน
เทคนิคต่างๆ ที่ต้องเตรียมในการเที่ยวพม่าไว้ดีมาก
มาลงไว้เป็นบทนำ สำหรับการรีวิวทริปนี้
ในรีวิว มิงกาลาบา ตอน 1 : ทุลักทุเลทัวร์ กว่าจะได้ไปพม่า






จุดเริ่มต้นของทริป


กลับมาก็หลายวันแล้วเพิ่งจะมีโอกาสเขียนถึงทริปพม่าที่ไปมา
เริ่มต้นจากที่ชักชวน 8 ชีวิตให้ไปเสี่ยงตายด้วยกัน
มี ผม ชาติ พี่วัน คุณบุ๋ม พี่ชาย พี่สะใภ้ เพื่อนผมที่ตรังอีก1 คน
เพื่อนที่เป็นไกด์ที่กรุงเทพ อีก 1 คน รวม 8 คน
โดยที่ไม่มีข้อมูลใดๆ ในมือเลย
หวังพึ่งพาเพื่อนที่เป็นไกด์และเคยไปมาแล้ว

ผม : แกๆๆ ไปพม่ากี่วันดีหละ
เพื่อน : ต้องไปซัก 10 วันนะ ไม่งั้นไม่ทั่ว
ผม : 10 วัน กลับมาคงได้ขายบ้านขายร้านอะแก ลดวันได้ไหมอะ
เพื่อน : งั้นต้องไม่ต่ำกว่า 7 วัน แกไปจองตั๋วเลยอย่าให้ต่ำกว่า 7วัน
เราต้องไปแบบไม่ชะโงกทัวร์ไปแบบเจาะลึกเดี๋ยวชั้นพาเอง
7 วันนี่ยังไม่พอเลยนะย่างกุ้งเมืองเดียว
ผม : เออๆเดี๋ยวจองเองเรื่องตั๋วแกเขียนแผนมานะว่าไปไหนมั่ง ใน 7 วัน
[พร้อมปลาบปลื้ม .... กูสบายแล้ว ที่เหลือเพื่อนจัดการพาเที่ยว
เพื่อน : ได้ๆๆ เดี๋ยวไปยืมหนังสือเพื่อนมาก่อนเดี๋ยวเขียนแผนให้


ปฏิบัติการจองตั๋ว


จากนั้นปฎิบัติการจองตั๋วข้ามภพ ข้ามชาติก็บังเกิด
โปรหางแดงมา 19 ก.ย. 2555
จองเดินทางไปพม่า 11 กย- 17 ก.ย. 2556
ไม่ใช่เพื่อของถูกทำไม่ได้นะเนี่ย !!

จากนั้นก็ลัลลา ไม่ได้สนใจอะไรอีก
ต่อมาก็มีพี่สะใภ้ขอถอนตัวไม่ไป
และมีเพื๋อนบางคนขอเพิ่มและป่าวประกาศ
จนมีคนหลงผิดขอตามไปด้วยอีก 5 เป็น 12 คน
เวลาล่วงเลยจนกระทั่ง เดือนธันวาคม 2555


ผม : แกแก เขียนแผนยังอะส่งมาได้แล้ว จะได้ติดต่อโรงแรม ติดต่อไกด์
เพื่อน : เออ งานยุ่งว่ะเดี๋ยวไปหาหนังสืออ่านก่อน
แล้วทุกอย่างก็หายไปกับสายลมหนาว


จนมกราคม 2556


ผม : แกๆ แผนเขียนยังอะจะได้ติดต่อไกด์ หาโรงแรม
เพื่อน : ยังเลยหนังสือยังไม่ได้ไปเอาเลย เราไปแล้วค่อยเดินหาได้ไหม
วอล์คอินเอาเดินหาแถวสุเหร่ไ กด์ไม่ต้องหรอกชั้นเป็นไกด์เอง
ชั้นไปไหนไม่เคยจองโรงแรมเลย วอล์คอินเอา


งานงอกแล้วท่าน !
12 ชีวิตจะให้ไปเดินวอล์คอินหาโรงแรม
เกิดโรงแรมนี้รับได้ 8 อีก 4 คนต้องไปนอนที่อื่น
จะนัดกันยังไง มาหากันไงฟะ
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนตรูต้องหาข้อมูลเขียนทริปเอง
ยึดอำนาจจัดการเองแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นคงได้เดินวอล์คอินจริงๆ



ปฏิบัติการแพลนทริป


ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต สอบถามคุณตี๋ สอบถามวรา
เขาไปกันแค่ 4 วันก็ครบแล้ว นี่จองบ้าไรเนี่ยตั้ง 7วัน
แถมถ้าเปลี่ยนตั๋วกลับเร็วขึ้น สมาชิกส่วนใหญ่ก็มาจากตรัง
โรงแรมที่จองมารอเครื่องจากตรังก็จองแล้ว
ตั๋วเครื่องบิน ตรัง กทม. ก็จองแล้ว
จะให้เพื่อนสมาชิกลดวันก็ต้องหาตั๋วโปรใหม่จะหาจากไหน
โรงแรมต้องทิ้ง

เอาฟะ 7 วันก็ 7 วันจะได้เที่ยวแบบทั่วถึง
พร้อมปลอบใจตัวเองเราจะได้เที่ยวแบบเจาะลึก
ซาบซึ้งถึงกลิ่นน้ำหมากเมืองหม่องกันเลย


สรุปตบแผนได้มาดังนี้

วันที่ 1 รถโรงแรมมารับสนามบิน เช็คอิน ไปพิพิธภัณฑ์
แล้วหาร้านอาหารพื้นเมืองแถวนั้นทานชื่อร้าน Feel
ไปลองอาหารพื้นเมืองกันซักมื้อ จะได้รู้เราจะกินกันได้ไหม
แล้วเดินไปเจดีย์ชเวดากองดูแผนที่แล้วไม่ไกลมาก

วันที 2 ไป Bago (หงสา) แล้วไปอินแขวน นอนอินทร์แขวน 1 คืน

วันที่ 3 เก็บตก Bago กลับมานอนย่างกุ้ง

วันที่ 4 เที่ยวย่างกุ้งทั้งวัน

วันที่ 5 ไปสิเรียม กลับจากสิเรียมแวะตลาดสก็อต เพื่อซื้อของ

วันที่ 6 เดินเล่นในเมือง ไปทะเลสาปกันดอจีร์
หรือ นั่งเรือข้ามฟากไปเที่ยวอีกฝั่งของแม่น้ำย่างกุ้ง

วันที่ 7 เช้ามาตลาดสก็อต บ่าย กลับโรงแรม
นั่งรถโรงแรมกลับสนามบิน

ได้แผนมาดังนี้เรามีรถมีไกด์ 4 วันคือวันที่ 2-5
จากนั้นก็เที่ยวเอง

ในใจกระหยิ่มยิ้มย่องเพื่อนที่เป็นไกด์ ไม่อยู่
ตรูก็มีพี่วันเฟ้ยพึ่งพาได้ ฝากชีวิตกะพี่วันเต็มที่


คนกำหนด หรือจะสู้ฟ้าลิขิต


พี่วัน : ริวพี่งานงอกอะ เกาหลีจะมาพี่ต้องอยู่ดูแล เสียดายมาก
ริวไปแล้ว บอกลุงไข่พาไปกินไก่บ้านทอดกะส้มโอด้วยนะ
อร่อยมาก

อ้าวตายห่าน ! ตรูจะพึ่งใครหละความหวังเดียวของชีวิตดันไปไม่ได้
ภาษาอังกฤษตรูจะรู้เรื่องไหมฟะ


เอาวะไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วงานนี้ต้องลองอย่างน้อยมีไกด์ 4 วัน
ถามๆ ไกด์เอา พี่วันไปไม่ได้ หาคนมาเสียบแทน


เพื่อนที่ตรังเลยชวนมาเสียบแทนตำแหน่งพี่วันจองตั๋วกันแบบด่วน
ได้ครบตามเป้า 12 คน จะรอดไหมเนี่ย เวลาก็จวน งั้นเก็บเงินก่อน
เดี๋ยวีซ่าฝากเพื่อนที่ กทม. จัดการ ลุงไข่ก็หายไปเลยราคาห้องไจ้ทีโย
ก็ยังไม่รู้ แต่พี่วันบอกว่าลุงไข่รับปากแล้วแกมาแน่ไม่ต้องห่วง


หลังจากนั้นก่อนเดินทาง1 เดือน นัดเพื่อนให้ไปขอวีซ่า
เพราะ ขอเป็นกลุ่มหลายคน ใช้เวลาในการยื่นและรับเล่ม 1 อาทิตย์
วีซ่ามีอายุ 3 เดือน จบไป 1 เรื่องวีซ่า


ห้องไจ้ทีโยก็ไม่รู้จะได้ไหม ตอนถามโรงแรมมาเธอร์แลนด์
เขาบอกคืนละ 80 ดอลลาร์ ถ้าจะไปขอช่วยโรงแรมจองอีกที
จะซ้ำซ้อนกะลุงไข่หรือเปล่า งั้นรอลุงไข่ก่อนหากไม่ได้โรงแรม
เดี๋ยวเราวางแผน 2 ไปเช้ากลับเย็นลงกลับมานอนตีนเขา
ไม่ก็ตีรถเข้าBago เวลาเราเหลือ ลุ้นลุงไข่ต่อไป
และรีบยืนยัน เราต้องการลุงไข่เป็นไกด์เท่านั้น ไม่เอาคนอื่น



ลุ้นระทึกกันต่อ


และแล้วก่อนเดินทาง 3 อาทิตย์ ลุงไข่ก็ส่งอีเมล์มา
บอกว่าได้ห้องที่ Top Mountain ห้องละ 3 คน 4 ห้อง ได้ไหม
เพราะหาห้อง 2 คนไม่ได้ อ้าว แล้วที่เขาไปเป็นคู่ๆกันทำไงเนี่ย
มันก็ไม่สะดวกอีก ปรึกษาคุณตุ๊กก็ไม่สะดวกกับการนอน 3 คน

รีบอีเมล์ตอบลุงไข่ ขอห้อง 3 คน 2 ห้อง
ห้อง 2 คน 3 ห้อง จะได้ไหม ลุงไข่ก็เงียบหายไปอีก
เราก็ใกล้จะเดินทาง ตอนตรูคิดเงินค่าทัวร์ ตรูคิดแค่ 30 บาทต่อ 1$
พอใกล้เดินทาง ค่าเงิน มันอ่อนเหลือ 32 บาท ต่อ 1 $
เอาฟะไม่พอค่อยไปหารเพิ่ม ยังลุ้นห้องที่ไจ้ทีโยต่อไป
ว่าตกลงจะได้ไหม

ก่อนเดินทาง 2อาทิตย์ ลุงไข่ก็เมล์มาบอกว่าจองห้องที่
Top Mountain ไม่ได้เพราะห้อง 2 คนมีไม่พอ
ห้องที่ไจ้ทีโยก็ราคายังไม่ออกมา

คุณพระ ! สงสัยตรูได้นอนตีนเขาแน่แท้หนอ

รีบเมล์ไปหาลุงไข่ห้องที่ไหนก็ได้ แต่ขอให้ได้ห้องบนอินทร์แขวน
และรอลุ้นห้องต่อไป พร้อมปลอบใจตัวเอง

ไม่ได้ ห้องบนอินทร์แขวน ตรูจะเนียนนุ่งโสร่ง ทา ทานาคา
ไปนอนปนกะคนพม่าล่ะฟะ


และแล้วก่อนเดินทาง 5 วันก็ได้เมล์จากลุงไข่มาว่า
ได้ห้องที่ไจ้ทีโยแล้ว

.................เง้อ รอดไป


แหล่งข้อมูลการเดินทาง


ก่อนเดินทาง สิ่งที่ต้องหาข้อมูลอีกอย่างคือ
การขอวีซ่า ขอบคุณวราที่ช่วยหาข้อมูลมาให้

แบบฟอร์มได้จากที่นี่
https://docs.google.com/.../edit...

วิธีกรอกข้อมูลวีซ่า ได้จากที่นี่
//topicstock.pantip.com/.../09/E12615711/E12615711.html

ขอบคุณข้อมูลจากเพื่อนๆในพันทิปที่แปะไว้

ประกัน แต่ไม่คิดว่าจะได้ใช้ทำเผื่อๆไป
หลังจากหามาหลายๆเจ้าเลยมาลงตัวที่เจ้านี้
//www.tyha.org/travel-insurance.html
เลือกแบบ ประกันการเดินทาง Oasis Tripper คนละ 370 บาท
สะดวกตรงที่ กรอกข้อมูลทางเน็ตได้ แล้วตัดบัตรเครดิตได้ทันที

ไปพม่าควรทำไว้ ถึงแม้ฟังลุงไข่เล่าเรื่องหมอที่นั่นแล้ว
อาจคิดในใจว่าถ้าไม่สาหัสคงขอประคับประคองมาหาที่เมืองไทยก็เหอะ


จากนั้นก็หาข้อมูล ที่เที่ยว ย่างกุ้งควรไปดูอะไร Bago ควรไปดูอะไร
แต่อันนี้มีไกด์คือลุงไข่เลยไม่ซีเรียส
แต่เราก็ควรหาข้อมูลเพื่อบอกไกด์ หรือ เวลาไกด์เล่าประวัติ
เราจะได้ตามเรื่องทันว่าประวัติที่มาเป็นมาอย่างไร
จะได้อรรถรสในการเที่ยวมากขึ้น
https://maps.google.com/maps/ms...


ที่กินอันนี้ ก็หาข้อมูลจากเพื่อนๆพันทิป
ขอบคุณ คุณเต่าไม่กินผักบุ้งที่ปัก GPS แผนที่ไว้
ช่วยได้มากเวลาที่บอกTaxi ว่าเราต้องการไปร้านไหนบางร้าน
ชื่อเดียวมีหลายสาขาการออกเสียงก็ออกเสียงชื่อร้านไม่เหมือนเรา
อย่างเช่น ร้าน Feel บอกเขาว่าต้องการไปร้าน ฟิล
เขาไม่รู้จักเอาแผนที่ให้ดูเขาเรียกร้านฟี
การมีแผนที่จะช่วยเราได้มาก

ร้านที่เราสนใจเปิดแผนที่ขยายใหญ่แล้วปรินท์ลงในกระดาษ
หรือใช้แท็บเล็ตถ่ายรูปเก็บไว้ ให้เห็นถนนชัดเจนจะช่วยได้มาก
เวลาที่บอกแท๊กซี่ เพราะแท๊กซี่ไม่ใช่ทุกคันที่พูดภาษาอังกฤษได้
ที่จริงปัญหาอยู่ที่เราภาษาห่วยเขาพูดมาไม่รู้เรื่องเสียมากกว่า

ที่สำคัญอีกอย่าง ถ้าหารูปร้านได้ก็ปรินท์ไปด้วย
พอไปถึงจะได้เทียบว่าใช่ร้านที่ต้องการหรือเปล่า


สิ่งของจำเป็นที่ต้องเตรียมไป


สิ่งของที่ต้องเตรียม ก็ต้องขอบคุณวราผู้รอบรู้และรอบคอบ
ที่แปะไว้ให้ว่าอะไรต้องเอาไป ขอลอกมาทั้งหมดเลย

1. บอร์ดดิ๊้งพาส บุ๊กกิ๊งโรงแรม (พิมพ์ไปเลยนะ)

2. แลกเงิน US ปี 2006 ขึ้นไป แบง์ใหม่ ห้ามมีรอบพับ
รอยยับ รอยขีดเขียน แสตมป์บนแบงค์ใดๆๆ ทั้งสิ้น บอกว่า
จะไปพม่านะ กำชับร้านแลกเงินด้วย อันนี้ตอนไปแลก
พอบอกไปพม่า เขาจะคิดเรทแพงขึ้น
จาก 32.10 เป็น 32.20 ต่อ 1 $

3. ร่ม ,เสื้อกันฝน ตอนไปกับลุงไข่ลุงไข่เตรียมร่มให้พร้อม

4. เตรียมถุงพลาสติก + รองเท้าถอดง่าย (รองเท้าแตะ)
เพราะวัดที่พม่า ต้องถอดรองเท้าตลอด

5. เตรียม กระดาษทิชชู่เปียกไปด้วย (สำหรับเช็ดเท้า)
อันนี้ห้ามลืมเด็ดขาด

6. ไฟฉายกระบอกเล็ก ถ้ามีติดไปด้วย เผื่อต้องใช้ที่อินทร์แขวน

7. กระเป๋าเล็ก ไว้ใส่ของขึ้นอินแขวน เพราะเราค้างย่างกุ้ง1 คืน
ก่อน จะฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม แบ่งของเฉพาะที่จำเป็น
ขึ้นไปอินแขวน (จะเดิน หรือนั่งเสลี่ยงแล้วแต่)

8. แบงค์ยี่สิบ แลกไปด้วย เก็บไว้ทำบุญที่พม่า จะได้ไม่ต้อง
แลกจ๊าดเยอะ อันนี้ใช้เยอะมาก ไปพม่าจะมีการขอทำบุญเยอะมาก

9. กรุณางดเสื้อสายเดี่ยว กางเกงขาสั้น ทริปนี้วัดเน้นๆๆ นะจ๊ะ

10. หมวกคลุมผมอาบน้ำ ติดไปด้วย โรงแรมไม่มีให้
ผ้าขนหนูผืนเล็กด้วย อุปกรณ์อื่นถ้ากลัวแพ้

11. อากาศบนพระธาตุอินแขวนค่อนข้างเย็น ใครขี้หนาว
ติดเสื้อกันหนาว หรือ เสื้อแขนยาวไปด้วยนะ

12. ยาพารา ยาแก้ท้องเสีย ยาประจำตัว ยาแก้ปวดเมื่อย
ยาคลายกล้ามเนื้อ อย่าลืมติดไปด้วย
ขอเพิ่มผงเกลือแร่แห้งละลายน้ำดื่มกินตอนเที่ยว
ช่วยเรื่องอ่อนเพลียได้ดี

13. ไม่รู้ร้อนไหม พัด แป้งเย็น ถ้ากระเป๋าว่างติดไปหน่อย

14. ใครที่พัก เกสต์เฮาส์ตอนเช้าโดยมากโรงแรมจะมีไข่ดาวให้
ติดแม๊กกี๊ขวดเล็กไปซักขวดชีวิตจะมีความสุขขึ้น
พักที่มาเธอแลนอิน กินไข่ดาวกับเกลือ และพริกไทย
(ข้อ 14 นี้คุณริวเพิ่มใหม่จากประสบการณ์ตรง : ชมจันทร์)

แต่จากที่ไปมา รองเท้าแตะถอดทิ้งบนรถตลอดเดินเท้าเปล่า
ขึ้นมาใช้ทิชชู่เปียกเช็ดเท้า


การเที่ยวแบบมีไกด์ กับไม่มีไกด์ชีวิตแตกต่างกันมาก


เมื่อก่อนไปเที่ยวก็ไม่เคยจ้างไกด์และมองเป็นเรื่องสิ้นเปลือง
ความคิดเริ่มเปลี่ยนเอาเมื่อตอนไปเที่ยวนครวัด
มีกรุ๊ปทัวร์มาลงมีไกด์คอยบรรยายประวัติ ทำให้เราได้รู้ข้อมูลลึกๆ
ที่เราหาอ่านในหนังสือไม่ได้ อรรถรสในการรับชมก็ต่างกัน

อย่างทริปนี้มีลุงไข่เป็นไกด์ เราจะได้ข้อแนะนำที่ดีๆ
ประวัติสถานที่ความเป็นไป ข้อควรปฎิบัติ
มุมไหนถ่ายภาพสวยไกด์ช่วยเราได้เยอะ
การซื้อของต่อราคาราคาที่ควรซื้อราคาเท่าไหร่
ส่วนจะสามารถต่อรองได้เท่าไหร่ก็อยู่ที่ฝีปากของแต่ละคน
อย่างผ้าถุงบนอินทร์แขวนผืนละ 30 ดอลลาร์

เราก็หันไปถามลุงไข่แพงไหมแกก็จะตอบภาษาไทยว่า
ไปซื้อที่หงสาดีกว่า แกเลี่ยงคำว่า Bago
เพราะคนพม่าจะไม่รู้จักเมืองหงสารู้จักแต่บาโก

ไปถึงบาโกที่วัดพระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียงผ้าลายคล้ายๆ กัน
แม่ค้าบอก 450 บาท เราต่อได้ 180 บาท
ความมันส์อยู่ตรงนี้แหละ ต่อแบบไม่กลัวแม่ค้าตบ

พอแม่ค้าบอกไม่ได้ เราก็บอกไม่เอาลุกขึ้นโดยมากแม่ค้าจะยอม
ถ้าไม่ยอมก็ต้องขอของแถม ซื้อ 1/2 โหล แถม 1 ขวดได้ไหม
หรือซื้อของนี่ 2 ชิ้น แถมชิ้นเล็กได้ไหม อะไรแบบนี้
ซึ่งไปซื้อของพม่าต้องต่อแบบนี้จริงๆ



วันเดินทาง


หลังจากเราเตรียมตัวกัน(คิดว่าพร้อมแล้ว) ก็มาถึงวันเดินทาง
ผมต้องเดินทางจากกระบี่ไปก่อน 1 วัน นอนที่กท.ก่อน 1 คืน
และต้องไปแลกเงิน เป็นดอลล่าร์สำหรับค่าใช้จ่ายค่าห้อง
ค่าไกด์ ค่ารถ และเงินส่วนตัวที่จะไปใช้ที่โน่น

ค่ารถที่ลุงไข่แจ้งราคามาเป็นรถตู้ 15 ที่นั่ง แต่เราไปกัน 12 คน

สรุปค่าเหมารถ
ค่ารถ วันที่ 12 กย. ย่างกุ้ง ไจ้ทีโย 190000 kyath
ค่ารถ วันที่ 13 กยไจ้ทีโย บาโก ย่างกุ้ง 190000 kyath
ค่ารถ วันที่ 14 กย. 113000 kyath
ค่ารถ วันที่ 15 กย. 144000 kyath
รวมค่ารถ 637000 kyath ตก 708 ดอล = 22656

สภาพรถที่ลุงไข่นำมารับ ใหญ่และดีกว่ารถตู้
เป็นมินิบัสเบาะกว้าง นั่งสบาย

ค่าห้องที่ไจ้ทีโย
ลุงไข่เมล์ แจ้งราคามาว่าห้องละ 61 ดอลลาร์
แต่ตอนเจอลุงไข่ มี 2 ราคา คือ 61 ดอลลาร์ กับ 79 ดอลลาร์
สำหรับเราทริปหารเฉลี่ยก็เลยเอา 61 คูณ 3 79 คูณ 3
รวมกัน แล้วหาร 6 ห้อง

ค่าห้องไกด์ที่ไจ้ทิโย คืนละ 30 ดอล
ค่าไกด์ วันละ 25 ดอลล่าร์
ค่าประกันคนละ 370 บาท
ค่าวีซ่า คนละ 810 บาท


Mother Land Inn 2 ห้อง 2 คน คืนละ 30 $
ก่อนเข้าพักราว 2 อาทิตย์โรงแรมได้ขอให้เราจ่ายมัดจำ 1 คืน
เป็นเงิน 150 ดอล ไม่รับบัตรเครดิต ขอให้โอนให้ทางเวสเทริ์นยูเนี่ยน
หลังจากสอบถามหาข้อมูลก็ไปโอนที่ ปณ. ค่าโอนจะถูกสุด (มีโปรอยู่)

แต่เมื่อโอนไปแล้วทางโรงแรมแจ้งว่าไปแลกแล้ว
ได้เป็นเงินจ๊าดไม่ครบตามจำนวนเลยต้องจ่ายเพิ่มไปอีก 15 ดอลล่าร์
สำหรับคืนแรก แต่ค่าห้องคืนหลังๆที่ไปจ่ายที่โรงแรมไม่มีปัญหา
จ่ายเป็นดอลล่าร์ตามที่ตกลงกันไว้

Mother Land Inn มีรถรับส่งสนามบินฟรี พร้อมอาหารเช้า
อาหารเช้าจะมี ชา กาแฟ น้ำส้ม ขนมปัง เค้ก กล้วย ไข่ดาวหรือไข่เจียว
ถ้าต้องการอาหารพม่าเช่น ขนมจีนน้ำยาปลาที่พม่าเรียก Monhingar
ก็แจ้งทางโรงแรมไว้ก่อนแจ้งห้องไว้เช้าเขาก็จะซื้อมาแกะใส่ถ้วยให้

หรือต้องการข้าวผัดผัก หมู กุ้ง ก็สั่งได้ ราคาจานนึงประมาณ 50 บาท
แต่ต้องบอกว่าจานใหญ่มาก 1 จาน ทานได้ 2-3 คนเลยทีเดียว
ข้างผัดอร่อยครับที่นี่

อย่างแรกที่ต้องทำคือแลกเงินไปพม่าใช้เงินเท่าไหร่
ถึงพอตามประสาคนเบี้ยน้อยหอยไม่มี 2 คน ตัดสินใจแลกไป 1 หมื่นบาท
ได้มาประมาณ 300 ดอลเป็นค่าข้าว ค่าแท๊กซี่ ค่าซื้อของ
ไม่รวมค่าเข้าชมสถานที่ที่ประมาณไว้คนละ 30ดอลลาร์แลกไว้ต่างหาก
และขอแลกเพื่อน เป็นธนบัตรใบละ 1 $ 5 $ 10 $ ไว้เป็นค่าเข้าสถานที่



เครดิตภาพ : จำไม่ได้ว่าใครถ่าย กล้องคุณริว คุณชาติ
ถ่ายที่สนามบินดอนเมือง ระหว่างรอขึ้นเครื่องบินไป Yangon



ภาพจากแท็บเล็ตเราจ้า



เที่ยววันแรก วันที่ 11 กันยายน 2556


เราไปกัน 10 คน อีก 2 คน คือคุณตุ๊ก คุณหมูจะตามมาวันพรุ่งนี้
เมื่อเดินทางถึงสนามบินบิงกาลาบา ผ่านตม.ออกมาอย่างแรกที่ทำ
คือแลกเงินเป็นจ๊าด ธนาคารที่เรทดีที่สุด คือธนาคาร KBZ

วันที่ผมไป ได้ 1 $ 975 K แต่เป็นธนบัตรฉบับใบละ 100 $
ถ้าเป็น 50 $ เรทก็จะต่ำลงมา หรือใบละ 10 $ 5 $ 1 $
เรทก็จะต่ำลงมาอีก (อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร)
ดังนั้นเรทดีที่สุดก็ ใช้ใบละ 100 $ ไปแลก

แนะนำว่าแลกที่สนามบินเรทไม่ต่างจากข้างนอก
และได้ธนบัตรค่อนข้างใหม่ ไม่ต้องกลัวเงินไม่ครบ
ไม่ต้องรีบค่อยๆนับ ส่วนตัวผม 2 คนชาติแลกไปแค่ 100 ดอล
อันที่จริง ควรแลกไปซัก 200 ดอล เพราะว่าไปพะโค
ไปอินแขวน ต้องใช้เงินจ๊าดหมดเลย







รถรับส่งสนามบินของโรงแรม
ดีกว่าที่คิดไว้มากเลย ^^

หลังจากเดินออกมาก็มาเจอกับพนักงานของ Mother Land Inn 2
ชูป้ายรอต้อนรับอยู่ หลังจากนักท่องเที่ยวมาครบ
รถก็จะพาขับชมเมือง โดยปรกติ จากสนามบินกลับไปโรงแรม
ใช้เวลา 1 ชม แต่เนื่องจากรอบเช้า โรงแรมจะพาเราวนดูสถานที่ต่างๆ
เช่นทะเลสาบอินยา เจดีย์ ชเวดากอง เจดีย์สุเหร่ (SULE)
ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ในการนั่งรถ



เครดิตภาพ : คุณริว คุณชาติ


เมื่อมาถึงโรงแรมก็จะเลี้ยงอาหารเช้าเราก็รีบสนองศรัทธาเพราะหิว
อาหารสามารถสั่งเป็นภาษาไทยได้ เช่น ไข่ดาว ไข่เจียว ข้าวผัด
หลังจากทานอาหารเช้าก็ทำการเช็คอินเอากระเป๋าไว้แล้วก็ออกไปเที่ยว



ห้องพักที่โรงแรม


ทีมที่ไป 10 คน 3 คนขอแยกไปเที่ยวที่อื่น ส่วนเรา 7 คน ไปพิพิธภัณฑ์
สิ่งแรกที่ทำก่อนออกจากโรงแรมคือ หยิบนามบัตรกับแผนที่ ของโรงแรม
เพราะในนามบัตรจะมีชื่อโรงแรมเป็นภาษาพม่า
พร้อมที่อยู่จะช่วยให้การสื่อสารกะแท๊กซี่ง่ายขึ้น



พิพิธภัณฑ์แห่งชาติพม่า


การเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ต้องมีเวลาอย่างน้อย 3-4 ชม.
เพื่อที่จะได้ชมอย่างไม่รีบ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติพม่า
หน้าพิพิธภัณฑ์มีรูปปั้นกษัตริย์พม่าสีทองเหลืองสามองค์ได้แก่

บุเรงนอง (Bayinnaung) กษัตริย์องค์ที่สามแห่งราชวงศ์ตองอู

อโนรธา (Anawrahta) ปฐมกษัตริย์พม่าแห่งราชวงศ์พุกาม

อลองพญา (Alaung Min Tayar) ปฐมกษัตริย์พม่าแห่งราชวงศ์คองบอง
ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายก่อนที่จะตกเป็นของสหราชอาณาจักร

ก่อนเข้าพิพิธภัณฑ์จะต้องเอาของฝากไว้ที่ล็อกเกอร์
เก็บกุญแจไว้มือถือที่ถ่ายรูปได้ก็ห้ามนำเข้าไป
ห้ามถ่ายรูปภายในโดยเด็ดขาด ค่าเข้าชมคนละ 5 $
ขอบอกก่อนว่าจำได้ไม่แม่นเรื่องข้อมูลอาศัยระลึกชาติเอา
เพราะไม่ได้จด รูปก็ไม่มีจะเอามาเทียบเคียงยืนยัน





พิพิธภัณฑ์มีทั้งหมด4 ชั้น

ชั้นแรกวิวัฒนาการและลักษณะตัวอักษรของพม่า วรรณกรรม
บัลลังก์ เครื่องใช้ของกษัตริย์สีป่อ (Thibaw)
ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่า
เสื้อผ้า วังบุเรงนองจำลอง
พระเจ้าสีป่อกษัตริย์แห่งราชวงศ์อลองพญา และเป็นองค์สุดท้ายของพม่า
มเหสีชื่อพระนางศุภรัติฟังลุงไข่เล่าให้ฟังพระนางศุภรัติน่ากลัวมาก
ถ้าเพื่อนๆสนใจลองตามอ่านจาก //www.bloggang.com/viewdiary.php... นี่ดูครับ
หรือหาในกูเกิ้ลพิมพ์ชื่อ พระนางศุภรัติ ดู

ชั้นที่สอง แสดงเกี่ยวกับวัฒนธรรม ดนตรี และนาฏศิลป์พม่า

ชั้นที่สามแสดงถึงภาพวาดทั้งแบบดั้งเดิมและแบบร่วมสมัย
พระพุทธรูปเครื่องประดับโบราณที่ใส่ในกระจก ติดกรงเหล็กแน่นหนา
และไว้ไกลมากจนแทบมองไม่เห็นลวดลาย แต่ก็มีที่น่านสนใจพวก
มงกุฎทอง ของใช้เก่าๆที่เป็นทอง รูปปั้นกษัตริย์แต่ละองค์ของพม่า
ต้องบอกว่ารูปปั้นหล่อล่ำมาก ถืออาวุธต่างกัน

ชั้นที่สี่ มีฟอสซิล ขวานหิน ยุคหิน

ถ้าหากเวลาน้อยก็ตัดพิพิธภัณฑ์ไปเลยครับ
ถ้าไปแล้วไม่สามารถใช้เวลานานๆก็รู้สึกไม่คุ้ม
ผมใช้เวลาที่นี่ราว 4 ชั่วโมง ที่ชอบที่สุดก็น่าจะเป็นชั้น 1 ครับ
เห็นประตูจำลองของวังบุเรงนอง ของใช้ของกษัตริย์พม่าโบราณ
แต่ตอนนั้นไม่มีความรู้มาถามลุงไข่เอาทีหลัง กับชั้น 3
ที่เป็นเครื่องประดับ พระพุทธรูป

ตอนเข้าไปได้ยินเสียง ทุบปึงปังก็นึกว่าที่นี่มีการทอผ้า
หรือสาธิตการตีเหล็ก ที่ไหนได้ช่างกำลังทุบห้องน้ำชั้น 2 และ 3

ถ้าต้องการไกด์เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ เขาก็มีไกด์ให้
แต่ไม่ได้ถามราคามา พอมาถึงเราก็แยกกันไปเป็นกลุ่ม ๆ
เลยไม่จ้างไกด์

ออกจากพิพิธภัณฑ์ เราก็ไปลองอาหารพม่ากัน
ถามเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ ถึงทางไปบอกร้าน Feel
ปรากฎว่าไม่มีคนรู้จักร้านนี้ถึงจะพยายามอธิบายว่าเป็นร้านอาหารพม่า
จนดึงเอาแผนที่ ที่ปรินท์มาให้ดู เลยถึงบางอ้อ
คนพม่าเรียกร้านฟีพร้อมชี้ทางให้ไป


ร้าน Feel


ร้านFeel เป็นร้านอาหารพื้นเมือง แกงต่างๆทำไว้เหมือนร้านข้าวแกงบ้านเรา
เอาแกงอะไรก็ชี้ๆเอาเขาจะตักให้แล้วนำไปเวฟให้ร้อน
ก่อนนำมาเสริฟ ต้องบอกว่าอาหารพม่าจะออกแนวแบบแกงเเขก
จะมีน้ำมันเยอะ กลิ่นเครื่องเทศ รสชาติออกเค็มๆ
ลุงไข่บอกว่าแกงพม่าจะใส่น้ำมันเยอะๆ
เพราะจะบอกว่าเป็นคนรวยกินน้ำมันเยอะๆๆ



เครดิตภาพ : คุณริว คุณชาติ


ทุกโต๊ะจะมีน้ำพริกมาเสริฟพร้อมผักต้มน้ำพริก
ไม่ได้ฟรีนะครับชุดละ 500 K ประมาณ 15 บาท
เครื่องเคียงที่เราไม่รู้จักอีกสารพัด มีหอมแดง พริกแห้งผัด
สรุปอาหารพม่าที่ถูกปากผมที่สุดคงเป็นน้ำพริกนี่แหละกับปลาทอด
รสชาติคล้ายน้ำพริกปลาร้า ขอน้ำแข็งบอกพนักงานว่า เหย่เกโตะ
ปรากฎว่าได้น้ำเย็นมาถือว่าดีแล้ว
ที่พม่าหาน้ำแข็งกินยากมาก

สอบถามลุงไข่ ลุงไข่บอกว่าคนพม่านิยมกินน้ำร้อนหรือน้ำชา
ไม่นิยมกินน้ำแข็งหรือน้ำเย็น คุณบุ๋มออกไปสั่งของทอด
ปูทอด กุ้งทอดปอเปียะใช้วิธีเลือกๆใส่จานแล้วเขาตีราคาเอา
เขาก็นำไปทอดใหม่ให้ทานร้อนๆอร่อยดี
ราคาอาหารก็ไม่แพงตกคนไม่ถึง 100 บาท

ออกมาหน้าร้านเจอ ที่เก็บร่มแบบเสียบแล้วมีกุญแจล๊อคให้ด้วย
คาดว่าทางร้านไว้บริการลูกค้า


เจดีย์ชเวดากอง


จากนั้นก็เดินไปเจดีย์ชเวดากองเพราะดูจากแผนที่แล้วไม่ไกล
เราไปด้วยความไม่รู้ว่าต้องเข้าทางประตูไหน
และฝนที่กำลังตกลงมาตามที่อ่านข้อมูลก่อนไปบอกว่านักท่องเที่ยว
ให้เข้าทางประตูทิศใต้เพราะต้องจ่ายเงินค่าเข้า
ไปถามกับคนกวาดถนนแถวนั้น เขาก็บอกว่าให้ไปทางประตูตะวันตก
แล้วก็พยายามช่วยเหลือเต็มที่ แทบจะพาเราข้ามถนนไปส่ง
ก็ขอบคุณมากนะครับ แม้จะสงสัยว่าทำไมถึงแนะนำทางตกนักหนาก็เถอะ



เครดิตภาพ : คุณริว คุณชาติ

พอไปถึงทางเข้าด้านตะวันตก เสียค่าเข้าสำหรับชาวต่างชาติเรียบร้อย
คนละ 5 $ ถ้าจ่ายเงินK จะเสียคนละ 5500 K
ซึ่งจ่ายเป็นดอล จะถูกกว่า รองเท้าก็เอาใส่ถุงใส่เป้
ถึงพนักงานจะบอกว่าฝากได้แต่เท่าที่อ่านมา
ถ้าฝากก็ต้องจ่ายอีกคนละ 500 K
อีกอย่างเราไม่รู้ว่าขากลับเราจะกลับทางไหนต้องมาหารองเท้าอีก
แล้วพบว่า ทางประตูฝั่งนี้จะมี บันไดเลื่อน มีประตูตรวจจับอาวุธด้วย

หลังจากขึ้นไป เท่าที่ผมสำรวจดู เหมือนจะมีบันไดเลื่อน
แค่ทางประตูตะวันตกนะ แต่ไกด์บอกว่า มีลิฟท์ทุกประตู
แต่ไม่รู้ลิฟท์ อยู่ตรงไหน


เครดิตภาพ : คุณชาติ
สถานที่ เจดีย์ชเวดากอง



เนื่องจากไม่รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับชเวดากอง แม้ที่จะอ่านมาแล้ว
แต่ข้อมูลของแต่ละที่มันไม่ตรงกัน ก็งมกันหน่อย ผมก็เดินสำรวจ
แยกแยะหนูของคนที่เกิดวันพฤหัสไม่ออก เขาบอกว่าเป็นหนูตะเภาใหญ่
วันศุกร์ เป็นหนูเล็ก พอดูรูปปั้น มันคือหนู รึหมู
แต่จริงๆง่ายที่สุดให้สังเกตุประตู ส่วนหนูให้สังเกตุหาง
วันพฤหัสหนูหางยาว วันศุกร์หนูหางสั้น หรือหางกุด

อย่างผมกับชาติ เกิดวันศุกร์ วิธีการเข้าไปไหว้พระที่ถูกต้อง
การรดน้ำสัตว์มงคลประจำวันเกิดต้องทำอย่างไร
อาศัยที่อ่านมาก็รดผิดตัว เพราะแยกไม่ออก
อันไหนหนูใหญ่อันไหนหนูเล็ก เลยรดทั้ง 2 ตัว เผื่อเหลือดีกว่าขาด

และเราก็มั่วๆกันไป เดินดูไปรอบๆ เจอพระพระพุทธรูปตรงไหนก็ไหว้
จากนั้นก็ดูความงดงาม สีทองอร่ามตา ก็ส่องดูยอดเจดีย์ไปหลายรอบ

คนไทยจะให้ความสำคัญกับปีเกิด เช่น ชวด ฉลู ขาล ....
แต่คนพม่าจะให้ความสำคัญกับวันเกิด จันทร์ อังคาร พุธ ....
เราไปกันแบบไม่รู้ การเข้าไปไหว้พระที่ถูกต้องต้องเข้าทางประตูไหน
เดี๋ยวจะพยายามเขียนวิธีที่ถูกต้องให้ในวันที่ 4 ที่ลุงไข่พาไป

การซื้อดอกไม้ ดอกไม้ของคนที่เกิดแต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน
อันนี้ก็มารู้วันหลังที่ลุงไข่พา
รอบนี้พวกเราก็ไม่ได้ซื้อดอกไม้ไปไหว้
แต่ไปชมเจดีย์และถวายเงินทำบุญ

นั่งบ้าง นอนบ้าง เดินเล่นบ้าง ที่นีจะมีแท๊งน้ำเย็นให้
แต่แก้วที่ใช้กินร่วมกัน พวกเราได้แต่ดูแต่ไม่กล้าใช้แก้วร่วมกะคนอื่น
แนะนำว่าควรพกขวดน้ำไปทานเอง ถ้าทานน้ำหมด
สามารถไปกดได้ น่าจะสนิทใจกว่า


วันที่เราไปฝนตกพื้นค่อนข้างเปียก ชาวพม่า ก็มาเดิน มานั่งเล่น
นั่งสมาธิ รวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ กันแถวเจดีย์กันเป็นปกติ
พื้นเจดีย์ที่เปียกไม่ได้ทำให้คนพม่าย่อท้อ
ก้มลงกราบแบบไม่กลัวสกปรกเห็นถึงแรงศรัทธาของคนพม่า
จนตอนเย็นก็มีการช่วยกัน เช็ดพื้นโดยใช้ม๊อบและไม้กวาดกวาดน้ำ
เช็ดพื้นให้แห้ง

ตอนเย็นมีพระขึ้นไปเดินบนเจดีย์ ก็สงสัยว่าพระขึ้นไปทำอะไร
หรือขึ้นไปชมวิวมุมสูงแล้วเราจะขึ้นไปได้ไหมแต่ก็ไม่ได้ถามใคร
จนมาถามลุงไข่ เลยได้ความรู้ว่าทุกเย็น
พระท่านจะขึ้นไปเดินดูว่ามีของมีค่าแผ่นทองที่หุ้มเจดีย์
หลุดออกมารึเปล่าจะได้เก็บและเอาไปซ่อมแซม

พอนั่งจนเบื่อ ก็ออกไปเดินต่อตอนใกล้ค่ำ
แล้วไปหยุดอยู่จุดนึงเป็นมุมที่สวย แล้วก็นั่งไปถ่ายรูปตรงจุดนั้นไป
เจดีย์สีทอง ท้องฟ้าสีน้ำเงิน ก็ถ่ายรูปกันไป
โดยไม่รู้เลยว่านี่คือจุดหนึ่งทีเป็นไฮไลท์ของชเวดากอง


เครดิตภาพ : คุณชาติ



เครดิตภาพ : กล้องคุณตุ๊ก
สถานที่ เจดีย์ชเวดากอง






สงบใจ ที่ชเวดากอง. ด้วยเวลาส่วนใหญ่ของวันนี้
ชอบตอนแสงตะวันส่องก่อนพลบค่่ำ ยามฟ้ามืดมีไฟประดับสวยงาม


ตลาดสก๊อต หรืออองซานโบจ๊ก


พอค่ำ ก็ชวนเพื่อนสมาชิก ไปตลาดโบจ๊ก
โดยออกทางโดยออกทางทิศใต้
ด้วยความงกค่าแท๊กซี่ถามสมาชิกเดิน 2 กม.ไหวไหม
ทุกคนบอกว่าไหวเลยพากันเดิน
ทั้งๆที่จริงแล้วควรนั่งแท๊กซี่ เก็บแรงไว้เดินเที่ยวจะดีกว่า

ค่าแท๊กซี่พม่าไม่ได้แพง คิดว่าค่ารถ 1 คัน ต่อ 3 คน
ไม่น่าจะเกิน 1500-2000 K น่าจะประมาณ 50-60 บาท
3คนหารกันก็ตกไม่กี่บาท ทางก็เปลี่ยว
แต่ไปกันหลายคนไม่กลัวอะไร

ตอนแรกตั้งใจจะไปหาร้านอาหารไทย APK เพื่อทานมื้อค่ำ
แต่เราเดินมาผิดด้านจริงๆต้องข้ามสะพานลอย ไปอีกฝั่ง
จะเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งก็ไม่ได้ เพราะมีราวเหล็กกั้นตรงกลาง

แต่เอาเถอะ เดินเหนื่อยแล้ว เลยหลบไปห้องน้ำที่ Park Sorn
ห้างใหม่ที่ติดกับตลาดโบจ๊กรับแอร์เย็น ๆ
ก่อนที่จะตัดสินใจเดินต่อไปหาอะไรกิน
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เดินไปไหน เพราะทุกคนเหนื่อย
เลยตัดสินใจเลือกร้านอาหารที่มาจากสิงคโปร์ตรง ParkSorn
นั่นเอง และพบว่า นอกจากแพงแล้ว
รสชาติยังแย่มากอีกด้วย

ที่จำได้แม่นคือ หมี่สยาม ที่ในรูปเหมือนต้มยำกุ้ง แต่เอาเข้าจริง ๆ
เหมือนขนมจีนในแกงกะหรี่ ที่รสชาติไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
จนต้องขอเกลือมาปรุงรสถึงพอจะทานได้ด้วยความเสียดาย
พวกเราเลยเปลี่ยนชื่อมันเป็น หมี่สยอง แทน

เสร็จจากอาหารมื้อทรมานเดินออกมาเรียกแท๊กซี่
จากตลาดโบจ๊กไปมาเธอร์แลนด์อินน์
ด้วยการเอานามบัตรโรงแรมให้คนขับแท๊กซี่ค่ารถคันละ 2000 จ๊าด
ก็นั่งแท็กซี่กลับโรงแรม

จบไป 1 วัน


ผู้เขียน : คุณริว ผู้นำทริปพม่าทริปนี้



............... โปรดติดตามตอนต่อไป

//www.facebook.com/moonwatcherBP


มิงกาลาบา ตอน 2 : เที่ยวเมืองหงสา มุ่งหน้าสู่อินทร์แขวน
คลิกที่นี่





 

Create Date : 26 กันยายน 2556    
Last Update : 2 ตุลาคม 2556 13:11:32 น.
Counter : 3836 Pageviews.  

เที่ยวมาเลเซีย ไปเองได้...สบายใจ

สวัสดีค่ะ เมื่อวันที่ 22 - 25 กันยายน 2555
เรามีโอกาสซื้อตั๋วเครื่องบินราคาประหยัด
ของสายการบินแอร์เอเชีย
ไปเที่ยวมาเลเซียแบบประหยัด ๆ กันมาค่ะ

ทริปนี้นับว่าเป็นการเดินทาง
ไปเที่ยวมาเลเซียครั้งแรกของเรา
ซึ่งเที่ยวเองแบบไม่ได้เตรียมข้อมูลไว้มากมายนัก
เที่ยวแบบหลงบ้าง
ถามทางเป็นระยะบ้าง
เปิ่นๆ เวิ่นเว้อ
โชว์ความไม่รู้ (...แอบโง่) ก็บ้าง

ลองมาดูกันค่ะ
.....ว่าเราไปเที่ยวกันมาอย่างไร



สรุปการเที่ยวคร่าว ๆ




ขาไป Saturday 22 September 2012
เที่ยวบิน AK 831
ออกจาก Suvarnnabhumi (BKK) เมื่อ 10:00 AM
ถึงที่ Kuala Lumpur LCCT (KUL) เมื่อ 1:10 PM

เราไปเช็คอินกันตั้งแต่ 7.00 น.
อัตราแลกเปลี่ยนเงินที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ธนาคารทหารไทย



ไปถึงสนามบิน LCCT แล้วค่ะ
แล้วเราก็พบว่าช๊อคโกแลตที่ Duty Free ในสนามบิน
ราคาถูกกว่าร้านข้างนอกสนามบิน
(อันนี้มารู้วันสุดท้ายหลังจากที่ซื้อร้านข้างนอกไปแล้ว)



เพื่อนเขานั่งกินข้าวกัน
ส่วนเรานั่งดู
และก็ถ่ายภาพอาหารที่เขากิน



ด้านหน้าสนามบิน LCCT




เดินออกมาที่ Platform 1
ขึ้น รถ Skybus จากสนามบิน LCCT
เข้าเมืองกัวลาลัมเปอร์ ปลายทาง KL Sentral
เราซื้อไว้ล่วงหน้าจากเว็บไซต์ Airasia
ราคาไปกลับคนละ 160 บาท
จะนั่งเที่ยวใดก็ได้
ขึ้นไปนั่งบนรถแล้วโชว์เอกสาร
ที่ print มาจากเว็บไซต์ได้เลยตามภาพ



สุดสายรถ Sky Bus ที่ KL Sentral
นั่งรถไฟใต้ดิน LRT
ไปสถานี Ampang Park
คนละ 2 ริงกิต



ถึงสถานีแล้ว
ดูแผนที่ยังงงๆ
ตัดสินใจออกทางป้ายที่มีคำว่า City Bank
แล้วถามทางเอา



ถ้าไปโรงแรมที่เราพัก
พอถึงสถานี Ampang Park
ให้ดูป้ายทางออก
อย่าออกตามป้ายที่มีคำว่า Citybank จะไปผิดทาง
ให้ออกตามป้ายชื่อถนน Jalan Tun Rasak
จะโผล่ที่ Ampang Park Shopping Centre



การไปโรงแรม D Villa Residence
ให้มุดใต้ดินออกทาง Ampang Park Shopping Centre
สามารถนั่งรถเมล์สาย 79
ราคาคนละ 1 ริงกิต ไปแค่ 1 ป้ายรถเมล์
เพื่อไปลงป้ายรถเมล์หน้าสถานเอกอัครราชทูตไทย



จาก Ampang Park Shopping Centre
สามารถเดินไปที่โรงแรม D Villa Residence ได้

ชื่อโรงแรม: D Villa Residence Hotel
ที่อยู่: 225, Jalan Ampang
เขต/เมือง/ประเทศ: KLCC/Kuala Lumpur/Malaysia




โรงแรมอยู่ฝั่งตรงข้ามสถานทูตไทย
........หาง่าย



หรือนั่งรถเมล์สาย 79 คนละ 1 ริงกิต
แต่เอาแบบสะดวกที่สุด คือ นั่งรถแท็กซี่มิเตอร์มาจาก KL Sentral
หรือนั่งรถแท็กซี่มิเตอร์ จากสถานีรถไฟใต้ดิน Ampang Park
สะดวก ที่สุด และราคาไม่แพงเลย
ค่ารถแท็กซี่มิเตอร์ที่กัวลาลัมเปอร์
ถูกกว่ากรุงเทพ ฯ มากมาย


หลงทางกว่าจะมาถึงโรงแรมได้
ทำเอาเหนื่อย



เข้าไปในโรงแรม D Villa Residence
เห็นร้านพิซซ่าที่ล็อบบี้



เราจองที่พักจากอโกด้า
แบบสองห้องนอน
ราคาตามนี้



พอเข้าไปในห้องพักต้องร้อง โอ้โฮ..

ดีกว่าที่คิดไว้เยอะมากๆ



มีครัวเล็กๆ ให้



ตอนที่จองได้รีเควสกับอโกด้าไว้ว่า
ขอห้องที่มองเห็นวิวตึกแฝด
ก็ได้ตามที่ขอ คือ สามารถมองเห็นตึกแฝดที่สำคัญ
มองเห็นสถานทูตไทยให้อุ่นใจด้วยค่ะ

ห้องนอนใหญ่



ห้องนอนเล็ก


เรากับพี่สาวพักห้องนี้ค่ะ
ห้องมีกลิ่นบุหรีเล็กน้อย



ห้องพักแบบสองห้องนอนมีห้องน้ำห้องเดียว
ให้ใช้ร่วมกัน ไม่มีอ่างอาบน้ำค่ะ
ห้องน้ำสะอาดดี ^^




เดินไปกินมื้อเย็น
ที่ Ampang Park Shopping Centre
ร้านอยู่ชั้นล่าง
และซื้อน้ำผลไม้ ของกินจาก supermarket ในห้าง



ยามค่ำคืน หากมองจากห้องนั่งเล่น
และระเบียงจะเห็นความสวยงาม
ของตึกแฝด
หรืออาคารหอคอยคู่เปโตรนาส 
(Petronas Twin Towers) ชัดเจน



อาหารเช้าที่ D Villa Residence Hotel
เป็นแบบบุฟเฟต์ ก็ดีค่ะ




มีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตให้ใช้ฟรี
ฟิตเนส สระว่ายน้ำฟรี
ในห้องเรามีสาย LAN ให้ใช้เน็ตฟรี
แต่ไวไฟนั้น มีให้เป็นบางจุดของโรงแรมเท่านั้น
ใช้ไวไฟในห้องพักไม่ได้



เที่ยวมาเลเซียวันที่สอง
ช่วงเช้านั่งรถเมล์สาย 79
ราคาตั๋วคนละ 1 ริงกิต ไปเดินเล่นที่ KLCC



มื้อกลางวัน



เที่ยวมาเลเซียวันที่สอง

ช่วงบ่าย HALF DAY KUALA LUMPUR CITY TOUR
ซื้อทัวร์จากเว็บไซต์ Airasiago
ช่วงโปรโมชั่น AAE BIG SALE

HALF DAY KUALA LUMPUR CITY TOUR

Half-day Kuala Lumpur City Tour
(Seat in coach basis) which includes ,
old world Moorish architecture
and other famous landmarks
of this vibrant modern capital of Malaysia,
interesting sights include Kuala Lumpur t
rademark Sultan Abdul Samad Building,
Independence Square, Jamek Mosque,
Lake Gardens, Parliament House,
National Monument, King’s Palace,
China Town, Petronose tower,
and a handicraft centre.


รถตู้มารับที่โรงแรมเวลา 13.00 น.
จากเดินที่ระบุไว้ในโปรแกรม 14.30 น.
เพราะต้องไปตระเวนรับลูกทัวร์คนอื่นๆ



แวะรับผู้โดยสารโรงแรม Citrus



ระหว่างทางได้พบเห็นสถานที่
สวยงามแปลกตาเยอะแยะที่นั่งรถผ่าน



จุดแรกที่แวะคือ
พระราชวังอิสตานาเนการา(Istana Negara Palace)
ลงจากรถเจอทั้งฝนตก และแดดออก




จุดที่สองอนุสาวรีย์ผู้กล้าแห่งมาเลเซีย



ภาพนี้นั่งรถผ่าน ไม่ได้จอดรถแวะชม




จุดที่สาม Masjid Negara   
"มัสยิดแห่งชาติ" (National Mosque)
ได้แวะชมและถ่ายภาพเพียงด้านนอก
เนื่องจากเวลาจำกัด



ใกล้ๆ กันนั้นเป็นสถานีรถไฟกัวลาลัมเปอร์




จุดที่สี่
KUALA LUMPUR CITY GALLERY




เข้าชมฟรี
มีการแสดงนิทรรศการ
วีดิทัศน์ประกอบแสงสีเสียง



มุมขายของที่ระลึก



เดินเล่นที่จตุรัสเมอร์เดก้า
(Dataran Merdeka)
หน้า KUALA LUMPUR CITY GALLERY




ไกด์พาไปซื้อของฝาก
ได้กาแฟรสทุเรียนมา
อร่อยมากๆ ชอบมากๆ



จุดที่ห้าซึ่งเป็นจุดสุดท้ายคือ
ตึกแฝดเปโตรนาส

จากนั้นไกด์ก็จะพาเรากลับไปส่งที่โรงแรม



แต่เราขออำลาไกด์ผู้ใจดี
นั่งรถ Go KL City Bus
ไปเที่ยวกันต่อ




มีบริการรถบัสฟรี 2 เส้นทาง
มีฟรีไวไฟบนรถด้วยจ้า

สายสีเขียว

KLCC -- Bukit Bintang -- KLCC :

1. KLCC - Interchange to KLCC LRT station
2. Angkasaraya
3. Malaysia Tourism Centre - Interchange to Bukit Nenas Monorail station
4. Concorde Hotel
5. Hap Seng Tower
6. The Weld
7. Wisma Lim Foo Yoong
8. Pavillion Kuala Lumpur
9. HSBC Bukit Bintang - Interchange to Purple line and Bukit Bintang Monorail Station
10. Raja Chulan Monorail station.
11. Crown Regency and Apartment
12. City Bank
13. Atlan Tower



สายสีม่วง
Pasar Seni - Bukit Bintang - Pasar Seni :
1. Pasar Seni - Interchange to Pasar Seni LRT station
2. Bangkok Bank
3. Telekom Museum
4. Olympia Tower
5. KL Tower
6. The Weld
7. Wisma Lim Foo Yoong
8. Pavillion Kuala Lumpur
9. HSBC Bukit Bintang - Interchange to Purple line and Bukit Bintang Monorail Station
10. Boustead Tower
11. Wisma MPL
12. St Andrew's Church
13. Telekom Museum
14. Kota Raya


สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ
//www.mypublictransport.com/2012/09/go-kl-city-kuala-lumpur-free-bus.html

คลิกที่นี่


เรานั่งสายสีเขียวไปลงที่ Bukit Bintang
ที่นั่งมีห้างสรรพสินค้ามากมายใหญ่บึ้ม
เดินจนปวดขา




ขากลับนั่งรถฟรีสายเดินวนกลับมาที่ KLCC

เห็นแสงไฟฟระดับตึกแฝด
สวยงามเหมือนดังตึกนั้นทำจากคริสตัลเนื้อดี

แวะ Ampang Park Shopping Centre
ก่อนกลับโรงแรมด้วยรถเมล์สาย 79 สายเดิม
เพราะรู้จักอยู่แค่สายเดียว ..ฮา !

เที่ยวมาเลเซียวันที่สาม
เกนติ้ง ไชน่าทาวน์ Central Market ปุตราจายา

ออกจากโรงแรม 8.45 น. นั่งรถเมล์สาย 79
ไปที่สถานีรถไฟใต้ติน Ampang Park
ไปยัง Kl Sentral ถึงที่นั่นประมาณ 9.30 น
ซื้อตั๋วรถบัสรวมกระเช้าไปเกนติ้ง



ถ้าไม่อยากรอนานเหมือนเรา
ควรมาซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้าค่ะ



ตู้ฝากสัมภาระแถวๆ หน้าห้องน้ำใน KL Sentral



จุดขึ้นรถอยู่ชั้นล่างสุด
ใกล้กับรถ Sky Bus



ขึ้นรถ 11.30 น.
ไม่นานก็ถึงเกนติ้งแบบ ชิลล์ๆ เวลา 12.20 น.
เราลงที่สถานีที่จะขึ้นรถกระเช้า Genting Skyway



ต่อแถวยาวเหยียด
รอขึ้นกระเช้า
ใช้ตั๋วกระเช้าที่ซื้อมาจาก Kl Sentral




ถึงจุดหมายแบบงงๆ
อากาศเย็น ๆ ควรเตรียมเสื้อแจ๊คเก็ตไป

จุดหมายปลายทางของกระเช้าคือ
โรงแรม Highlands
เราเดินออกจากโรงแรมแบบงงๆ
มาขึ้นรถบัสฟรีไปที่โรงแรม First World




ไปถึงโรงแรม First World
หาข้าวกินก่อน ร้านมีให้เลือกเยอะแยะ เลือกได้ตามความพอใจ



เรากินข้าวราดแกง



ไปเดินเล่นกัน



ริบลีย์ก็มี



สวนสนุก



เมืองหิมะ



คาสิโน



นั่งรถบัสจากเกนติ้งกลับ KL
สถานีรถบัสอยู่ด้านหน้าของโรงแรม First World



ก็จะมีบริษัทต่างๆ ไปสเ้นทางต่างๆ
มีที่นั่ง มีร้านขายของกิน



ซื้อตั๋วกลับกัวลาลัมเปอร์

เวลาออกสี่โมงเย็น



นั่งรถบัสจากเกนติ้งกลับถึง KL แล้ว



จากปลายทางรถบัส
เราขึ้นรถไฟฟ้าไปที่ไชน่าทาวน์
สถานี Plaza Rayak ราคา 1.20 ริงกิต



จากรถไฟฟ้าก็จะถึงไชน่าทาวน์พอดี



แวะชิมของข้างทาง



Petaling Street
ถนนคนเดินย่านไชน่าทาวน์
มีเสื้อยืดที่ระลึก ของฝากต่างๆ ราคาถูก



สามารถเดินทะลุรถไฟฟ้า
สถานี Pasar Seni



เข้าห้องน้ำสาธารณะ
เห็นรถ Go KL City Bus ก็กระโจนขึ้นไปแบบไม่คิด
เป็นรถสายสีม่วง
Pasar Seni - Bukit Bintang - Pasar Seni
วนกลับมาที่เดิมแบบงงๆ
ระหว่างทางผ่าน Central Market
จึงกะว่าจะแวะดูหน่อย



จากป้ายรถเมล์เดินข้ามถนนไปที่
Central Market

ข้าวของน่าซื้อดีค่ะ

รีบร้อน ไม่ได้แวะดูเท่าไหร่



สองทุ่มครึ่ง
ออกจาก Central Market
สถานี Pasar Seni คนละ 1 ริงกิต ไป Kl Sentral

ต่อรถ KLIA Transit
ไปที่ปุตราจายา คนละ 9.50 ริงกิต
ใช้เวลานั่งรถเพียง 20 นาทีเท่านั้น



ไปถึงก็สามทุ่มครึ่งแล้ว
สุ่มนั่งรถเมล์ วนรอบเมืองหนึ่งรอบ แล้วกลับมาที่เดิม
ได้เห็นมัสยิดสีชมพูประดับไฟงามๆ ก็คุ้มแล้ว
นอกนั้นเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ
ช่างเต๊อะ 555



เห็นป้ายทัวร์ 1 ริงกิต
ที่สถานี KLIA Transit ปุตราจายา
หลายบริษัท



ขากลับจากปุตราจายาไปที่ KL SENTRAL
กลับตามเวลาที่เห็นในนาฬิกา
ใช้เวลายี่สิบนาทีเหมือนขาไป
แล้วต่อรถไฟใต้ดิน
กลับโรงแรม



จากหน้าห้าง Ampang นั่งแท๊กซี่กลับ
ค่าแท๊กซี่ถูกเหลือเชื่อม๊ากก 3.7 ริงกิตเท่านั้น

เที่ยวมาเลเซียวันที่สาม

นั่งแม็กซี่จากโรงแรมไป KL Sentral เพียง 11.3 ริงกิต
ออกจากโรงแรม 9.00 น.
ถึง KL Sentral 9.30 น.

ทิ้งตั๋ว Sky Bus ขากลับ
ใช้บริการรถไฟฟ้าแทน
เร็วกว่ากันมาก

เดินทางกลับ KL SENTRAL - LCCT
รถ KLIA Transit คนละ 12.5 ริงกิต
ใช้เวลานั่งรถเพียง 30 นาทีเท่านั้น
ไปที่สถานี Salak Tinggi
เพื่อนั่งรถบัสไปสนามบิน LCCT
ตั๋วรถบัสรวมอยู่แพคเกจในตั๋วรถไฟแล้ว ไม่ต้องซื้อเพิ่ม




รถบัสไปสนามบิน
นั่งออกจากสถานีรถไฟฟ้า Salak Tinggi
ประมาณ 10.10 น. ถึง LCCT 10.30 น.
เร็วกว่า Sky Bus เยอะ



ขากลับเที่ยวบิน เที่ยวบิน AK 838
ออกจาก Kuala Lumpur LCCT (KUL) เมื่อ 15:05 AM
และถึง Suvarnnabhumi (BKK) เมื่อ 16:10 AM
ออกจากโรงแรม 9.00 น. เวลาเหลือเยอะ ^^
ที่สนามบิน มีไวไฟให้ใช้ฟรี 3 ชั่วโมง

ในที่สุดก็ปิดทริปได้อย่างสมบูรณ์



----------------------------------------------

ขอบคุณข้อมูลจากเพื่อน


เพื่อนได้สรุปข้อมูลจากประสบการณ์ที่เพื่อนเคยไปมาแล้ว
และจากเว็บต่างๆ ให้เราเป็นไฟล์ MS Words
ก่อนgikไปกัวลาลัมเปอร์
เราใช้ข้อมูลเที่ยวตามนี้ค่ะ
ราคาบางอย่างอาจไม่อัพเดทนัก แต่หลักๆ ก็ตามนี้

1. จากสนามบิน มีบริการรถบัส 2 เจ้า
คือ Sky Bus เป็นรถของ Air asia
ราคาประมาณ RM 9 และ Aero Bus
ราคาประมาณ RM 8 ไปที่ KL Sentral
ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
รถจอดที่สถานี KL Sentral ชั้น G

แต่ถ้าไม่สะดวกก็ใช้รถ KLIA Express
ก็จ่าย 35 ริงกิตใช้เวลา 28 นาที
จากนั้นเดินทางต่อไปโรงแรม
โดยรถไฟหรือรถบัสได้

ขากลับไป LCCT รถบัสของหางแดง
และ Aero bus สามารถซื้อได้ที่สถานี KL Sentral
ชั้น G เช่นกัน หากต้องการซื้อเฉพาะขากลับ
และถามเคาน์เตอร์ได้เลยว่าควรขึ้นรถบัส
เวลากี่โมงเพราะเขาจะทราบว่าต้องเผื่อเวลาเท่าไหร่
ในการไปขึ้นเครื่อง

KL Sentral คือศูนย์กลางการเดินทางของ KL
มีทั้งLRT, KTM Komuter, รถไฟฟ้า KLIA Express
และรถบัส ไปยังสถานที่ต่างๆ
จะมารวมกันอยู่ที่ KL Sentral
ส่วน Monorail จะอยู่นอก KL Sentral
เดินไปได้ประมาณ 5 นาที


2. Genting Highland

สำหรับตั๋วรถไปสามารถซื้อได้ที่
KL Sentral ชั้น G เช่นกัน เคาน์เตอร์จะอยู่ใกล้ ๆ
กับเคาเตอร์รถบัสไป - กลับ LCCT
และควรซื้อก่อนวันไป 1 วัน
เพราะว่าคนนิยมไปเที่ยวมาก
ค่ารถไปเกนติ้งคนละ 4.3 ริงกิต
เดินทางด้วยรถบัสสีแดงเขียนว่า Go Genting ร
ถจะไปจอดที่สถานี Genting Skyway Complex
เพื่อต่อกระเช้าหรือรถบัสขึ้นไปด้านบน
ราคาค่าตั๋วจากสถานีนี้ขึ้นไปด้านบนอีกคนละ 5 ริงกิต
รวมกับก็เท่ากับ 4.3 + 5 = 9 ริงกิต

หรือจะไปขึ้นรถที่ สถานีขนส่งหรือ
ที่เรียกกันว่า Puduraya ก็ได้
ซึ่งสถานีรถโมโนเรลไม่ไกลจากสถานีรถขนส่งเท่าไหร่
ก็ซื้อตั๋วรถบัสไป Genting ได้เลย ประมาณ 10 ริงกิต
รวมค่ากระเช้า แต่ควรสอบถามก่อนว่า
กระเช้าอยู่ในระหว่างการซ่อมหรือเปล่า
เพราะรวมกระเช้าจะแพงกว่า
และถ้าซ่อมอยู่ก็ต้องนั่งรถทัวร์ขึ้นไปเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าจะซื้อกระเช้าก็ตาม
สถานีขนส่งนี้จะอยู่ไกล้ๆ china town และ Bukit bintang

ขากลับไปกัวลาลัมเปอร์
ขึ้นรถที่ First world Terminal Bus
รถจอดที่สถานี Titiwangsa ราคา 6.6 ริงกิต เ
มื่อถึงสถานี Titiwangsa แล้ว
สามารถนั่ง KL Monorail ต่อไปยัง KL Sentral ได้
หรือจะนั่งรถกลับโรงแรมก็ได้
รถเจ้านี้มีคนใช้บริการมาก เนื่องจากสะดวก
และราคาไม่แพง ไม่รับจองล่วงหน้า
อยากไปตอนไหนก็มาซื้อตั๋วขึ้นรถเลย
แต่จะมีบริษัทหลายบริษัท
และบางบริษัทไม่ได้จอดที่ Puduraya
แต่จะเขียนว่าไป KL ทุกคน ต้องถามว่าจอดที่ไหน
แต่ไม่ต้องห่วงเพราะว่ารถทัวร์มาจอดที่ KL
ตรงไหนก็จะไกล้สถานีรถไฟและโมโนเรล
ดังนั้นไม่ต้องตกใจ

หรือจะกลับไปที่ KL sentral ก็ได้
โดยซื้อตั๋วกลับไปสถานี Genting Skyway Complex
ราคา RM 5 และไปต่อรถบัสที่นี่ไป KL sentral
ราคาประมาณ 3.5 ริงกิต

First world Indoor Theme Park
และ First world Plaza อยู่โรงแรม first world
เข้าชมได้ฟรี ข้างในก็มีเครื่องเล่นภายใน
และมีที่ shopping ราคาก็โอเค
ส่วนนี้จะมีร้านอาหาร ราคาก็เอาเรื่อง
และส่วนมากอาหารก็จะเป็นไปใ
นแนวคนมาเลเซียมาก
ถึงแม้จะเป็นฟาสต์ฟู้ดฝรั่งแต่รสชาดก็มาเลๆ
คนที่ใช้บริการที่นี่ก็จะเป็นนักพนันส่วนใหญ่แล้ว
ได้คูปองกินอาหารฟรี



3. Batu cave

นั่งรถไฟไปได้สบายจาก KL sentral
ลงที่สถานี Batu cave เลย ราคาตั๋ว 2 ริงกิตต่อเที่ยว
เป็นวัดทางฮินดู ด้านล่างก็ไว้พระได้
และจะมีบันไดให้เดินไปดูถ้ำ มี 3 ถ้ำ
เหนื่อยเหมือนกันนะ ประมาณ 300 ขั้น

4. หอคอยเคแอล (KL Tower)

ค่าขึ้นไปชมคนละประมาณ RM 20
เราไม่ได้ขึ้นหอคอยเพราะคิดว่าราคาแพงไป

5. เที่ยวตึกแฝด Petronas Twin Towers
เดินทางสะดวกนั่งรถไฟฟ้ามา KLCC
ช่วงที่เราไปเขาคิดค่าขึ้นตึก 10 ริงกิต
แต่ต้องไปเข้าแถวเอาบัตรคิวตั้งแต่เช้า
เพราะเขาจำกัดจำนวนคนที่ขึ้นตึก
จะมีห้างสรรพสินค้าในตึก
ห้างนี้ขายของแบรนด์เนมราคาก็ประมาณบ้านเรา
แต่ที่ดีหน่อยคือ Food court น่าจะอยู่ชั้น 6
ราคาอาหารก็ประมาณบ้านเรา

ตอนเย็นๆ เปิดไฟสวยดี
ด้านหลังอาคารนี้มีสวนสามารถไปนั่งพักผ่อนได้
จะเปิดแสดงน้ำพุด้วย มีสระว่ายน้ำให้เด็กลงไปเล่นได้ ถ้
าเดินอ้อมไปนิดหนึ่งจะเจอ Land Mark
ภาพถ่ายของการท่องเที่ยวมาเลย์ สวย

6. Central Market

เราจะต้องนั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานี Pasar Seni
แล้วเดินไปอีกนิดหน่อย สามารถถามทางได้
ซึ่ง ซื้อของฝากของที่ระลึกกันได้ที่นี่
แต่ว่าราคาอาจจะแพงนิดหนึ่ง
ที่นี่ก็มีศูนย์อาหารข้างในเหมือนกันอยู่บนชั้น 2
เป็นตลาดที่ไม่ใหญ่เท่าไหร่
แต่ราคาช๊อคโกแลตรู้สึกจะถูกกว่าบ้านเรา
มีซุ้มขายหน้าตาน่ารัก
ชิมไปซื้อไปรู้ตัวอีกทีจ่ายเงินไปเกือบ 100 ริงกิต

จาก Central Market
เราน่าจะเดินต่อไปดูสถานีรถไฟ KTM Kualalumpur
ซึ่งเขาบอกว่าสวย เราก็ว่าสวย
ออกมาที่สถานี Pasar Seni แต่ไม่ต้องตรงไปทางสถานีรถไฟ
แนะนำให้เดินผ่านหน้าที่ทำการไปรษณีย์ใหญ่ Pos Malaysia
เดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำ Klang ไปอีกฟากแม่น้ำเลย
แล้วจะมีทางเดินเลียบถนนไปเรื่อยๆ
เพื่อไปสู่สถานีรถไฟ KTM Kualalumpur
ซึ่งเมื่อผ่านสถานีนี้ไปจะเป็นทางไป National Musjid
มัสยิดนี่ก็สวยเหมือนกัน ถ้าไม่เหนื่อยก็เดินชมต่อไป
โดยเดินออกมาหน้าสถานีแล้วให้เดินข้ามถนนมา
ก็จะเจอกับ มัสยิดแห่งชาติ

7. Putra Jaya ปุตราจายา

เมืองราชการใหม่ของมาเลเชีย
ด้วยแนวคิดของคำว่า " Gaden City "
และ " Inteligent City ศูนย์ราชการแห่งนี้
สร้างด้วยเม็ดเงินมหาศาล ใหญ่โตโอ่อ่า
การจัดสวนสวยงามมาก และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
และมีหมู่บ้านพักข้าราชการอยู่ที่นี่ด้วย

เมืองนี้ตั้งห่างจากในเมืองออกไปไกลพอสมควร
การเดินทางบริการรถด่วนพิเศษ KLIA Transit
ซึ่งต้องไปขึ้นรถที่สถานี KL Sentral
ราคาคนละประมาณ 9 ริงกิต (ราคาอาจเปลี่ยนแปลงนะ)
จะสะดวกมากใช้เวลานั่งสบายๆ ประมาณ 20 นาที
เมื่อลงที่สถานีแล้วต่อรถบัสวิ่งรอบเมือง
รถบัสวิ่งรอบเมืองราคาประมาณ 0.5 – 1 ริงกิต
จะวิ่งรอบเมือง นั่งไปเรื่อยๆ ชมความงามของสวน
อาคารรัฐสภา อาคารสถานทูต
จุดที่คนชอบไปคือมัสยิดสีชมพู

รถด่วนจาก Putrajaya-KL มีถึงเที่ยงคืน
สอบถามด้วยนะว่าเปลี่ยนแปลงเวลาหรือยัง


8. เที่ยวย่านบูกิตบินตัง

การเดินทางก็ไปได้ทั้ง Monorail
มาลงสถานี บูกิตบินตัง
รถไฟฟ้าก็มาลงที่สถานี Dang Wangi
เพื่อขึ้น Monorail มาลงที่บูกิตบินตัง
เป็นที่รวมของโรงแรม ห้างสรรพสินค้า
ร้านหรูแบรนด์เนม หรือจะร้านพื้นๆ
ราคาถูกก็มีหมด เรียงรายไปทั้งสองฟากถนน

9. China town

ตั้งอยู่ที่ Petaling Street เ
ป็นที่ตั้งของ China Town
จุดนี้ก็สามารถนั่งรถบัส Hop-On Hop-Off มาได้
หรือนั่งรถไฟฟ้ามาก็ได้

ย่านนี้คึกคัก China Town
ซึ่งเป็นแหล่งชอปสินค้า (copy)
ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้ากีฬา
ราคาต่อรองได้ครึ่งต่อครึ่ง
แล้วยังมีของที่ระลึกของมาเลเซีย
ขายด้วยเป็นประเภทเสื้อสกรีนลายสถานที่ท่องเที่ยว
มีแผงร้านค้ามากมาย
และร้านอาหารเป็นเหมือน Food Court บ้านเรา
แต่ไม่ต้องซื้อคูปอง ชื่อ Food Paradise

10. Lake Garden

เป็นจุดที่ไม่มีรถไฟฟ้าผ่าน
ต้องใช้บริการแท็กซี่หรือไม่ก็บัสเที่ยวรายวัน
และ ทัวร์ครึ่งวันของบุ๋ม แต่ค่าเข้าชมแพงตั้ง 45 ริงกิต
แต่ก็ลองดูได้ไปชื่นชมนกและต้นไม้
พอเดินเที่ยวจากสวนนกเสร็จ
ก็เดินออกมาแล้วข้ามถนนมาฝั่งตรงข้าม
เป็น Orchid Garden ค่าเข้า 1 ริงกิตเท่านั้น

11. Masjid Jamek

สถานที่นี้ก็ควรไปเพราะว่าสวยอยู่ไกล้ ๆ
กับ Sultan Abdul Samed Building
รวมอยู่ในทัวร์ครึ่งวันของบุ๋ม
และเราไม่แน่ใจว่ายังให้เข้าไปข้างในได้หรือเปล่า
เพราะครั้งก่อนไม่สามารถเข้าไปข้างในได้
แค่หยุดถ่ายรูปเท่านั้นเอง
ถ้าจะไปเองก็นั่งรถไฟฟ้าลงที่สถานี Masjid Jamek เลย
อยู่ถัดจากสถานี Pasar Seni ที่ไป central market 1 สถานี
ราคาต่อ 1 สถานีประมาณ 1.1 ริงกิต

และสามารถเดินไปที่ จัตุรัสเมอร์เดก้า" (Dataran Merdeka)
และรอยัล เซลังงอร์ คลับ (Royal Selangor Club)
รอยัล เซลังงอร์ คลับ
อยู่ในอาคาร Sultan Abdul Samed Building
หรืออย่างไรจำไม่ได้ และในทุกวันเสาร์ที่สามของเดือน
จะมีวงดนตรีของกองทัพมาเลเซีย
และสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย
สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเปิดการแสดง
ที่จัตุรัสในเวลา 17.00-18.00 น.

ถ้าจำไม่ผิดที่จตุรัสเมอร์เดก้าจะมีเสาธง
ที่สูงมากอยู่ 1 อัน เดินไปอีกนิดหนึ่ง
(วนไป วนมา) คิดว่าเป็นด้านหลังเสาธงนะ
ก็จะเจอกับ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ
National history museum ทำได้ดีน่าชม

12. ทัวร์รายวัน รสบัสเที่ยวรอบเมือง
Hop-On Hop-Off
(ลอกเขามาเพราะเราจำไม่ค่อยได้)
ค่าตั๋ว 38 ริงกิต โดยมีระยะเวลา 1 วันในการใช้บริการ

ถ้าเราซื้อตั๋วเวลา 10.30 น.ของวันนี้
มันก็จะไปหมดในเวลา 10.30 น.ของวันรุ่งขึ้น
จะเป็นรถนำเที่ยวสองชั้นติดแอร์เย็นสบาย
ขึ้นรถได้ทุกจุดจอดรถ ที่ KLCC ก็ขึ้นได้
เราสามารถซื้อตั๋วบนรถได้เลย
ขึ้นไปก็เลือกที่นั่งก่อน เดี๋ยวพนักงานจะมาเก็บค่าตั๋ว
โดยให้บริการทุกวันเริ่มตั้งแต่เวลา 8 โมงเช้าจนถึง 3 ทุ่ม
ยกเว้นช่วงรอมฎอนที่เลิกวิ่งตอน 6 โมงเย็น
บนรถก็จะมีแผ่นพับข้อมูล
แผนที่การท่องเที่ยวใน KL
เราอยากได้แบบไหนก็หยิบติดไม้ติดมือมาได้เลย

ความคุ้มค่าหากนั่งบัสชมเมือง Hop-On Hop-Off
จะแพงกว่าการนั่งรถไฟฟ้า เพราะ 38 ริงกิต
ไปได้เฉพาะในเมืองเล็ก ๆ และใช้ได้ 24 ชั่วโมง
ขึ้นลงรถไฟฟ้าจะประหยัดกว่า
และที่สำคัญบุ๋มซื้อทัวร์ครึ่งวันไว้แล้ว
และเป็นจุดที่ทัวร์ครึ่งวันจอดเหมือนกัน







 

Create Date : 08 ตุลาคม 2555    
Last Update : 9 ตุลาคม 2555 8:21:29 น.
Counter : 11302 Pageviews.  

ตะลุยเวียงจันทน์ “กินอิ่มนอนอุ่น...แซบหลาย สะบายดี”

อยากจะไปเมืองลาว ไปหาท้าวคำแปง
ที่เมืองปากแบ่ง แขวงอุดมไซ (อุดมชัย)



ฟังเพลงนี้ทีไร รู้สึกว่า โอ้จอร์จ มันยอดมาก !!
แล้วก็ได้แต่รำพึงรำพันกับตัวเองว่า
ปีนี้ต้องไปเที่ยวลาวให้ได้

เดชะบุญที่ได้ซื้อตั๋วโปรโมชั่นของแอร์เอเชีย
เส้นทางกรุงเทพ - อุดร ฯ ไว้
เวลาสั้นๆ เพียงสามวัน คงไปไหนไกลไม่สะดวก
ถ้าอย่างนั้นไปเที่ยวแถวๆ เวียงจันทน์ก็แล้วกัน
ดูเหมือนเป็นทริปธรรมดา แต่ก็ไม่ค่อยธรรมดาเท่าไหร่
เพราะเราจะพาไปตะลอนชิมของอร่อย ๆ กัน
เตรียมตัวให้ดีนะคะ เพราะอ่านแล้วอาจทำให้หิวได้ค่ะ ^^



ตุั๋วที่เราซื้อไว้สำหรับทริปนี้
เป็นช่วงวันที่ 1-3 กันยายน 2555
สามคนพ่อแม่ลูก
แต่เนื่องจากว่าพ่อเกาลัดนั้นไม่สะดวกลางาน
และก็ไม่อยากให้ลูกชายหยุดเรียน
แม่จึงเปลี่ยนแผน สละลูกกับสามีไว้ชั่วคราว
นัดไปลาวกับเพื่อนรักแค่สองคน
ซึ่งก็ได้ขออนุญาตลูกกับสามีเพื่อการนี้เช่นกัน..ฮิ้ว!!


เที่ยวลาววันแรก


เราเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปอุดรฯ
ด้วยเที่ยวบินเช้าสุด
ไปถึงที่นั่นก่อน 8.30 น. เล็กน้อย
เพื่อนมารอรับที่สนามบินอยู่แล้ว

ทริปนี้เราเจอพี่สาวชาวห้อง Blueplanet
และลูกชายเจ้ากัสหนูน้อยนักเดินทางตัวยง
ทราบว่าไปเวียงจันทน์เหมือนกัน แถมยังพักที่เดียวกัน
จึงชวนพี่สาวติดรถไปด้วย
โดยไปส่งพี่เขาที่ด่านหนองคายก่อน
ส่วนเรา แวะไปทำโน่นนี่ในเมืองและนอกเมืองหนองคาย
เตร็ดเตร่ พูดคุย ใจเย็น
กว่าจะไปถึงด่านไทยลาวก็เลยเที่ยงแล้ว

กว่าจะข้ามด่านไปลาว
ขอกล่าวถึงวิธีการเดินทางจากสนามบินอุดรธานีไปเวียงจันทน์
ด้วยรถสาธารณะซึ่งสามารถเดินทางได้หลายวิธี
กันพอสังเขปก่อนนะคะ

วิธีแรก จากสนามบินอุดุรธานีนั่งรถตู้โดยสารคนละ 80 บาท
หรือเหมาแท็กซี่เข้าเมืองคันละ 200 บาท
ไปส่งที่สถานี บขส. 1 เพื่อนั่งรถบัสไปเวียงจันทน์
ค่ารถคนละ 80 บาท ต้องเตรียมพาสปอร์ตไว้ให้พร้อม
อุดรธานี-เวียงจันทน์และเวียงจันทน์-อุดรธานี
เวลาเดียวกันทั้งไปและกลับ
08.00 10.30 11.30 14.00 16.00 18.00
เดินทาง 2 ชั่วโมงหรือมากกว่า
สุดสายที่สถานีขนส่งตลาดเช้า
จองตั๋วล่วงหน้าแบบข้ามวันไม่ได้

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ลิงค์นี้
คลิกที่นี่
หรือค้นหารีวิวเก่าๆ ที่คุณ Memories pink
เว็บไซต์ Pantip/Blueplanet ที่ให้ข้อมูลไว้โดยละเอียด

วิธีที่สอง
สามารถนั่งรุตู้โดยสารจากสนมบินอุดรธานีไปหนองคาย
โดยไปลงที่ด่านสะพานมิตรภาพ ฯ หนองคาย
ราคาคนละ 200 บาท
จากนั้นก็ต่อรถบัสโดยสารจากด่านไทยข้ามไปลาว
คนละ 20 บาท แล้วต่อรถบัสโดยสารจากด่านลาว
ไปตลาดเช้าเวียงจันทน์
ค่ารถไม่แน่ใจน่าจะ 20 บาทเช่นกัน

และก็เป็นข่าวดี สำหรับผู้สนใจจะไปเที่ยววังเวียง
มีเส้นทางเดินรถอุดรธานี-วังเวียงแล้ว

ข้อมูลจากผู้จัดการออนไลน์
ออกจากสถานีขนส่งจังหวัดอุดรธานี แห่งที่ 1 ทุกวัน
เวลา 09.00 น. เก็บค่าโดยสารที่นั่งละ 320 บาท
และบวกค่าล่วงเวลาที่ด่านสะพานหนองคาย 5 บาท
พร้อมกับมีประกันอุบัติเหตุที่นั่งละ 2 แสนบาท
โดยใช้รถปรับอากาศ ป.2 ขนาด 44 ที่นั่ง
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง
เนื่องจากสภาพถนนยังไม่สมบูรณ์

ในส่วนของรถโดยสารของบริษัท
มาลานีขนส่งโดยสาร จำกัด ก็จะออกจากสถานี
ขนส่งรถโดยสารเมืองวังเวียงทุกวัน เวลา 08.00 น
ค่าโดยสารที่นั่งละ 83, 000 กีบ
(คิดอัตราแลกเปลี่ยน 26,000กีบ: 100 บาท
และอัตราแลกเปลี่ยนไม่ค่อยคงที่อยู่ในระหว่าง
26,000-28,000 กีบ ต่อ 100 บาท)
บวกค่าล่วงเวลาอีก 5,000 กีบ (20 บาท)
และใช้รถโดยสารปรับอากาศขนาด 44 ที่นั่งเช่นกัน

คลิกที่นี่

ส่วนเว็บนี้ข้อมูลไม่ตรงกันบอกว่า

//www.rottourthai.com/showthread.php?t=1451
สาย 9 อุดรธานี-เวียงจันทน์-วังเวียง 7 ชม.
มีเวลาเดียว 07.00 ม.2 ชั้นเดียว จำนวน 46 ที่นั่ง 230 บาท
คลิกที่นี่

เราเองยังไม่เคยใช้บริการ
เพื่อความแน่นอน โปรดสอบถามที่
บริษัทขนส่งจำกัด 999,99
สถานีเดินรถอุดร 042-221-489

รวบรัดตัดตอนผ่านด่าน ตม. ไทยมาถึงรถบัส
ที่จะพาเราข้ามสะพานมิตรภาพไทยลาวแล้ว



พอไปถึงด่านลาว ก็จะเจอรถเหมา





แต่เรามีน้องสอน
ไกด์กิติมศักดิ์ ซึ่งวันนี้หยุดงานไกด์อาชีพชั่วคราว
มารับเป็นการส่วนตัว
จากการฝากฝังของเพื่อนที่อยู่หนองคาย
ซึ่งนับถือกันเป็นพี่น้องกัน
ก็เรีกกันเป็นพี่น้อง เพื่อนเราเอง
ก็เคยร่วมเดินทางกับน้องสอนมาก่่อนแล้ว




รถประจำทางจากด่านลาวไปยังสถานที่ต่าง ๆ
ยังไม่เคยมีประสบการณ์ตรง ขอข้ามค่ะ



ก่อนตะลุยลาว แวะบ้านเพื่อนของเพื่อน
เอาของฝากไปให้




ขับรถวนดูรอบๆ มหาวิทยาลัยแห่งชาติ
เป็นการเอาฤกษ์เอาชัย




น้องสอนบอกว่าพี่ๆ อยากไปที่ไหน
ก็บอกมาได้ จะพาไป
สถานที่แรกที่เราขอให้พาไปก็คือ
ร้านปิ้งเอ็น 500 ซึ่งมีอยู่หลายๆ ร้าน
ใกล้มหาวิทยาลัยแห่งชาติ
น้องสอนพาไปร้านนี้ร้าน
ร้านนวนตา ปิ้งเอ็น 500
จากคำบอกเล่าของน้องอีกคนที่ร่วมพาเราไป
บอกว่าร้านเปิดประมาณ 9.00 am - 11.00 pm



ร้านนี้มีแผนที่และพิกัดด้วยค่ะ
คลิกดูแผนที่และพิกัด

เมนูของร้าน
อ่านไม่ออกค่ะ พอเดาได้บางคำ
ต้องอาศัยน้องๆ อ่านให้



เห็นรูปนี้แล้วก็ต้องกลืนน้ำลาย
เนื่องจากยังนึกถึงรสชาติอร่อย ๆ นี้อยู่

ลูกชิ้นทอดรวมราดน้ำจิ้มแซ่บๆ
เครื่องในไก่เสียบไม้ย่าง
ตำเส้น (เหมือนตำซั่วปลาร้าใส่วุ้นเส้น เลือดหมู)
รสชาติถูกปากเรา
ไส้หมูย่าง มีน้ำจิ้มและผัดสดแกล้ม




จานนี้เด็ด หนังเค็มทอด กรอบนอก เหนียวใน
แกล้มเบียร์ลาว เข้ากันม๊ากก ม๊ากก
เคี้ยวกันจนปวดกรามไปเลย



เฉลยที่มาของปิ้งเอ็น 500
อยู่ที่ภาพนี้ค่ะ
ที่เห็นเสียบไม้อยู่ ก็คือเอ็น(ควาย) ย่าง
ราคาไม่ละ 500 กีบนั่นเองค่ะ
เวลาสั่งต้องสั่งเป็นจาน (ชุด)
รสชาติจากที่หมักมาแล้วกลมกล่อม นัว
แต่เหนียว เคี้ยวไม่ค่อยได้ และย่อยยาก
ราคาที่จ่ายไปตามนี้



สรุปได้ว่าต้องลองค่ะ
สำหรับร้านปิ้งเอ็น 500 ที่เวียงจันทน์

อ้มอร่อยแล้ว น้องๆ พาเราไปเช็คอิน
ที่โรงแรมมะลิน้ำพุ
เราจองผ่านอโกด้ามาในราคาคืนละ 1,000 บารวมอาหารเช้า

ในรีวิวคุณ Memories pink บอกว่าจากท่ารถตลาดเช้า
นัางรถสามล้อตุ๊กๆ ต่อรองได้ในราคาหนึ่งหมื่นกีบ
หรือประมาณสี่สิบห้าสิบบาทไทย



อ่านรีวิวเฮือนพักมะลิน้ำพุ [MaliNamphu] @ เวียงจันทน์
ที่เราได้ทำไว้แล้ว
คลิกที่นี่ค่ะ

ไปเดินชิลล์ ถ่ายภาพเล่นกันที่
ปะตูไซ(Patuxai) หรือ ประตูชัย



จากการสืบค้นข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
ทำให้ทราบว่าประตูชัยประเทศลาว
สร้างขึ้นโดยรัฐบาลฝรั่งเศส
สมัยเข้ามาครอบครองประเทศ
โดยสร้างถนนและประตูชัยให้คล้ายกับ
ชอง เอลิเซ่ในฝรั่งเศส แต่ยังสร้างไม่เสร็จดี
ชาวลาวก็ประกาสอิสรภาพเสียก่อน
ดังนั้น คำว่าชัยชนะของประตูนี้
จึงหมายถึงชัยชนะของชาวลาว




อนุสาวรีย์ เจ้าอนุวงศ์
สวนสาธารณะแห่งใหม่ริมแม่น้ำโขง
หันหน้าไปทางอำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย



ใกล้พลบค่ำแล้ว
ไปเที่ยวต่อที่ Center Point เวียงจันทน์
ไม่ไกลจากโรงแรมที่เราพักมากนัก
ตั้งอยู่ที่ถนสามแสนไทย



แถวเซ็นเตอร์พอยท์เวียงจันทน์
มีร้านอาหารต่างๆ เยอะแยะมากมาย

ร้านน้ำปั่น



ร้านน้ำเต้าหู้ เพื่อนบอกอร่อย
แต่ไม่ได้ลองชิม



ของทอดและขนมหวาน
น่ากินทั้งนั้น



ไม่ได้ชิม
ดูจากสายตา เดาว่าอร่อย



ร้านนี้แนะนำค่ะ ร้านเผือกทอดเจ้าเก่าแก่


ร้านนี้อยู่เซ็นเตอร์พอยท์
ในซอยตรงข้ามโรงแรมอนุพาราไดซ์
ขายประมาณ 6.30 pm - 11.00 pm



ไส้หมูสับปรุงรส
ห่อด้วยเผือกกวน
ทอดจนกรอบนอกนุ่มใน
อร่อยม๊ากกกก !!



ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง
ที่เซ็นเตอร์พอยท์



ร้านเวียงสะหวัน
จากคำบอกเล่าทราบว่า
เปิดขายแหนมเนืองและอาหารเวียดนาม
เป็นเจ้าแรกของเวียงจันทน์
เปิดขายประมาณ 11.00 am - 9.00 pm



อาหารยั่วยวนชวนให้ชิม



จึงได้สั่งแหนมเนืองมาชิมหนึ่งชุด
พร้อมน้ำส้มคั้นสด
รสชาติเทพเลยล่ะค่ะ
ไปถึงแล้วควรต้องลองนะคะ




ราคาก็จัดว่าเบาๆ



ถนนซึ่งเป็นที่ตั้งของเซ็นเตอร์พอยท์
เราจอดรถไว้ริมถนนี้แหละค่ะ



ตกกลางคืน เราไปตะลุยราตรี
เป้าหมายคือ การเต้นบั๊ดสะโลบ
แห่งแรกที่ไป คือ ที่นี่ แต่ไปตั้งแต่หัวค่ำ
ผู้คนยังไม่มากันเลยย้ายร้าน



มิตรภาพไนท์คลับ



นักร้องที่นี่ร้องเพลงเพราะมาก
มีเปิดฟลอร์เต้นบัดสลบ (Paslop)
กันนิดหน่อยพอกรุบกริบ
ลาวได้รับอิทธิพลการเต้นจังหวะบาสลอป
(บัดสลบ บัสสะลบ บาสะโล๊ฟ )
จากประเทศฝรั่งเศส นิยมเต้นเวลาออกงานสังคม
ที่น่ารักคือ มีรำวงด้วย




เที่ยวลาววันที่สอง


อาหารเช้าที่โรงแรม




เดินเล่นใกล้ๆ โรงแรม



ซื้อแหวนเงินคนละวง
ในราคาที่พอใจทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย



หอวัฒนธรรมแห่งชาติ




เวลา 11.00 น. น้องทั้งสองมารับไปกินข้าวกลางวัน
ที่แพท่าง่อน

ระหว่างทางพาแวะซื้อปาเต้เจ้าอร่อย
ลูกค้าเยอะมาก มาอย่างไม่ขาดสาย ขายไม่หยุด
ร้านอยู่ที่บ้านดงป่าลาน
ขายเวลาประมาณ 5.00 am - 8.00 pm

น้องบอกว่าฝั่งตรงข้ามร้านปาเต้
เป็นร้านขายเครื่องเงินที่คนนิยมมาซื้อที่นี่



ระหว่างรอคิวปาเต้รสชาติอร่อยเทพ
แวบไปซื้อยาสระผมที่ร้านขายของชำข้างๆ กัน



แพท่าง่อน อยู่ที่บ้านท่าง่อน
ห่างจากตัวเมืองเวียงจันทน์เพียงยี่สิบกว่ากิโลเมตร
อยู่ที่เชิงสะพานท่าง่อน ริมแม่น้ำงึม

ก่อนถึงเชิงสะพานท่าง่อน
จะเจอร้านขายน้ำผลไม้ปั่น
อยู่ฝั่งซ้ายมือ



ชอบมากอโวคาโด้ปั่น
รสชาติครีมๆ มัน ๆ หวานนิดๆ
ร้านอื่นๆ ในเวียงจันทน์ก็เห็นมีขาย



ยามว่างก็นั่งทอผ้า



ร้านอาหารแพท่าง่อน
มีทั้งร้านก่อนข้ามสะพานและร้านที่ข้ามสะพานมาแล้ว
เราเลือกร้านหลัง



ก่อนลงแพ



บรรยากาศของร้านอาหาร



ก่อนลงแพได้สั่งอาหารไว้ก่อน
รอแพว่างประมาณหนึ่งชั่วโมง
ก้ได้ลงแพ พร้อมกับอาหารที่สั่งไว้



บรรยากาศของแพ
ทางร้านให้เวลาเราล่องแพเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น





อาหารมื้อกลางวันของเรา



กุ้งเต้น จานนี้อร่อยเลิศ



หนังจี่ ปากเป็ดทอด ตำแตง

ข้าวผัด

ที่แนะนำอีกอย่างคือ ยำสลัด ของเขาอร่อย



นั่งกินอาหารไปพร้อมกับชมทัศนียภาพสองข้างทาง



ขากลับหลับในรถตลอดทาง
มาตื่นเอาเมื่อถึงตลาดเช้าช้อปปิ้งมอลล์แล้ว




กลับถึงโรงแรมหลับต่อพักหนึ่ง
ตื่นมาก็ได้เวลาอาหารค่ำ
เดินออกไปแถวๆ วงเวียนน้ำพุ
จะมีร้านอาหารยุโรปชาติต่างๆ มากมาย



เดินไปที่ร้านโจมา
ได้ยินมาว่าอร่อย เลยอยากลอง



ชอบบรรยากาศร้าน
แต่ก็เฉยๆ กับรสชาติเค้ก
เค้กมะพร้าวก่อนรสชาติดีสมกับที่บอกต่อๆ กันมา
ซุปอร่อย แต่ไม่ค่อยร้อน




เที่ยวลาววันที่สาม

หลังกินอาหารเช้า
เหมาสามล้อไปวัดพระธาตุหลวง
ระหว่างทางแวะธาตุดำก่อน
ราคาจำไม่ได้แล้ว



พระธาตุหลวง



มีผู้คนเข้ามากราบไหว้บูชาอย่างต่อเนื่อง



เวียนประทักษิณาวัตร อย่างสงบงาม



ก่อนกลับนึกได้ว่าลืมแหวน
ไว้ในห้องน้ำเฮือนพักมะลำน้ำพุ
ก็ได้เจ้าหน้าที่ของธาตุหลวงช่วยเหลือ
ในการค้นหาเบอร์โทรเฮือนพักให้เราติดต่อเรื่องนี้
ซึ่งมะลิน้ำพุก็ได้เก็บแหวนให้เราไว้
น้องสาวแวะไปรับแหวนมาให้
ก่อนที่จะแวะมารับเราที่ธาตุหลวง

ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ท่านนั้นเป็นอย่างมาก
และเราก็ได้ขอถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกด้วยค่ะ




ก่อนกลับ
แวะกินเฝอที่ร้านเฝอเจ้าดัง
ก่อนถึงโรงงานเบียร์ลาว
ชามละ 80 บาทนะถ้าจำไม่ผิด



ที่อร่อยและชอบมากๆ
ในร้านนี้คือยำผ้าขี้ริ้ว



ออกจากลาว
เพื่อนมารับที่ด่านไทย
ไปแวะบ้านเพื่อนสักพักแล้วก็ไปอุดร
ก่อนขึ้นเครื่องบินกลับเราไปกินอาหาร
ที่ร้านวีทีแหนมเนืองเจ้าอร่อย



กลับแล้วค่ะ

ทริปนี้ต้องขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง
ให้ความช่วยเหลือ
ให้มิตรภาพ ให้น้ำใจ
ขอบคุณจากใจค่ะ





 

Create Date : 29 กันยายน 2555    
Last Update : 29 กันยายน 2555 23:33:59 น.
Counter : 10723 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  

ชมจันทร์
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




เดินทางสู่โลกกว้าง เพื่อไปเรียนรู้โลก ผู้คน เพื่อประสบการณ์ชีวิต

Friends' blogs
[Add ชมจันทร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.