- ประวัติ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ : About Pol.Col.Dr.Siriphon Kusonsinwut
- ชีวิตในสาธารณรัฐประชาชนจีน (กงสุล)
- ชีวิตนักเรียนฯ ในสหรัฐ : My Life & Experience in the United States School of Law
- การเรียนกฎหมายสหรัฐ :Course Outlines & Study In U.S. Law School [ JD. / LL.M. / JSD./ SJD. Program ]
- ว่าด้วยหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ : The U.S. Constitutional Law : Rule and Legal Issues
- กระบวนการยุติธรรมสหรัฐ: Law & Order - Criminal Justice System: Criminal Law & Criminal Procedure Issues, 4th, 5th, & 6th Amendment, to the U.S. Constitution
- กฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ : U.S. Intellectual Property Law : Trademark & Unfair Competition Law, Patent and Copy Rights Law
- Conflict & Peace Resolution: การจัดการปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
- กฎหมาย อำนาจ ผลประโยชน์ กับ การเมืองของไทย : Law & Problems in Thai Politics v. Fucking Coup
- บางปัญหาหลักกฎหมายมหาชน และหลักนิติรัฐของไทย: Rule of Law (Etatdedroit ) & Constitutional & Legal Issues in Thailand
- เกร็ดความรู้เกี่ยวกับการสอบสวนคดีอาญาของพนักงานสอบสวนและสั่งคดีของพนักงานอัยการ
- เพื่อสถาบันตำรวจไทย : The Royal Thai Police
- แด่ทวีธาภิเศก เตรียมทหาร นายร้อยตำรวจ และธรรมศาสตร์ : Educational Institute Alumni
- ขายความคิด นานาสาระ เล่าสู่กันฟัง : Idea Retailor & Current Global Problem Story
- ชีวิตหลังการศึกษา สู่โลกแห่งความเป็นจริง
- นำเที่ยวในสหรัฐและแคนนาดา : Travel Around the United States & Canada [ Victoria, Vancouver, California, Arizona, Florida, Pennsylvania, Ohio, Chicago, Indiana, New York, etc.]
- ท่องเที่ยวในอังกฤษ & ยุโรป : Travel Around England, Scotland and Europe [France, Belgium, Germany ]
- การท่องเที่ยวในเอเชีย : ไต้หวัน เวียดนาม มาเลเซีย และญี่ปุ่น : Travel Around Taiwan Japan and other Country in Asia
|
|
|
|
|
|
เรื่องเล่า การมาฝึกอบรมที่ เยอรมัน ตอนที่ ๔
คราวที่แล้วได้เล่าเรื่องเทศกาล carnival กับการวิธีการฝึกอบรมของ FNF ณ สถาบัน International Academy for Leadership of the Friedrich Naumann Foundation (IAF) ที่เมือง Gummersbach ประเทศ Germany ไปแล้ว คราวนี้ ขอกล่าวถึงการไปทัศนศึกษา หรือ Sight Seeing ที่เมือง Hamburg ทางตอนเหนือของประเทศเยอรมันนี ให้ฟังสักเล็กน้อยครับ
กลุ่มของผู้เข้าฝึกอบรมในหลักสูตร Conflict Prevention & Conflict Management ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ เหมือนทุกวัน แม้นว่า วันนี้ (๒๑ ก.พ.๕๒) จะเป็นวันเสาร์ ที่หลายคนรวมทั้งผม จะมีนิสัยค่อนข้างขี้เกียจสักเล็กน้อย วันเสาร์ ก็จะต้องนอนตื่นสาย หลังจากวันธรรมดา จะต้องตื่นแต่เช้ามาโดยตลอด เมื่อรับประทานเสร็จช่วงเวลา ๗ โมงเช้า พวกเราก็ออกเดินทางจาก Gummersbach ซึ่งถือเป็น Middle of nowhere เนื่องจาก สถาบัน IAF อยู่ห่างไกลจาก downtown ของเมือง Gummersbach ที่มีประชากรเพียงประมาณ ๔๐,๐๐๐ คน ทำให้เห็นแต่ฝูงแกะระหว่างการฝึกอบรม เมื่อถึงเวลา ๘ โมงเช้าตรง ตามเวลาเยอรมันนี (German Time: GT) ล้อรถก็หมุน แล่นผ่านตามถนนหลวงหมายเลข ..... มุ่งขึ้นเหนือไปเมืองท่าติดต่อทางการค้าของเยอรมันนี กับประเทศต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงประเทศจีน และ ญี่ปุ่น ที่เป็นพาร์ทเน่อร์สำคัญของเยอรมันนี ขนาดที่ว่า มีบริษัทของประเทศจีนเป็นร้อย ๆ แห่งร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทในเยอรมันนีเลยทีเดียว
การเดินทางไป Hamburg ต้องใช้เวลาประมาณ ๕ ชั่วโมงเศษ ๆ ดังนั้น ผู้อำนวยการหลักสูตร จึงให้คนขับรถหยุดพักระหว่างทาง ซึ่งก็จะมีร้านค้าตามจุดพักรถขายอาหาร เครื่องดื่ม ซึ่งรวมถึงกระทิงแดง (Red Bull) ซึ่งเป็นสินค้าของไทยด้วยแต่ราคาของกระทิงแดงที่นี่ค่อนข้างแพง เกือบ ๓ ยูโร เลยทีเดียว น่าทึ่งมาก การกำหนดเวลาการเดินทางของเยอรมันนี มีความแม่นยำมาก เช่นว่า รถไฟจะถึงสถานีปลายทางกี่โมง ก็ตรงเวลาตามนั้น รวมถึงการเดินทางของพวกผมนี่ ใช้เวลา ๕ ชั่วโมง ๑๓ นาที คนขับรถก็ทำเวลาได้ตรงตามนั้นเลยทีเดียว ทางสถาบัน IAF จัดให้พวกเราพักที่โรงแรม InterCityHotel ซึ่งใกล้กับสถานีรถไฟและรถบัส (Central Station) หรือ Banhof ของเมือง Hamburg เพียงการเดิน ๓ นาที แหล่งที่พักจึงใกล้กับสถานที่ shopping center มีร้านค้ามากมายตั้งเรียงรายตามถนนหนทาง มีรถบริการ แบบรถราง รสบัส และ รถไฟใต้ดิน ซึ่งทำให้การเดินทางสะดวกอย่างมาก ผู้คนในเมือง Hamburg จึงไม่นิยมใช้รถยนต์กัน เมือง Hamburg นี้ เป็นเมืองขนาดใหญ่ของเยอรมันนี ในระดับใกล้เคียงกับ เบอร์ลิน และ มิวนิค ถ้าจะถามต่อไปว่า เมืองใหญ่ ๆ มีประชากรเท่าไหร่ ก็ตอบได้เลยว่าประมาณ ๓ ล้านคนนี่ ก็ถือว่าใหญ่มากแล้ว ส่วนที่ Hamburg มีประชากรเพียง ๑.๗ ล้านคนเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้กับกรุงเทพมหานครเลย
เมือง Hamburg มีอะไรน่าสนใจมากมาย และมีให้เลือกในทุกรูปแบบ ตั้งแต่ อาหารการกิน ดนตรีแจ๊ส แหล่งจับจ่ายใช้สอย และเลือกซื้อสินค้า รวมถึงชีวิตกลางคืน ที่มีสีสรรอย่างมากกมาย หากใครผ่านสถานีรถไฟ St.Pauli แล้วลงเดิน ก็จะพบกับเขตที่เรียกกันว่า Red Light District คือ ถนนอันตราย ไม่ได้อันตรายแบบจะถูกจี้ถูกปล้นหรอกนะครับ แต่เป็นว่า เป็นชิวิตที่ร้อนแรง เต็มไปด้วยพลังขับเคลื่อนทางเพศ มีคลับ บาร์ สถานที่ท่องเที่ยวกลางคืน Sex Shop แน่นอนครับ คือ มีโสเภณีที่ยืนบริการเป็นหลักแหล่งอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วย เคยมีผู้ร่วมสัมมนาว่า กฎหมายในเรื่องโสเภณี ควรจะเป็นอย่างไร ควรถูกกฎหมายหรือไม่ ฯลฯ อันนี้ เถียงกันไม่จบสิ้น แล้วแต่จะคิดกันไป แต่ในเยอรมันเขาเลือกให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจะได้รับการปกป้องและคุ้มครองสิทธิ์ต่าง ๆ อย่างผู้ใช้แรงงานพึงมี
กลับมาเรื่องการดูงานของพวกเรา ในวันแรก เมื่อมาถึงที่ โรงแรม ทาง สถาบันได้จัดให้พวกเรา นอนกันอย่างสบาย ๑ คนต่อ ๑ ห้อง แต่โรงแรมในเยอรมันนี ค่อนข้างงกครับ ไม่มีอินเตอร์บริการ หากจะใช้อินเตอร์เน็ต ก็ต้องซื้อ ชั่วโมงละ ๙ ยูโร คนเยอรมันนิยมสูบบุหรี่ (กลัวจะตายกันช้าหรือไงก็ไม่ทราบ) ทำให้ห้องพักในโรงแรม เหม็นคละคลุ้งด้วยกลิ่นบุหรี่ เพราะกลิ่นเหล่านี้ มันสะสมเข้าไปตามฝาผนัง และ พรม ทำให้เหม็นอย่างไม่มีทางหาย ยกเว้นจะมีการซักพรมหลาย ๆ ครั้ง ๆ จึงจะหายไป ทำให้ผมนอนไม่สบายสักเท่าไหร่ อีกอย่าง หมอนของโรงแรมและสถานที่ฝึกอบรมนี่ ก็มีลักษณะเหมือนกัน ๆ คือ บางมาก ๆ ไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่
ตอนบ่ายของวันที่ ๒๑ ก.พ. ๕๒ ผู้อำนวยการหลักสูตร ปล่อยให้พวกเราเดินเล่นตามใจ เราก็เดินช๊อปปิ้งกันใหญ่ ไม่ใช่ของมันถูกหรอกนะครับ แต่เป็นเพราะที่เราอยู่ที่ Gummersbach มันไม่มีอะไรให้ดูนั่นเอง เพื่อนผม ซึ่งเป็นตำรวจ ชาวกาน่า ท่านอยากได้กล้องดิจิตอล ถ่ายภาพตัวเอง ท่านก็ให้ผมแนะนำว่าจะซื้ออะไรดี ผมว่า กล้องที่ดีที่สุดในสายตาของผม คือ cannon ผมเลยแนะนำให้เขาซื้อ ซึ่งเดี๋ยวนี้ กล้องราคาถูกลงไปเยอะครับ อย่างกล้องรุ่นธรรมดา ใช้แบตตารี่แห้ง แบบใช้แล้วทิ้งไป ความละเอียดของภาพประมาณ ๗ ล้านเม็ดสี ราคาไม่ถึง ๑๐๐ เหรียญแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อน สัก ๓ หรือ ๔ ปีที่แล้ว ขนาดความละเอียดภาพ ประมาณ ๓ ล้านเม็ดสี ก็ประมาณ ๒๐๐ เหรียญแล้ว พอเพื่อนผมได้กล้อง ก็ลิงโลดถ่ายภาพนั่น ถ่ายภาพนี่ แล้วเขาก็หลงทางหายไป 5555
ผมซื้อเสื้อไปหลายตัว เพราะว่า ผมเอาเสื้อเผ้ามาไม่มาก เนื่องจากได้ยินว่าที่สถาบันมีเครื่องซักผ้า คืนวันศุกร์ (๒๐ ก.พ.๕๒) คืนก่อน ออกเดินทางจึงซักผ้าซะหน่อย ปรากฎว่า เครื่องปั่นผ้าแห้งที่สถาบันไม่สามารถทำให้ผ้าแห้งได้ แถมยังดูเหมือนกับเปียกโชก จนต้องเอามือบีบน้ำออก จึงไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ ก็ต้องไปหาซื้อสินค้าลดราคา ได้เสื้อผ้าลดราคามาพอสมควร พอเอาชีวิตรอดไปได้ในระหว่าง ๔ วันที่ Hamburg ครับ เมื่อช๊อปปิ้งเสร็จ พวกเราก็กลับไปกินอาหารเย็นที่โรงแรมที่ว่า อาหารของเยอรมันนี มันช่างไม่อร่อยเสียจริง ๆ ครับ มีแต่ครีมชี้สกวน ๆ ใส่ผัก หรือ ใส่ข้าว ใส่เนื้อ ก็จำใจฝืนกินให้มันมีชีวิตรอดไปวัน ๆ
วันอาทิตย์ที่ ๒๒ ก.พ. ๕๒ นี่ เมืองเงียบเหมือนเมืองร้างเลย เพราะว่า ร้านรวงต่าง ๆ ในเยอรมัน ปิดให้บริการหมด มีแต่ร้านอาหารที่ยังเปิดอยู่ ตอนเช้า พวกเราก็ไปนั่งรถชมเมือง โดยมีไกด์มาอธิบายทัศนียภาพทั่ว ๆ ไป ประวัติความเป็นมาของตึก และสถานที่ต่าง ๆ ใน Hamburg จะมีทะเลสาบขนาดใหญ่ ๆ กว่า สวนลุมพินี ประมาณ ๒ เท่า ซึ่งสร้างขึ้นมาเองเมื่อคราวสร้างเมือง เพื่อให้ประชาชนมีน้ำกินและได้พักผ่อน ประชาชนส่วนใหญ่ ก็จะมาวิ่งพักผ่อนรอบทะเลสาบนี้ หากวิ่งครบรอบ ก็จะกินเวลาประมาณ ๔๕ นาที รอบ ๆ ทะเลสาบ มีบ้านของดาราดัง คนดัง หรือ คนตระกูเก่าแก่ สถานทูตต่าง ๆ เรียงรายกันไป โดยอาคารที่จะปลูกรอบทะเลสาบแห่งนี้ มีกฎหมายควบคุมอาคารให้สูงไม่เกิน ความสูงของต้นไม้ บริเวณรอบทะเลสาบ ซึ่งมอง ๆ ไป ก็จะสูงไม่เกิน ๒ ชั้น เพื่อให้บริเวณรอบทะเลสาบ คงความสวยงามไว้ได้ และ ไม่ปิดกั้นทิศทางลม ทำให้อากาศบริเวณนี้ ดีมาก ๆ และยังเห็นเป็นเครื่องฟอกอากาศ และ ดักฝุ่นละอองตามธรรมชาติด้วย
ในเมืองแห่งนี้ ยังมีสถาบันต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ มหาวิทยาลัย Hamburg ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่สำคัญ เก่าแก่ มีชื่อเสียงในทางด้านกฎหมายด้วย สถาบันวิจัยอิสระ GIGA ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณมาจากรัฐบาลกลางและเมือง Hamburg เพื่อทำการศึกษาปัญหาความขัดแย้งในด้านทรัพยากรน้ำ พลังงาน ฯลฯ เพื่อหาแนวทางหาพลังงานทดแทนให้แก่ประเทศและแก่โลกด้วย นอกจากนี้ ทางเมือง Hamburg ยังมีอภิโคตรมหาโปรเจค พัฒนาเมืองชายท่า โดยจะมีการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ เรียงรายกันตามท่าน้ำ รวมถึงโรงละครขนาดยักษ์ ที่มีลักษณะคล้ายกับโรงละครของออสเตรเลีย ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี ค.ศ. ๒๐๑๒ และใช้เงินลงทุนสูงมาก ๆ
ตอนบ่ายของวันอาทิตย์ (๒๒ ก.พ.๕๒) พวกเรานั่งเรือไปชมท่าเรือขนส่งสินค้าของเมือง Hamburg ที่ส่งสินค้าไปทั่วโลกด้วยท่าเรือแห่งนี้ โดยเฉพาะสินค้าระหว่างประเทศยุโรปด้วยกัน กับสินค้าเอเชีย มีบริษัทใหญ่ ๆ เช่น ฮุนได และ บริษัทของจีน ขนส่งสินค้าจำนวนมาก
วันต่อมา (๒๓ ก.พ.๕๒) พวกเราไปดูงานที่ มหาวิทยาลัยการทหารของเยอรมัน ที่มีชื่อว่า...Helmut-Schmidt-University of the German Armed Forces ณ Hamburg..บรรยายโดย Dr. Martin Nassua, Director of International Affairs ของมหาวิทยาลัยนี้ .. หลักสูตรการฝึกทหารที่เยอรมันนี น่าสนใจมาก เพราะจะมีการฝึก ๑ ปี เพื่อเตรียมตัวเป็นทหาร แล้วจะมีการเรียนทางวิชาการอีก ๔ ปี เช่นเดียวกับการเรียนของมหาวิทยาลัย โดยเน้นให้เห็นว่า พวกเขาที่จะเป็น Officer นี้ ที่แท้จริงนั้น พวกเขา คือ Civilian ที่มี Uniform เท่านั้น ไม่ได้เป็นคนวิเศษวิโส มาจากสวรรค์วิมารที่ไหน กล่าวคือ ระหว่างการฝึกอบรมทางวิชาการ จะมีการเรียนการสอนในทางวิชาการทหารด้วย อาทิตย์ละ ๑ ครั้ง ไม่มีการวิ่ง ลำบาก ลำบน ตั้งแต่ ตีห้าเศษ ๆ เหมือนโรงเรียนทหาร ตำรวจของไทย มีแต่การดูงาน การฝึกงาน ตามสถาบันทหารระหว่างปิดภาคการศึกษา แต่จะมีการเน้นให้เขาเห็นว่า พวกเขาเป็นทหารที่มีวินัย ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย จะไม่มีการทรยศต่อหลักการแห่งรัฐธรรมนูญ ไม่มีการฉีกรัฐธรรมนูญด้วยการทำการขบถ รัฐประหาร หรือ จะเรียกอะไรให้สวยหรูก็ตาม ไม่มีทั้งนั้น ทหารต้องมีความเป็นประชาธิปไตย ภายใต้กฎเกณฑ์ของกองทัพ ตามหลักการ The Rule of Law ซึ่งทหารที่ได้รับการฝึกฝนที่นี่ ได้รับการสั่งสอนว่า เมื่อเขาเป็นผู้น้อย เขาต้องปฏิบัติตามคำสั่ง แต่ถ้าคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย เขาไม่ต้องทำ นายทหารระดับผู้บังคับบัญชา ก็จะได้รับการสั่งสอนและฝึกอบรมว่าจะต้องไม่สั่งการอะไรโง่ ๆ หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะลูกน้องของเขาจะไม่ทำตามคำสั่งแย่ ๆ เหล่านั้น
ผู้บรรยายได้อธิบายให้พวกเราฟังว่า การที่สถาบันทางทหารของเยอรมัน มีแนวคิดเช่นนี้ได้ ก็เพราะการผ่านบทเรียนที่ขมขื่นในอดีต ที่มีทหารโง่ ๆ รับฟังคำสั่งฮิตเล่อร์ โดยไม่คิด ไตร่ตรอง ทำให้เกิดความหายนะต่อสังคมเยอรมัน และเป็นรอยจารึกที่ฝึงในจิตใจ เป็นความอับอายที่ไม่มีวันจางหาย ที่ครั้งหนึ่ง เยอรมัน เคยมีทหารโง่ ๆ เป็นผู้นำ แล้วประชาชนก็หลงไหลคำหวานของทหารโง่ ๆ และบ้า ๆ เหล่านั้น ทำให้ประเทศต้องล่มจม เมื่อเยอรมันนี พัฒนาหลัก The Rule of Law อย่างเข้มแข็ง หลักการแห่งกฎหมายหรือนิติรัฐ จึงเป็นกลไกสำคัญ ที่ทำให้ประเทศไม่ต้องตกอยู่ภายใต้หายนะอีก แนวคิดน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ให้ได้เห็นตัวอย่าง ว่า ประเทศที่จะเจริญได้ จะต้องมีหลักนิติรัฐ ที่มั่นคง เป็นเครื่องมือในการกำหนดและกำกับการใช้อำนาจของผู้นำทุกระดับ ทุกชนชั้น หลักนิติรัฐ จึงเป็นเรื่องสำคัญ ๆ ต้องพัฒนาอย่างมั่นคง ไม่ใช่ว่าจะได้มาโดยกระบอกปืนของทหารที่ออกมายึดอำนาจ หรือ ได้มาจากการสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะมาบันดาลให้เกิดขึ้น แต่จะต้องเกิดจากการพัฒนาการที่ต่อเนื่อง ยั่งยื่น และมีนักกฎหมายที่ยืนหยัด ฟันฝ่า แสดงความคิดที่ต่อต้านกระแสสังคม แม้จะเป็นกระแสหลัก หากไม่ถูกต้อง ก็จะต้องต่อสู้ เพื่อให้เห็นว่า หลักนิติรัฐ แท้จริง มันเป็นเรื่องสำคัญ ที่ไม่อาจจะก้าวกระโดดได้ หรือไม่อาจจะละเลยได้ โดยอ้างว่า เพื่อทำลายการเมืองที่ทุจริต หรือ นักการเมืองเลว เพียงบางคน หรือ หลายคน โดยต้องแลกกับความย่อยยับแห่งหลักนิติรัฐ กับ การปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศ ดังปรากฎตามวิถีของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย
ผมจะได้เล่าเรื่องในเรื่องการฝึกอบรมและการดูงานที่ Hamburg ต่อไปใน blog หน้าครับ
Create Date : 09 มีนาคม 2552 |
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 8:59:59 น. |
|
1 comments
|
Counter : 587 Pageviews. |
|
|
|
โดย: naragorn วันที่: 10 มีนาคม 2552 เวลา:0:15:11 น. |
|
|
|
| |
|
|
^_______^