เมื่อความรักออนไลน์...
เมื่อความรักออนไลน์...

จากบทความตอนหนึ่งของ...เมื่อ ความ รัก ออน ไลน์


การแสวงหารักแท้ที่ออนไลน์อยู่ในโลกไซเบอร์ใบนี้
ไม่ได้ง่ายดายหรือยากลำบากไปกว่าการแสวงหาความรักในโลกแห่งความจริง
ที่มีผู้คนเดินสวนกันไปมาเลยแม้แต่น้อย มันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากชีวิตจริง
คุณจะบอกได้ในทันทีที่คุณเดินสวนกับใครซักคน
และรู้สึกสะดุดตา

สะดุดความรู้สึกกับใครคนนั้นไหม
ว่าคนคนนั้น คือ คนที่ใช่...คือใครบางคนที่คุณตามหา
หรือคือคนที่คุณมั่นใจว่า จะวางอนาคตไว้ร่วมกับเขา
แน่นอน...หากคุณยังมีเหตุผลเพียงพอ
ที่จะไม่ปล่อยให้อารมณ์อ่อนไหววาบหวามเป็นตัวบงการ
คุณคงมีสติพอที่จะรู้ว่า คุณไม่มีทางยืนยันได้แน่ชัด ว่าคนที่คุณคิดว่า
เขาอาจใช่คนที่คุณรอคอย คือ คนที่จะร่วมชีวิตกับคุณ
จนกว่าคุณจะได้เรียนรู้และพิสูจน์คนคนนั้นอย่างชัดเจนเสียก่อน

การแลกเปลี่ยนทางความคิดกับคนพิเศษซักคนที่ออนไลน์มาพบกัน
อาจเริ่มต้นขึ้นอย่างเปิดเผยและง่ายดาย
ความสวยงามของตัวหนังสือที่พิมพ์ส่งมาอาจมีมนต์ขลังเสีย
จนทำให้หัวใจของคุณผูกมัดด้วยจินตนาการงดงามของภาพฝันในอุดมคติ
แต่คุณจะด่วนสรุปได้อย่างไรว่า..นั่นคือ..ความรัก.
จนกว่าคุณจะก้าวออกมาจากโลก
แห่งความฝันของคุณเพื่อมาพบกับความเป็นจริงที่คนคนนั้นเป็นอยู่

การปล่อยให้ตัวเองผูกพันกับจินตนาการจนอารมณ์และความรู้สึกเตลิดไปไกล
มีแต่จะทำให้คุณต้องพบกับความผิดหวังและปวดร้าว
หากภาพฝันนั้นไม่เป็นไปอย่างที่คุณคิด
ความรักไม่อาจเริ่มต้นระหว่างคนแปลกหน้า และไม่ว่าคุณจะออนไลน์
คุยกับเขายาวนานนับปีด้วยความรุ้สึกคุ้นเคยเปิดเผยเพียงไร

กำแพงแห่งความแปลกหน้าก็ไม่มีวันพังทลายลง
จนกว่าคุณและเขาจะได้พบกันในโลกแห่งความเป็นจริง
รักแท้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายดายบนโลกสับสนใบนี้
และยิ่งไม่อาจค้นพบได้ง่ายดายในโลกที่มองไม่เห็น
ความรักต้องการการเรียนรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งระหว่างคนสองคน

ความรักคือการรู้จักเพื่อที่จะยอมรับตัวตนของกันและกันอย่างแท้จริง
ดังนั้นหากคุณกำลังคิดว่า คุณมีความรักหรือเจ็บปวด
กับคนพิเศษซักคนที่ออนไลน์มาพบกันประจำทุกวัน
ทั้งที่คุณไม่เคยได้ยินเสียง
ไม่เคยเห็นหน้า และไม่เคยแม้แต่จะรับรู้ความจริงว่า
เขาเป็นอย่างไรเมื่อใช้ชีวิตอยู่ในสังคมปกติ
หรือเพียงแต่หลงรักภาพอุดมคติที่ตัวเอง เป็นคนสร้างขึ้นมา

ก็คือการพาเขาก้าวออกมาจากโลกแห่งจินตนาการใบนั้น
เพื่อมาพบปะกันในชีวิตจริง
จำไว้ว่า..หนึ่งปีที่คุยกัน...ก็ไม่เท่าหนึ่งวันที่ได้พบหน้า
เมื่อคุณพบเขา คุณจะได้รับคำตอบกับตัวเองชัดเจนว่าเขา
คือคนที่คุณสมควรเรียนรู้และรู้สึกพิเศษต่อไปหรือไม่
สีหน้า แววตา และภาษาท่าทางอื่น ๆ ๆ ของเขา
คือสิ่งที่จะทำให้คุณรู้ชัดเจนได้มากกว่าตัวหนังสือ
ที่อ่อนหวานห่วงใยที่พิมพ์ส่งมา หรือเสียงทางโทรศัพท์
ว่าเขาคือเพื่อนที่จริงใจและต้องการผูกพันกับคุณอย่างจริงจัง

หรือเพียงแต่ต้องการหลอกล่อให้คุณตกหลุมพราง
ความเชี่ยวชาญทางภาษาเพื่อความสนุกในเกม หรือผลประโยชน์ทางเซ๊กส์
หากคุณรู้ตัวว่าคุณเป็นหนึ่งที่อ่อนไหว เชื่อคนง่าย และมองโลกในแง่ดีเกินไป
ก็จงอย่าใช้หัวใจในการตัดสินและรับรู้ตัวหนังสือที่ส่งผ่านมาทางอินเตอร์เนต
และจงใช้สมองในการอ่านทุกตัวอักษรอย่างมีสติ อย่าปล่อยให้กับดักของภาษา
พันธนาการหัวใจคุณอย่างที่ตัวฉันเองและเพื่อน ๆ อีกหลายคนเคยเผลอไผลมาก่อน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่มีเหตุผล
และเท่าทันเกมส์สนุกในโลกไซเบอร์ใบนี้จนรู้สึกเคยชินชากับตัวหนังสือทุกตัวที่
พิมพ์ส่งมา ก็ได้โปรดอย่าใช้ตัวหนังสือของคุณ
ตอบกลับไปในสิ่งที่ตัวคุณเองไม่ได้รู้สึกรู้สา
เพราะคนที่ได้อ่านข้อความของคุณ
อาจเป็นเพียงมือใหม่ที่อ่อนไหวและตกหลุมพรางของถ้อยคำที่คุณใช้ได้ง่ายดาย


To handle yourself, use your head,

To handle others, use your heart.

จงใช้สมองดูแลหัวใจของคุณเอง

และจงใช้หัวใจเพื่อดูแลหัวใจดวงอื่น ๆ ที่ออนไลน์มาพบกับคุณ.......


หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังออนไลน์เพื่อค้นหารักแท้
ก็ขอให้คุณโชคดีและเดินทางในโลกไซเบอร์ใบนี้อย่างปลอดภัย
จนกว่าจะพบใครซักคนที่พร้อมจะก้าวไปในชีวิตจริงกับคุณ
ที่สำคัญ...อย่าลืมระมัดระวังและดูแลหัวใจคุณเองให้ดี
ตลอดการเดินทางครั้งนี้ด้วย



Create Date : 08 มกราคม 2551
Last Update : 8 มกราคม 2551 0:42:22 น.
Counter : 651 Pageviews.

1 comment
เเค่คําว่า...ฉันรักเธอ
เเค่คําว่า...ฉันรักเธอ

> >> ผมนั่งเรียนหนังสือ ผมนั่งมองหญิงสาวข้างๆ ผม
> >> เธอคือคนที่ผมเรียกว่า "เพื่อนรัก"
> >> ผมจ้องมองไปที่ผมยาวราวกับเส้นไหมของเธอและอยากให้เธอเป็นของผม
> >> แต่เธอไม่ได้คิดกับผมแบบนั้น
> >>
> >> ผมรู้....หลังเลิกเรียนเธอเดินเข้ามาหาผม
> > เพื่อจะขอให้สอนเธอเพราะเธอเรียนไม่รู้เรื่อง
> >> เมื่อผมสอนเธอเสร็จเธอตอบกลับมาว่า "ขอบใจ"
> >> ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
> >> ผมรักเธอแต่ผมก็อายเกินไปที่จะบอก
> >> และผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
> >>
> >> โทรศัพท์ดังขึ้น ปลายทางของคนที่โทรมาก็คือ "เธอ" นั่นเอง
> >> เธอกำลังร้องไห้และพร่ำบ่นไม่ยอมหยุดว่า คนรักของเธอหักอกเธอเช่นไร
> >>
> >> เธอขอให้ผมไปหาเพราะเธอไม่อยากอยู่คนเดียว และผมก็ไป
> >> ผมนั่งอยู่ข้างๆ เธอที่โซฟา จ้องมองไปยังดวงตาที่อ่อนโยนของเธอ
> >> และอยากให้เธอเป็นของผม สองชั่วโมงกับการนั่งเป็นเพื่อนเธอ
> >> เธอก็ตัดสินใจเข้านอน เธอมองมาที่ผมและพูดว่า "ขอบใจนะ"
> >> ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
> >> ผมรักเธอแต่ผมก็อายเกินไปที่จะบอก
> >> และผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
> >>
> >> ปีสุดท้าย
> >> ก่อนวันของงานพรอม(Prom) เธอเดินมาหาผมที่ล็อกเกอร์
> >> "คู่เดทของฉันมันห่วย" เธอพูดขึ้น
> >> เขาจะไม่ยอมไปงานพรอมกับเธอ
> >> และผมก็ยังไม่มีคู่เดท
> >> เราเคยสัญญากันว่า ถ้าคนใดคนหนึ่งยังไม่มีคู่เดท
> >> เราจะไปงานพรอมด้วยกันในฐานะ "เพื่อนรัก"
> >> และเราก็ตกลงเป็นคู่เดทในงานพรอมด้วยกัน
> >> คืนวันงานหลังจากเลิกงานแล้ว
> >> ผมยืนอยู่ที่บันไดหน้าบ้านของเธอ
> >>
> >> ผมจ้องมองเธอเช่นเดียวกับเธอที่ยิ้มให้ผม
> >> และจ้องมองกลับมาที่ผมด้วยดวงตาสดใสของเธอ
> >> ผมอยากให้เธอเป็นของผม แต่เธอไม่ได้คิดกับผมแบบนั้น
> >> ผมรู้...ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
> >> ผมรักเธอแต่ผมก็อายเกินไปที่จะบอก
> >> และผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
> >>
> >> วันจบการศึกษา
> >> วันเวลาผ่านไป จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน
> >> ก่อนที่ผมจะทันกระพริบตา มันก็เป็นวันจบการศึกษาแล้ว
> >>
> >> ผมมองดูเรือนร่างอันสมส่วนของเธอลอยขึ้นไปบนเวที
> >> ราวกับนางฟ้าเพื่อรับประกาศนียบัตร
> >> ผมอยากให้เธอเป็นของผม แต่เธอไม่ได้คิดกับผมแบบนั้น
> >> ผมรู้...ก่อนที่ทุกคนจะกลับบ้าน
> >> เธอเดินเข้ามาหาผมในชุดครุย และเธอร้องไห้เมื่อผมกอดเธอ
> >> จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นจากไหล่ของผมและพูดว่า
> >> "เธอเป็นเพื่อนรักของฉัน ขอบใจนะ"
> >> ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
> >> ผมรักเธอแต่ผมก็อายเกินไปที่จะบอก
> >> และผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
> >>
> >> 2-3ปีต่อมา ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้แถวในโบสถ์
> >> เธอคนนั้นกำลังจะแต่งงาน
> >> ผมนั่งมองเธอพูด "ฉันรับค่ะ" และไปสู่ชีวิตใหม่ของเธอ
> >> เธอแต่งงานกับชายคนอื่นไปแล้ว ผมอยากให้เธอเป็นของผม
> >> แต่เธอไม่ได้คิดกับผมแบบนั้น
> >> ผมรู้..ก่อนเธอจะนั่งรถออกไป เธอเดินมาหาผมและพูดว่า
> >> "เธอมางานของฉัน!" และพูดว่า "ขอบใจนะ"
> >> ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
> >> ผมรักเธอแต่ผมก็อายเกินไปที่จะบอก
> >> และผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
> >>
> >> งานศพ
> >> หลายปีผ่านไป ผมก้มหน้ามองโลงศพของผู้หญิงที่เคยเป็น "เพื่อนรัก" ของผม
> >>
> >> ในงานศพ พวกเขาได้อ่านสมุดบันทึกของเธอทั้งหมด
> >> ที่เธอเคยเขียนไว้สมัยเรียนไฮสคูล และในสมุดบันทึกเขียนไว้ดังนี้ :
> >> ฉันจ้องมองเขาและปรารถนาให้เขาเป็นของฉัน
> >> แต่เขาไม่ได้คิดกับฉันแบบนั้น
> >> ฉันรู้....ฉันอยากจะบอกเขาให้รู้ว่า ฉันไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
> >> ฉันรักเขาแต่ฉันก็อายเกินไปที่จะบอก
> >> และฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
> >> ฉันปรารถนาให้เขาบอกว่า เขารักฉัน
> >> และฉันก็ปรารถนาอยากจะบอกเขาเหมือนกัน
> >> ฉันคิดกับตัวเองและร้องไห้
> >>
> >> ฉันรักเธอ
> >> ฉันรักเธอ
> >> ฉันรักเธอ
> >> ฉันรักเธอ
> >> ฉันรักเธอ
> >> ฉันรักเธอ
> >> ฉันรักเธอ
> >> ฉันรักเธอ
> >>
> >> รักใครก็บอกเขาไปซะ ก่อนที่เขาจะไม่ได้อยู่ฟังคำนั้นจากเราอีกต่อไป
> >>
> >> ใครจะรู้คนที่คุณคิดว่า เขาไม่ได้รักคุณเลย
> >> ใจจริงแล้ว เขาเองอาจจะรู้สึกแบบเดียวกับคุณก็ได้
> >> ไม่บอกรักแล้วจะรู้ใจกันได้อย่างไร?

ที่มา FW MAIL



Create Date : 08 มกราคม 2551
Last Update : 8 มกราคม 2551 0:39:25 น.
Counter : 803 Pageviews.

0 comment
จิตวิทยา...แห่งความรัก ว่าด้วยเรื่อง การสบตา
จิตวิทยา...แห่งความรัก ว่าด้วยเรื่อง การสบตา

จาก fw mail นะครับ เรื่องราวเกี่ยวกับการสบดวงตา เพศตรงข้าม
--------------------------------------------------------------


ผมเคยได้อ่านบทความทางเนทเกี่ยวกับการมองตากันของคนเราว่ามันจะมีผลเป็นยังไงบ้าง ซึ่งผมอ่านแล้วแปลออกมาคร่าวๆ ได้
ประมาณนี้ เค้าบอกว่าการมองตานั้นจะไปกระตุ้นสมองส่วนในสุดของมนุษย์ เวลาที่คุณมองตาสาวๆ ร่างกายเธอจะหลั่งสาร pea ออกมาทําให้เธอรู้สึกว่ากําลังมีความรัก
เราสามารถที่จะทําให้เซ็นส์เธอรู้สึกได้ว่าเธอกับคุณกําลังตกหลุมรักกัน ด้วยการพยายามมองตาเธอให้มากขึ้นในระหว่างการพูดคุย ควรจะมองประมาณ 75% ของเวลาทั้งหมดที่คุณคุยกัน เพื่อให้สาร pea นั้นไหลเวียนไปทั่วร่างกายเธอ อืมม เทคนิคนี้ดี ผมเลยคิดว่าจะลองนําไปใช้บ้าง

วันนึงตอนที่ผมเดินเล่นรอเข้าเรียนอยู่ที่มหาลัย ผมก็ได้ยินเสียงเรียกจากข้างหลัง "เธอๆ เดี๋ยวก่อน" ผมหยุดเดินหันหลังกลับไปมอง อ๋อ เธอนั่นเอง เธอคนนี้เป็นผู้หญิงที่เรียนในห้องวิชาอังกฤษกับผมครับ เราไม่รู้จักกันหรอก แค่เคยพูดคุยกันบ้างในห้องนิดหน่อย เพราะว่านั่งใกล้ๆ กัน
"แหม เดินไม่สนใจใครเลยนะ" เธอบอก ผมรู้ว่าเธอชอบผมครับเพราะจากลักษณะการแสดงออกหลายๆ อย่างในห้องของเธอ ในห้องเรียนนี่ผมนั่งกับเพื่อนผู้หญิงของผมครับซึ่งเพื่อนผมคนนี้ก็สวยใช้ได้เลย
นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมเธอให้ความสนใจผมมากตอนอยู่ในห้อง อืมมันเป็น social proof(ลองคิดดูว่าถ้าคุณมักไปใหนไปผู้หญิงสวยๆ ผู้หญิงคนอื่นจะต้องจ้องและสงสัยว่า ถ้าคุณไม่ได้มีเสนห์ขนาดมีสาวสวยๆข้างกายด้วยก็ต้องคิดว่าคุณแต๋วหละ แต่สรุปว่า ให้ความสนใจเป็นพิเศษสักหน่อย) ครับ แล้วก็วันนี้เธอยังมาทักผมก่อนอีก

แต่ผมไม่ได้ชอบเธอครับ ผมก็แค่คิดว่าเธอน่ารักธรรมดา
เราก็คุยกันถึงเรื่องงานที่อาจารย์ให้ทําส่งวันนี้ คุยไปสักพักผมก็บอกว่าผมต้องไปแล้ว จะไปกินข้าว เธอเลยบอกว่าดีเลยไปกินด้วยกันสิ อ้าว! ตายห่_ เข้าทางเธอเลย จะไปคนเดียวซะหน่อย โอเคๆ ไม่เป็นไรผมคิดในใจ คงดีกว่าไปกินคนเดียวก็ไปนั่งทานข้าวกัน
กินเสร็จ เธอก็คุยโน่นคุยนี่เรื่อยเปื่อย ตอนแรกผมก็เฉยๆ แต่ว่าในระหว่างที่คุยเนี่ยเธอมองตาผมบ่อยมากครับ ผมซึ่งเป็นคนที่ไม่หลบตาใครอยู่แล้วก็เลยมองกลับไป
คุยไปได้ซักพัก ผมก็เริ่มรู้สึกว่า...

เธอน่ารักขึ้นมาก ทำไมรู้สึกเหมือนชอบเธอขึ้นมาครับ...

ในระหว่างที่คุยนี่เราสองคนแทบจะไม่ได้ละสายตาออกจากกันเลย ความรู้สึกผมตอนนั้นแปลกมากเหมือนคุยอยู่กับแฟน ผมไม่รู้หรอกว่ามันมีผลยังงัยกับเธอแต่ผมเนี่ยเริ่มชอบเธอมากขึ้นแล้ว รู้สึกเหมือนกับว่าเราสองคนเป็นคู่รักกันแล้ว แล้วเธอก็ถามเบอร์ผม ผมให้เธอไปทั้งๆ ที่ตอนแรกกะจะไม่ยุ่งแล้วเชียว
เธอบอกว่าผมคุยสนุกดี วันหลังจะโทรไปคุยด้วย แล้วผมก็แยกจากเธอเนื่องจากต้องไปเรียนอีกวิชา ผมเดินไปก็คิดว่า เธอก้อน่ารักกว่าที่เราคิดนี่หว่า เดินไปคิดไปเรื่อยเปื่อย

..แล้วผมก็มาคิดถึงบทความที่อ่านในเนท ผมเชื่อเลยว่าการมองตามันมีผลทําให้รู้สึกว่าชอบคนที่คุยด้วยได้

เอ๊ะ! หรือว่าเธอได้อ่านบทความนั้นเหมือนกัน... เฮ้ย!!!!! พรุ่งนี้โลกของผม คงเริ่มกลับมาสีชมพูอีกแล้ว


----------------------------------------------------------



Create Date : 08 มกราคม 2551
Last Update : 8 มกราคม 2551 0:37:47 น.
Counter : 10086 Pageviews.

1 comment
กฎ 5 ข้อ สำหรับการหาคู่ชีวิต
กฎ 5 ข้อ สำหรับการหาคู่ชีวิต

ที่ปรึกษาด้านความสัมพันธ์ในชีวิตคู่กล่าวถึงกฎข้อที่ใช้ในการประเมินโอกาสของความสำเร็จในระยะยาว เมื่อถึงเวลาที่จะต้องตัดสินใจเลือกคู่ชีวิตคงไม่มีใครอยากตัดสินใจผิดพลาด แต่กระนั้นก็ตามจากอัตราของการหย่าร้างเกือบ ๕๐% ดูเหมือนว่ามีคนมากมายที่กำลังทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในวิธีการเสาะหา Mr./Mrs.Right ของตัวเอง


ถ้าคุณลองถามบรรดาคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานว่าทำไมพวกเขาจึงตัดสินใจแต่งงานพวกเขาจะตอบว่า "เพราะเรารักกัน " ซึ่งเป็นความผิดพลาดอันดับแรกที่คนมักจะทำเวลาคบกับใครสักคน การเลือกคู่ชีวิตไม่ควรที่จะมีพื้นฐานมาจากความรัก (เพียงอย่างเดียว) ถึงแม้ว่ามันจะฟังไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไหร่ แต่มันมีความจริงที่มีความหมายลึกซึ้งในเรื่องนี้

“ความรัก (เพียงอย่างเดียว) ไม่ใช่พื้นฐานการแต่งงาน แต่ความรักเป็นผลลัพธ์จากการแต่งงานที่ประสบความสำเร็จต่างหาก”

เมื่อส่วนอื่นๆ ประกอบกันเข้าอย่างลงตัวแล้ว เมื่อนั้นความรักก็จะบังเกิดขึ้น คุณไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยืนยาวตลอดชีวิตได้จากความรักเพียงอย่างเดียว คุณต้องการมากกว่านั้นมาก

ต่อไปนี้เป็น ๕ คำถามที่คุณจะต้องถามตัวเอง ถ้าคุณจะจริงจังกับการค้นหาและรักษาคู่ชีวิต

คำถามที่ ๑ เราทั้งคู่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่เหมือนกันหรือไม่?


ทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญมากนัก? ขอให้คำอธิบายแบบนี้ ถ้าคุณแต่งงานเป็นเวลาสัก ๒๐ หรือ ๓๐ ปี นั่นเป็นเวลาที่ยาวนานที่จะใช้ชีวิตอยู่กับใครสักคน คุณคิดว่าคุณจะทำอะไรด้วยกันในช่วงเวลานั้น? เดินทางท่องเที่ยว กินอาหาร หรือไปวิ่งออกกำลังกายด้วยกัน? คุณจะต้องมีส่วนร่วมในสิ่งที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากกว่านั้นมาก คุณจะต้องมีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่เหมือนกัน ความสัมพันธ์ในชีวิตการแต่งงานจะเป็นไปได้สองทาง คุณสองคนมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น หรือคุณจะรู้สึกห่างกันออกไป

คู่ที่แต่งงานแล้ว ๕๐% รู้สึกว่ายิ่งนานยิ่งห่างกันออกไป การจะทำให้การแต่งงานประสบความสำเร็จ คุณจะต้องรู้ว่าคุณต้องการและคาดหวังอะไรจากชีวิตของคุณ ตัดสินใจให้ดี จงเลือกแต่งงานกับคนที่ต้องการในสิ่งที่เหมือนๆกัน

คำถามที่ ๒ ฉันรู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงความรู้สึกหรือความคิดเห็นของฉันกับคนๆ นี้หรือไม่?

คำถามนี้เจาะลึกลงไปถึงแก่นแท้ของคุณภาพของความสัมพันธ์ของคุณ การรู้สึกปลอดภัยหมายความว่าคุณสามารถจะพูดคุยสื่อสารกับคนคนนี้ได้อย่างเปิดเผย พื้นฐานของการสื่อสารที่ดี คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ นั่นคือ เชื่อใจว่าฉันจะไม่ถูก "ลงโทษ " หรือ "รู้สึกเจ็บปวด " ที่จะแสดงความเห็นและความรู้สึกที่แท้จริงออกมา

มีคนให้ความหมายของ คนที่มีความทารุณ ว่าเป็นคนที่เรารู้สึกกลัวที่จะแสดงความคิดเห็นหรือระบายความในใจให้ฟัง จงซื่อสัตย์กับตัวเองในเรื่องนี้ คุณต้องมั่นใจว่าคุณรู้สึกปลอดภัยในด้านอารมณ์กับคนที่คุณตั้งใจจะแต่งงานด้วย

คำถามที่ ๓ เขาเป็นคนที่เรียกว่า Mensch หรือเปล่า?

คำว่า Mensch หมายถึง คนที่มีความบริสุทธิ์และละเอียดอ่อนลึกซึ้ง คุณจะทดสอบได้อย่างไร? ต่อไปนี้เป็นข้อเสนอแนะ ลองดูว่า พวกเขาพยายามสร้างพัฒนาการของตัวเองอย่างสม่ำเสมอหรือเปล่า? พวกเขาจริงจังกับการปรับปรุงตัวเองหรือเปล่า?

มีคนให้นิยามของ "คนดี " ว่าเป็น "คนที่พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเป็นคนดีและทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา " ดังนั้นลองคิดถึงคนคนนั้นของคุณ เขาใช้เวลาของเขาอย่างไร? เขาเป็นพวกวัตถุนิยมหรือเปล่า? ปกติแล้วพวกวัตถุนิยมมักจะไม่ใช่คนคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาตัวเอง

จริงๆ แล้วในโลกนี้มีคนอยู่แค่ ๒ ประเภท คือ คนที่มุ่งมั่นกับความเติบโต และพัฒนาการของตัวเอง และคนที่มุ่งมั่นกับการมองหาความสะดวกสบาย คนที่เป้าหมายของชีวิตคือความสะดวกสบาย มักจะนึกถึงความสบายส่วนตัวก่อนการทำในสิ่งที่ถูกต้อง คุณจะต้องรู้สิ่งเหล่านี้ก่อนที่จะตัดสินใจแต่งงาน

คำถามที่ ๔ เขาหรือเธอคนนั้นปฏิบัติต่อคนอื่นๆ อย่างไร?

สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมากใน การที่จะทำให้ความสัมพันธ์เป็นไปด้วยดี คือ การรู้จักให้ คำว่า การให้ นี้จะหมายถึง ความสามารถในที่จะให้ความสบายใจและความสุขแก่ผู้อื่น ลองถามตัวเองดูว่าคนคนนี้เป็นคนที่มีความสุขกับการให้ความสุขกับคนอื่นๆ หรือ เขาเป็นคนที่เก็บมันไว้กับตัวเองและคิดถึงแต่ตัวเอง? การที่จะวัดในเรื่องนี้ ลองคิดถึงสิ่งต่อไปนี้ดู

เขาปฏิบัติตัวอย่างไรกับบุคคลที่เขาไม่จำเป็นต้องทำดีด้วย เช่น พนักงานเสิร์ฟ กระเป๋ารถเมล์ คนขับรถแท็กซี่ หรือคนอื่นๆ เขาปฏิบัติอย่างไรกับพ่อแม่หรือพี่น้องของเขา เขามีความกตัญญูและรู้คุณคนหรือไม่ เขามีความเคารพหรือไม่ ถ้าเขาไม่มีความกตัญญูรู้คุณต่อคนที่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเขา คุณไม่สามารถคาดหวังให้เขาเห็นมีความกตัญญูต่อคุณ ซึ่งไม่สามารถจะทำให้ได้มากเท่ากับครอบครัวของเขา

คำถามที่ ๕ มีสิ่งใดเกี่ยวกับคนคนนี้ที่ฉันหวังจะเปลี่ยนแปลงหลังจากแต่งงานแล้วหรือไม่?

คนมากมายคิดผิดพลาดอย่างมากในการแต่งงานกับคนใดคนหนึ่ง โดยตั้งใจว่าจะพยายามปรับปรุงเขาหลังจะที่ได้แต่งงานไปแล้ว "คุณอาจจะสามารถคาดหวังว่าคนเราจะเปลี่ยนแปลงได้หลังจากแต่งงานไปแล้ว แต่เป็นการเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงเท่านั้น " ถ้าคุณไม่สามารถยอมรับคนคนนี้อย่างที่เขาเป็นได้อย่างเต็มใจ คุณก็ยังไม่พร้อมที่จะแต่งงานกับเขา

สรุปก็คือ

การจะออกเดทหรือลองคบกับใครสักคนไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องยากหรือน่าหวั่นใจ สิ่งสำคัญ คือ การพยายามที่จะนำการตัดสินใจด้วยสมองให้มากขึ้น และใช้หัวใจให้น้อยลง มันจะให้ผลคุ้มค่าในการที่จะมองถึงจุดประสงค์ให้มากที่สุดเมื่อคุณคบกับใครสักคน

อย่าลืมที่จะถามคำถามที่จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงเรื่องที่เป็นสิ่งสำคัญ การมีความรักเป็นความรู้สึกที่เยี่ยมยอด แต่เมื่อคุณตื่นขึ้นพร้อมกับแหวนแต่งงานสวมอยู่ที่นิ้วนาง คุณไม่ต้องการจะพบว่าคุณกำลังมีปัญหา เพียงเพราะว่าคุณไม่ได้ทำการบ้านที่คุณควรจะต้องทำ


โดย ผู้จัดการออนไลน์



Create Date : 08 มกราคม 2551
Last Update : 8 มกราคม 2551 0:36:26 น.
Counter : 758 Pageviews.

0 comment
มหัศจรรย์ แห่ง รัก (เรื่องจริงที่ควรอ่าน)
มหัศจรรย์ แห่ง รัก (เรื่องจริงที่ควรอ่าน)

อีกแง่มุมนึงของความรัก ของคน 2 คนที่มาเจอกัน ในช่วงสุดท้ายของชีวิต

ข้อความจากหนังสือบันทึกที่แจกพร้อมกับงานศพของ
นางสาว อันปรียา พรายปริศนา
ชาตะ 16 ก.ค.2527
มรณะ 31 ส.ค.2546

: ปาฏิหารย์เรื่องจริง

หากพวกคุณได้อ่านเรื่องๆ นี้ แปลว่าฉันได้จากโลกนี้ไปแล้ว
ฉันได้รับข่าวร้ายที่สุด ในวันเกิดครบรอบ 18 ปี

หลังจากเข้ารับการตรวจเมื่อสองสัปดาห์ก่อน
ฉันกำลังจะตายด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว มันทรมาน
ร่างกายฉันมากว่าหนึ่งปี
ก่อนจะตัดสินใจไปหาหมอ ผลการตรวจไม่ดีนัก
หมอวินิจฉัยว่าฉันจะอยู่ได้ไปเกินสามเดือน
แค่รู้ฉันก็แทบจะตายเดี๋ยวนั้นแล้ว

อาการฉันทรุดลงเร็วมาก และมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อต้องเจาะไขสันหลังตรวจแทบทุกวัน
ฉันหมดกำลังใจภาวนาให้ฉันตายๆไปให้พ้นทุกข์
แทบทุกวันที่ฉันต้องอยู่ที่โรงพยาบาล

คนในครอบครัวจะมาเยี่ยมช่วงเย็นๆ เท่านั้น
เพราะต่างคนต่างต้องทำงาน
โดยเฉพาะแม่ ที่มาเยี่ยมฉันน้อยที่สุด

แม่ไม่เคยร้องไห้อ่อนแอให้ฉันเห็นสักครั้ง
ซึ่งฉันมารู้ที่หลังว่าแม่มาทุกวันแต่แอบร้องไห้
อยู่นอกห้องก่อนจะกลับไป

สำหรับฉัน ช่วงเช้าเป็นเวลาที่ฉันเกลียดที่สุด ฉันเหงา
ฉันร้องไห้ทุกวัน เพียงแค่คิดว่ากำลังจะตาย
ฉัน เพิ่งอายุ 18 ปี ยังมีอะไรอีกตั้งมากที่ฉันยังไม่ได้ทำ
แต่คงไม่มีโอกาสแล้วเพราะเวลาที่เริ่มอาการเจ็บปวด
เมื่อไรฉันอยากให้หมอฉีดยาให้ฉันตายไปตอนนั้นเสียเลย

ทุกวันช่วงบ่ายฉันจะขนหนังสือมานั่งอ่านที่สวนหย่อม
บนตึกเพื่อฆ่าเวลา บางครั้งก็นั่งมองคนอื่นๆ

ที่เขากำลังจะได้กลับบ้าน ฉันนึกอยากถอดชุดคนป่วย
แล้ววิ่งออกจากโรงพยาบาล หนีไปให้ไกล
จากความจริงที่เป็นตอนนี้ให้มากที่สุด

แต่ก็ได้แค่คิด เพราะ ฉันทำได้แค่ภาวนาให้เพื่อนสักคน
มาเยี่ยม

ฉันทำได้แค่ภาวนาให้เพื่อนสักคนมาเยี่ยม
ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีใครมา เพราะอยู่ในช่วงเอนทรานซ์
คงไม่มีใครสนใจฉันแต่ฉันก็ยังร้องไห้กับเรื่องนี้ทุกวัน

แล้ววันหนึ่ง ฉันก็ได้รู้จักกับ พี

เขานั่งบนม้านั่งเดียวกับฉันตอนฉันกำลังร้องไห้
เขายื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เงียบๆ

“เหงาเหรอ? ให้อยู่เป็นเพื่อนไหม?”
คำพูดประโยคเดียวเท่านั้นที่เขาพูดกับฉัน
เหมือนมีอะไรดลใจ

ให้ฉันพยักหน้ารับคนแปลกหน้าคนนี้ “อยากตาย”

ฉันร้องไห้ไปสะอื้นไป เล่าเรื่องของฉันให้เขาฟัง
เขาสอนให้ฉันรักที่จะมีชีวิต
ท้ายสุดเขากุมมือฉันพาไป ส่งที่ห้อง
บอกฉันแค่ว่า “อันต้องอดทน

เพราะอันจะต้องอยู่ได้อีกนาน เชื่อเรานะว่าจะต้องดีขึ้น”
ฉันยิ้มรับ
แต่ไม่เชื่อหรอกว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้น
นับจากวันนั้น ฉันก็ได้พีเป็นเพื่อนใหม่
ที่คอยมาเยี่ยมทุกวันพร้อมกับอาการที่ดีขึ้นของฉัน

ทางบ้านฉันไม่ขัดข้องอะไรที่ฉันจะสนิทกับพี
พีเป็นคนช่างคุยมีเรื่องมาเล่าให้ฉันฟังทุกวัน
ฉันถามอะไร เขาก็ตอบได้เสมอ

เขาว่าเขาดูรายการทีวีแทบทุกช่อง
แม้แต่อาการฉันเขาก็รู้ละเอียดทีเดียว
จนฉันรู้สึกเหมือนอาการเจ็บปวดน้อยลง
เวลาที่พีอยู่ด้วย

เขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจความทุกข์ และความ
เจ็บปวดของฉัน เขาจะคอยเอาใจฉันไม่ว่าฉันจะต้องการ
อะไรก็ตาม พีจะต้องหามาให้ได้
เพื่อแลกกับให้ฉันเลิกคิดว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกไม่นาน

ฉันเคยถามพีว่า เ ขาไม่ต้องไปเรียน หรือทำงาน เหรอ
เขาว่าเขาต้องมาเยี่ยมฉันทุกวันจนไม่มีเวลา

แต่ไม่ว่าฉันจะถามอะไรต่อเขาก็จะเลี่ยง
จนฉันไม่นึกอยากรู้เรื่องของเขาแล้ว

แม้ฉันจะดีขึ้น มีพีมาอยู่เป็นเพื่อนทั้งวัน
แต่ความเหงาแบบเดิมๆก็กลับมาเยือนฉันอีกครั้ง

เมื่อฉันต้องทนอยู่ที่โรงพยาบาลร่วมสองเดือน
อาการของฉันกลับมาทรงตัว

ฉันขอพ่อกับแม่กลับไปอยู่ที่บ้าน แต่พวกท่านไม่ยอม
ฉันเก็บมาบ่นกับพีว่าพวกเขาต้องการให้ฉันตายเร็ว ขึ้น

เพราะการต้องอยู่ที่โรงพยาบาลทำให้ฉันรู้สึกแย่
และไม่มีวันดีขึ้นได้ ฉันยังมีอะไรอยากออกไป
ทำอีกตั้งหลายก่อนจะตาย

รุ่งขึ้นหมออนุญาติให้ฉันออกไปพักฟื้นที่บ้านได้
แต่ต้องมาโรงพยาบาลวันเว้นวัน เพื่อตรวจอาการ

ฉันมั่น ใจว่าพีเป็นคนจัดการเรื่องนี้
เพราะเขารับปากกับแม่ฉันว่าจะเป็นคนพาฉันมา
ที่โรงพยาบาลแทนทุกคนที่ต้องทำงาน
แม้ว่าฉันจะได้เจอ พีแค่วันเว้นวัน แต่ฉันกลับรู้สึกดี

ที่จะได้คอยให้ถึงวันที่ต้องไปโรงพยาบาลกับพี
เราสองคนจะไปที่โรงพยาบาลแต่เช้า

เพื่อที่ตอนสายจะได้มีเวลาไปดูหนังหรือเดินเที่ยว
ก่อนกลับบ้าน พีบอกให้ฉันเขียนหรือเล่าให้เขาฟังว่า
พรุ่งนี้อยากทำหรือทำอะไรไปบ้าง

เพื่อฉันและเขาจะได้รู้ว่าเหลืออะไรที่อยากจะทำอีกไหม
ฉันว่าเป็นวิธีที่ดี เพราะฉันจะได้มีกำลังใจสู้
ต่อไปเรื่อยๆ ที่ละวันที่จะอยู่ทำรื่องนั้นๆ

เราสองคนสนิทกันมากจนพี่สาวฉันแซวว่า
เราเป็นแฟนกัน ฉันก็เคยแอบคิดแต่ไม่เคยถามเขาเลย

จนได้โอกาสถามวันหนึ่ง แต่เขาว่า

“มันขึ้นอยู่กับอันด้วย ว่าอันอยากให้พีอยู่ในฐานะอะไร
ความรู้สึกอย่างนี้มันต้องคิดตรงกันสองคน
ให้คิด แค่ฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก

แต่ยังไงพีก็ยังคงเป็นเพื่อนของอันนะ”
ฉันไม่เข้าใจว่ามันลำบากมากเหรอที่จะตอบ
ให้ตรงคำถามแต่ฉันก็ไม่ถามอีก

เราเปลี่ยนเรื่อง พีอยากให้ฉันรีบกลับบ้านวันนี้
แต่ฉันขอให้พีไปเดินซื้อเสื้อผ้ากับฉันที่ห้าง
ซึ่งฉันโดนบ่น เรื่องนี้ตลอด

เพราะฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่ทุกอาทิตย์
แต่ฉันมีเหตุผลส่วนตัว ฉันก็แค่อยากจะสวย
ก่อนตายเท่านั้นเอง

พีไม่พูดอะไรอีก เขาเดินหน้ามุ่ยถอนใจยาวๆทั้งวัน

ฉันเลยแกล้งขอให้เขาดูหนังกับฉันอีกเรื่องก่อนกลับ
พีหายหน้าไปสามวัน พอเขามาหา ฉันก็ต่อว่าเขา
ขนานใหญ่ หาว่าเขาเบื่อฉัน

และแกล้งปล่อยให้ฉันรอจนไม่ได้ไปหาหมอ
เพราะอยากให้ฉันกลับไปอยู่โรงพยาบาลอีกครั้ง
เขาจะได้ไม่ต้องลำบาก

ฉันพูดออกไปแล้วก็เสียใจ และกลัวว่าพีจะโกรธ
แต่ตรงกันข้าม พีเสียใจกับเรื่องนี้มาก เขาขอโทษฉัน
แต่ไม่มีคำแก้ตัวหรือเหตุผลอะไรมาอ้างเลย
หลังจากตรวจร่างกายแล้ว พีพาฉันไปเดินห้างที่ไกล
ไปอีกห้างแทนห้างเดิม

ฉันเพิ่งได้สังเกตว่าวันนี้พีดูโทรมมาก
หน้าตาไม่สดใสเหมือนทุกวัน

บังเอิญที่ห้างนี้อยู่ใกล้กับบ้านเพื่อนสมัยมัธยมปลาย
ของฉัน แจงเดินคลอเคลียมากับหนุ่มหล่อ
ตรงมาทางฉัน เธอจำฉันได้
แจงทักทายและแนะนำแฟนหนุ่มรุ่นพี่ที่คณะ ให้รู้จัก

ฉันยินดีกับเธอที่เอนทรานซ์ติด
ก่อนกลับแจงให้เบอร์มือถือกับฉัน
ฉันเริ่มรู้สึกเห็นพีขัดหูขัดตา ฉันเดินตามหลังพีไปเงียบๆ

บางขณะฉันนึกอยากจูงมือกอดแขนเขาบ้าง
แต่ต้องชักมือกลับเพียงเพราะพีไม่สูง
ไม่เท่ห์ เหมือนแฟน ของแจง
แถมชอบแต่งตัวด้วยเชิ้ตตัวใหญ่ๆ

ฉันเคยชี้ให้เขาดูชุดที่หุ่นแต่งหน้าร้าน เขาไม่ชอบ
แต่ฉันชอบฉันขึ้นเสียงใส่เขา พีเงียบไปพักหนึ่งก่อน

จะถามฉันกลับ “ถ้าอันชอบใครสักคน

อันจะชอบที่เป็นเขา หรือเสื้อผ้าของเขา”
ฉันตอบแทบไม่ต้องคิด

“ก็ทั้งสองอย่าง” “อย่างนั้นอันก็ยัง
ไม่เคยรักชอบใครจริงๆ” ฉันนิ่งไป ก่อนจะถามอีก

“แล้วพีเคยชอบใครจริงๆหรือไง” “เคย”...
คำตอบของพีทำให้ฉันนอนไม่หลับ
อยากรู้ว่าคนที่พีชอบ

คือใคร


ฉันแอบเข้าข้างตัวเองว่าถ้าเป็นฉัน “ไม่หล่ะ”
ฉันบอกตัวเองว่าพียังไม่เท่ห์พอจะเป็นแฟนฉัน
แล้วถ้าไม่ใช่ฉัน
ฉันรู้สึกเศร้าลึกๆ พียังคงสม่ำเสมอ
มารับฉันตามที่เคยรับปาก
เพียงแต่ฉันเองที่ไม่ค่อยมีอะไรคุยกับเขาแล้ว

ระยะหลังฉันจะขอให้เขาส่งฉันกลับบ้านเลย
หลังจากออกจากโรงพยาบาล
แจงคงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย

ที่ฉันโทรหาวันนี้ ฉันนัดแจงมาเจอที่ห้างใกล้ๆ บ้าน

ฉันโกหกแม่ว่าออกไปกับพี แจงมาพร้อมผู้ชายคนใหม่
แม้ว่าจะหล่อสู้คนแรกไม่ได้แต่ก็ดูดีไม่น้อย

แจงแอบบอกฉันว่า คนนี้เป็นแค่กิ๊ก ก่อนจะถามถึงพี

ซึ่งเธอเข้าใจว่าเป็นแฟนฉัน “ไม่ใช่” ฉันรีบปฏิเสธ
ฉันยังไม่มีแฟน
แต่ก็อยากมี ฉันเตือนแจงว่าคบหลายๆ คน
ระวังแฟนจะจับได้ แจงท่าทางไม่แยแสกับคำเตือนฉัน

เธอว่า คนเราเดี๋ยวๆ ก็ตายแล้ว
คบทีละคนกว่าจะเจอคนที่ใช่เสียเวลา
แจงยังอาสาที่จะหาแฟนให้

ฉันลองคบดูด้วย เธอให้ฉันไปถ่ายรูปสติ๊กเกอร์

เพื่อจะได้มีรูปไปให้หนุ่มๆ ดู
แจงโทรมาบอกหลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ว่า
มีคนสนใจอยากรู้จักฉัน

พรุ่งนี้ให้เจอกันที่ห้าง กำชับให้ฉันแต่งตัวน่ารักๆ
แต่พรุ่งนี้ฉันต้องไปโรงพยาบาล ฉันรีบโทรไปบอกพี

ว่า ไม่ต้องมารับฉันเพราะจะไปกับครอบครัว
และบอกทุกคนว่าไปกับพีเหมือนทุกครั้ง
เป็นครั้งแรกที่ฉันโกหกกับคนมากอย่างนี้
มันน่าตื่นเต้นมาก แจงนั่งอยู่กับผู้ชายที่บอกว่าชอบฉัน (จากรูป)

เขาชื่อ วิน
สูงผิวเข้มและหน้าคม ที่สำคัญเขาคุยสนุกไม่แพ้พี
จนฉันเองเป็นฝ่ายที่เอาแต่เงียบเพราะว่าประหม่า
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมีคนมาจีบ

วินชวนฉันไปดูหนังต่อ ส่วนแจงขอแยกกลับไปแล้ว
ในโรงหนังวินกุมมือฉันไว้แน่น
เขาว่ามือฉันเย็น

เจี๊ยบเลย เราแลกเบอร์โทรกันตอนที่เขามาส่งที่บ้าน

วินเป็นคนแรกที่ชมว่าฉันน่ารัก
ฉันไม่ได้บอกเขาเรื่องอาการป่วยของฉัน
ฉันโทรหาพี บอกเขาว่าตั้งแต่นี้ไม่ต้องมารับฉัน
ไปโรงพยาบาลแล้ว

ฉันจะไปกับคนที่บ้านแทน ที่จริงฉันให้วินพาไป
วินเริ่มบ่นเรื่องพาฉันมาโรงพยาบาลบ่อยๆ หลังจากที่
มากับฉันแค่สามครั้ง

เขาว่าเสียเวลา เขาไม่ค่อยชอบรออะไรนานๆ
และบรรยากาศทำให้เขารู้สึกแย่ ฉันเริ่มรู้สึกเป็น
ภาระกับเขา ที่จริงฉันก็ไม่อยากมาโรงพยาบาล

เลยตัดสินใจที่จะไม่มาอีก เวลาที่อยู่กับเขาฉัน
จะไม่กินยาฉันไม่อยากให้เขารู้ว่าฉันป่วย
ฉันกลัวเขาจะไม่สนใจฉันอีก
ฉันไม่ไปโรงพยาบาลได้สองอาทิตย์แล้ว

แต่วินก็หาเรื่องบ่นฉันอีก ที่ต้องมาส่งฉันที่บ้าน
ก่อนทุ่มทุกวัน เขาหาว่าฉันเป็นลูกแหง่ไร้เดียงสา

ฉันนิ่งไปไม่มีข้อแก้ตัวที่จะเถียง จนเขากลับไป
ฉันตกตะลึงมองพีที่เดินลงจากรถมาหา
แวบแรกฉันกลัววินจะเห็นพี


พีมาแค่มารอฉันนานแล้วเขาตั้งใจมาบอก
ให้ฉันไปโรงพยาบาลและกินยาด้วยเท่านั้น
ฉันแปลกใจที่พีรู้ เขาว่ารู้จากพยาบาล
ฉันตกใจมากกว่าจะโกรธที่เขารู้เรื่อง

ฉันตวาดใส่เขาเป็นครั้งแรก
หาว่าเขาจุ้นจ้านมายุ่งกับชีวิจฉันมากไป
พีนิ่งเงียบใจเย็นเหมือนทุกครั้ง

พร่ำบอกแค่ขอโทษ

ก่อนกลับพียื่นโทรศัพท์มือถือให้ฉัน
เขาบอกให้เก็บเอาไว้ใช้เผื่อจำเป็น
“ดูท่าทางเขาจะดูแลอันได้นะ

เราคงไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว” พีกลับไปแล้ว

ฉันนอนร้องไห้ทั้งคืนเพราะโมโห ฉันโมโหตัวเอง
แต่ไม่รู้ว่าเพราะพี่รู่เรื่องวิน หรือว่าที่ฉันตวาดพี
สามเดือนกว่าที่พีไม่ติดต่อฉันเลย
สามเดือนกว่าที่ฉันคบวินแต่ไม่มีอะไร

คืบหน้าไปกว่าวันที่พีเจอ

เพราะฉันไม่รู้สึกตื่นเต้นเวลาที่จะได้เจอเขา
หรือกระวนกระวายใจเวลาที่เขาไม่โทรมา
ฉันกลับนึกไปถึงพี อยากรู้ว่าเขาหายไปไหน

และทำอะไร กับใคร??? อาการของฉันเริ่มแย่ลง
ฉันต้องกลับไปอยู่ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง

คราวนี้ฉันอยู่ประมาณหนึ่งเดือน
ก่อนจะได้กลับมาพักที่บ้าน
วินโทรมาหาหลังจากฉันออกจากโรงพยาบาล
ได้สองวัน

เขาขอโทษที่หายเงียบไปเพราะติดสอบ
วินไม่รู้เรื่องที่ฉันเข้าโรงพยาบาลเลย
อาการของฉันช่วงนี้ดีที่สุดก็แค่ทรงตัว
ฉันรู้ตัวดีว่าคงอยู่ได้ไม่นาน

ความคิดอยากตายหวนกลับมาอีกครั้ง
เมื่อไม่มีใครติดต่อฉันมาอีกเลยนานกว่าสองเดือน
ความเหงามันทรมานกว่าความเจ็บปวดหลายเท่า
เวลานี้ฉันไม่นึกถึงวินเลย

คนที่ฉันอยากเจอคือพี เดือนหน้าจะถึงวันเกิดฉันแล้ว
ฉันภาวนาขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับฉันก่อนเลย
กำลังจะครบปีแล้ว นับจากวันที่ฉันรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง
และนี่ก็นานมากทีเดียวจากวันที่หมอว่า
ฉันจะต้องตายในสามเดือน

ฉันเองก็แทบจะไม่เชื่อว่าจะอยู่ได้นานขนาดนี้
ฉันไม่ได้ติดต่อวินเลย
เขาก็เช่นกัน แต่หนึ่งสัปดาห์ก่อนวัน เกิดฉัน

วินโทรมาชวนฉันไปเที่ยว เขาบอกว่าครั้งนี้
จะพิเศษที่สุด แต่ต้องกลับดึกหน่อย
และฉันห้ามปฏิเสธ

ทางบ้านฉันแม้จะห่วงไม่อยากให้ไป
แต่ก็จนปัญาที่จะห้าม

เมื่อฉันบอกว่าคงได้ไปเป็นโอกาสสุดท้าย
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เที่ยวกลางคืน
วินขับรถพาฉันไปที่ผับ

ก่อนที่จะไปจบที่ถนนสายหนึ่งตอนเที่ยงคืน
รถยนต์นับสิบคันจอดเรียงรายกันเป็นทางยาว
เพื่อเตรียมที่ จะแข่ง เหมือนในหนังที่ฉันเคยดู

ฉันทนนั่งหายใจไม่ออกในรถของวินที่คลุ้ง
กลิ่นบุหรี่ไม่ไหวฉันแอบไขกระจกลง

นิดหน่อย วินจอดเทียบที่ว่างบอกให้คอยในรถ
อย่าออกไปไหน ก่อนจะลงไปหาเพื่อนผู้ชายที่เดิน
มายืนผิงข้างกระจกฝั่งฉันเพื่อตกลงกันบางอย่าง
ซึ่งวินไม่คิดว่าฉันจะ ได้ยินคำพูดทุกคำอย่างชัดเจน

“เดือนนี้เงินมันช็อตว่ะ

ใช้ผู้หญิงพนันแทนได้ใช่ไหม คราวที่แล้วแกยังทำเลย
นี่หว่า คนนี้เกินสิบแปดแล้ว รับรองไม่มีปัญหา
แถมประกันได้เลยว่ายังสดๆซิงๆ”

ฉันช็อคกับคำพูดของวินที่ลอดกระจกเข้ามา
ดีที่กระจกรถของเขาติดฟิลม์มืดพอจะให้เขา
ไม่เห็นน้ำตาของฉันที่ไหลอาบแก้มตอนนี้
วินเดินไปหาเพื่อนที่รถอีกคัน
ฉันเลยหนีออกจากรถเดินน้ำตานองหน้า

ครุ่นคิดกับคำพูดที่ได้ยิน ไปตามทางเรื่อยๆ
ไม่มีจุดหมาย แต่วินคงหัวเสียไม่น้อยที่กลับมาที่รถ
ไม่เจอฉัน เพราะเขาสบถออกมาตอนเดินผ่านตรง
ที่ฉันหลบอยู่

“แม่งหายไปไหนว่ะ
ช่างแม่งไม่อยู่ก็ดี รถจะได้
เบาขึ้น เดี๋ยวกูลงเป็นสร้อยคอนี่ก็แล้วกัน”

ฉันร้องไห้เพราะว่าโกรธมากกว่าที่จะเสียใจ
สำหรับวินฉันมีค่าเทียบเท่าแค่สร้อยคอของเขาเท่านั้น

ฉันไม่ได้เดียงสาขนาดที่จะไม่เข้าใจเรื่องที่ได้ยิน
และรู้ว่าฉันเป็นแค่ของเดิมพัน ฉันไม่อยู่รอจนได้ผล
สรุปหรอก

ไม่ว่าวินจะชนะหรือว่าแพ้ มันไม่มีอะไร
เกี่ยวกับฉันอีกแล้ว ฉันเดินมาไกลพอสมควร
บนถนนสายเปลี่ยวอย่างนี้ ฉันเหลียวหารถสักคัน

แต่ไม่มีแม้แต่วี่แววเงาของคน ฉันเริ่มกลัว
น้ำตาก็ยิ่งพรั่งพรูออกมา
ภาพทางเดินตรงหน้าเริ่มเลือน ราง
ฉันเริ่มหายใจหอบถี่ๆ แข้งขาอ่อนเหมือนจะหมดแรง

จนต้องยึดเสาเอาไว้ไม่ให้ล้ม พยายามปลอบใจตัวเองว่า
วันนี้ฉันคงเหนื่อยมากเกินไป แต่ก็โกหกตัวเองได้ไม่นาน

เมื่อฉันไอออกมาเป็นเลือดเต็มผ่ามือตัวเอง
เลือดกำเดาไหลออกมาไม่หยุด
ฉันมองดูเสื้อผ้าตัวเอง

ที่เปื้อนเลือดก่อนจะหมดแรงตัวสั่นหมดความกลัว
ทรุดลงตรงนั้น ฉันสับสนจนทำอะไรไม่ถูก
ไม่มีแรงที่จะลุกหรือร้องให้ใครช่วยฉันนึกถึงพี
ฉันค้นโทรศัพท์ที่เขาให้ในกระเป๋า
แต่ก็สิ้นหวังเมื่อนึกได้ว่าไม่เคยบันทึก
เบอร์ใครไว้เลย ฉันเสี่ยงกดโทรออกไปอย่างหมดหวัง

ฉันกำลังจะหมดแรง ไม่สิ ฉันกำลังจะตาย

ฉันกลัว... ปลายเสียงมีคนรับแล้ว เสียงของพีดังขึ้นมา
มันทำให้ฉันเห็นความหวังเลือนรางน้ำเสียงของพีดูร้อนรน
เขาถามถึงจุดที่ฉันอยู่ก่อนที่ฉันจะหมดสติไปจริงๆ
แต่ก็ยังพอจำได้เลือนราง ว่า

ฉันอยู่ในอ้อมกอดของพี

ฉันยังมีแก่ใจนึกขำว่าทำไมผู้ชายผอมๆอย่างพี
อุ้มฉันไหวด้วย สองวันหลังจากที่หมดสติไป
ฉันฟื้นขึ้นที่โรงพยาบาล

ครอบครัวของฉันยืนรายล้อมรอบเตียง แต่ไม่มีพี
ฉันมองหาทั่วห้องแม่คงเดาได้
แม่บอกว่าพี่เพิ่งกลับไปไม่นาน
เขาดูแย่มาก อาจจะแย่กว่าฉันเสียอีก

เพราะไม่ได้นอนเลยตลอดเวลาที่ฉันไม่ได้สติ
คงจะแวะมาอีกครั้งตอนเย็น
บ่ายนั้นหมอเข้ามาตรวจอาการ
ก่อนจะเรียกพ่อแม่ไปคุย ก่อนที่จะเข้ามาบอกฉันว่า

อีกสองวันฉันก็กลับไปพักที่บ้านได้แล้ว
แม่ตามเข้ามาที่หลังทั้งน้ำตา
เป็นครั้งแรกที่เห็นแม่ร้องไห้
ฉันใจหายวูบ รู้ดีว่านี่เป็นวาระสุดท้ายของฉันจริงๆ แล้ว

อันที่จริงฉันควรจะตายไปตั้งนานแล้ว
ไม่เลวนักที่ฉันทนกับความทรมานของโรคร้ายนี้
มาได้เกือบปี เย็นนั้นพีไม่ได้มาเยี่ยมฉัน
เขามาวันรุ่งขึ้น เขาดูโทรมไปมากจริงๆ

แต่ก็ไม่น่าสนใจไปกว่าเสื้อผ้าที่เขาแต่ง
มันแทบจะถอดแบบมาจากหุ่นที่ฉันเคยชี้ให้เขาดู
นี่เขาทำเพื่อเอาใจฉันอีกแล้ว

เพื่อเพื่อนที่กำลังจะตาย ฉันยิ้มฝืนๆ
กลัวตัวเองจะร้องไห้ออกมา
เรามีเรื่องคุยกันมากเหลือเกิน

หลังจากที่ไม่ได้คุยกันมานาน

ฉันบอกเขาเรื่องที่กำลังจะตาย
แม้แต่หมอก็ไม่อยากรักษาแล้ว
ฉันว่าฉันเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด
ที่จะ ต้องตายทั้งที่ยังไม่มีแฟน

ฉันพูดติดตลกว่า ถ้ากลับบ้านเมื่อไร
ฉันจะรีบไปหาแฟนไว้ก่อนตาย
เพราะไม่อยากตายคนเดียว
แต่พีกลับบอกฉันด้วยท่าทางจริงจัง


“ความรักไม่ใช่สิ่งของที่จะวิ่งหากันได้ง่ายๆ หรอกนะ
ถ้าอันอยากได้ความรักแค่ทำตัวดีๆ อยู่นิ่งๆ

ความรักมันก็อยู่รอบตัวอันแล้ว”

ฉันยอมรับแค่ครึ่งเดียวว่าความรักมันไม่ได้หากันง่ายๆ
ฉันย้อนถามพี
“เคยมีคนรักหรือไง ทำมาสอน

ถ้ามีจริงๆ ทำไมไม่เห็นพามารู้จักกันบ้างเลย”

“เคยสิ แต่รักเขานะ เขารักเราหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“ว้า รักเขาข้างเดียวเหี่ยวเฉาแย่
มันจะมีความสุขเหรออย่างนี้”

“มีสิ เพราะเราชอบที่จะได้เห็นเขามีความสุข
แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับเรา”

“แต่ถ้าเขารู้ก็น่าจะรักกลับบ้างนะ ไม่น่าเห็นแก่ตัวเลย”

“เพราะเขาไม่รู้นะสิ
แล้วเราก็ชอบที่จะได้ให้มากกว่าที่จะรับ

เวลาเห็นเขายิ้มเราก็ถือว่าได้กลับมาแล้วแหละ”

“แล้วทำไมไม่บอกเขาให้รู้หละ”
ฉันลอบมองเขาด้วยความหวั่นไหวไม่น้อย

นึกอยากให้เป็นคนที่เขาพูดถึงเหลือเกิน
แต่ต้องผิดหวัง


“ไม่ถามหรอก ของอย่างนี้มันรับรู้ได้เอง
เพราะว่าเราบอกเขาทุกวัน
รอแค่ให้เขารับรู้เมื่อไร แล้ว บอกเราบ้างเท่านั้น”

เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันไปอีกหลายเรื่อง
ฉันถามเขาว่าช่วงที่ไม่ได้เจอกันเขาทำอะไรบ้าง
พีเงียบไปเฉยๆ ก่อนจะยิ้มน้อยๆ

ส่ายหน้าบอกฉันว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
ฟ้ามืดแล้ว ฉันใจหาย
เวลาของฉันหมดไปอีกวัน
พีเดินมาส่งที่ห้อง ระหว่างทาง

พีเดินเหมือนคนหมดแรง เกือบชนของสอง สาม ครั้ง
เขาบอกว่าง่วง นอนไม่พอ ตอนนั้นฉันไม่ได้ใส่ใจนัก
เพราะมัวคิดแต่เรื่องของตัวเอง ฉันรั้งเขาไม่ให้กลับ

ฉันรู้ว่ามันเห็นแก่ตัวที่ขอให้เขาพาฉันไปทะเล
ตอนนั้นเลยพีไม่ว่าอะไรสักคำ
ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วแอบออกไปกับเขา
เราสองคนนั่งพิงกันอยู่บนชายหาดที่หัวหิน
มีเพียงดาวที่สว่างอยู่บนฟ้า

พีกุมมือฉันเอาไว้ถามฉันว่ายังมีอะไรที่อยากทำอีกไหม
ฉันโกหกว่าเหลือแค่เพียงเรื่องเดียว ทั้งๆ ที่มัน
มีสองเรื่องที่อยากทำ ฉันบอกพีว่า
อยากอยู่ให้ถึงวันเกิดของตัวเองในอีกสองวันข้างหน้า
แต่พีให้ฉันสัญญาว่าจะต้องอยู่ให้ถึงวันเกิดของเขาด้วยในเดือนหน้า ฉันสัญญา

แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้ไหม เรานั่งกันจนฟ้าสาง
เป็นครั้งที่สวยที่สุดที่ฉันได้นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้า

พีพาฉันเข้ามาที่ตัวเมืองเพื่อตักบาตร
ก่อนจะขับรถพาฉันกลับมาที่โรงพยาบาล
วันเกิดฉันมาถึงแล้ว ฉันยังคงมีลมหายใจอยู่
ฉันตื่นแต่เช้า เข้าไปกราบเท้าพ่อแม่
ขอบคุณที่ให้ฉันเกิดมาในครอบครัวที่ดีอย่างนี้

ฉันกอดพี่สาวที่น่ารักด้วยแรงทั้งหมด
เท่าที่จะมีบอกว่าฉันดีใจที่ได้เป็นน้องสาวของเธอ
มีคนเอาของขวัญมาให้ฉันแต่เช้า
มันส่งมาจากพี พร้อมการ์ดขอโทษ
ที่มาด้วยตัวเองไม่ได้ ฉันแกะออกดู

มันเป็นรูปถ่ายฉันใบเล็กๆ
เรียงรายกันอย่างสวยงามจนเต็มกรอบใหญ่
ด้วยท่าทางต่างๆ แต่ที่เหมือนกันทุกรูปคือ
ฉันกำลังยิ้ม

มีรูปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว พีสะสมรูปฉัน

เขาตั้งใจทำของขวัญชิ้นนี้มาหนึ่งปีเต็มๆ
ฉันมั่นใจแล้วว่าพีชอบฉัน
และฉันก็ชอบเขา ฉันหวนนึกถึงวันเกิดของพี

ฉันควรจะให้อะไรเขาดี ฉันคิดถึงพี จนลืมนึกถึงตัวเอง
เป็นครั้งแรกฉันอยู่เลย วันเกิดตัวเองมา
จะครบหนึ่งเดือนแล้ว ด้วยจิตใจว้าวุ่นและสงสัย
ว่าพีหายไปไหนฉันโทรไปหาก็ไม่มีคนรับ
ตั้งแต่วันเกิดฉัน เขาไม่ติดต่อฉันเลย

ของขวัญที่เตรียมไว้ดูจะไร้ค่า

เพราะหาคนรับไม่ได้ ฉันต้องไปโรงพยาบาล
ในวันเกิดของพีพอดี คุณหมอพูดถึงพีกับฉัน

หมอแปลกใจที่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย
หมอบอกฉันว่าเขานอนเป็นเจ้าชายนิทรา
ตั้งแต่วันที่ฉันออกจากโรงพยาบาลเดือนก่อนแล้ว
เพราะเขาไม่ยอมรับการถ่ายเลือดครั้งล่าสุด
เขาหนีหายออกจากโรงพยาบาลไปกลางดึก

ก่อนจะกลับมาในอีกสองวันต่อมา
ฉันโกรธและโทษตัวเองที่ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน
ไม่เคยแม้แต่จะสนใจถามเขาให้มากกว่านี้
หวนนึกที่ผ่านมาแล้ว

มีแต่เขาที่ทำทุกอย่างให้ฉันมาตลอด
ทุกครั้งที่ฉันพร่ำอ้างกับเขาว่าฉันคือคนป่วยที่ใกล้จะตาย
โดยไม่รู้เลยว่าฉันเป็นคนฆ่าเขาด้วยมือตัวเองทีละน้อย
ฉันแทบหยุดหายใจ เมื่อเห็นพีนอนอยู่ในชุดคน
ป่วยแบบเดียวที่ฉันเคยใส่ เขานอนแน่นิ่งบนเตียง
มีสายระโยงระยางรอบตัวสภาพของเขาตอนนี้มีชีวิต
อยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยเหล่านี้


เป็นครั้งแรกที่ฉันภาวนาให้คนที่นอนในสภาพนั้น
เป็นฉันเองฉันฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
แต่ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวดที่มาจากใจ
แม่ของพีรู้จักฉัน พีเล่าเรื่องฉันให้ฟังทุกอย่าง
แม่เรียกให้ฉันไปดูเขาใกล้ๆ

ตลอดเวลาแม่ของพีเล่าเรื่องของเขาที่ฉันไม่เคยรู้
ให้ฉันฟังเขาป่วยด้วยโรคไตและเกร็ดเลือดต่ำมา

ตั้งแต่เด็กๆ ต้องถ่ายเลือดบ่อยมาก

เขาเคยนึกอยากตายให้พ้นๆ ชีวิตทรมานอย่างนี้
จนมาเมื่อปีที่แล้วที่อยู่ๆ
เขาก็มีกำลังใจอยากมีชีวิตต่อ

เพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเห็นที่สวนหย่อม
ในโรงพยาบาล
เขาอยากอยู่กับเธอคนนั้น แม่ของพียื่น
สมุดบันทึกเล่มเล็กๆให้ฉัน

เขาเริ่มเขียนบันทึกก่อนฉันจะรู้จักเขาไม่นาน
เขาบังเอิญรู้เรื่องฉันจากพยาบาล

สมุดทั้งเล่มมีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับฉัน แม่ของเขาว่า
พีเชื่อว่าฉันจะต้องอยู่ได้จนถึงวันนี้
เพราะฉันสัญญาไว้แล้ว ฉันจับมือที่เย็นเฉียบ
ของพีเอาไว้ หากปาฎิหารย์มีจริง
ฉันขอยกชีวิตที่เหลือให้เขาทั้งหมด ตอบแทนทุก
อย่างที่เขาให้ฉันรวมถึงความรักด้วย
ฉันยังไม่เคยบอกเขาเลย
แต่กลับไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกจากปากของฉัน

ฉันเชื่อว่าเขารับรู้ได้จากสัมผัสที่มือที่ฉันจับเขาเอาไว้
เขาต้องรู้ว่าเวลานี้ฉันรักเขามากแค่ไหน
พีไม่ยอมไปรักษาตัวที่เมืองนอกตามที่แม่เขาบอก

ถ้าเขาไปตั้งแต่เดือนที่แล้วเขาคงยังมีชีวิตต่อไป
อีกหลายปี แต่เขาเลือกจะอยู่ที่นี่เพื่อรอฉัน
รอฟังคำตอบจากฉัน ฉันก้มลงกระซิบบอกเขาที่ข้างหู
ด้วยเสียงสั่นเครือ ฉันรักเขา

และอีกไม่นานฉันกับเขาจะได้อยู่ด้วยกันชั่วนิรันดร์

รอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากของพีปรากฏเพียงชั่วเวลาสั้น
สีหน้าเขามีเลือดฝาดผุดขึ้นก่อนจะซีดเผือก

พร้อมเส้นหัวใจที่ราบเรียบ

พีจากฉันไปอย่างสงบในวันเกิดของเขา
ฉันเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาหลังงานศพของพีเสร็จสิ้นไม่นาน
ขอร้องพ่อกับแม่เป็นสิ่งสุดท้าย ให้จัดพิมพ์
เตรียมไว้แจกในงานศพของฉันที่คงจะมีขึ้นในอีกไม่นาน

ฉันหวังให้เป็นที่ระลึกถึงพีและฉัน
สิ่งสุดท้ายที่ฉันภาวนาตอนนี้
เมื่อใดที่ฉันหมดลมหายใจจากโลกนี้

ฉันจะได้ไปอยู่กับคนที่ฉันรักและรักฉันชั่วนิรันดร์
ขอให้คนที่รักกันอย่าได้มีบทจบอย่างฉัน

ที่รู้ตัวเอาเมื่อเกือบจะสายไป ก็ยังดีที่ยังทันเวลา
ดีกว่าบางคู่ที่รู้ตัวว่ารักเมื่อสายเสียแล้ว ขอให้ทุกคู่

รักมั่นคงต่อกัน

เข้าใจกัน รู้จักห่วงใยกัน
และที่สำคัญโปรดจงอภัยให้แก่กันและกัน

หากคุณยังมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันและรักกัน
ขอให้มีความสุข
อย่าให้เหมือนฉันเลย

ขออาลัยแด่...พีระวิทย์ และ อันปรียา
ผู้จากไปชั่วนิจนิรันดร์ นางสาว อันปรียา พรายปริศนา

ชาตะ 16 ก.ค.2527

มรณะ 31 ส.ค.2546

******************************************
ขอบคุณ อัน และ พี



Create Date : 08 มกราคม 2551
Last Update : 8 มกราคม 2551 0:33:53 น.
Counter : 954 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend