ไปเที่ยวกันดีกว่าค่ะ .. ^^
Group Blog
 
All Blogs
 

เที่ยวโฮจิมินห์ “ไซง่อน เมืองในจินตนาการ” ของฉัน

ช่วงหยุดยาว 3 วันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557
เราได้ไปเที่ยวโฮจิมินห์กับเพื่อน
เพราะว่าได้ตั๋วราคาถูกมาจากเว็บไซต์แอร์เอเชีย
ตอนแรกก็จองไปกันสองคนกับเพื่อนสาว
ราคาตั๋ว = 3,525 THB
Ticket 2,500 + baggage 525 (20 kg)


ไปๆ มาๆ มีเพื่อนร่วมแจมด้วยอีก 2 คน
ก็จองตั๋วเพิ่มภายหลัง ได้อีกราคาหนึ่ง
Ticket 6,250 x 2 PAX (+ baggage20 kg)
= 12,500 THB


โปรแกรมท่องเที่ยว

ตามนี้


เขียนเป็นภาษาอังกฤษ เพราะมีเพื่อนชาวต่างชาติไปด้วย

Vacation Plan as follows,
13 Feb : Flight FD 2798 ,Arrival to SGN 21.05 AM
Check-In at Aston Hotel Saigon
14 Feb : Half day tour to Cu Chi Tunnels (Afternoon)
(Stay at Liberty Saigon Greenview
2 nights , from 14-16 feb 2014)
15 Feb : Full Day Tour to Cai Be - Vinh Long [Mekhong Delta]
16 Feb : Half day Ho Chi Minh city tour (Morning)
Taxi pick up from Liberty Saigon Greenview
(Pham Ngu Lao Road) to airport
Depart from hotel 15.00 Am


การเล่าเรื่องทั้งหมดต่อไปนี้ ก็จะเล่าเท่าที่จำได้
แบบว่ารายละเอียดไม่ค่อยลึกเท่าไหร่
เพราะไม่ได้จดอะไรมาเลย แถมยังถ่ายภาพน้อย
ถ่ายภาพแบบขี้เกียจ ไม่อยากถ่ายภาพก็ไม่ถ่ายเอาซะงั้น
ตกๆ หล่นๆ ไป เยอะ

ก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ ใช้มินิแท็บเล็ตถ่ายทั้งหมด
ไม่ได้พกกล้องถ่ายรูปไปด้วยเลย
ถือว่าเป็นบันทึกความทรงจำฉบับย่อ ๆของทริปนี้
ก็แล้วกันนะคะ






วันแรก


คณะของเราออกไฟลท์ค่ำ ไปถึงก็ดึกเลยค่ะ
ถึงโรงแรมตอนสี่ทุ่ม โดยได้ติดต่อทางอีเมล์
กับโรงแรม Liberty Saigon Greenview
ให้จัดรถมารับที่สนามบิน ในราคา 10 USD
ไปส่งให้ที่โรงแรม Aston ที่พักคืนแรก

ทำไมถึงไม่ให้โรงแรม Aston จัดรถมารับ ?

ตืดต่อแล้วค่ะ แต่โรงแรมไม่ตอบอีเมล์กลับมาเลยสักคำ
จึงได้ติดต่อ Liberty Saigon Greenview
ซึ่งเราจะพักคืนต่อไป
ดำเนินการให้แทน

รถที่มารับสนามบินในราคา 10 USD (ประมาณสามร้อยบาทนิดๆ)
เป็นอย่างไรบ้าง ดีมั้ย ?

รถดีมากๆ ค่ะ เป็นรถแวน SUV สภาพใหม่ คันโต นั่งสบาย
คนขับสุภาพมาก ออกมาจากทางออก
ก็จะเจอคนขับชูป้ายชื่อต้อนรับเราอยู่ที่สนามบิน
คุ้มราคา ยิ่งหารกันสี่คน ยิ่งคุ้ม
การจ่ายเงิน เราไม่ได้จ่ายโดยตรงให้กับคนขับ
แต่จะไปจ่ายที่โรงแรมที่ติดต่อรถให้ ในตอนเช็คอิน





โรงแรม Aston เป็นโรงแรมที่ดีมาก สะอาด เอี่ยมอ่อง สวยงาม
เตียง ผ้าห่มนุ่ม ห้องน้ำดี ไม่มีอ่างอาบน้ำ พนักงานบริการดีเลิศ
เหตุที่เลือกที่นี่ เพราะรีวิวในอโกด้า มีแต่คำชมทั้งนั้น
เราจองผ่าน orbitz มีเพื่อนใจดีให้โค้ดส่วนลดมาค่ะ
เรารีวิวเพิ่มเติมไว้ในบล็อกนี้ หมวดโรงแรม ที่พัก ต่างแดนนะคะ
ตามไปอ่านเพิ่มเติมกันได้เล้ยย


เก็บข้าวของแล้วก็หิว อย่างแรง เดินออกไปหาของกิน
ลัดเลาะตามสวนสาธารณะไป ก็เจอ Chill Skybar
อยู่ที่ตึก A Tower อ่านรีวิวมาคร่าวๆ จำได้ว่า
เป็นบาร์ ที่มองทิวทัศน์ไซง่อนได้สวยงาม
แต่เข้าไม่ได้ เพราะว่า ถ้าเป็นผู้หญิง ต้องแต่งเดรส
ห้ามใส่รองเท้าแตะ กระเซอะกระเซิงไปอย่างเรานี่เข้าไม่ได้จ้า
อด....


เดินข้ามถนนไป ก็ไปเจอร้านอาหารอีกร้าน
คนเวียดนามนั่งกันเยอะ
ท่าทางก็น่าจะอร่อย ปรี่เข้าไปทันดี ด้วยความหิว




โต๊ะเก้าอี้ที่นั่งธรรมดา
แต่บริการนั้นเป็นเลิศ
อาหารก็อร่อยมาก (ขอโต๊ด//อร่อยโคตรๆ สุดๆ )
ฟินกับมื้อแรก มื้อนี้ จุงเบย
ราคาก็ไม่แพงนะ คิดเป็นเงินไทยเท่าไหร่ ก็จำไม่ได้แระ (แล้ว)








กลับไปถึงโรงแรมก็ดึกโฮก
เจอน้องพนักงานที่ฟร้อนท์ ต่อรองราคาทัวร์ช่วงเช้า
ไม่รู้ว่าจะต่อทำไม เพราะราคาทัวร์ก็จัดว่าไม่แพงอยู่แล้ว
ไม่กี่ร้อยบาท สามร้อย ต่อคนเองมั้ง แต่ได้ลดนิดหน่อยก็ดีใจแล้ว

ราคาทัวร์ไม่ต่างจากเดินตระเวนไปหาซื้อทัวร์เองข้างนอก
ฉะนั้น ซื้อทัวร์จากโรงแรมนี่แหละค่ะ สะดวกที่สุดแล้ว
ทางโรงแรมก็ดูแลเราด้วย
คอยดูให้ว่าทัวร์จะมารับกี่โมง อะไร ยังไง จะมาเลทมั้ย ฯลฯ



วันที่สอง


ตื่นเต่เช้ามารับประทานอาหารเช้ากันที่โรงแรม
อาหารเช้าร่วมอยู่ในราคาห้องพักแล้วไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม
มัทั้งส่วนที่เป็นบุฟเฟต์และแบบจานหลัก
ที่สั่งจากเมนูได้จนกว่าจะอิ่ม

ชอบมากก็คือ ผลิตภัณฑ์นม นมสด โยเกิร์ต
เพราะอร่อย

บะหมี่ ที่สั่ง นึกว่าจะเป็นบะหมี่แบบเวียดนาม
แต่ก็เป็นต้มมาม่าใส่หมูยอธรรมดา




อิ่มแล้วก็นั่งรอที่ล็อบบี้
บริษัททัวร์ที่ใช้บริการวันนี้ชื่อบริษัท Kin Travel อยู่ใกล้ๆ
เยื้องๆ กับโรงแรม Aston แบบเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว


นั่งรถแบบหลับๆ ตื่นๆ เพราะตามกฏจราจร
รถจะขับได้ช้าม๊ากกกก ได้แวะพักกลางทางเป็นศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการ
จุดหมายวันนี้ คือ อุโมงค์กู๋จี



ไกด์ก็จะบรรยาย ชวนคุยเป็นภาษาอังกฤษไป
ชอบไกด์คนนนี้มาก ภาษาคล่อง ฟังง่าย
ดูแลลูกทัวร์เป็นอย่างดี ถ้วนทั่วทุกคน

ข้อควรระวังในการซื้อทัวร์เส้นทางนี้
: เตรียมของกิน อาหารว่างไปด้วยจ้ะ
เพราะแม้ว่าจะเที่ยวตั้งแต่เช้าจนถึงกลับมาถึงโรงแรมช่วงบ่ายแก่ๆ
แต่ว่าไม่มีอาหารกลางวันให้ และจุดแวะพักก็ไม่ค่อยมีอะไรกิน








ไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม Aston
จากนั้นก็เดินไปเช็คอินที่โรงแรม Liberty Saigon Greenview
หรือ Liberty3 จองไว้ผ่าน Expedia และ Orbitz
อยู่ไกลกันไม่ถึง 100 เมตร เดินไปนิดเดียวเท่านั้น
เพื่อนงงว่าถึงแล้วเหรอ
แล้วหลังจากนั้นเราก็เดินไป ๆ มาๆ
ในละแวกฟาม งู เหลา นั้นอยู่เนืองๆ




ห้องพักที่ Liberty3 นี่เทียบไม่ได้กับที่ Aston
แต่บริการก็ดีมากๆ เหมือนกัน
ที่สำคัญกว่า คือที่นี่ อาหารเช้าเป็นไลน์บุฟเฟต์จ้ะ

เช็คอิน เข้าห้องพักเรียบร้อย ก็มาซื้อทัวร์ที่เคานท์เตอร์โรงแรม
เพื่อไปเที่ยวย่านสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
ราคาเท่ากับซื้อข้างนอก บอกเลย
เพราะเราหยิบโบรชัวร์ที่หยิบจากบริษัททัวร์ข้างนอกมาเทียบกัน
ทัวร์วันเดียวทริปนี้ คนละ 10 USD มั้ง
(ไม่แน่ใจนะ..ที่ชัวร์คืออยู่ที่ 300-400 บาทค่ะ ไม่แพง)
ถ้าจำคลาดเคลื่อนก็ขออภัย

หิวแล้ว ไปกินรองท้องที่ร้านอาหารตึกแถวถัดจากโรงแรมไปไม่กี่ห้อง
แต่ว่าไม่ได้ถ่ายภาพหน้าร้านและเมนูมา
จำชื่อร้านไม่ได้แล้ว
"เฝอเนื้อ" เป็นอาหารร้านนี้ที่ไปแล้วไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ด้วยความอร่อย ทริปนี้ ไปกินเฝอร้านนี้ 4 รอบเห็นจะได้นะ




จากนั้นมิตรรักนักช้อป ก็ พากันเดินไปที่ตลาดเบนถัน
เพื่อไปซื้อสินค้า ของฝาก ประดามี
เรานั้น เล็งไว้แล้ว ว่าจะมาซื้อเป้ ก็ซื้อๆๆๆ จนหิ้วเกือบไม่ไหว
ได้เป้เล็ก และเป้ขนาดกลางๆ มาหลายใบ
แหะๆ ไม่ได้ถ่ายภาพมาเลยจ้า


กลับมาเอาของมาเก็บที่โรงแรม
แล้วก็ไปกินมื้อดึกกันต่อ
ที่ร้านอาหารร้านเดิมในคืนแรก
เพราะว่า อยากกินหอยแครงแสนอร่อย
ก็สั่งๆๆนั่นนี่มาแกล้มเบียร์
จนอิ่มแล้ว ดึกแล้วด้วย สาวๆ ลงมติกันอยากกินอะไรร้อนๆ
สักถ้วยก่อนเช็คบิลกลับ

ปรากฏว่า อะไรร้อนๆ สักถ้วย มาเป็นหม้อไฟขนาดมหึมาเช่นนี้
ดับอนาคตกันเลยทีเดียว ยิ้ม มองหน้ากันไปมา และก็เกี่ยงกันชิม
แต่ว่าอร่อยค่ะ ค่อยๆ ละเลียดกินกันไป
เราเรียกว่า เมนูปราบเซียน






วันที่สาม


ตื่นแต่เช้าอีกแล้ว มากินอาหารเช้าของโรงแรม
ได้ภาพเท่านี้ เพราะเจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่าไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพจ้ะ




นั่งรถจนเมื่อยก็ถึงซะทีน่ะนะ
ระยะทางไม่่ไกล แต่รถกว่าจะวนไปรับคน
และขับช้าม๊ากกกกก ตามกฏจราจร





ตลาดน้ำที่เป็นวิถีชีวิตจริงของชาวบ้าน
ขายกันบนเรือเลย ส่วนมากก็จะขายส่ง และมีขายปลีกด้วย
เสาเรือแขวนอะไรไว้ ในเรือก็จะขายสินค้านั้น
มีฟักทอง มันแกว ฯลฯ





ต่อจากนี้ไปก็ได้อารมณ์ประมาณ
ไปเที่ยวเมืองดินดอนปากแม่น้ำแถวบ้านเรา
เขาพาไปเดิน ย่านบ้านสวน ไปบ้านที่เลี้ยงผึ้ง
เอาผลิตภัณฑ์จากผึ้งมาให้ชิม ไม่บังคับซื้อ

แล้วก็ไปที่บ้าน ที่ทำขนมขาย





อ้อ ลืมเล่าไปว่าทัวร์นี้มีอาหารกลางวันให้
แต่ก็จะเป็นอาหารจานเดียว ข้าวหมูทอด ไม่รวมน้ำดื่ม
มีหมูแปะมานิดเดียว ไม่อิ่มหรอก
อยากจะสั่งเพิ่ม แต่ว่าเมนูเป็นภาษาเวียดนาม ไม่มีราคากำกับ
สั่งหมูทอดเปล่าๆ มาเป็นจานรวมแบ่งๆ กันกิน


นั่งเรือกันต่อไป ไปบ้านอีกหลัง
เพื่อชมศิลปะการแสดง และชิมผลไม้สดๆ จากสวน (ฟรี)
ทางเราก็มีทิปให้นักแสดง








ไปกันต่อ เพือ่ไปนั่งเรือแจว หรือเรือพาย
ไม่รู้เรียกอะไรอ่ะนะ
ลัดเลาะไปตามคลองเล็กคลองน้อย
มีชาวบ้านมารอพายเรือให้ ชมสวน ดูชุมชน
ดูบ้านเรือน ชีวิตผู้คนชาวสวนกันไป




กลับมาถึงโรงแรมก็มืดค่ำแล้วค่ะ
เมื่อยมาก เราขอเดินแยกไปนวดที่โรงแรม Liberty4 ไม่ไกลกัน
จากนั้นเราก็มากินเฝอเนื้อร้านเดิม

นั่งไปนั่งมา เพื่อนที่เดินมาจากช้อปปิ้งก็ตามมาสมทบ
ชวนกันไปช้อปปิ้ง ถนนคนเดิน ข้างตลาดเบนถัน
ไฮไลท์ อยู่ที่ ร้านหอย สารพัดหอย
ของคุณยายท่านหนึ่ง เป็นเชฟและเจ้าของร้าน
ร้านนี้มีคนเต็มร้าน ได้สั่งสารพัดหอย
ประกอบอาหารทั้งแบบเวียดนาม แบบยุโรป
สั่งแล้ว สั่งอีก สั่งมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ
อร่อยมากๆๆๆ อีกแล้ว และไม่แพงเลย อีกแล้ว
อิ่มหนำ สำราญใจ ฟิน!!!
ไม่มีภาพประกอบ

แล้วก็ชวนกันไปเดินเที่ยวดูชีวิตราตรีกันต่อ
ประมาณย่านข้าวสารบ้านเราอ่ะนะ
ภาพนี้ ชาวต่างชาตินั่งดื่มกัน โดยนั่งบนตั่งเตี้ยๆ
ริมถนนแถวๆ โรงแรม Aston





ทริปนี้ เราทุกคนเที่ยวกันแบบหารเฉลี่ย
แต่ปิดท้ายคืนนี้ เพื่อนชาวต่างชาติขอเลี้ยงค้อกเทล
ที่ผับตรงข้ามโรงแรมให้แก่สามสาวเพื่อนร่วมทริป
นั่งยาวไป... ก็เดินต๊อกๆ เข้าห้องพัก นอนยาว



วันที่สี่


วันนี้ตื่นกันสาย เพราะเพลียจากการเที่ยวและนอนดึก

เช็คเอาท์เอาไว้
แล้วพากันเดินไปซื้อหมูยอ เส้นก๋วยเตี๋ยว ที่ตลาดสด

ระหว่างทาง แวะสักหน่อยก่อน





แม่ค้า ลูกค้า พูดกันคนละภาษา
แต่กลับคุยกันรู้เรื่องแฮะ
ได้ของตามตั้งใจ




เช้านี้ เราว่าจะไปชมพิพิธภัณฑ์กัน
ตอนแรกจะนั่งรถเมล์ไป แต่มีปัญหาว่า
กระเป๋าและคนขับรถเมล์ไม่แน่ใจว่ารถจะผ่านสถานที่นั้นมั้ย
จึงได้โบกแท็กซี่มิเตอร์
ซึ่งราคาก็ดูเหมือนว่าจะถูกกว่าหรือพอๆกับบ้านเรา

ไปถึงแห่งแรก ปิดพักนอนกลางวันจ้า



ไม่รอแล้ว เวลาไม่พอ
ถ่ายภาพเอาไว้เป็นที่ระลึก




เดินไปแห่งที่สองกันต่อ ถามทางไปเรื่อยๆ เพราะงงแผนที่
เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับสงคราม

ทีแรกก็ยิ้มระรื่นกันดีน่ะนะ



พอได้เช้าชม
ก็ได้พบกับความจริงและประวัติศาสตร์ที่แสนโหดร้าย
เพื่อนมนุษย์ ต่างเชื้อชาติกระทำย่ำยีต่อกัน
เข้าไปห้องแรก ดูไม่จบค่ะ น้ำตาจะไหล มันรื้นๆ ขึ้นมาแล้ว
ทั้งภาพ ซากอาวุธ ฯลฯ สะเทือนใจจริงจัง

ทั้งสี่คนรีบออกมา แล้วเข้าไปดูห้องอื่นต่อไป
อีกห้อง เป็นห้องจัดแสดงการถูกโจมตีจากสงครามเคมี
ทำให้เด็กน้อย ที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ ร่างกายไม่สมบูรณ์
จากอาวุธเคมีเมื่อก่อน

ซึ่งตอนนี้ทางการเวียดนามและองค์กรต่างๆ ก็ได้ดูแลอยู่
ในด้านอาชีพและอื่นๆ
ซึ่งก็จะมีของที่ระลึกที่ทำจากพวกเขาเหล่านั้น
วางขายอยู่ชั้นล่างและมีตู้รับบริจาคด้วย





ห้องที่เห็นแล้ว รู้สึกดีใจไปด้วย
ก็คือ ห้องที่บอกเล่าเรื่องการฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม
จะเก็นถึงความมุ่งมั่น ความเป็นหนึ่งเดียวของชาวเวียดนาม
ที่ได้ร่วมกับผ่านพ้นเหตุการณ์วิกฤตนั้นไปได้

เล่าแล้วก็เศร้านะคะ


จากนั้นก็รีบนั่งแท็กซี่กลับมากินก๋วยเตี๋ยวเฝอร้านเดิม
รับสัมภาระที่ฝากไว้โรงแรม
โรงแรมช่วยเรียกแท็กซี่ไปส่งที่สนามบินให้
ราคา 8 หรือ 9 USD จ่ายไป 10 USD รวมทริป
และเราทั้งสี่คนก็เดินทางกลับประเทศไทยกันโดยสวัสดิภาพ

...จบทริปประทับใจ เที่ยวโฮจิมินห์ในราคาเบาๆ




ไซ่ง่อน ที่ได้สัมผัสไม่เหมือนกับที่คิดในจินตนาการ
เพราะไซง่อน เจริญไปมากแล้ว มากกว่าเดิมที่คิดไว้
เรายังนึกภาพสาวเวียดนาม ใส่ชุดประจำชาติ
ขี่จักรยานสวยๆ เยื้องกรายผ่านหน้าประมาณนั้น
แต่ไซง่อนวันนี้ เป็นเมืองธุรกิจ ตึกสูง ถนนเต็มไปด้วยรถรา
แต่ก็ยังมีเสน่ห์ ในแบบของเขาเองอยู่หลายสิ่ง
ที่น่าไปค้นพบ และสัมผัส ในคราวต่อไป


ติดตามรีวิวมาใหม่ได้ที่เฟซบุ๊ค "ท่องเที่ยวไป by ชมจันทร์"
//www.facebook.com/moonwatcherBP


ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ




 

Create Date : 19 มิถุนายน 2557    
Last Update : 19 มิถุนายน 2557 15:49:42 น.
Counter : 7013 Pageviews.  

มิงกาลาบา ตอน 5 : บุกเมืองย่างกุ้ง วัดพระหินขาว พระหินอ่อน วัดพระเขี้ยวแก้วจุฬามณี พิพิธภัณฑ์พระธาตุ

วันที่ 4 : วันที่ 14 กันยายน 2556


เช้านี้ลุงไข่มาถึงตั้งแต่ 7.30 น. แต่ก็ไม่เข้ามาโรงแรม
คงจะรอให้เราพร้อมกันก่อน เพราะกลัวเข้ามาก่อนเวลา
จะเหมือนการเร่งรัดเวลาพวกเรา


วัดพระหินขาว พระหินอ่อน
Lawka Chantha Abaya



ที่แรกที่ลุงไข่พาไปคือวัดพระหินขาว พระหินอ่อน
หรือ Lawka Chantha Abaya ค่าเข้าชม 3 ดอลล่าร์
ค่ากล้อง 300Ks เมื่อลงรถจุดแรกที่ลุงไข่พาเราไปดูคือ
รูปวาดประวัติของพระหินอ่อน

พระหินอ่อนสร้างในสมัยนายพลตานฉ่วย
มีการขุดพบหินอ่อนก้อนใหญ่ที่สุดที่ยะไข่
จึงได้มีการแกะสลักบางส่วนและจัดส่งมาที่ย่างกุ้งแกะสลัก
โดยช่างชาวเมืองมัณฑะเลย์ นำมาแกะสลักจนแล้วเสร็จ
เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งพระหัตถ์ขวาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
พระหัตถ์ยกขึ้นหันฝ่าพระหัตถ์ออกจากองค์
หมายถึงการไล่ศัตรูและประทานความเจริญรุ่งเรือง
พระหินอ่อน จะถูกนำเก็บไว้ในห้องกระจกติดแอร์
เพราะหินอ่อนถ้าโดนอากาศร้อนจะแตก





ด้านหน้ามีรูปปั้นหินอ่อนซ้ายขวาจะมีรูปปั้นหินอ่อน
ของพระโมคคัลลา และพระสารีบุตร แต่ทั้ง 2 องค์
หินอ่อนจะมีรอยแตก น่าจะเป็นเพราะอากาศร้อน
ด้านหลังมีการนำหินที่เหลือมาสลักเป็นพระพุทธบาทซ้าย-ขวา ประดิษฐานอยู่บริเวณด้านหลังพระพุทธรูปด้วย





ที่นี่จะมีเสาที่ผมเคยบอกว่าเหมือนเสาหลักเมือง
ทุกเจดีย์จะมีเสา เสาของที่แสดงความเป็นพม่าทรงเจดีย์
ไม่ใช่หงส์แบบมอญ รอบเสาสี่ทิศจะเป็นเทวดา
นาค ครุฑ ยักษ์








ตรงพระหินอ่อน Lawka Chantha นี้

มีของที่ระลึกเป็นเปอร์เปอร์มาเช่ขาย
ร้านอยู่ตรงลานวัด แถวที่จอดรถ ตัวละราว 20 บาทไทย



ช้างเผือกพม่า


ช้างเผือกที่นี่มี 3 เชือก

ตัวแรก เพศเมียผิวสีชมพู อายุเยอะสุดจับได้ที่ยะไข่
ถือว่าเป็นช้างเผือกที่สวยที่สุด
ช้างเผือกเชือกนี้เคยได้ไปอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว
ที่นำมาจากสนามบินไปยังถ้ำมหาภาศนะ
สถานที่สังคายนาพระไตรปิฏก

ลุงไข่เล่าว่ารัฐบาลไทยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ได้เจรจาขอยืมช้างเผือกช้างนี้
จากรัฐบาลพม่าแต่รัฐบาลพม่าไม่ให้


ตัวที่ 2 เพศผู้ จำไมได้จับได้ที่ไหน

ตัวที่ 3 เพศเมียผิวสีชมพู จับได้ที่ยะไข่ มีอายุน้อยสุด
ที่นี่มีการขายขนหางช้างเผือกและงาช้างเผือก
ด้วยเชื่อกันว่าเป็นเครื่องรางปัดเป่าสิ่งไม่ดี
ขนหางช้างเผือกมีทั้งแบบเป็นเส้น แบบที่ถักเป็นแหวน
ตัวผู้จะมีขนสีดำ ตัวเมียจะมีขนสีขาว
ราคาต่อรองกันเลยครับตกเส้นนึงประมาณ 100 บาทไทย












วัดพระเขี้ยวแก้วจุฬามณี
Shwe Taw Myat



วัดพระเขี้ยวแก้วจุฬามณี ค่าเข้าชม 1 ดอลลาร์ ค่ากล้อง 300 k
เป็นเจดีย์แบบพุกาม ลักษณะเด่นคือเป็นเจดีย์ทรงปราสาทแปดเหลี่ยมปลายยอดเจดีย์ประดับด้วยทองคำ ภายในตกแต่งด้วยสีทอง
เกือบทั้งหลัง กลางโถงเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานของพระทันตธาตุจำลอง
โดยบรรจุอยู่ในโถแก้ว ซึ่งตั้งอยู่บนบุษบกสีทองรายรอบ
ด้วยพระพุทธรูปสีทองปางต่างๆ
รอบๆจะมีชาวพม่ามานั่งสวดมนต์และนั่งสมาธิเป็นจำนวนมาก





ด้านหน้าจะมีรูปปั้นสิงห์และมกร อยู่โดยมกรจะอยู่ทางตรงบันได
ซึ่งตรงนี้ข้อมูลที่จดไปเรียกว่ามกร
แต่ถามลุงไข่ลุงไข่บอกว่าจระเข้
แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ท้วงอะไรลุงไข่

จากข้อมูลที่จดไปขอแปะเป็นความรู้ท่านที่จะไปต่อไป
ช่วยบอกลุงไข่ทีว่าตัวที่บันได เรียกว่า มกร
เรียกอีกอย่างว่า ตัวสำรอก..

ในงานศิลปะของไทย ล้านนา พม่าและเขมร
มักจะคายหรือสำรอกเอาสัตว์อื่นออกมา
เช่น มกรคายนาค..

ในเทววิทยาฮินดู มกร เป็นเทพพาหนะสำหรับพระแม่คงคา...
จัดเป็นสัตว์ประหลาดในทะเลชนิดหนึ่ง
ปกติมักแสดงอยู่ในรูปของสัตว์ผสม
ครึ่งหน้าอาจเป็นสัตว์บกอย่างรูปช้าง, จระเข้ หรือกวาง
ครึ่งหลังเป็นรูปสัตว์น้ำ (มักเป็นส่วนหาง)
เช่น หางเป็นปลา หรือท่อนหลังเป็นแมวน้ำ
บางครั้งอาจปรากฏส่วนหางเป็นรูปนกยูงก็มี..

เหรา คือ จระเข้ ซึ่งมักจะใช้สับสนกับ มกร...สังเกตว่า
มกรมักจะจะมีงวง (อาจมีงาด้วย)
แบบช้าง..ส่วน เหรา คล้ายพญานาคมีขา





ที่นี่เราได้ทำบุญปิดทอง โดยใส่ไปในเรือการะเวก
และช่วยกันดึงรอกขึ้นไปด้านบนของเจดีย์จะมีคนเอาทองปิดให้








จากนั้นเราได้ไปชมเจดีย์กาบาเอ
และถ้ำจำลองมหาปาสณคูหาเป็นที่ต่อไป


เจดีย์กาบาเอและถ้ำจำลองมหาปาสณคูหา


เจดีย์กาบาเอ(KABA AYE PAGODA ,World Peace Pagoda)

คำว่ากาบาเอ ในภาษาพม่า หมายถึง โลกแห่งสันติสุข
เจดีย์นี้อยู่ทางด้านเหนือของทะเลสาบอินยา
ทะเลสาบใหญ่กลางใจเมืองย่างกุ้ง

เจดีย์นี้สร้างโดยนายกรัฐมนตรีคนแรกของพม่า
นายอูนู เพื่อใช้เป็นชำระพระไตรปิฏกครั้งที่ 6
ที่นีเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
พร้อมทั้งพระธาตุของ พระสารีบุตร ผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา
และพระโมคลานะ ผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย
ที่นี่ยังมีพระมหามุนีจำลองมหามุนี
เป็นหนึ่งในห้าศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่า
เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์
องค์จริงประดิษฐานอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์
รอบนอกของเจดีย์ก็จะมีพระพุทธรูปประจำวันเกิด
มีไว้ให้ผู้ทีเกิดประจำวันต่างๆ ได้สรงน้ำพระประจำวันเกิดของตน





ถ้ำจำลองมหาปาสณคูหา (Maha Pasan Guha)

ผนังถ้ำจะมีแผ่นหยกหรือหินอ่อนติดอยู่ข้างผนัง
ภายในจะพระพุทธรูปหยกอยู่และมีรูปปั้นของพระสารีบุตรอยู่
ที่นี่จะเป็นที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 6
และได้มีการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วจากประเทศจีนมาที่นี่ด้วย
ตอนที่มีการสังคายนาพระไตรปิฎก
ที่นี่จะมีพระพุทธรูปหยกเขียวที่สวยงาม
และรูปปั้นพระสงฆ์ลุงไข่บอกว่าเป็นรูปปั้นพระสารีบุตร
แต่ผมไม่รู้องค์ไหน
ที่ผมสนใจคือบาตรไม้รูปทรงแปลกตา
ตอนแรกคิดว่าเป็นผอบอันใหญ่แต่ลุงไข่บอกว่า
คือบาตรศิลปะแบบมัณฑเลย์












วัดพิพิธภัณฑ์พระธาตุ


จากนั้นเราได้ไปชมวัดพิพิธภัณฑ์พระธาตุ
วัดที่ว่ากันว่าได้ชื่อว่ามีพระธาตุเยอะที่สุดก็ว่าได้
ลุงไข่เล่าว่าที่นี่จะเป็นที่รวบรวมพระธาตุของประเทศพม่า

วันที่เราไปได้ดูมีพระธาตุที่เป็นกระดูกเหมือนวงแหวน
ที่เกี่ยวกันมีเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุจนเต็ม มีพระเกศาธาตุ
นอกจากนี้มีพระพุทธรูปหยกขาวทรงเครื่อง
แบบพระมหามุนีจำลองศิลปะมัณฑเลย์

ถ้าใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวย่างกุ้งอย่าลืมบอกไกด์
ให้พาไปที่นี่ด้วยนะครับ
วันที่ผมไปเจ้าอาวาสไม่อยู่มีพระผู้ช่วยนำพระเกศาธาตุ
มาให้ชมและแจกพระธาตุกลับมาให้บูชา
ลุงไข่เล่าว่าพระธาตุยิ่งแจกจะยิ่งเพิ่ม













อาหารกลางวัน


จากนั้นเราได้ไปทานเป็ดย่างร้าน GOLDEN DUCK
เราไปทานกัน 8 คนรวมทั้งลุงไข่ของที่สั่งมีเป็ดย่าง
ขาหมูพะโล้ แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ปอเปียะทอดไส้กุ้ง
อันนี้อร่อยสุด กุ้งผัดเปรี้ยวหวาน
ค่าอาหารมื้อนี้ตกคนละ 240 บาท
คุ้มค่ามากถ้าใครไปย่างกุ้งแนะนำเลยครับที่นี่












Chaukhtatgyi Paya พระพุทธไสยาสน์เจ้าทัตจี


ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชมนะครับ
ที่ได้ชื่อว่าพระตาหวานเพราะพระพักตร์จะทาสีขาว
แต้มสีแดงที่พระโอษฐ์และระบายที่ฟ้าที่เปลือกพระเนต
รดวงตาทำจากแก้วสั่งผลิตมาจากต่างประเทศ
ทำให้มีดวงตาที่สวยงามและยังติดขนตายาวงอนสวยงาม
คนไทยจึงเรียกว่าพระตาหวาน

ตรงที่พระบาทมีภาพวาดเป็นมิ่งมงคลสูงสุด
เพราะประกอบด้วยลายลักษณธรรมจักร
ในบริเวณใจกลางฝ่าพระบาทและล้อมด้วย รูปมงคล 108 ประการ
ทางวัดยังมี แท่นอัฒจรรย์ให้ คนที่มาชมได้ถ่ายรูปพระได้ทั้งองค์ด้ว
ยแท่นนี้อยู่ทางปลายพระบาทขององค์พระ
ลุงไข่เล่าว่ามีเศรษฐีใจบุญท่านนึงที่ออกเงินสร้างพระนอนองค์นี้
ขึ้นมาใหม่ โดยมีการสร้างแบบจำลองขึ้นมาก่อน
แล้วจึงมาสร้างองค์จริง องค์จำลองก็มีอยู่ในวัดให้ชม
และก็มีรูปและรูปปั้นของเศรษฐีที่ออกเงินสร้างพระตาหวานอยู่ในวัดด้วย
จากนั้นเราไปวัดงาทัตจี nga htat gyi หรือวัดพระเครื่องใหญ่








วัดงาทัตจี Nga Htat Gyi


วัดงาทัตจี หรือวัดพระเครื่องใหญ่ จะอยู่ใกล้กับวัดพระตาหวาน เป็นวัดที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่ององค์ใหญ่ที่สุดในโลก เอาแบบมาจากพระพุทธรูปทรงเครื่องศิลปปะมัณฑเลย์ ด้านหลังมีงานไม้แกะสลักสวยงามมากใครที่มาชมวัดพระตาหวานแล้วอย่าพลาดวัดนี้นะครับ










จากนั้นเราก็ได้ไปเจดีย์โบตะทาวน์
ไหว้เทพทันใจที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศพม่า


วัดเทพทันใจ เทพกระซิบ
ที่เจดีโบตะทาวน์ Botahtaung Pagoda



พวกเราได้เจอ คุณเบียร์ คุณเอ 2 หนุ่มนักเดินทาง
เพื่อนชาวคุยสบายที่เดินทางจากเมืองไทยมาเจอกันที่นี่ด้วย
ทั้ง 2 ท่านนี้มักจะที่จะเดินทางมาไหว้พระที่พม่านี้ทุกปี


เจดีย์โบตาทาวน์สร้างเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว
โดยพระเจ้าโอกาละปะ ซึ่งเป็นกษัตริย์มอญ
ผู้สร้างพระมหาเจดีย์ชเวดากอง เจดีย์ นี้ตั้งอยู่ริมน้ำ
ในจุดที่เจ้าเมืองสะเทิมส่งทหาร 1000 นาย
มารอรับพระเกศธาตุที่ท่าเรือ คำว่า "โบตาทาว"แปลว่า ทหารพันนาย

จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่2 เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตร
ได้ทิ้งระเบิดถล่มย่างกุ้ง ทำให้เจดีย์โบตาทาวน์องค์เดิม
ถูกทำลายพินาศ แต่ในระหว่างการบูรณะได้ค้นพบผอ
บทรงสถูปบรรจุพระเกศาธาตุและพระบรมสารีริกธาตุ
ที่นี่เสียค่าเข้าชมด้วย 2 $

ครั้นเมื่อเจดีย์โบตาทาวน์องค์ใหม่ พระเกศธาตุมาบรรจุ
ในมณฑปครอบแก้วใส ประดิษฐาน ณ ใจกลางเจดีย์
และทำช่องทางให้พุทธศาสนิกชนเดินเข้าไปดู
และสักการบูชาได้อย่างใกล้ชิด ภายในเจดีย์ทั้งพื้นจะมาสีทอง
และฝาผนังมีลวดลายแกะสลักแปลกตาทาสีทองอร่าม
ทางเดินวกไปวนมาสามารถเดินเข้าไปชมพระเกศาธาตุ
ได้อย่างใกล้ชิดแต่ผมพยายามเพ่งมองไงก็ไม่เห็น
ตรงทางเดินมีกระจกกั้นระหว่างฝาผนัง
และคนป้องกันการสัมผัสฝาผนัง
ภายในมีพระพุทธรูปเก่าอยู่ในตู้กระจกให้ชมด้วย





อาคารข้างเจดีย์ก็ยังมีพระพุทธรูปทองคำองค์สำคัญ
ที่นำมาจากรัฐยะไข่ ศิลปะแบบมัณฑเลย์
แบบเดียวกับพระมหามัยมุนี ตามประวัติว่าเคยประดิษฐา
นอยู่ในพระราชวังมัณฑะเลย์ครั้นเมื่อพม่าตกเป็นอาณานิคมอังกฤษ
ถูกเคลื่อนย้ายไปยังพิพิธภัณฑ์กัลกัตตาในอินเดีย
ทำให้รอดพ้นจากระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ถล่มวังมัณฑะเลย์
พระพุทธรูปองค์นี้ถูกจัดไปแสดงที่พิพิธภัณฑ์ที่อังกฤษ
ต่อมาได้มีการส่งกลับมาไว้ที่นี่
ว่ากันว่าเมื่อครั้งพม่ายังมีพระมหากษัตริย์
กษัตริย์ พม่าต้องมาสักการะพระพุทธรูปนี้ทุกปี





ต่อจากนั้นลุงไข่พาเราไปไหว้เทพทันใจ
เทพทันใจหรือนัตโบโบยี ลุงไข่เล่าให้ฟังถึงเทพทันใจองค์นี้ว่า
ตอนที่มีการสร้างเจดีย์ชเวดากอง
ได้มีการชี้จุดที่จะสร้างเจดีย์ชเวดากองว่าอยู่บนภูเขา
ซึ่งมีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า 3พระองค์ อยู่
แต่การค้นหาไม่ว่าขุดไปที่ใดก็ไม่พบ
พระอินทร์จึงส่งลูกน้องมา

ลุงไข่ใช้คำนี้จริงๆว่าลูกน้องพระอินทร์ให้มาบอกตำแหน่ง
ของ จุดที่จะสร้างเจดีย์ชเวดากอง แต่นัตโบโบยี
จะไปชี้ตรงจุดเลยก็ไม่ได้ เลยชี้มือขึ้นมาตรงๆ
เหมือนจะบอกว่าอยู่ทางนี้ เทพทันใจที่นี่เลยชี้มือขึ้นมา 90องศา
ชี้ไปทางเจดีย์ชเวดากอง ส่วนเทพทันใจอีกองค์
ที่ชี้บอกทางจะอยู่ที่เดีย์สุเหร่ จะชี้มือลงต่ำกว่าแต่ทั้ง 2 องค์
จะชี้มือไปยังเจดีย์ชเวดากอง

พวกเราได้ซื้อของถวายชุดใหญ่ เพราะรวมเงินกันซื้อ
แล้วหารเฉลี่ยกันราคาชุดละ 8000 Ks
จะมีมะพร้าวสีทอง กล้วยนากใบมะกอก
ซึ่งภาษาพม่าหมายถึงความโชคดีทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จ
ดอกไม้ ผ้าลูกไม้1ผืน มาถวายเทพทันใจด้วย

ซึ่งถ้าใครไปไหว้อาจซื้อชุดเล็กก็ได้จะมีมะพร้่าว
กล้วย ผ้าดอกไม้ ใบมะกอกเหมือนกัน
เพียงแต่มะพร้าวจะเป็นมะพร้าวอ่อนสีเขียว
ไม่ได้ทาสีทองให้อลังการแค่นั้น ราคาชุดละ 3000 Ks
ซึงคุณเอและคุณเบียร์ได้ซื้อชุดเล็กนี้ 1 ชุด

การอธิษฐานขอต่อเทพทันใจนั้น เริ่มจากขั้นตอนตั้งจิตอธิษฐาน
โดยมีเคล็ดลับว่า ต้องขอเพียงข้อเดียวเท่านั้น
ถวายเครื่องเซ่นจากนั้น ถวายธนบัตรเสียบไว้ที่มือของท่าน
ซึ่งอยู่ในกิริยายืนชี้นิ้วไปข้างหน้า จะถวายเท่าใดก็แล้วแต่ศรัทธ
าม้วนเป็นกรวยซ้อนกัน 2 ฉบับจากนั้นก็เข้าไปยืนกะระดับ
ให้หน้าผากของเราจรดกับนิ้วมือของท่าน

ใครที่ยืนแล้วไม่ถึงทางวัดจะมีเก้าอี้ให้ต่อขา
แล้วจึงตั้งจิตอธิษฐานอีกทีเพียงข้ออย่างเดียวเช่นเดิม
ห้ามเปลี่ยนใจ เสร็จแล้วจึงนำธนบัตรที่เราถวายไว้คืนกลับมา 1 ฉบับ
เพื่อเอากลับไปเป็นเงินขวัญถุงเงินที่สอดเข้าไป
ลุงไข่บอกว่าคนไทยควรใช้เงินไทย
เพราะเราจะได้เก็บเงินไทยไว้เป็นขวัญถุง
หมายถึงว่าจะมีเงินใช้ไม่ขาดกระเป๋า

ลูบหัวไม้เท้า จากนั้นให้มาตีฆ้อง 3 ที เป็นอันเสร็จพิธี






จากนั้น เราได้ไปอีกอาคารฝั่งตรงข้ามเพื่อไปไหว้เทพกระซิบ

ตอนไปลุงไข่ไม่ได้เล่าอะไรเพระาฝนตกหนักและพวกเราก็เร่งรีบ
ขอแปะข้อมูลที่จดไปนะครับ

ตามตำนานกล่าวว่า นางเป็นธิดาของพญานาค
ที่เกิดศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า รักษาศีล
ไม่ยอมกินเนื้อสัตว์จนเมื่อสิ้นชีวิตไปกลายเป็นนัต
ซึ่งชาวพม่าเคารพกราบไหว้กันมานานแล้ว
แต่ก็ไม่ได้มีใครมากระซิบอธิษฐานกับท่านเลย แม้แต่คนเดียว

จนกระทั่งนักท่องเที่ยวชาวไทยนั่นเอง เป็นคนเริ่มต้น
โดยมีหัวหน้าทัวร์ไทยนำคณะมาไหว้เทพทันใจที่วัดนี้
ได้เห็นผู้คนมุงกันหนาแน่นหน้าศาลของนัตองค์นี้
และเห็นป้ายภาษาพม่าเขียนบอกอะไรสักอย่าง
จึงถามไกด์ว่า ป้ายเขียนไว้ว่าอย่างไร
ซึ่งไกด์ก็อ่านให้ฟังว่า ป้ายบอกว่า "ห้ามพูดส่งเสียงดัง”

"เนื่องเพราะบริเวณนั้น ชอบมีแม่ค้ามาร้องเสนอขาย
ชุดเครื่องเซ่นไหว้องค์เทพ ส่งเสียงเอะอะ
ทั้งที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ วัดจึงปิดป้ายเตือนไว้
แต่กลับเป็นว่า หัวหน้าทัวร์ท่านนั้นเข้าใจว่า
ถ้าจะไปอธิษฐานขอเทพองค์นี้ ห้ามพูดเสียงดัง
จึงอธิบายให้คณะคนไทยฟังว่า ถ้าจะอธิษฐานขออะไร
กับเทพองค์นี้ต้องกระซิบ แล้วก็เล่าลือกันต่อๆ ไป
จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ที่ถึงตอนนี้ มีคนได้รับผลอธิษฐานสมปรารถนากลับมาแก้บน และบอกต่อกัน
จนรายการไหว้เทพกระซิบถูกบรรจุเข้าไปในรายการทัวร์ไทยทุกบริษัท
จนชาวพม่าเห็นคนไทยทำแล้วดี ก็เริ่มเอาอย่างทำตามบ้าง

เนื่องจากตอนที่เราไปเป็นช่วงเข้าพรรษา
เทพกระซิบจึงปลงผม ของที่บูชาเทพกระซิบ
บูชาด้วยน้ำนม ข้าวตอก ดอกไม้ และผลไม้





จากนั้นเราได้ไปเจดีย์สุเหร่ เนื่องจากที่เจดีย์สุเหร่ฝนตกหนักมา
กจึงไม่มีรูปด้านนอกของเจดีย์ที่นี่ก็มีการขายดอกไม้ ธูปเทียน
และเสียค่าเข้าชมด้วยรู้สึกจะ 2 $

เนื่องจากฝนตกหนักมากเราเลยไหว้พระกันแบบเร่งรีบ
ที่นี่ก็จะมีพระพุทธรูปที่แทนพระพุทธเจ้าทั้ง 4 อง
ค์เหมือนที่เจดีย์ชเวดากอง และได้ไปไหว้เทพทันใจของเจดีย์สุเหร่
1 ในตำนานของนัตโบโบยีผู้ชี้ตำแหน่งสร้างเจดีย์ชเวดากอง
ที่นี่ลุงไข่จะถามเราว่าเกิดวันอะไร
แล้ว จนท.ก็จะให้เรานำธนบัตร1 ใบไปเหน็บไว้ที่นิ้วของเทพทันใจ
จนท.จะกล่าวบทสวดและมอบใบมะกอกให้เรา
ให้เรารับใบมะกอกลูบไม้เท้าของเทพทันใจ ตีฆ้อง 3 ครั้ง
เป็นอันเสร็จพิธี





ออกจากที่นี่ เราได้ไปทานอาหารทะเลที่ร้านยะไข่สาขาในเมือง
ไม่ได้ถ่ายรูปอาหารเพราะอาหารจะเหมือนร้านยะไข่ที่สาขาอินยา
แต่ทุกคนที่ทานที่นี่ออกความเห็นเหมือนกันว่า
อาหารที่สาขาอินยาอร่อยกว่าและเทียบราคาแล้ว
ที่สาขาอินยาน่าจะถูกกว่าที่นี่หารเฉลี่ยแล้วตกคนละ 300 บาทไทย

จากนั้นเราก็กลับไปพักผ่อนที่โรงแรมมาเธอแลนอิน II
และนัดลุงไข่มารับพรุ่งนี้เวลา 8 โมงเช้า
เพื่อจะไป สิเรียม ตลาดโบจ๊ก และเจดีย์ชเวดากอง


ผู้เขียน : คุณริว ผู้นำทริปพม่าทริปนี้



............... โปรดติดตามตอนต่อไป

//www.facebook.com/moonwatcherBP




 

Create Date : 08 ตุลาคม 2556    
Last Update : 16 ตุลาคม 2556 11:18:11 น.
Counter : 10883 Pageviews.  

มิงกาลาบา ตอน 4 : เมืองหงสา[Bago] พระสี่ทิศ สักการะพระพี่นางสุพรรณกัลยา อาหารทะเลที่ทะเลสาปอินยา

Kyaik Pon Pagoda (พระสี่ทิศ)


จากนั้นเราก็ไปKyaik Pon Pagoda เจดีย์ไจ๊ปุ่น (พระสี่ทิศ)
มีอายุมากกว่า 500 ปีเป็นพระพุทธรูปรูปปางมารวิชัย 4 องค์
นั่งอยู่ 4 ทิศ แทนพระพุทธเจ้า 4 องค์
ประวัติที่เราอ่านไปบอกว่า สร้างขึ้นโดย 4 สาวพี่น้อง
ที่อุทิศตนแด่พุทธศาสนา จึงสร้างพระพุทธรูปแทนตนเอง
และได้สาบานไว้ว่าจะไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศ
แต่ในที่สุดน้องสาวคนสุดท้อง ได้พบรักกับชายหนุ่มและแต่งงานกัน
จึงเกิดอาเพศฟ้าผ่าพระพุทธรูปที่แทนตัวของน้องสาวคนสุดท้อ
งพังทลายลงมา จนต้องมีการสร้างขึ้นมาใหม่ตามที่เห็นในปัจจุบัน
โดยพระพุทธรูปองค์นี้จะมีลักษณะแตกต่างจากองค์อื่น ๆ
คือ พระพักตร์จะเศร้ากว่าองค์อื่น

แต่ที่ลุงไข่เล่า บอกว่าเป็นสร้างโดยพระเจ้าธรรมเจดีย์
เป็นกษัตริย์มอญเป็นผู้สร้างขึ้น
ไม่ใช่ 4 สาวพี่น้องลูกสาวกษัตริย์ตามที่เคยอ่านกัน
ใกล้ๆกันนั้นก็มีรูปปั้นของพระเจ้าธรรมเจดีย์ผู้สร้างเจดีย์ไจ๊ปุ่นอยู่ด้วย
ก็ถามลุงไข่เหมือนกันเรื่องที่อ่านมา
ลุงไข่ก็บอกว่าไม่ทราบเหมือนกันว่ามาได้อย่างไร
เคยมีลูกทัวร์มาเถียงกับลุงไข่เรื่องนี้ด้วย





นอกจากนี้ยังมีรูปปั่นของวิสาท วิสาท
ถ้าบ้านเราก็คงหมายถึงเซียนกระมัง
คือมนุษย์ที่มีฤทธิ์สามารถต่ออายุของตัวเองได้
ว่ากันว่าตอนนี้มีพระพุทธเจ้าแค่ 3 องค์ องค์ที่ 4
ยังไม่จุติวิสาทจึงต่ออายุเพื่อรอพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4
มาจุติเพื่อจะได้นมัสการพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4








ชื่อของพระพุทธเจ้าทั้ง 4 องค์

• สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางทิศเหนือ
• พระพุทธเจ้าโกนาคมโน ทางทิศใต้
• พระพุทธเจ้ากกุสันโธ ทางทิศตะวันออก
• พระพุทธเจ้ามหากัสสปะ ในทิศตะวันตก

ขอบคุณข้อมูล จากวิกิพีเดีย

จากนั้นเราก็ได้ไปต่อกันที่ พระพี่นางสุพรรณกัลยา



สักการะพระพี่นางสุพรรณกัลยา


ออกจากเจดีย์ไจ๊ปุ่นหรือพระ 4 ทิศ
พวกเราได้ขอลุงไข่พาไปที่ตั้งรูปปั้นของพระพี่นางสุพรรณกัลยา
ที่นี่ก็จะมีเจดีย์อยู่แต่ต้องขอโทษด้วยไม่ได้จดมาว่าชื่ออะไร
เพราะใจมุ่งแต่จะไปไหว้ พระพี่นางสุพรรณกัลยา
ภายในมีรูปวาดของพระพี่นางสุพรรณกัลยาด้วย
ถ้าใครได้ไปพม่าน่าจะได้มีโอกาสไปสักการะพระองค์ท่านสักครั้ง





จากนั้นเดินทางกลับมาย่างกุ้ง



ทะเลสาปอินยา


ระหว่างทางขากลับได้ขอให้ลุงไข่แวะสนามบินเพื่อแลกเงิน
ตอนไป Bago อินทร์แขวนใช้เงินจ๊าดจนหมด
และได้ขอลุงไข่พาไปทานอาหารทะเล
มื้อนี้ลุงไข่เลือก ร้านทะเลแบบยะไข่สาขาทะเลสาปอินยา
เราเลยได้ไปเดินเล่นที่ทะเลสาปอินยาในตอนเย็น
ลุงไข่บอกว่าบ้านของนางซูจีก็อยู่แถวทะเลสาปอินยา
ที่เคยมีฝรั่งว่ายน้ำไปหานางซูจี

ทะเลสาปอินยาเป็นทะเลสาปที่อังกฤษขุดไว้เพื่ออ่างเก็บน้ำ
ลุงไข่เล่าว่าทะเลสาปอินยาอยู่ติดมหาลัยย่างกุ้ง
เลยเป็นทีนิยมของหนุ่มสาวจะนัดพบกันออกเดทกันอย่างโรแมนติก
จากที่เราไปด้อมๆมองหนุ่มสาวจะมีโลกส่วนตัว
กางร่มบังนั่งคุยกันเป็นจุดๆๆ






ร้านเฟรช (FRESH) ที่ทะเลสาปอินยา


ร้านอาหารมื้อค่ำของเรา
















ถ้าใครมีโอกาสได้ไปทานอาหารในเมืองย่างกุ้งขอให้รีเควสร้านนี้เลย
ย้ำด้วยนะครับต้องร้านยะไข่สาขาทะเลสาปอินยาเท่านั้น
เพราะราคาไม่แพงอาหารอร่อยกว่าสาขาในเมือง บรรยากาศก็ดีกว่า
ที่นี่กลุ่มผมได้ลองทานเบียร์พม่าพร้อมอาหารซีฟู๊ด
ควรสั่งอาหารทีเดียวให้พอเพราะอาหารจานไม่ใหญ่
และถ้าสั่งรอบหลังคนจะเยอะและอาหารมาช้า
แต่ราคาก็ไม่แพงวันนั้นพวกเรา 9 คนทั้งลุงไข่
หารออกมาตกคนละประมาณ200กว่าบาทเกือบๆ300บาท
อาหารแนะนำ พวกปลา กุ้ง อร่อยทุกอย่าง ปลานึ่ง ปลาทอด
กุ้งย่าง กั้งทอดกะเทียม โดยเฉพาะกั้งราคาถูกมาก
1 จาน มี 2 ตัว ราคาคิดเป็นเงินไทยราว 180 บาท
ตบท้ายมีแตงโมฟรีให้ทานด้วยสำหรับที่นี่

จบรอบค่ำของวันนี้ ที่ทะเลสาปอินยาและอาหารมื้ออร่อย
กลับไปพักที่มาเธอแลนอินนท์2 พรุ่งนี้เรานัดลุงไข่ไว้ 8 โมงเช้า
เพื่อเก็บเมืองย่างกุ้ง

อิ่มแล้ว ออกจากร้านอาหาร รถมินิบัสก็ไปส่งกลับโรงแรม


ผู้เขียน : คุณริว ผู้นำทริปพม่าทริปนี้



............... โปรดติดตามตอนต่อไป

//www.facebook.com/moonwatcherBP




 

Create Date : 04 ตุลาคม 2556    
Last Update : 6 ตุลาคม 2556 22:12:59 น.
Counter : 5141 Pageviews.  

มิงกาลาบา ตอน 3 : เก็บตกเมืองหงสา เยี่ยมวังบุเรงนอง [3]






วัดพระนอนชเวตาเลียง (Shwethalyaung Reclinging Buddha) 


พระนอนองค์นี้เป็นศิลปะแบบมอญเป็นองค์พระนอนที่ ใหญ่ที่สุดในพม่า





พระนอนองค์นี้เคยถูกปล่อยให้เสื่อมโทรมรกร้างอยู่กลางป่าเป็นเวลานาน 
จนกระทั่งคนงานสร้างทางรถไฟที่มาสร้างทางแถวนี้ได้มาพบเข้า 
จึงได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่





ด้านหลังองค์พระเป็นภาพวาดประวัติการสร้างพระนอนครับ 
เรื่องมีอยู่ว่าเดิมแถวนี้มีกษัตริย์มอญปกครองอยู่ 
และนับถือยักษ์ถึงขนาดสร้างรูปปั้นไว้เคารพกราบไหว้ 
พระโอรสของกษัตริย์แอบไปรักกับสาวชาวบ้านที่นับถือพุทธ 
กษัตริย์ไม่ยอมให้แต่งงานกันถ้าไม่เปลี่ยนมานับถือยักษ์แบบพระองค์ 
แต่หญิงชาวบ้านไม่ยอมหันมานับถือยักษ์ 

กษัตริย์มอญเลยสั่งประหารหญิงสาวคนดังกล่าว 
ก่อนถูกประหารหญิงสาวก็ตั้งจิตระลึกถึงคุณพระพุทธอย่างแน่วแน่ 
จนทำให้รูปปั้นยักษ์เกิดพังทลายลงอย่างน่าอัศจรรย์ 
ทำใหกษัตริย์มอญพระองค์นั้นหันกลับมานับถือศาสนาพุทธ 
และสร้างพระนอนองค์นี้ขึ้นมาเป็นที่เคารพบูชาแทน






ที่นี่มีร้านขายของซึ่งเราสามารถจ่ายเป็นเงินไทยได้ครับ
แม่ค้าพอพูดไทยได้  

ราคาของอย่างที่บอกต้องต่อแบบไม่ต้องกลัวแม่ค้าตบ 
ทานาคาแบบขวดที่นี่ขาย แพ๊ค 6 ขวด ราคาบอก 8000 k 
แต่พอดีเพื่อนเคยซื้อที่ตลาดโบจ๊ก 
วันแรกที่มาแพ๊ค 6 ขวดราคา แค่ 2000 k 
ผ้าถุงผู้หญิงบอกเงินไทยผืนละ 450 บาทต่อได้ผืนละ 180 บาท 
โสร่งผู้ชาย บอก 180 ต่อได้ 90 บาท 
ไม้ยาวๆที่ช่วยใส่รองเท้า บอกอันละ 150 บาทต่อได้อันละ 50 บาท 





วิธีการต่อของพวกเราต้องขอบคุณป้านิกกี้ที่สอนคือ 
ต่อให้ต่ำมากๆ ถ้าแม่ค้าบอกไม่ได้เราก็จะลุกขึ้น
และไปดูร้านอื่นส่วนใหญ่แม่ค้าก็จะยอม 
ราคาที่ต่อรองได้ก็พอๆกับที่ตลาดโบจ๊กครับ
ถ้าไม่ซื้อที่นี่ก็ไปซื้อที่โบจ๊กได้




สำหรับตอนที่ 3 นี้ ได้แบ่งเป็น 3 ตอนย่อย [1]  [2]  [3]  ค่ะ ^^



ผู้เขียน : คุณริว ผู้นำทริปพม่าทริปนี้



............... โปรดติดตามตอนต่อไป

//www.facebook.com/moonwatcherBP




 

Create Date : 03 ตุลาคม 2556    
Last Update : 4 ตุลาคม 2556 9:11:29 น.
Counter : 1139 Pageviews.  

มิงกาลาบา ตอน 3 : เก็บตกเมืองหงสา เยี่ยมวังบุเรงนอง [2]





วัดไจ้คะวาย (Kyatkhutwind Monastery)


ลุงไข่เล่าว่าวัดไจ้คะวายมีพระและสามเณรประมาณ 500 รูป 
เป็นโรงเรียนสอนพระพุทธศาสนา 


การใส่บาตรของคนพม่าให้ใส่แต่ข้าว  ส่วนกับข้าวจะมีการนำมาถวายที่วัดแยกกัน 
ตอนที่เราไปถึงพระกำลังจะเดินออกมาได้มีโอกาสใส่บาตรพระ
แม้ไม่ครบทุกรูปแต่ก็ได้ร่วมถวายปัจจัยด้วย






วันนี้เราไปเจอพระกำลังขนกับข้าวออกมาวันนี้มีแกงปลา 
ลุงไข่บอกว่าวันนี้โชคดีมีแกง ปลาบางวันก็จะมีแต่น้ำพริกกับผักเท่านั้น 
วัดนี้ไม่มีการเก็บเงินค่าเข้าแต่ก็สามารถทำบุญได้ตามศรัทธา 





ที่นี่ มีรูปปั้นของนายพลอองซาน พ่อของนางซูจีอยู่ในวัดด้วย 
ถ้าหากท่านใดมีแผนการที่จะมาที่นี่อาจจะเตรียมอุปกรณ์การเรียน 
ขนมอาหารแห้งมาถวายพระหรือเณรที่นี่ด้วยก็ดี






ต่อจากนั้นเราก็ไปทานอาหารร้านไทยใหญ่ 
ลุงไข่เรียกว่าข้าวมันไก่แต่จริงๆน่าจะเป็นข้าวหน้าไก่ย่าง 
ร้านนี้มีตู้เย็นเล็กๆมีน้ำอัดลมกระป๋องแช่เย็นด้วยแต่ไม่มีน้ำแข็ง 
ลุงไข่สั่ง ส้มตำ ซุปไทยใหญ่ ให้ทานกันด้วย 
ส้มตำแบบตำไทยรสชาติเหมือนกินที่บ้านเรา 








ซุปไทยใหญ่เหมือนน้ำเงี้ยวเป็นมะเขือเทศที่ต้มจนเปื่อยยุ่ย
ใส่สารพัดผัก มีเส้นก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ด้วย 
รสชาติอร่อยดีสำหรับผม
แต่เพื่อนบางคนบอกรสชาติแปลกๆๆ 
เป็นมื้อประหยัดอีก 1 มื้อ
เพราะคิดราคามาแล้วไม่แพงเลยตกคนละ 80 บาท



พระราชวังบุเรงนอง


จากนั้นเราก็ไปพระราชวังบุเรงนอง



ที่แรกที่ลุงไข่พาไปดู คือซากเก่าของวังที่โดนไฟไหม้
เหลือแต่โคนเสาตอไม้ที่โดนไฟไหม้ 




ลุงไข่เล่าให้ฟังว่าที่นี่เดิมเป็นที่รกร้าง ได้มีการขุดค้นพบ 
หลักฐาน เสาที่ไฟไหม้ ต่อมาหลังยุคนายพลเนวินสละอำนาจ
 รัฐบาลพม่าก็ได้สร้างพระราชวังบุเรงนองขึ้นมาใหม่ 
และได้มีการเร่งสร้างพระราชวังจำลององค์ใหม่ขึ้นมา 
ทาด้วยสีทองทั้งหลัง ที่พื้นดินบริเวณโดยรอบ
ได้ขุดพบโบราณวัตถุต่าง ๆ มากมาย 
มีเสาไม้ที่ใช้สร้างพระราชวังเมื่ออดีตที่ยังหลงเหลืออยู่
ได้ถูกจัดแสดง

ด้านหน้า ของพระราชวังจะเป็นที่ประดิษฐานของบัลลังก์ผึ้ง 
(Bee Throne Hall) เป็นอาคารมุงด้วยหลังคาสังกะสีขนาดเล็ก
 หลังคาซ้อนกันเป็นทรงปราสาท 
ที่นี่ลุงไข่ไมได้พาเข้าไปดูด้านใน บอกว่าเหม็น








Kanbawzathadi Palace วังบุเรงนอง 


พระราชวังแห่งเมืองBago ของพระเจ้าบุเรงนอง เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ 
ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของพระธาตุมุเตาพระราชวังบุเรงนอง 
สร้างขึ้นโดยใช้แรงงานจากประเทศราชต่าง ๆ 
และพระองค์โปรดให้ใช้ชื่อประตูต่าง ๆ ทั้งหมด 20 ประตู 
ตามชื่อของเมืองที่เป็นประเทศราชเช่น ประตูทางตอนเหนือปรากฏชื่อ
ประตูโยเดีย (อยุธยา) ประตูตอนใต้ชื่อ ประตูเชียงใหม่ 
สมชื่อพระเจ้าสิบทิศจริงๆ





วังบุเรงนองโดนเผาในสมัยของ "พระเจ้านันทบุเรง" 
พระโอรสองค์โตของพระเจ้าบุเรงนอง 
วังบุเรงนองได้ถูกทำลายโดยชนชาวตองอู และยะไข่ 
และพระเจ้านันทบุเรงก็ตายเพราะโดนวางยาพิษ
ในคุกของพระเจ้าตองอู





ภายในยังจัดแสดงของใช้ของพระเจ้าบุเรงนอง 
ซึ่งสมัยก่อนทำด้วยทองคำ มีราชรถจำลอง 
มีท้องพระโรงบัลลังค์ที่พระเจ้าบุเรงนองออกว่าราชการ 
มีเสาไม้หรือท่อนไม้ ซึ่งไม้แต่ละต้นมีตัวอักษรจารึกอยู่ว่
เป็นไม้ของเมืองใดเป็นผู้ส่งมาสร้าง 




สำหรับความรู้สึกของผมสวยแต่งานฝีมือไม่ละเอียด
ดูเผินๆรวมๆก็สวยดี แต่ดูรายละเอียดแล้วคิดว่า
ฝีมือช่างสมัยใหม่คงไม่ละเอียดเหมือนสมัยก่อน 









ข้างๆวังบุเรงนอง มีสระน้ำลุงไข่บอกว่าเป็นที่ว่ายน้ำ
ของพระเจ้าบุเรงนองด้วย

ที่นี่มีการตรวจบัตรที่เราจ่าย10000 K เมื่อวานด้วยนะครับ
ถ้าใครทำหายก็ต้องจ่ายใหม่อีกรอบ




ออกจากวังบุเรงนองเราไปที่วัดพระนอนชเวตาเลียง



สำหรับตอนที่ 3 นี้ ได้แบ่งเป็น 3 ตอนย่อย [1]  [2]  [3]  ค่ะ ^^

ผู้เขียน : คุณริว ผู้นำทริปพม่าทริปนี้



............... โปรดติดตามตอนต่อไป

//www.facebook.com/moonwatcherBP




 

Create Date : 03 ตุลาคม 2556    
Last Update : 3 ตุลาคม 2556 11:18:35 น.
Counter : 2386 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  

ชมจันทร์
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




เดินทางสู่โลกกว้าง เพื่อไปเรียนรู้โลก ผู้คน เพื่อประสบการณ์ชีวิต

Friends' blogs
[Add ชมจันทร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.