Wolf True Blood ตอนที่ 9 ชายฝั่งทะเล

ตอนที่ 9. ชายฝั่งทะเล

ตั้งแต่วันที่เขาหัดกลายร่างแม้จะไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ตามที่ผู้ฝึกได้พยายามสอนเขาก็ไม่พยายามที่จะกลายร่างอีกเลยแต่กลับฝึกสมาธิหนักขึ้นเพื่อเรียนมนตราโบราณ มันสมองชั้นเลิศของไคล์ไม่ยากเลยสักนิดถ้าเขามั่นใจและตั้งใจจะทำอะไรก็ตาม ยกเว้นการแปลงร่าง เขาไม่คิดว่ามันสนุกอะไรเลยแถมยังเปิ่นต่อหน้าสาวสวยซึ่งมองเขาเป็นตัวตลก ใบหน้าที่สวยงามละมุน ดวงตาเรียวสวยริมฝีปากอิ่มฉ่ำวาว เขาจดจำได้หมด แม้แต่กลิ่นหอมจากกายของเธอจมูกของเขาแยกแยะได้อย่างแม่นยำ กลิ่นที่เป็นมิตร และกลิ่นที่เป็นศัตรู

นอกจากการเรียนรู้คาถาอาคมไคล์ยังต้องเรียนรู้ธุรกิจของเหล่าหมาป่าที่มีอยู่มากมายกระจายอยู่ทั่วโลกมันน่าตื่นตะลึงและคาดไม่ถึงว่า พวกหมาป่าจะร่ำรวยกันได้ขนาดนี้ งานมีมากคนทำงานมีน้อยหมาป่าไลแคนทางสายของเขามีน้อยมากจนน่าตกใจญาติที่เหลือของเขาส่วนมากเป็นผู้หญิงแต่ก็ไม่ใช่สายเลือดแท้สืบเนื่องจากพ่อแม่ต่างสายพันธุ์พวกเธอค่อนข้างอ่อนแอและละทิ้งความเป็นมนุษย์พิเศษและอาศัยปะปนอยู่กับมนุษย์ไม่กลับมายังถิ่นกำเนิด หลายรุ่นเข้าก็ถูกกลืนไปกับเหล่ามนุษย์สำหรับเขาเองก็เช่นกัน หากไม่กลับมาที่นี่ไม่มีคนมากระตุ้นสัญชาตญาณเดิมๆที่ถูกกดลึกอยู่ในใจ เขาก็คงเป็นคุณชายธรรมดาใช้ชีวิตเช่นมนุษย์โดยทั่วๆไป

แต่ที่นี่มนุษย์แปลงมีอายุยืนยาวทั้งยังคงความเป็นหนุ่มสาวไว้ได้เนิ่นนานหลายสิบปีล่วงอายุเข้าร้อยปีการเสื่อมถอยของเซลล์จึงปรากฏให้เห็นจึงไม่แปลกที่ผาทิวสนจะมีแค่คนหนุ่มสาววัยกลางคนจะอยู่ในหุบเขาลึกเข้าไปยังดินแดนที่เขาไม่เคยเข้าไปและยังไม่จำเป็นต้องรู้ว่ามันอยู่ที่ใด

ไลแคนตระกูลราเมเซ็ทรุ่งเรืองและกล้าแกร่งในทุกๆด้านเก่ากว่าทุกตระกูลในแถบนี้ ซึ่งมีอยู่สี่ตระกูล ตระกูลเรเวน ซึ่งตอนนี้เซย์เป็นผู้นำในการปกครองทั้งผาทิวสน ตระกูลรามอน ลีโอเป็นจ่าฝูงอยู่ที่ผาหมอก และตระกูลไพออนไม่ขึ้นตรงกับใครปกครองตนเองอยู่แนวชายฝั่งทะเลนอกนั้นก็เป็นพวกแวร์วูลฟ์เป็นหัวหน้าหมู่บ้านในเขตปกครองของเซย์

ตระกูลราเมเซ็ทของเขาเมื่อยี่สิบปีก่อนถูกพวกแวมไพร์บุกเข้ามาเพื่อกวาดต้อนหมาป่าบางส่วนไปเป็นเชลย..แวมไพร์สายพันธุ์ชั้นต่ำที่อ่อนแอต้องการเลือดของหมาป่าเพื่อช่วยในการดำรงชีพให้กล้าแกร่งพวกมันล้าหลังกว่าพวกหมาป่าซึ่งอยู่กลางแดดจัดได้โดยไม่มีอันตรายใดๆผิดกับพวกแวมไพร์ที่ไม่อาจปรากฏตัวในตอนกลางวัน หรือเป็นบางครั้งที่ฟ้าปิดเมฆหมอกปิดบังแสงอาทิตย์ในตอนกลางวันพวกมันจึงออกมาได้ นี่เป็นสิ่งที่เหล่าหมาป่าทุกตระกูลจะต้องช่วยกันระมัดระวังปกป้องไม่ให้พวกแวมไพร์เข้ามายังดินแดนของพวกเขาเพราะนอกจากการขยายเผ่าพันธุ์ให้เพิ่มจำนวนยังต้องเสี่ยงกับการสูญพันธุ์เพราะพวกแวมไพร์นี้ด้วย

บันทึกเหตุการณ์ซึ่งผู้อาวุโสคนสุดท้ายที่รักษาปราสาทตระกูลราเมเซ็ทได้บันทึกเอาไว้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เจ้าชายเฟรดเดอริค พ่อของเขาและเจ้าหญิงเนเฟอราต้องตายไปเกิดจากเจ้าหญิงมารดาของเขาเดินทางไปยังอียิตป์เพื่อบวงสรวงต่อเทพอนูบิสเพื่อขอพรสำหรับลูกน้อยในครรภ์ของเธอ ให้ถือกำเนิดออกมาอย่างแข็งแรงเจ้าหญิงผู้มีสิริโฉมงดงามยิ่งครรภ์แก่เท่าใดผิวพรรณยิ่งเปล่งปลั่งผุดผาดราวกับดอกบัวแห่งลุ่มน้ำไนล์

เจ้าชายเคฟราลูกพี่ลูกน้องของเจ้าหญิงจัดขบวนรถม้าพร้อมผู้ติดตามเดินทางผ่านป่าโบราณดินแดนซึ่งกำกับด้วยอาคมเก่าแก่แต่มีคนทรยศส่งข่าวการเดินทางกลับของเจ้าหญิงเนเฟอรา ราชินีซินเธียทายาทของมารดาแห่งแวมไพร์ ลิลิธซึ่งได้ส่งฝูงแวมไพร์ไล่ล่าเพื่อนำตัวเจ้าหญิงเนเฟอราพร้อมทั้งลูกในครรภ์กลับไปยังปราสาทของพระนางแน่นอนว่าหากนำไปได้นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เหล่าแวมไพร์จะได้รับพลังอำนาจของเทพอนูบิสที่อยู่ในตัวเจ้าหญิงส่งต่อไปยังทารกในครรภ์ซึ่งจะถือกำเนิดทารกผู้นั้นเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดทีเดียว

เจ้าชายเฟรดเดอริคนำฝูงหมาป่ามารอรับเจ้าหญิงผู้เป็นภรรยาในคืนพระจันทร์ทรงอำนาจปรากฏเป็นสีเลือดซึ่งเหล่าหมาป่าจะกล้าแกร่งทั้งพวกแวมไพร์เองก็ได้รับพลังนั้นด้วยการต่อสู้ระหว่างหมาป่าและเหล่าแวมไพร์ต่อสู้กันอย่างดุเดือดหมาป่าแวร์วูลฟ์รวมตัวกับพวกกลายพันธุ์ใต้หุบเขาลึกช่วยเหลือพวกแวมไพร์ในศึกครั้งนั้น

เจ้าหญิงเนเฟอรากับองครักษ์หนีออกนอกเขตอาคมข้ามไปยังเขตแดนของมนุษย์แต่กระนั้นก็ยังถูกพวกแวร์วูลฟ์ตามไปอย่างไม่ลดละหมาป่าไลแคนเข้าต่อสู้กับพวกแวร์วูลฟ์อย่างสุดความสามารถเพื่อปกป้องนายหญิงของฝูงอย่างห้าวหาญล้มตายกันหลายสิบตัว

พวกเขาสูญเสียผู้นำสายเลือดบริสุทธิ์ไปถึงสองคนเจ้าหญิงเนเฟอราหายสาบสูญ ส่วนเจ้าชายเฟรดเดริคในบันทึกไม่ได้บ่งบอกแน่ชัดถึงศึกในครั้งนั้นว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรเพราะสูญหายไประหว่างการต่อสู้กับราชินีซินเธียและร่วงลงสู่หุบมรณะศึกในครั้งนั้นทั้งแวมไพร์และหมาป่าต่างก็สูญเสียไปไม่น้อย

หมาป่าผาทิวสนระส่ำระสายอยู่หลายปีผู้อาวุโสซึ่งเดินทางไปยังดินแดนสงบสุขได้กลับมายังผาทิวสนอีกครั้งและช่วยกันผนึกกำลังร่ายมนตร์กำบังถิ่นที่อยู่ของเหล่าหมาป่าเอาไว้เนิ่นนานหลายสิบปีก่อนที่หมาป่ารุ่นใหม่จะถูกคัดเลือกเพื่อเป็นจ่าฝูงฟื้นฟูผาทิวสนให้กลับมารุ่งเรื่องกล้าแกร่งยิ่งกว่าเดิม..

พาหนะที่เขาใช้เดินทางไปโน่นนี่คือรถยนต์เอาจริงเถอะนะดินแดนที่เขาหลุดเข้ามาและพยายามยอมรับอยู่นี่คือเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งมีถนนหนทางที่รถยนต์วิ่งได้แต่ทว่าหมาป่าที่นี่ส่วนมากแล้วชอบที่จะเดินทางด้วยขาทั้งสี่มากกว่าเมืองที่แปดสิบเปอร์เซนต์คือป่า เขตการปกครองกระจายตัวอยู่ตามหุบเขาซึ่งต้องใช้การเดินเท้า ม้าและมอเตอร์ไซด์ พูดถึงมอเตอร์ไซด์เขาก็มีไว้ในครอบครองกับเขาเหมือนกันนะ ราคาตลาดตอนนี้อยู่หลักล้านไหนๆก็มีละเขาก็เอาออกไปขับเล่นกับองครักษ์ทั้งสองวิ่งเลาะตามไหล่เขาไปจนถึงเมืองท่าเรือซึ่งตระกูลไพออน

วิสโก้คือผู้ชายร่างใหญ่กำยำหน้าตาผิดกับตระกูลอื่นซึ่งงดงาม เขาเดาอายุของวิสโก้ไม่ออกจากการคะเนน่าจะอยู่ราวหกสิบกว่าปีหรือต่ำกว่านั้นไม่เกินห้าปีก็อย่างที่บอกพวกหมาป่าคงความเยาว์วัยไว้ได้นานกว่ามนุษย์ทั่วไปทั้งอายุยังยืนยาวกว่าหลายเท่า สมุนบริวารของวิสโก้ดูท่าทางเหมือนนักเลงตามท่าเรือเมืองท่าเรือที่วิสโก้ปกครองมีความทันสมัยพอควรร้านค้าแบรนด์เนมก็มีตั้งจำหน่ายหลายยี่ห้อแต่ก็อาจจะล้าหลังจากภายนอกอยู่นิดหน่อยก็ถือว่าไม่เชยหากจะซื้อหามาใช้สอยสวมใส่ออกจะดูโก้ไปเสียด้วยซ้ำ

การต้อนรับของวิสโก้อ่อนน้อมกับเขาพอควรเมื่อทราบว่าเขาคือทายาทของตระกูลราเมเซ็ทข่าวภายในอาณาจักรของหมาป่าไม่ได้เป็นความลับอะไรยิ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างนี้นับแต่ก้าวแรกที่เขาเหยียบมาถึงหมาป่าทุกตัวก็รับรู้

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านของเราเจ้าชาย”วิสโก้ยกเบียรเย็นเฉียบมาเลี้ยงเขา การิมและเจสันนั้นคุ้นเคยกับวิสโก้อยู่แล้วจึงทำตัวตามสบายปล่อยให้วิสโก้คุยกับไคล์ตามลำพัง

“ขอบคุณมากวิสโก้ผมยังไม่ค่อยรู้อะไรกับที่นี่มากนักมีอะไรก็แนะนำผมได้” วิสโก้หัวเราะลั่นอย่างพอใจหน้าตาสะสวยราวสตรีแต่ก็เข้มแข็งดังบุรุษยิ่งวาจาที่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ไม่ถือตัวว่ามาจากตระกูลสูงส่งสร้างความเอ็นดูให้กับวิสโก้ผู้ครองอาณาจักรท่าเรืออย่างยิ่ง

“ข้าควรจะรับใช้ท่านตามแต่ท่านจะบัญชามากกว่านะเจ้าชาย..มีสิ่งเดียวที่วิสโก้พอจะแนะนำท่านได้..ระวังทุกๆเสียง”

ไคล์ไม่เข้าใจในสิ่งที่วิสโก้พูดพอจะซักถามเจ้าพ่อท่าเรือก็ทักทายสาวน้อยร่างปราดเปรียวในชุดกางเกงยีนส์กัดซีดสั้นกุดโชว์เรียวขางามทรวดทรงองค์เอวรับกันเหมาะเจาะเธอถลามาสู่อ้อมกอดใหญ่โตของวิสโก้ซึ่งอ้ารับด้วยความยินดีเสียงหัวเราะเจือความเอ็นดูเต็มเปี่ยม

“ยัยหนูของพ่อ..มาถึงเร็วกว่ากำหนดนี่ลูก..”

“คิดถึงป๋าจังเลยค่ะ..” สองพ่อลูกกอดกันอยู่สักครู่หญิงสาวจึงหันมายิ้มให้เขาทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นบิดา

“ลูกสาวผมครับเจ้าชายอลิเซีย ยัยหนูนี่คือเจ้าชาย อัคเคคาเมน แห่งตระกูลราเมเซ็ท”สาวน้อยส่งสายตาเจ้าชู้อย่างเปิดเผยให้เขาพร้อมกับยื่นมือเรียวงามสัมผัสกับมือเขาถอนสายบัวแช่มช้อยริมฝีปากอิ่มแย้มยิ้มไม่เขินอาย

“ยินดีครับคุณอลิเซีย”

“อลิสค่ะ..เจ้าชายอัคเคคาเมน”

“อ้อ..ขอบคุณครับคุณจะเรียกผมไคล์ก็ได้นะครับผมไม่ค่อยมีเพื่อนนอกจากการิมกับเจสันแล้ว ยังไม่รู้จักใครอีกเลย”เขาพูดอย่างมีไมตรี

“สองคนนั้นเป็นองครักษ์ของคุณไม่ใช่หรือคะทำไมถึงนับว่าเขาเป็นเพื่อน”

อลิสพูดเรื่อยเปื่อยไม่ระวังมันทำให้ไคล์รู้สึกสะดุดหูแม่สาวคนงามลูกสาวของวิสโก้ลดความน่ารักไปเกือบครึ่งกับวาจาที่เหมือนแบ่งชนชั้นของเธอ..และดูเหมือนเธอจะไม่รู้ตัวว่ากำลังดูถูกคนของเขายังคงพูดราวกับเป็นนกแก้ว กิริยาที่สะบัดผมหยิกเป็นลอนสวยมันดูเซ็กซี่เย้ายวนอยู่หรอกหากแต่ไคล์ได้ประเมินเธอเสียแล้ว ความสนใจที่จะผูกมิตรมากกว่านี้จึงเป็นอันชะงัก

ภายใต้รอยยิ้มสุภาพของไคล์ยิ่งทำให้อลิเซียรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากเจ้าชายพลัดถิ่นผู้ซึ่งกลับมาสู่วงศ์วานถิ่นกำเนิดเดิม มีสเน่ห์ชวนให้ค้นหาเหลือเกินและเธอมั่นใจว่าไม่นานเธอจะได้เข้าใปขอยู่ในความสนใจของเจ้าชายหนุ่มรูปงามคนนี้อย่างแน่นอน

“เจสันกับการิมเป็นเพื่อนผมครับ..”ไคล์ยิ้ม อลิเซียไม่สนใจว่าเจ้าชายจะยกฐานะองครักษ์สองนายนั้นเป็นเพื่อนเธอห่อปากทำตาโต มือเรียวยกขึ้นปิดปากหัวเราะคิกหว่านเสน่ห์ใส่ต่อไป

“แหม..น่าภูมิใจแทนสองคนนั้นจังนะคะเอ๊..แล้วอลิสละคะพอจะเป็นเพื่อนกับเจ้าชายได้หรือเปล่า”

“ผมยินดีมากครับหากคุณอลิสจะให้ผมได้รับเกียรติอันนั้น”

“แหม..เจ้าชายพูดอย่างนี้อลิสก็เขินแย่ซิคะ”เสียงหัวเราะกังวานจริตพองาม เสียงกระแอมเบาๆทำให้อลิสยิ้มค้างหันกลับไปยังเสียงที่ได้ยิน

“เจ้าชายผมต้องขอตัวก่อนนะครับ อลิสแน่ะดูแลเจ้าชายแทนพ่อด้วย”

“ได้สิคะคุณพ่ออลิสจะดูแลอย่างดีทีเดียว”

วิสโก้เรียกสมุนสองสามคนที่นั่งดื่มกับองครักษ์ของเขาที่บาร์ให้ตามออกไปด้วยในใจของวิสโก้ซึ่งมองดูลูกสาวแสนสวยของตนเองจะดีไม่น้อยหากว่าเจ้าชายจะคบหากับบุตรสาวของตน แวร์วูลฟ์อย่างเขาจะแบ่งปันสายเลือดสูงส่งของไลแคนมาปะปนบ้างน่าเสียดายที่แม่ของอลิเซียได้จากเขาไป เธอมาจากตระกูลหนึ่งในสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งเป็นไลแคนโดยกำเนิดแต่เมื่อสมรสกับเขาเธอกลับอ่อนแอลงเรื่อยๆและในที่สุดก็จากเขาไป ทิ้งไว้เพียงอลิเซียซึ่งรับเอาส่วนดีๆของมารดามาเต็มเปี่ยม

เวลานี้เป็นเวลาที่เย็นมากแล้วแดดสะท้อนเงาของทะเล ฝูงนกนางนวลบินโฉบไปมาดูน่าเพลิดเพลินสายลมพัดกลิ่นไอเค็มๆของทะเลและสาวงาม เพื่อนๆของอลิเซียล้วนแต่เป็นสาวสอางค์โฉมทั้งผู้หญิงที่ทำงานอยู่ในร้านก็ล้วนแต่สะสวย ดูแล้วเพลินตาสถานที่ส่วนตัวของวิสโก้เป็นที่รวมตัวของเหล่าสมุนผู้ช่วยมือดีหลายคนยิ่งแสงสว่างลดน้อยลงไปเท่าไหร่ก็ยิ่มมารวมตัวกันมากขึ้น

พอมืดสนิทวิสโก้ก็กลับมาพร้อมกับดินเนอร์ที่แสนจะสนุกสมกับเป็นปาร์ตี้ของชาวท่าเรือเนื้อสัตว์ชั้นดีถูกปรุงอย่างเลิศหรูทยอยออกมาเลื้ยงกันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งเหล้าทั้งเบียรชั้นเลิศหลากหลายยี่ห้อจากทุกมุมโลกที่นี่ก็มีให้ดื่มกินไม่มีหมดเช่นกัน กินกันอย่างหรูแต่ทุกอย่าง..ดิบ

ผู้หญิงถูกหนุ่มๆจับจองกันหมดทุกคนยกเว้นเจสันและการิม ทั้งคู่ถนัดเล่นเกมส์และดื่มเหล้ากันมากกว่า เสียงเอะอะโวยวายสลับกับเสียงหัวเราะ ใครคนหนึ่งเล่นเกมส์แพ้จึงถูกจับโยนลงน้ำ

เวลาล่วงเลยไปจนดึกหลายคนคอพับคออ่อนตามมุมเก้าอี้บนพื้นสุดแต่จะหาที่เหมาะได้เฉพาะตัว..ไคล์ดื่มไปมากกว่าทุกครั้งแต่ยังพอจะครองสติได้ดี ในกลุ่มผู้คนที่ยังดื่มกันอยู่มีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองเขาอยู่ตลอด เจ้าของสายตาคู่นั้นกำลังลุกขึ้นเดินตรงมาหาเขา..



Smileyขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะครับ



Create Date : 12 มิถุนายน 2558
Last Update : 12 มิถุนายน 2558 16:51:21 น.
Counter : 369 Pageviews.

0 comment
Wolf True Blood ตอนที่ 8 ความจริง

ตอนที่ 8 ความจริง

จิมมี่เก็บเก็บเรื่องที่เขาสงสัยเอาไว้ในใจเขาไม่จำเป็นต้องบอกดีลี่ว่าเขาเห็นรอยเท้ามนุษย์ รอยเท้าที่ใหญ่กดลึกบ่งบอกน้ำหนักของเจ้าของรอยได้เป็นอย่างดีเขามั่นใจว่าไม่ใช่รอยเท้าของเผ่าแมนซาซึ่งแม้จะมีรูปร่างใหญ่โตแต่กลับมีรูปร่างผอมเพรียวเสียส่วนมากยิ่งกลุ่มที่ค้นหาร่องรอยนั้นเป็นพวกผอมบางตัวเล็กรอยเท้าบนพื้นทรายแทบจะมองไม่เห็น และสิ่งที่ย้ำความมั่นใจของเขาอีกประการหนึ่งก็คือไม่มีรอยเลือดหรืออะไรที่บ่งบอกว่าไคล์ถูกทำร้ายจากหมาป่า หรือสัตว์อื่นที่เขาไม่อยากคาดเดาให้เสียเวลาเขาและร๊อบเป็นพรานแกะรอยได้ดีอันดับต้นๆของหมู่บ้านพิวรี่ขอเวลาให้เขาได้กลับไปเตรียมข้าวของที่จำเป็นก่อนเถิดรอยที่ปรากฏชัดเจนขนาดนี้ไม่ยากที่จะออกตามหา จิมมี่คิด

ดีลี่นำทางเขากลับเข้าหมู่บ้านหลังจากสำรวจร่องรอยเรียบร้อยที่หมู่บ้านโบซาได้คอยอยู่แล้ว

“พ่อเฒ่าลิบ้าทราบเรื่องแล้ว” โบซาแจ้งแก่เขา

“เราเสียใจที่มาทำความยุ่งยากวุ่นวายในหมู่บ้านของพวกท่าน”จิมมี่เอ่ยขึ้นหลังจากที่โบซาพาตัวเขามาพบกับพ่อเฒ่าลิบ้า

“ลิบ้าเสียใจด้วยสำหรับคนของเจ้าแมนซาไม่เคยมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านของเรา” ลิบ้าเอียงหัวฟังเสียงกระซิบจากคนสนิทซึ่งดูไม่ค่อยชอบหน้าพวกเขาตั้งแต่วันวานสีหน้าของลิบ้าเคร่งเครียด

“คนของพวกเจ้าลิบ้าจะให้คนพาไปส่งยังเขตหมู่บ้านเราจะไม่เข้าไปยังหมู่บ้านของพวกเจ้า..พรุ่งนี้สายๆพวกเจ้าต้องออกเดินทาง”ลิบ้าตัดสิน เสียงฮือฮาของคนทั้งเผ่า สีหน้าที่บึ้งตึงไม่ชอบใจอะไรหลายๆอย่างซึ่งจิมมี่รู้สึกหวาดกลัว แต่พยายามที่จะข่มเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมา

“ท่านผู้เฒ่าลิบ้าผู้เป็นใหญ่ในเผ่าข้าและพรรคพวกขอขอบคุณท่านที่ได้ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีหากแต่ข้ามีเรื่องที่ต้องขอร้องท่านอีกสักครั้ง”

“เจ้าว่ามาเถิดข้ายินดีรับฟัง”

“ข้ายังยืนยันคำขอร้องเดิมของเมื่อวานกรุณาส่งเพื่อนที่บาดเจ็บของข้าไปยังหมู่บ้านพิวพรี่หากท่านไม่ช่วยข้าเกรงว่าน้ำใจของท่านจะสูญเปล่า หนทางที่อันตรายระหว่างการเดินทางพวกข้าไม่มีความสามารถที่จะเอาตัวรอดจากอันตรายเหล่านั้น”จิมมี่ให้เหตุผลอย่างระวัง รอดูท่าทีของเผ่าแมนซาว่าจะอย่างไรมันต้องเสี่ยงกันหน่อย ทุกอย่างต้องแข่งกับเวลาหากว่าแมนซาตกลงเขาก็อยากจะออกเดินทางไปตามหาไคล์ทั้งพ่อของเขาที่หายตัวไปนั่นคือเป้าหมายที่จิมมี่ไม่คิดจะเปลี่ยนแผนเลย

ลิบ้าหันไปปรึกษากับที่ปรึกษาถกเถียงกันอยู่สักครู่จึงได้หันกลับมาสนทนากับเขาอีกครั้ง

“ลิบ้าช่วยได้เพียงแค่เขตหมู่บ้านพิวรี่เท่านั้นเราไม่มีเวลามากพอที่จะพาไปส่งได้ไกลกว่านั้น”ลิบ้าบอกกับเขาและแม้ว่าเขาอยากจะขอร้องสักเพียงไหนคำพูดเหล่านั้นถูกกลืนหายกลับเข้าคอ

จิมมี่ไม่โต้เถียงและไม่อยากร้องขอความช่วยเหลืออะไรจากคนเผ่าแมนซาอีกเพราะรู้ดีว่าคนป่าถึงอย่างไรก็คงจะต่อรองอะไรไม่ได้มากเท่าที่ช่วยเหลือตั้งแต่วันวานก็มากพอแล้วเฒ่าลิบ้าได้ให้คนนำทางเขามายังกระท่อมของหมอผีที่รักษาแฟรค์และทีด็อกประตูซึ่งลั่นดาลแน่นหนาจากภายในบัดนี้เปิดออก ยอมให้เขาเดินเข้าไปยังภายใน ที่นั่นเป็นห้องโล่งๆ สองฝั่งมีแคร่ไม้ต่อหยาบๆวางเรียงชิดผนัง บนเตียงมีร่างของคนเจ็บซึ่งไม่ค่อยน่าเดินเข้าไปดูนักด้วยละม้ายซากอะไรซักอย่าง บางเตียงก็พันผ้าสีคล้ำๆส่งกลิ่นเหม็นเน่าเจือกับกลิ่นสมุนไพรซึ่งชวนให้ขย้อนของที่กินเข้าไปออกมาเขาต้องกล้ำกลืนแทบแย่ที่จะไม่แสดงกิริยาที่ดูไม่ดีอย่างนั้นออกมาเสียงร้องครางดังเป็นระยะ คนบาดเจ็บเหล่านี้ไปโดนอะไรมาบ้างเขาก็ไม่รู้ เหมือนเดินเข้าไปในฉากหนังสยองขวัญทำให้เขาต้องรีบเดินตามคนขอของลิบ้าไปติดๆไม่รีรอสำรวจอะไรอีกแล้ว

ชายร่างสูงเดินนำเขาไปยังอีกห้องซึ่งเล็กกว่าห้องแรก มีเตียงวางอยู่ข้างละสามเตียงแต่มีคนนอนอยู่เพียงสองเตียง ซึ่งก็คือ ทีด็อกและแฟร้งค์ทั้งสองคนยังหลัลบสนิท จิมมี่สำรวจทั้งสองคน ทีด็อกซึ่งขาหัก ได้รับการดามด้วยไม้ไผ่หุ้มทั้งท่อนขาดูโบราณแต่ก็ใกล้เคียงกับเฝือกปูนพลาสเตอร์อย่างที่โรงพยาบาลในเมืองส่วนแฟรงค์เขาไม่รู้แผลที่เปิดบนหัวจะได้รับการรักษาอย่างไรเพราะพันผ้าเอาไว้แทบจะทั้งหน้า เขายืนรีๆรอๆอยู่ระหว่างคนเจ็บทั้งสอง

“นึกว่าแกทิ้งพวกเราแล้ว” ทีด็อกเอ่ยทักเขาจึงละสายตาจากแฟร้งค์ซึ่งหลับอยู่หันกลับมา

“นายเป็นไงมั่ง”จิมมี่ไม่ใส่ใจอาการกวนประสาทของทีด้อกเพราะรู้อยู่แล้วว่าไอ้นี่มันเลี้ยงฟาร์มหมาไว้ในปาก

“ยังไม่ตาย..”

“ก็ดีแล้ว..หมอประจำเผ่าทำอะไรให้แกมั่งละ”

“นี่ไง..” ทีด้อกบุ้ยปากไปที่ขาซึ่งหุ้มด้วยไม้แบนๆเกลาเรียบค่อนข้างประณีต

“ดูท่าแกไม่เป็นไรแล้วนี่ทีด็อก..อีกไม่นานก็วิ่งได้”

“อยากให้หายวันนี้เสียด้วยซ้ำกูอยากกลับเข้าเมืองไอ้ป่าเวรนี่ไม่เอาแล้วสมบัติอะไรกูก็ไม่เอา”ทีด็อกพ่นคำหยาบออกมาตามอารมณ์ขี้หงุดหงิดของตัวเอง

จิมมี่สะดุดหูจากคำพูดที่ทีด็อกพ่นออกมา

“หมายความว่ายังไงสมบัติอะไร..”จิมมี่หันมาคาดคั้นทีด็อกอึกอักรู้ว่าตัวเองพลาดที่เผลอพูดความลับที่ปกปิดกันมาตั้งนาน

“ไม่มีอะไรนี่..คณะของศาสตราจารย์สูญหายเครื่องไม้เครื่องมือแพงๆก็เป็นสมบัติของพวกที่ตามหาไง” ทีด็อกเฉไฉ จิมมี่สะกดใจเขาหรี่ตามมองมันอย่างข่มอารมณ์ที่จะไม่ชกหน้ากวนๆนั่น

“อย่ามาหลอกกูด้วยคำพูดโง่ๆบอกมาพวกมึงมาทำอะไรที่ป่านี่..”

จิมมี่กดมือลงบนไม้ที่หุ้มขาของทีด็อกออกแรงกดจนหมอนั่นสะดุ้งเสียงกระดูกลั่นเบาๆแต่สร้างความเจ็บปวดอย่างยิ่ง

“ไอ้เวรบ้านนอกมึงจะทำอะไรกู”ทีด็อกคำรามพลางดิ้นรนให้มือที่กดบนขาที่หักให้หลุดออก

“ไม้ดามนี่ไม่ได้แข็งแรงเหมือนปูนพลาสเตอร์อะไรสักนิดถ้ากูรื้อออกนี่ขามืงอาจจะถูกสับทิ้ง..พูดความจริงมา”จิมมี่ตวาดมือก็ออกแรงกดลงไปอีกเสียงกระดูกลั่นกว่าเดิมพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของทีด็อก

จิมมี่ไม่สนใจ ยังไงต้องคาดคั้นเอาความจริงที่สงสัยให้ได้สายตาที่เอาจริงจนทีด็อกขยาด ระล่ำระลักพูดจนลิ้นแทบจะพันกัน

“สมบัติโบราณไอ้พวกที่หายไปมันก้อปปี้ลายแทงเอาไว้สองชุด” จิมมี่คลายมือที่กดขาของทีด็อกไอ้พวกสารเลวบังอาจหลอกลวงให้พ่อของเขาต้องมาประสบชะตากรรมไปกับพวกมันด้วย

“พวกมึงรู้ได้ไงว่าแถวนี้มีสมบัติ..”จิมมี่ยังสงสัยทีด็อกร้องโอดโอยมือกุมขาที่ร้าวระบมจากการทรมานของจิมมี่ทั้งปากก็สบถไม่หยุด จิมมี่วางมือลงบนขาที่หักอีกครั้ง ทีด็อกตาเหลือก

“กูไม่รู้ไอ้สารเลวกูบอกมึงหมดแล้วอย่ายุ่งกะขากู “ ทีด็อกคร่ำครวญด้วยความโกรธ จิมมี่ไม่ได้ฟังคำที่มันบอกเขาดึงมีดพกออกจากซองข้างเอวมือลูบคมเบาๆ มุมปากยกขึ้นหมิ่นๆ

“มึงไม่รู้จริงๆเหรอจะให้กูเชื่อมึงง่ายๆว่างั้น”

“จิมมี่ กูไม่รู้ไปมากกว่านี้แล้วพวกนั้นมันแกล้งมาหาสมุนไพรไปวิจัยแต่ความจริงพวกมันมาล่าสมบัติ..พระเจ้าให้ตายเหอะ กูบอกมึงหมดแล้ว ปล่อยกูไป..”ทีด็อกพยายามยกขาข้างที่หักหนีแต่จิมมี่จับเอาไว้มั่นมีดในมืออีกข้างตวัดปลายแหลมลงเบื้องล่างรอที่จะปักลงไปบนขาเจ้านั่นตาเหลือกลานด้วยความหวาดกลัวแทบจะฉี่ราดซึ่งไม่น่าเชื่อว่าคนกร่างๆทำท่าเป็นนักเลงโตอย่างทีด็อกจะกลัวหัวหดเพียงแค่เขาขู่นิดๆหน่อยๆ

จิมมี่ไม่ได้ฟังคำพล่ามไร้สาระของเจ้านั่นมีดในมือกดลงตรงบาดแผลเพียงเท่านั้นก็สร้างความเจ็บปวดให้กับเจ้านั่นจนต้องรีบบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่มันรู้จนหมดสิ้น

“ลายแทงอยู่ในกระเป๋าของกูมึงเอาไปได้เลย”

“ตอบกูมึงรู้ได้ไงว่ามีสมบัติ”

ทีด็อกกลืนน้ำลายมองหน้าเอาเรื่องของจิมมี่อย่างไม่เข้าใจไอ้สารเลวบ้านนอกไม่สนใจสมบัติมันโง่หรือบ้ากันแน่ แล้วมันจะคาดคั้นเอาอะไรจากเขาทีด็อกไม่ใช่คนฉลาดแต่เรื่องความเลวแล้วละก็มันมีความสามารถอย่างที่สุด

“กูไม่รู้ว่ามีหรือไม่มีสมบัติ ลายแทงที่กูมีมันเป็นฉบับคัดลอกจากฉบับจริงของศาสตราจารย์ แกได้มาจากตาแก่ขี้เมาพูดจาเลอะเทอะพล่ามถึงเมืองโบราณในหุบเขาเหมืองเพชรเหมืองทองก้อนกรวดในลำธารเป็นหินมีค่า อาจารย์ไม่ได้บอกว่าได้จากไอ้ขี้เมานั่นมาได้ไงแต่กูว่าแกคงยึดมาเฉยๆตอนที่ไอ้แก่นั่นตายเพราะกินเหล้าเยอะหรือมันตายห่าเพราะอะไรก็ช่างหัวมันเถอะ กูบอกมึงหมดแล้วจริงๆปล่อยกูไปเหอะกูไม่ไปแล้วขากูหักกูอยากไปโรงพยาบาลในกระเป๋ากูมีเงินอยู่ไม่มากมึงเอาไปแล้วช่วยบอกไอ้คนป่าพวกนี้ให้ไปส่งกูกะไอ้แฟรงค์ที..”

ทีด็อกคร่ำครวญน้ำตาใหลอย่างหมดอาลัยดูสภาพมันตอนนี้ถึงมันจะโลภแค่ไหนก็คงจะไปไหนไม่รอด ขาที่หักต้องถึงมือหมอทันสมัยเท่านั้นสภาพที่ดามเอาไว้ลวกๆ แม้แผลจะหายแต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมสมุนไพรสีเขียวๆเหลืองๆโปะบนแผลสมุนไพรที่เขาพอรู้จักว่าช่วยระงับความเจ็บปวดและป้องกันการติดเชื้อแต่ไอ้คนศิวิไลซ์โง่ๆอย่างทีด็อกอธิบายไปมันก็คงไม่เชื่อถือสู้ปล่อยให้มันผวากับสิ่งที่มันคิดต่อไปก็แล้วกัน

ทั้งสามคนยืนมองแพไม้ไผ่ซึ่งจะเป็นพาหนะพาทีด็อกและแฟรงค์เดินทางออกจากหมู่บ้านแมนซาทีด็อกดูสงบปากแต่สายตาที่ไม่เป็นมิตรและเคียดแค้นยังมีร่องรอยส่วนแฟรงค์ไม่พูดอะไรมากไปกว่าขอบคุณพวกเขาสั้นๆที่ช่วยเหลือแฟรงค์ยังห่วงเพื่อนที่หายไปใต้หิมะรับปากว่าจะไปบอกทางการให้ส่งทีมมาช่วยพวกเขาค้นหาจิมมี่ไม่คิดจะคอยทางการ ลายแทงของทีด็อกเขายึดของมันมาเสียอย่างงั้น ก่อนแพจะล่องไปตามลำน้ำ เขาได้แอบฝากจดหมายไปกับอูตูซึ่งเคยไปยังหมู่บ้านพิวรี่หมอนั่นรับปากจะส่งให้ถึงมือของผู้ช่วยของบิดา แน่นอนว่าเนื้อความในจดหมายบอกเล่าถึงสิ่งที่เขาซักถามเจ้าทีด็อกใว้อย่างครบถ้วนไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว..เมื่ออาแซมอ่านจบก็คงจะรู้ล่ะว่าจะจัดการเจ้าสองคนนี่ยังไง จิมมี่กระชับสัมภาระบนไหล่ส่งสัญญาณให้ร๊อบและลุงทิมออกเดินทางออกจากหมู่บ้านแมนซาเพื่อติดตามค้นหาผู้สูญหายตามความตั้งใจเดิมภูเขาสีเทาที่อยู่ไกลลิบเบื้องหน้าคือเป้าหมายที่มุ่งไป..





Create Date : 09 มิถุนายน 2558
Last Update : 9 มิถุนายน 2558 14:56:55 น.
Counter : 330 Pageviews.

0 comment
Wolf True Blood ตอนที่ 7 กระวนกระวาย



จิมมี่สะดุ้งตื่นขึ้นตามอาการเขย่าปลุกของร็อบผู้เป็นน้องชายสีหน้าของพ่อบ้านทิมและร็อบทำให้เขาสลัดความงัวเงียเพื่อรับฟังสิ่งที่พรั่งพรูออกจากปากของร๊อบค่ำคืนที่วุ่นวายในหมู่บ้านแมนซาทุกคนเข้านอนพักกันเป็นปกติตกดึกเพราะความอ่อนล้าของร่างกายทำให้ทั้งสามคนหลับสนิทและไม่รู้ว่าไคล์ได้หายตัวไปตั้งแต่เมื่อใด จนกระทั่งเช้าพ่อบ้านทิมซึ่งออกตามหาทั่วทั้งหมู่บ้านก็ไม่พบสอบถามจากคนของทาลิม ได้ความว่าเมื่อคืนมีฝูงหมาป่าเข้ามาป้วนเปี้ยนแถวไร่คนของทาลิมซึ่งเป็นเวรยามในช่วงนั้นได้ออกไปขับไล่พวกหมาป่าแต่ก็ไม่มีใครเห็นว่าไคล์ได้ตามออกไปร่วมขับไล่ด้วย จะสอบถามเอากับทาลิมหมอนั่นก็ข้ามเขาไปหาสมุนไพรตั้งแต่เช้ามืด แม้แต่ไอ้หนุ่มนักรบฝึกหัดที่เขาสอบถามมันก็มีงานยุ่งต้องไปตัดไม้เพื่อมาสร้างรั้วป้องกันสัตว์ร้ายเขาจึงต้องมาบอกกล่าวแก่ร็อบเพื่อให้ออกตามหาอีกแรง

“ลุงทิมคุณชายของลุงไม่ได้ออกไปหาสมุนไพรกับทาลิมหรอกนะ” จิมมี่เย้าพ่อบ้านชราน้ำเสียงแม้จะพยายามให้เป็นเรื่องธรรมดาแต่สีหน้าก็ไม่ได้เป็นตามนั้น

“ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้หรอกครับคุณชายเป็นห่วงคนเจ็บสองคนนั่น”

“หรือว่าไคล์จะอยู่กระท่อมหมอผีกันล่ะ”

“นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยครับประตูกระท่อมปิดแน่น เงียบกริบยังกับบ้านร้าง ผมลองไปสอบถามดูแล้วไม่เห็นใครพบเจอคุณชายสักคน”

“ไคล์ไม่น่าจะไปไหนโดยไม่บอกนะ”ร็อบรำพึงมีสีหน้ากังวลเห็นได้ชัด

“เราจะทำอย่างไรกันดีคุณชายหายตัวไปเสียเฉยๆคนหมู่บ้านนี้สอบถามใครก็ไม่ได้ความสักคนหรือว่าเราไปหาหัวหน้าเผ่า บางที เฒ่าลิบ้าอาจจะรู้ก็ได้นะ”

“รอสักพักก่อนดีไหมนี่มันเช้าตรู่มากๆ เราโวยวายไปชาวบ้านจะแตกตื่นเสียเปล่าเผื่อว่าไคล์จะไปทำธุระส่วนตัวอะไรแถวนี้” จิมมี่กล่าวเตือนจึงทำให้ทั้งสองคนที่เข้ามาปลุกได้คิด ตัวจิมมี่เองก็ไม่ต่างจากทั้งสองคน แต่เขาก็ยังคิดในแง่ที่ว่าไคล์อาจจะออกไปสำรวจอะไรแถวนี้ อีกอย่างปืนพกของไคล์ก็หายไปด้วยคาดว่าน่าจะติดตัวไปหากเกิดอันตรายขึ้น ก็พอมีอะไรป้องกันตัวแต่นี่แม้แต่เสียงปืนก็ไม่ได้ยิน เขาหวังว่ามันจะไม่มีอะไร

ทั้งสามคนนั่งคุยกันเงียบๆรอให้พวกชาวบ้านซึ่งออกไปไร่กลับเข้ามาซึ่งแต่ละทีมจะแบ่งงานกันทำ พวกที่ไปไร่จะไม่กลับเข้าหมู่บ้านจนกว่าจะเย็นพวกที่ไปเก็บพืชพรรณ หรือของป่า หรือวางกับดักสัตว์เอาไว้แต่วานกลุ่มนี้จะกลับเข้าหมู่บ้านตอนสายๆ ก่อนจะออกไปอีกครั้งตอนใกล้ค่ำพวกเก็บสมุนไพรก็จะกลับมาบ่าย ไม่ก็เย็นๆตามแต่จะหาสมุนไพรได้เพียงพอแล้วชนเผ่าแมนซาแบ่งงานกันทำตามความถนัด ผลผลิตนอกจากจะเก็บไว้กินภันภายในหมู่บ้านแล้วปีหนึ่งจะเอาผลผลิตไปแลกเป็นสิ่งของจำเป็นจำพวกเครื่องมือทำไร่ เชือก เสื้อผ้าปีนและกระสุน เกลือ เวชภัณฑ์บางอย่างจำพวกยาใส่แผลสดยารักษาโรคแทบจะไม่นำกลับไปเพราะพวกเขาแข็งแรงกันมากและถิ่นที่อยู่ก็ล้วนแต่ธรรมชาติไม่มีสารเคมีอะไรพอที่จะเกิดโรคอะไรร้ายแรงที่เจ็บป่วยตามฤดูกาลก็มียาสมุนไพรชั้นเลิศอยู่แล้ว

ตะวันขึ้นสูงขับไล่ละอองหมอกให้หายไปเวลาที่ผ่านไปก็ยิ่งทำให้ความมั่นใจความหวังที่น้อยนิดของทั้งสามคนลดลงไปเรื่อยๆผู้คนที่เดินกลับเข้าหมู่บ้านไม่มีใครเห็นไคล์

โบซา..คนสนิทของเฒ่าลิบ้าหัวเหน้าเผ่าเดินนำขบวนหญิงสาวซึ่งเถินถาดหวายใบเขื่องมีผ้าฝ้ายคลุมมามิดชิดตรงมายังกระท่อมของทั้งสามคน โบซามากับหนุ่มร่างกำยำที่เขาเห็นเมื่อวานทั้งสองคนทำหน้าที่เป็นองครักษ์ของโบซาหญิงที่เถินถาดวางลงบนกลางกระท่อมเรียบร้อยก็ ถอยออกไปยืนอยู่มุมหนึ่งโบซาทรุดตัวลงนั่งบนเบาะนั่งที่หนึ่งทั้งสามคนนั่งลงค่อนข้างเกร็งเล็กน้อยด้วยกริ่งเกรงในลักษณะท่าทีของโบซา

“เชิญรับประทานอาหาร”โบซาเชื้อเชิญใบหน้าที่ถมึงทึงตามลักษณะของเผ่าพันธุ์เสียงห้าวใหญ่คล้ายดังเสียงกลองทึบๆเอ่ยขึ้น ทั้งสามลังเลอยู่ครู่นึง จิมมี่ซึ่งกล้าหาญเปิดผ้าคลุมออกกลิ่นของอาหารซึ่งปรุงสุกใหม่โชยกรุ่น เรียกน้ำย่อยในกระเพาะได้เป็นอย่างดี

แผ่นแป้งซึ่งย่างไฟจนนุ่มหอมแกงอะไรสักอย่างสีออกแดง ทั้งเนื้อสัตว์ปรุงกับเครื่องเทศบางอย่าง จัดวางมาในภาชนะมีฝาปิดมิดชิด ผลไม้ป่าลูกโตสดฉ่ำน่าลิ้มลองแต่ทั้งสามคนกลับมองนิ่งไม่มีใครลงมือสักคนสร้างความแปลกใจให้กับโบซายิ่งนัก

“คนของพวกท่านยังไม่กลับเข้ามาหรอกหรือ”หัวใจของร็อบกระตุกวาบคำถามมันตรงกับสิ่งที่ต้องการสอบถามอยู่พอดี

“คนของเรายังไม่กลับมาท่านพอจะรู้ไหมว่าเขาไปไหนกับคนของท่านหรือเปล่า”

“เมื่อคืนวุ่นวายกันพอดูคนของเราต้องออกไปช่วยกันกับพวกเฝ้ายามแทบจะได้นอนกันไม่กี่ชั่วยามก็ต้องออกไปทำงานกันแล้ว”โบซายิ้มแต่ดูคล้ายสะแหยะเสียมากกว่า แต่นั้นก็ทำให้ใบหน้าที่ดูดุดันละมุนลง

“คนของพวกท่านมีใครพบเห็นคนของเราบ้างหรือไม่”

โบซาหันไปส่งภาษากับยักษ์ใหญ่ทั้งสองกันอยู่สักครู่สีหน้าที่ดูไม่ออกเพราะแสดงสีหน้าเดียวทำให้เดาได้ยากว่ามีเรื่องอะไรดีหรือร้ายได้แต่มองทั้งสองโต้ตอบกันสลับไปมาอยู่อย่างนั้น สักพักโบซาก็ลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไปก่อนจะนึกได้และหันกลับมาบอกกับทั้งสามคนด้วยน้ำเสียงเดิม

“เมื่อคืนมีเรื่องวุ่นวายมากกว่าที่คิดโบซาจะออกไปสอบถามอะไรหน่อยพวกท่านกินอาหารกันก่อนเถิดอย่าออกไปไหนโดยไม่มีคนของโบซานำทาง “

สั่งจบโบซาก็ออกไปพร้อมกับยักษ์องครักษ์ทั้งสองปล่อยให้ทั้งสามคนมองตามอย่างสงสัย ปากซึ่งอ้าค้างมีคำถามรอพรั่งพรูออกมาจำเป็นต้องกลืนลงคอหันมามองหน้ากันเอง

“เอาอย่างไรกันดี”ร็อบเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งมองตากันมาพักใหญ่ จิมมี่หลุบตาลงมองอาหารในภาชนะถอนหายใจเบาๆก่อนจะหยิบแผ่นแป้งฉีกเป็นคำตักแกงข้นเป็นมันส่งเข้าปากเคี้ยวเงยหน้าขึ้นพยักหน้ายิ้มให้ทั้งสองคนซึ่งมองทุกกิริยาอย่างไม่เข้าใจ

“แกงนี่รสชาตดีนะลองสักหน่อยซิ”จิมมี่ฉีกแผ่นแป้งส่งให้ทั้งสองคนซึ่งรับมาโดยอัตโนมัติเมื่อจิมมี่ทำกิริยาคยั้นคยอก็เริ่มลงมือรับประทานอาหารไปเงียบๆ

จิมมี่ซ่อนสายตาวิตกกังวลไว้อย่างมิดเม้นเสแสร้งเบี่ยงเบนอารมณ์นั้นเอาไว้หมดผู้นำอย่างไคล์ คงเป็นเขาที่จะเป็นหลักให้กับคนที่เหลือเขาต้องคิดต่อไปว่าจะทำอย่างไรจึงจะรู้ข่าวคราวของไคล์หมู่บ้านแมนซามีอะไรที่ลึกลับแปลกๆแม้จะไม่เป็นพวกป่าเถื่อนชนิดกินคนแปลกหน้าก็เหอะแต่อาการดุดันก็ยังสร้างความหวั่นหวาดในใจอยู่ลึกๆ

หลังจากอิ่มอาหารกันเรียบร้อยขบวนผู้หญิงซึ่งยกอาหารมาให้ก็เข้ามาเก็บกลับไป ทั้งสามคนจึงออกมานอกกระท่อมไม่เห็นโบซาและสององครักษ์ แต่เป็นเด็กหนุ่มรุ่นๆถือไม้พลองยาวๆยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว

“โบซาให้ข้ามาพาพวกท่านไปโปรดตามข้ามาทางนี้” เจ้าเด็กนั่นบอก ทั้งสามคนอยากจะสอบถามเอาความแต่เมื่อมาคิดดูเด็กคงไม่รู้เรื่องอะไรจึงเดินตามไปเงียบๆ

ทางที่เดินตามเด็กไปเพื่อไปพบกับโบซานั้นพอพ้นเขตหมู่บ้านก็เป็นเส้นทางเดินไปไร่ซึ่งคนในหมู่บ้านคงใช้เส้นทางนี้เป็นประจำดูจากเป็นเส้นทางที่กว้างพอที่เกวียนจะแล่นไปได้อย่างสบายสองข้างปลูกข้าวเอาไว้เต็มทุ่งกำลังเขียวขจีสุดลูกตา มีคนดูแลอยู่ในทุ่งไม่มากนัก

“นี่เจ้าหนูผู้คนไปไหนกันหมดไม่เห็นมีใครมาทำงานกันเลยหรือ”

เด็กน้อยหันมายิ้มแยกเขี้ยว“ ช่วงนี้ไม่ต้องดูแลอะไรมากหรอกนาย รอให้ข้าวสุกจึงจะมา”

“แล้วเขาไปไหนกันหมด”

“อยู่บนเขา.. “เด็กตอบแล้วก็ไม่ยอมพูดอะไรอีกแต่กลับพาเดินอ้อมไหล่เขาเลียบไปตามลำน้ำคงเป็นเส้นทางที่ใช้สัญจรประจำริมฝั่งน้ำไม่ใช่ทางราบเรยบอะไรกลับเต็มไปด้วยก้อนหินเล็กบ้างใหญ่บ้าง เจ้าหนูผู้นำทางปีนป่ายคล่องแคล่วผิดกับทั้งสามคนที่ต้องค่อยๆปีนป่ายไปอย่างระวัง เพราะเต็มไปด้วยตะไคร่และมอส ทั้งวัชพีชจำพวกพุ่มหนามก็เกาะเกี่ยวเสื้อผ้าดึงรั้งให้เสียหลักหกล้มหกลุกทิมซึ่งหัวเข่าไม่ค่อยดีอยู่แต่ก่อนดูจะทุลักทุเลเอาการทั้งสองพี่น้องจึงต้องคอยช่วยพยุงไต่ตามกันไปจะกระโดดข้ามอย่างเจ้าเด็กนั่นก็เห็นจะไม่ไหว

หลุดจากไต่โขดหินก็เป็นลานหินกลมแบนๆเต็มไปทั้งหาด เจ้าหนูไกด์ที่แสนดียืนยิ้มยิงฟันอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่พอทั้งสามเดินมาถึงก็ทำท่าจะเดินต่อร๊อบซึ่งบ่นกะปอดกะแปดตั้งแต่มันพาไต่โขดหินมาถึงกับต้องเอ่ยปาก

“เดี๋ยวก่อนพ่อรูปหล่อหยุดให้พักหายใจหน่อยเถอะนะเอ็งจะรีบไปเข้าเส้นชัยหรือไงวะ” ร็อบว่าแล้วก็บ่นงึมงัมอีกยาวยืดเด็กซึ่งฟังไม่ค่อยทันทำหน้าตาเลิกลั่กไม่เข้าใจภาษาว่าหมายถึงอะไร

“หยุดพักสักเดี๋ยวเถอะนะ” จิมมี่เข้าไกล่เกลี่ยเมื่อเห็นเด็กน้อยทำท่าจะให้พวกเขาตามไปตามคำสั่งของโบซา

“มีอะไรรีบร้อนถึงกับรอไม่ได้ทีเดียวหรือ”

“โบซาได้ร่องรอยของคนที่พวกท่านตามหา”

“ถ้าอย่างนั้นรีบไปกันเถิดคุณจิมมี่คุณร็อบ”ทิมกัดฟันลุกขึ้นยืนจนขาสั่นระริก

“ลุงไหวหรือครับ”ร็อบถามด้วยความเป็นห่วง

“ผมจะพยายามตามให้ทันครับ”ทิมหันมาตอบคำถาม“อีกไกลไหมเจ้าหนูนำไปเถิด” ทิมผู้รักไคล์ราวกับชีวิตของตัวเองออกแรงเดินตามเด็กชาวป่าไปด้วยความหวัง..ทั้งกังวล

ลานหน้าผาเหนือลำน้ำสีฟ้าอมเขียวใหลแรงซัดซ่าอยู่เบื้องล่างมีเรือไม้ขุดหยาบๆหลายลำล่องอยู่ตามริมตลีงบนลานมีคนของโบซาเดินกระจายอยู่รอบๆ ส่งภาษาดั้งเดิมของเผ่าทั้งสามคนตรงไปยังโบซาซึ่งยืนคอยอยู่ดวงตาภายใต้กระบอกตาโหนกกว้างแสดงอาการที่ไม่ค่อยจะเป็นข่าวดีนัก

เสียงตะโกนโหวกเหวกดังอยู่ด้านล่างของลำน้ำโบซาตะโกนลงไปถามก็เห็นหนึ่งในกลุ่มคนชูผ้าสีดำขึ้นให้ดูพยายามจะอธิบายแต่เพราะหน้าผาสูงทั้งเสียงน้ำซัดผ่านแก่งหินใหญ่น้อยสายลมที่พัดค่อนข้างแรงทำให้ได้ยินอะไรฟังไม่ได้ใจความ

“คนของโบซาเจอของบางสิ่งอยากให้พวกท่านช่วยไปดูหน่อยว่าจะใช่ของคนที่ท่านตามหาหรือไม่”

ทั้งสามพยักหน้าจิตใจร้อนรนแทบจะอยากออกวิ่งไปยังจุดที่โบซากล่าวถึงโบซาก็เหมือนจะเข้าใจรีบพาเดินลัดเลาะลงจากหน้าผาไปยังริมแม่น้ำ พอมาถึงกระแสน้ำที่เห็นด้านบนว่าใหลแรงแล้วลงมาถึงแทบจะเรียกได้ว่าเชี่ยวกราก ถ้ามีอะไรหล่น เพียงกระพริบตาสิ่งนั้นก็ลอยล่องไปแสนไกลยากที่จะค้นหาพบเจอได้ง่ายๆ ทั้งแก่งหิน คุ้งน้ำก็มีกระจายอยู่ทั่วลำน้ำลูกสมุนของโบซากระจายตัวออก เมื่อโบซาเดินมาถึง และส่งเสื้อสีดำมาให้ทั้งสามคนเมื่อเห็นเสื้อตัวนั้น หัวใจก็หล่นวูบ อยากจะคิดในแง่ดีแต่เสื้อที่ขาดวิ่นเป็นเสื้อที่ไคล์ใส่เมื่อวาน

“โบซาเสียใจ..ดีลี่เฝ้ายามเมื่อคืนเล่าว่าเขากับทาลิมได้ไล่ตามฝูงหมาป่ามาด้านนี้และยิงหมาป่าร่วงลงแม่น้ำเพราะเขาเห็นว่าหมาป่าสามตัวกำลังล้อมกรอบคนของท่านดีลี่เองก็เสียใจที่ช่วยค้นหาคนของท่านไม่พบ แม่น้ำใหลเชี่ยวมาก” โบซาถ่ายทอดสิ่งที่ดีลี่เล่าให้ฟังแปลเป็นภาษาเมืองอีกครั้ง

“จะเป็นไปได้ไหมว่าคนของเราใหลไปตามกระแสน้ำอาจจะจุดใดจุดหนึ่ง ถ้าเราตามลำน้ำไป” จิมมี่หารือดวงตาแดงก่ำ ผิดกับพ่อบ้านทิมถึงกับทรุดตัวลงนั่งหมดแรงดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาด้วยความอาลัยรักอย่างสุดซึ้ง

“โบซาจำเป็นต้องบอกความจริงจุดที่ค้นพบเสื้อตัวนี้อยู่ไกลออกไปมากคนของโบซาบอกว่ามีรอยลากขึ้นฝั่งและรอยเท้าหมาป่าขนาดใหญ่มาก..”โบซาหยุดคำพูดเพียงแค่นั้นก็พอจะเดาออกว่าหมายถึงอะไร“ถ้าท่านอยากไปดูโบซาจะจัดคนนำทางไปให้”

จิมมี่และร๊อบมองหน้ากันนิ่งในเชิงเอาไงกันดี ความรู้สึกทั้งหวาดกลัวและวิตกกังวลจู่โจมจนคิดอะไรไม่ทันเรียบเรียงไม่ถูก ลุงทิมผู้เฒ่ากลั้นสะอื้นอย่างน่าสงสารหากพาแกไปดูในสภาพนี้แกจะรับไหวหรือเปล่า แม้แต่เขาทั้งสองคนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างถึงได้เกิดขึ้นเร็วนัก เมื่อวานยังนั่งกินข้าวหารือกันอยู่เลย

“หากไม่เป็นการรบกวนเราขอไปดูจุดที่พบเสื้อเถิดนะโบซา.”จิมมี่รวมรวมความเข้มแข็งเอ่ยขึ้น

“โบซาจะจัดการให้..”โบซารับคำและหันกลับไปสั่งคนของเขา

จิมมี่จึงหันมาบอกคนของตนบ้าง “ร๊อบนายกลับไปที่หมู่บ้านกับลุงทิมพี่จะไปดูให้เห็นกับตาว่าน้องของเรา..พี่จะพยายามหาร่องรอยให้มากที่สุดบางทีสิ่งที่ดีลี่เห็นอาจจะไม่ใช่ก็ได้..ไคล์อาจจะยังมีชีวิตอยู่”

พี่ชายบุญธรรมผู้มีความผูกพันกับน้องชายกำพร้าซึ่งได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันพักหนึ่งได้แต่ภาวนาต่อพระเจ้าที่นับถือ ขอเพียงมีความหวังน้อยนิดน้องชายของเขายังมีชีวิตอยู่อาจจะมีใครสักคนช่วยเหลือเอาไว้ เขาเชื่อเช่นนั้น..

จุดที่ดีลี่ค้นพบเสื้อของไคล์อยู่ไกลจากหน้าผามากกว่าที่คิด การเดินเท้าลัดเลาะริมน้ำปีนป่ายตามการหักเหของสายน้ำ เส้นทางไม่ได้เดินง่ายสักนิด คนของโบซาทำหน้าที่เป็นผู้นำทางสิบคนได้เหตุที่ต้องมาเยอะ เพราะใกล้เขตหวงห้ามและมีสัตว์ร้ายอาจจะเป็นอันตรายและคิดว่าคนเผ่าแมนซาคงจะเคารพในกฏข้อนี้อย่างเคร่งครัด สังเกตได้จากป่าที่หนาทึบรกรุงรังไปด้วยเถาวัลย์ต้นไม้สูงไม่มีร่องรอยการสัญจรของคนเผ่าแมนซาแสงแดดแทบจะส่องไม่ถึงพื้นดินด้วยซ้ำ ดีลี่ใช้ภาษาเมืองไม่คล่องนักแต่ก็พอสื่อสารกันได้ พยายามอธิบายว่าป่าแถบนี้ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาสำรวจ นอกจากแม่เฒ่าลอจีซึ่งปลูกกระท่อมอยู่ใกล้กับหมู่บ้าน อาณาบริเวณนี้เป็นที่นางได้สั่งความกับพ่อเฒ่าลิบ้า ไม่ให้ชาวบ้านเข้ามาใกล้นอกจากเจ้าใบ้ซึ่งเป็นคนนำสเบียงอาหารมาส่งทุกสัปดาห์ ยายเฒ่าลอจีไม่มีตำแหน่งอะไรในหมู่บ้านแต่พ่อเฒ่าลิบ้าก็ให้ความเคารพยำเกรง ดีลี่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้นักเพราะตัวมันเองก็ฟังผู้อาวุโสเล่ามาอีกที

จิมมี่เดินสำรวจร่องรอยจุดที่ดีลี่บอก..พื้นทรายบปนกรวดยากที่จะสังเกตุเห็นอะไรได้มากนักแต่รอยหินกรวดที่พลิกกลับด้านเหมือนกับมีของหนักลากจากแม่น้ำจุดนี้เป็นคุ้งน้ำใหลค่อนข้างเอื่อยเป็นไปได้ว่าไคล์อาจจะแค่สลบไปและถูกลากขึ้นมาด้านบนรอยเท้ากดลึกบนทราบบางแห่งเป็นรอยเท้าของสัตว์ขนาดใหญ่จิมมี่เดินตามรอยไกลจากจุดที่ดีลี่ค้นพบเสื้อตกอยู่ รอยลากเห็นชัดขึ้นรวมทั้งรอยย่ำของสัตว์และรอยที่ทำให้เขาชะงักหยุดพิจารณาถี่ถ้วน คือรอยเท้าของมนุษย์กดย้ำบนหญ้าอ่อนซึ่งเพิ่งแทงยอดขึ้นจากพื้นดินถ้าไม่สังเกตดีๆก็จะไม่เห็น รอยลากหยุดอยู่แค่นั้น แต่ปรากฏรอยเท้ามนุษย์จิมมี่ใจชื้นขึ้นบ้างความหวังที่ไคล์จะยังมีชีวิตเป็นไปได้มาก..เขาเดาเหตุการณ์ต่อไปไม่ออกหรอกว่ารอยเท้าหมา และอยู่ดีๆเป็นรอยเท้ามนุษย์ จะอย่างไรก็ตาม จิมมี่มีความรู้สึกว่า ไคล์ยังมีชีวิตอยู่แค่ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกัน..



Smileyขอบคุณที่ไม่ทิ้งกัน ยังเข้ามาอ่านกันอยู่

Smileyขอบคุณครับ (กราบ)





Create Date : 03 มิถุนายน 2558
Last Update : 5 มิถุนายน 2558 16:39:04 น.
Counter : 234 Pageviews.

0 comment
Wolf True Blood ตอนที่ 6 พบกันอีกครั้ง


ตอนที่ 6 พบกันอีกครั้ง

งานเลี้ยงของผาทิวสนเริ่มขึ้นตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ลับฟ้าหนุ่มสาวต่างก็แต่งตัวทันสมัยเสื้อตามแต่ฐานะของแต่ละระดับชั้นแต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรในการร่วมดื่มกิน เต้นรำรื่นเริงกันหนุ่มๆผาทิวสนล้วนแต่ทรงเสน่ห์สาวๆห้อมล้อมจับกลุ่มสนทนากันอย่างออกรส จ่าฝูงเซย์นั่งรวมกลุ่มอยู่ท่ามกลางเหล่าองครักษ์และมีสาวๆห้อมล้อมเอาอกเอาใจ งานคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเฉพาะผาทิวสนซึ่งเป็นการแข่งขันประลองพละกำลังของหนุ่มๆแต่ละเขตแต่ละหมู่บ้านพอตกค่ำจึงมีงานเลี้ยงฉลองให้กับชัยชนะของเขตและหมู่บ้านที่ได้รางวัลแบ่งๆกันไป

สาวๆภายใต้การดูแลของป้าเมอารวมทั้งฟรีเซียต่างก็ถูกจับจองออกไปยักย้ายส่ายสะโพกกันสนุกสนานฟรีเซียไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปคลุกคลีกับหนุ่มๆเท่าไหร่นอกจากป้าเมอาแล้วพี่ชายฝาแฝดของเธอ จ่าฝูงเซย์ก็คอยควบคุมเธออยู่ด้วยแต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่สนุกหรอกหนุ่มๆแวะเวียนมาขายขนมจีบดอกฟ้าเป็นที่สนุกสนานส่วนมากก็จะผูกไมตรีอยากพูดคุยเป็นเพื่อนเสียมากกว่าไซรัสและรอย สององครักษ์ของเซย์ คอยอยู่เป็นเพื่อนไม่ให้เธอเหงาแค่มีสองหนุ่มเธอก็ไม่รู้สึกเบื่อแล้ว พอจะลืมๆเรื่องที่ถูกจับคู่ไปได้สักพัก

“เป็นไงบ้างฟริสซี่ได้ยินว่าหนีท่านไพรอนไปซนถึงเขตหมู่บ้านแมนซาเลยหรือ”ไซรัสหนุ่มร่างสูงผอมคล้ายนายแบบเย้าหยอกมือเรียวยื่นแก้วทรงสูงบรรจุน้ำสีชมพูสดใสส่งให้

หญิงสาวยิ้มคล้ายแยกเขี้ยวย่นจมูกใส่จิบเครื่องดื่มไปอึกนึงก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานรอยซึ่งจ้องมองอยู่แล้วร้องโอยมือกุมหน้าอกคล้ายเจ็บปวดแต่สีหน้าทะเล้นเย้าหยอก

“ยิ้มแบบนี้พี่ก็แย่ซิจ๊ะน้องสาว”

“เฮ้ยรอยคนนี้กูจองแล้ว”ไซรัสชกไปที่ไหล่เพื่อนเบาๆพลางยักคิ้วให้สาวน้อยหน้าแฉล้ม

“อ้าวแล้วคุณหนูซอนย่าจะว่าไงเนี่ย”รอยบลั๊ฟเพื่อน ไซรัสซึ่งเริ่มมึนๆส่งตาหวานเยิ้มไปยังคุณหนูซอนย่าซึ่งนั่งคุยอยู่กับเพื่อนๆของเธอและมีหนุ่มๆอยู่ในกลุ่มหนึ่งในนั้นคือบุตรชายของหัวหน้าหน่วยมังกร รูปหล่อพ่อรวยครบสูตร

“อา..อย่าดึงเธอลงมาคลุกคลีกับกระผมเลยขอรับท่านรอย”ไซรัสหัวเราะแห้งๆดวงตาหม่นวูบเสยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมดต่อด้วยเรียกเหล้าแก้วใหม่กลบเกลื่อนอาการ แต่ไม่พ้นสายตาของฟรีเซียไปได้ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเพื่อนของพี่ชายคนนี้คิดอย่างไรกับเพื่อนของเธอซอนย่าเธอมาจากตระกูลที่ร่ำรวยบิดามารดาฝากให้มาเรียนหนังสือที่ผาทิวสนเผ่าพันธุ์แถบยุโรปนั้นมีอยู่ไม่มากและส่วนใหญ่แล้วจะไม่ได้อยู่ในดินแดนลี้ลับอะไรกลับทำธุรกิจปะปนอยู่กับเหล่ามนุษย์แต่ก็ยังแอบติดต่อคบค้าในหมู่มนุษย์แปลงด้วยกันเสมอ ซอนย่าเองนั้นดูจะสนใจองครักษ์จ่าฝูงคนนี้อยู่พอสมควร แต่ทั้งคู่ต่างก็นิ่งเฉยเสียจนคนรอบข้างอ่อนใจคนหนึ่งนั้นไม่กล้าเอื้อมเด็ดดอกฟ้า อีกคนก็กลัวเสียหน้ากลัวสะพานที่ทอดจะถูกเมินเฉยคนรอบข้างก็ได้แต่มองอยู่ห่างๆได้แต่แอบลุ้นให้มีบางอย่างเกิดขึ้นกำแพงที่ทั้งสองคนสร้างมันขึ้นมาจะได้พังทะลายเปิดเผยตัวตนจริงๆเสียที

เสียงเพลงจากเครื่องเสียงชั้นดีรวมทั้งมีดีเจมือดีคอยเปิดเพลงจังหวะสนุกๆกลบเกลื่อนอารมณ์ขอไซรัสที่ผิดที่ผิดทางไปนิดให้กลับมาสนุกเหมือนเดิมรอยเองก็ไม่คิดจะกระเซ้าเพื่อนอีก หนุ่มอารมณ์ดีอย่างรอยหาเรื่องมาคุยให้บรรยากาศดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ออกไปเต้นรำกับผมสักเพลงนะครับฟริสซี่”รอยก้มจนหัวแทบจรดพื้นฟรีเซียหัวเราะกิ๊กก่อนจะออกไปตามแรงฉุดของรอยไปวาดลวดลายออกเสต็ปอย่างสวยงามไม่นานไซรัสก็ถูกสาวหลายคนฉุดออกมาด้วยฟลอเต้นรำดูแน่นไปถนัดทีเดียว

ขณะที่ทุกคนรวมตัวยังปราสาทข้างล่าง ทั้งสามคนก็รีบเร่งฝีเท้าตรงไปยังลานดาวตกที่ท่านจอมเวทย์ไพรอนได้สั่งความมา ลานดาวตกอยู่ไม่ไกลจากค่ายพักเท่าไหร่ด้วยฝีเท้าที่ว่องไวทำให้ทุกคนมาถึงก่อนเวลานิดหน่อย ที่นั่นอยู่บนไหล่เขาตอนหนึ่ง ลานเลียบกว้างขวางแผ่นหินที่เป็นสีเทาสว่างสะท้อนแสงจันทร์ดูสว่างเรืองรอง

บุรุษหนึ่งนั้นยืนรออยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าสงบ

“ท่านไพรอนมาถึงนานแล้วหรือครับ”

“ก่อนหน้าพวกเจ้าสักประเดี๋ยวนี้แหละ”

“มีสิ่งใดให้ผมรับใช้ครับถึงได้เรียกมา”

“ตามข้ามาแล้วพวกเจ้าจะรู้เอง”ไพรอนเดินไปทางซ้าย ที่นั่นเป็นหน้าผาสูงลิบลิ่ว ณ.ที่นั้นมีทางลงไปใต้ชะง่อนผาเป็นทางเดินค่อนข้างชัน สำหรับสัตว์แปลงชันแค่ไหนก็ไม่เป็นปัญหา

สถานที่ไพรอนนำทางพวกเขาลงมานั้นดูซุกซ่อนอยู่ซอกหลืบหินก้อนใหญ่ลานหน้าถ้ำแคบๆพอจะยืนอยู่ได้ประมาณแค่สิบคน ร่องรอยที่พอมองเห็นไม่ใช่ถ้ำที่ไม่มีผู้ใดผ่านเข้าออกร่องรอยที่เห็นปรากฏชัดเจนว่า ปากทางเข้าถ้ำมีผู้คนใช้สัญจร หรืออะไรสักอย่าง เจสันและการิมมีอาการไม่ต่างจากไคล์นักทั้งสองคนคงยังไม่เคยรู้ว่ามีถ้ำอยู่ใต้ลานดาวตกเส้นทางที่ไต่ลงมาจากข้างบนใช้เวลานานพอควร สายลมที่พัดหวีดหวิว พอจะอนุมานได้ว่าต่ำลงไปจากปากถ้ำคือหุบเหวสักแห่งและคงจะสูงลิบลิ่วพอควรทั้งหมดปรับสายตามองฝ่าความมืดเข้าไปในถ้ำ ก็คล้ายกับถ้ำทั่วๆไปมีหินงอกหินย้อยรูปทรงแปลกตา เพดานถ้ำสูงลิบเมื่อทั้งหมดเดินตามไพรอนเข้าไปก็ได้สัมผัสถึงกลิ่นของสัตว์ปีกซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำทั่วๆไปทางเดินที่เรียบเป็นมันบ่งบอกว่ามีผู้คนสัญจรตามดังคาดถ้ำซึ่งคดเคี้ยวมีซอกหลืบมากมายไม่รู้ว่าหากเดินเข้าไปจะไปโผล่ที่ไหน

ไพรอนเดินนำหน้าตามด้วยทั้งสามคนเดินตามลึกเข้าไปเรื่อยๆบางครั้งเหมือนปีนขึ้นบางครั้งเหมือนทางวกลงที่ต่ำในความมืดที่มองเห็นทางเดินเริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆจนมาถึง สถานที่เหมือนโดมขนาดใหญ่ตรงกลางของห้องมีแอ่งน้ำสีดำมันละเลื่อม เสียงคำราม ขบกัดดังสะท้อนไปมาไพรอนจุดไฟที่กระถางใบใหญ่ ทั้งสามคนยกมือขึ้นป้องแสงไฟที่สว่างจ้าความสว่างจากไฟซึ่งลุกไหม้อยู่ในกระถาง รอบๆโดมมีซอกหลืบอยู่สองสามแห่งไพรอนก้าวไปยืนที่ขอบแอ่งน้ำสีดำร่ายเวทย์อยู่เหนือขอบแอ่ง น้ำที่ดำพลิ้วไหวเป็นระรอกคล้ายน้ำที่กำลังจะเริ่มเดือดน้ำสีดำเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มจัดพุ่งเป็นลำอยู่ชั่วครู่ก่อนจะทิ้งตัวลงสู่แอ่งจนน้ำกระเซ็นล้นขอบ น้ำในแอ่งเหือดหายไปกลายเป็นอุโมงค์ลึกไพรอนพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ตามลงไป โดยเขาได้กระโดดลงไปก่อนตามด้วยไคล์และองครักษ์ทั้งสอง ประตูเหล็กหนามีรอยชื้นของน้ำเมื่อเปิดเข้าสู่ภายในกลับกลายเป็นห้องโถง เพดานห้องมีเชนเดอเลียรทรงกระบอกลดหลั่นกันสามชั้นไฟส่องแก้วผลึกสว่างนวลอยู่เหนือโต๊ะรูปไข่สีดำรอบๆโต๊ะนั้นมีบุรุษชายหญิงนั่งรายล้อมเหมือนรอคอย เมื่อทั้งหมดเดินเข้ามาถึงก็ลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียงกัน

ไพรอนค้อมศีรษะรับการทักทาย ไคล์ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับชายร่างสูงใหญ่ผิวสีคล้ำดวงตาระบายสีดำตวัดปลายดังคนชนเผ่าทะเลทราย และไม่ผิดจากที่คิด เซมมา และอาแซคเป็นชนเผ่าจากอียิปต์หรือถ้าจะสรุปให้ได้ใจความสมบูรณ์ทั้งสองคือญาติทางฝ่ายมารดาของเขา เจ้าหญิงเนเฟอราดินแดนไอยคุปต์ผู้สืบเชื้อสายเทพอนูบิสเหลืออยู่เพียงหยิบมือเจ้าหญิงแฟอราถูกไล่ล่าจากแวมไพร์และแวร์วูลฟ์ซึ่งยอมเป็นลูกสมุนของพวกตัวซีดอาแซคและเซมมาเป็นผู้คุ้มครองทายาทซึ่งก็คือเจ้าหญิงเนเฟอรามารดาของเขาทั้งสองเดินทางมาแสนไกลเพื่อพบกับทายาทเพียงคนเดียวของเจ้าหญิง

เรื่องราวที่ขาดหายไปถึงยี่สิบปีได้ถูกเล่าขานบอกเล่าจากปากของทั้งสองคนและจากเรื่องที่ไพรอนเคยเล่าให้เขาฟังภาพที่ขาดหายไปจึงปะติดปะต่อกันโดยสมบูรณ์ จุดประสงค์หลักที่ทั้งสองคนเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อช่วยเหลือให้เขาแปลงร่างเป็นหมาป่า ฟังดูเป็นเรื่องง่ายแต่มันไม่ได้ทำได้ง่ายๆเลยนี่คงเป็นเหตุผลที่ไพรอนนำเขาลงมายังถ้ำใต้ขุนเขาอันลึกลับซับซ้อนทั้งยังต้องให้องครักษ์ทั้งสองคนตามลงมาด้วย เพราะพละกำลังที่ใช้ในแต่ละครั้งหากร่างกายไม่แข็งแรงพอย่อมตกเป็นเหยื่อของสัตว์อื่นได้

“ข้าคิดว่าท่านพร้อมที่จะรับการฝึกในครั้งนี้ทั้งสองท่านนี้จะเป็นผู้ช่วยให้แปลงร่างได้อย่างสมบูรณ์และปลอดภัย”ไพรอนเลื่อนบานประตูหินออกเป็นห้องโถงในถ้ำเหมือนเดิมเพียงแต่ห้องนี้มีทางเดินทอดยาวไปสู่ป่าทั้งหมดเดินออกไปสุดทางเดิน เวิ้งป่ากว้างโอบล้อมด้วยขุนเขาป่าเบื้องล่างคือที่ที่เขาต้องฝึก

“ป่าด้านล่างมีพวกสัตว์ที่ไม่เข้าฝูงอยู่มากมายล้วนแต่เป็นพวกที่ไม่สมบูรณ์นอกจากเป็นอันตรายต่อฝูงแล้วยังเป็นอันตรายต่อตัวมันเองอีกด้วย”

“อย่างไรหรือท่านไพรอน”

“พวกนั้นเป็นมนุษย์แปลงบางคนเกิดจากพ่อแม่สัตว์แปลงแต่มียีนส์ด้อยทำให้ร่างกายพิการไม่สามารถอยู่ในฝูงได้ก็ออกมาอยู่ที่นี่บางกลุ่มก็เป็นมนุษย์ที่พวกสัตว์นักล่าจับตัวมาเพื่อเป็นอาหารเจ้านายของพวกเขาบางคนปล่อยพิษเข้าสู่ร่าง ทำให้กลายร่างเป็นสัตว์แปลงที่ไม่สมบูรณ์กลับเป็นคนก็ไม่ได้จะเป็นสัตว์ก็ไม่ได้รวมได้ว่าข้างล่างนั้นมีสัตว์มากมายหลายพันธุ์ล้วนแต่ดุร้ายไม่ฟังคำสั่งของใครไม่ว่าจะสายพันธุ์ไหน”

“ผมไม่เคยแปลงร่างไม่คิดว่าจะทำได้และผมคิดว่าไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องฝึก”ไคล์เอ่ยปากหลังจากไพรอนพูดจบ เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆความคิดของเขาแม้ทุกคนในที่นี้จะบอกว่าเขาเป็นมนุษย์แปลงสายเลือดบริสุทธิ์ก็เถอะเขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องแปลงร่างเป็นหมาป่าโชว์ แล้วป่าข้างล่างมีอะไรเยอะแยะที่ไพรอนบอกมันควรที่จะเอาตัวไปสุ่มเสี่ยงโชว์พลังอะไรแนวๆนั้น เขาคิดว่ามันไม่เข้าท่าพวกนั้นพิกลพิการก็น่าสงสารอยู่แล้วและเขาก็เลือกที่จะมาอยู่สงบๆไม่ปะปนกับพวกปกติ จะไปรบกวนพวกนั้นทำไม

“ท่านคิดผิดแล้วเจ้าชาย..”ไพรอนจ้องลึกในดวงตาของไคล์ทำเอาเขาชะงักไพรอนคือผู้หยั่งรู้หากเผลอให้ไพรอนเข้ามาในความคิดแน่นอน สิ่งที่เขาคิดในหัว ไพรรอนก็ย่อมรู้ด้วยสิ่งนี้เป็นอีกสิ่งที่เขาต้องระวัง

“พวกนี้แยกตัวมาอยู่ที่นี่ก็จริงแต่มันไม่ได้อยู่สงบอย่างที่ท่านคิดหรอก ตลอดหลายปีที่ประชากรของเราถูกพวกนี้รบกวนเท่าที่มีโอกาสเรื่องนี้จ่าฝูงเซย์รู้ดีมันเป็นเหมือนสิ่งแปลกปลอมที่สร้างความรำคาญให้กับพวกเราอยู่มากจะฆ่าทิ้งก็ไม่ได้เลี้ยงดูให้เชื่องก็ไม่ได้ นอกจากต้องกำหราบเป็นระยะท่านยังต้องเรียนรู้อีกมากเจ้าชาย” ไพรรอนอธิบายอย่างปราณีไม่มีทีท่าเย้ยหยันในความไม่รู้ของไคล์

“นี่คือขั้นตอนพิสูจน์จิตใจของตัวท่านเองเจ้าชายมันเป็นสิ่งที่ท่านจะต้องกระทำ ป่าข้างล่างเป็นสนามสอบของท่านก่อนอื่นข้าและแซมมาจะเป็นผู้ช่วยให้ท่านกำหนดจิตท่านไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องความเหมาะสมหรือไม่ สลัดความเป็นมนุษย์ออกไปให้หมดถึงอย่างไรท่านก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่กำหนดเอาไว้ได้” อาแซคเอ่ยขึ้นดวงตาภายในกรอบเส้นสีดำเปี่ยมไปด้วยความจงรักภัคดี ไม่ต่างจากสององครักษ์ของเขา

“ส่วนเจ้าสองคนคอยคุ้มกันเจ้าชายเราไม่รู้หรอกว่าจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นในระหว่างที่เจ้าชายแปลงร่าง”เจสันและการิม ค้อมศีรษะรับคำหนักแน่นทั้งสองคนส่งสายตาให้กำลังใจนายหนุ่มอย่างภัคดี

ทั้งสองคนเลือกที่จะเงียบปล่อยให้อาแซคและแซมมาร่ายมนตร์เก่าแก่โบราณเพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองเจ้าชายไคล์ผู้ซึ่งนั่งอยู่บนหินทรงกลมรอบๆเขียนเป็นอักขระสัญลักษณ์ของเทพอนูบิส มันคงจะยากสำหรับหมาป่าซึ่งถูกเลี้ยงโดยมนุษย์มาเนิ่นนานหลายปีจนกลิ่นไอมนุษย์แทรกอยู่ทุกอนูของร่างกายการที่จะให้จิตใจของเจ้าชายไคล์ยอมรับในสิ่งใหม่ที่ตนเองไม่เคยคุ้นเป็นไปได้ยากข้อผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา พวกเขาซึ่งเป็นสัตว์แปลงสามารถแปลงร่างได้เองโดยไม่ต้องมาเรียนมาฝึกอะไรให้ยุ่งยาก

ที่ไพรอนหวั่นเกรงก็คือจิตใจที่ไม่มั่นคงและต่อต้านของเจ้าชาย สิ่งนี้จะทำอันตรายให้กับเจ้าชายอย่างมากหากการแปลงร่างสำเร็จ มันก็มีอีกชั้นตอนที่จะกลับร่างมาเป็นมนุษย์หากควบคุมจิตใจไม่ดีก็ยากที่จะกลับร่างมาเป็นมนุษย์เหมือนพวกที่อยู่ป่าข้างล่างนั่น

ไม่มีใครอยากให้เป็นเช่นนั้นเขารู้ว่าเจ้าชายลึกๆแล้วโหยหาสังคมมนุษย์ที่ที่เขาเติบโตมากกว่าจะยอมรับอย่างหมดใจว่าตนเองคือเชื้อสายหมาป่าไพรอนจึงได้เรียกนักบวชระดับสูงของวิหารเทพอนูบิสเพื่อมาช่วยฝึกจิตใจเขาคาดหวังเหลือเกินว่าเจ้าชายไคล์จะไม่เป็นอันตรายอันใดในการฝึกครั้งนี้

พระจันทร์ขึ้นตรงศีรษะส่องแสงนวลละมุนละไมสายลมพัดเย็นเส้นผมปลิวไสวป่าที่เคยคุ้นต้นไม้ทุกต้นไหวเอนตามแรงลมคล้ายทักทายยามที่สองเท้าก้าวเข้าไปกลิ่นดอกไม้ยามดึกโชยกลิ่นมากับสายลม ผาทิวสนขึ้นชื่อว่างดงามนักยิ่งยามค่ำคืน ยิ่งคืนนี้เป็นคืนที่ชาวผาทิวสนกำลังมีงานเลี้ยงหนุ่มสาวที่ชอบพอกันได้เจอะเจอ ถูกใจก็จับคู่คบหากันป่าที่แสนหวานนั้นคนที่ไม่มีคู่จะไม่ย่างกรายผ่านเข้าไปให้เก้อเขิน

ฟรีเซียสูดกลิ่นหอมรื่นเข้าปอดเธอนึกอยากแปลงร่างเป็นหมาป่าไปวิ่งเล่นบนเนินเขาฝากโน้นใกล้ๆกับลานดาวตกสถานที่พำนักของท่านไพรอน และผู้มีอาคมแกร่งกล้าอีกหลายท่านหมาป่าทุกตัวจะทราบดีหากไม่แกร่งพออย่าได้ย่างกรายไปที่นั่น นอกจากจะได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าของสถานที่เท่านั้น

เพราะฤทธิ์เหล้าหวานๆที่หนุ่มๆคอยเติมให้เธออยู่เรื่อยๆหรือเปล่าทำให้เธอมีอารมณ์ที่หวานไหวในความรู้สึกนับตั้งแต่เจอหน้าเจ้าชายไคล์ เธอก็ไม่อาจลืมเขาได้เลย อยากพบเจออยากเห็นหน้าเสียงนุ่มนวลที่เอ่ยทักทายอ่อนโยนแม้เธอจะอยู่ในร่างของหมาป่า แค่คิดหัวใจก็พองฟู

ความรักมักมากับความหวาดระแวงจากความคิดของตัวเองที่ตั้งแง่ขึ้นมาฟรีเซียทั้งมีความสุขและวิตกกังวลไปพร้อมกัน เธอต้องอดทนรอเวลาตามที่ไพรอนเห็นสมควรจึงจะได้พบกันอีกกฏเกณฑ์ความรักของเธอช่างมีมากมาย หากเป็นดังแต่ก่อนเธอคงไม่รู้สึกรู้สา เพราะตอนนั้นยังไม่เคยเห็นหน้ามาบัดนี้จะคืนคำก็ทำไม่ได้ นอกจากรอเวลาเท่านั้น

เท้าสองข้างเดินมาอยู่บนทุ่งหญ้าความสว่างของแสงจันทร์ที่ไม่มีต้นไม้สูงบดบังทำให้มองเห็นดอกไม้หลากๆสีซึ่งบานรับแสงจันทร์อยู่เต็มทุ่ง ด้านเหนือของทุ่งเป็นน้ำตกเล็กๆใหลผ่านเป็นลำธารมีสมุนไพรบางอย่างที่หายากอะไรดลใจให้เธอเดินไปที่นั่น เธอไม่ได้อยากได้สมุนไพรที่ว่านั่นหรอกถึงเจอเธอก็คงปล่อยไว้อย่างนั้นเพราะเธอไม่เชี่ยวชาญในการดูอายุของสมุนไพรหากเก็บมาส่งๆนอกจากใช้อะไรไม่ได้ผลก็จะเสียเปล่าด้วย

อาการมึนเมาจากฤทธิ์เหล้ายังไม่สร่างเธอคิดว่าได้อาบน้ำในลำธารสักหน่อยพอสร่างก็จะกลับลำธารสายเล็กๆต้นน้ำมาจากหุบเขาด้านบนมีแร่ธาตุมากมายดีต่อผิวพรรณฟรีเซียดำผุดดำว่ายอย่างเพลิดเพลิน น้ำไม่ได้เย็นจัดอย่างที่เข้าใจหากแต่กำลังอุ่นสบายเหลือเกินได้นอนศีรษะพาดขอบหินตัวแช่ในธารน้ำอุ่นอาการเมามายก็ค่อยๆสร่างฟรีเซียจึงขึ้นจากธารน้ำแต่งตัวขณะที่กำลังแต่งตัวเธอก็ได้ยินเสียงสัตว์คำรามคล้ายได้รับบาดเจ็บจากที่ใดที่หนึ่งเสียงซวบซาบดังแว่วอยู่ไม่ห่าง หญิงสาวรีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว มือกระชับมีดสั้น หูคอยฟังเสียงเสียงนั้นหายไปแล้ว แต่เสียงค้นหายังดังอยู่เธอไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ชนิดไหนคล้ายกับว่าจะรู้ตัวว่าตกอยู่ในอันตรายเสียงที่ได้ยินครั้งแรกจึงเงียบไปแต่ทว่าเธอก็จับเสียงขยับตัวของสิ่งนั้นได้มันอยู่หลังก้อนหินใหญ่เหนือจากที่เธออาบน้ำอยู่เมื่อกี้

หญิงสาวกระโดดขึ้นไปบนก้อนหินสูงวิ่งไปตามก้อนหินจนถึงจุดที่คิดว่ามีอะไรบาดเจ็บอยู่ที่นั่นเธอจึงหยุดเสียงหอบหายใจติดขัดระคนเสียงครางอย่างอ่อนแรงหญ้าสูงทั้งตรงนี้อยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้หนาทึบ จึงเป็นที่หลบภัยได้อย่างดีฟรีเซียพบเจ้าของเสียงที่ขัดจังหวะบรรยากาศอันรื่นรมย์ส่วนตัวของเธอมันคือหมาป่าสีน้ำตาลทองตัวใหญ่นอนหายใจรวยรินส่งเสียงร้องครางและพยายามจะขยับตัวเท่าที่มองดูไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่เป็นเพราะแปลงร่างยังไม่สมบูรณ์ก็เป็นได้จึงทำให้หทมดเรี่ยวหมดแรง ฟรีเซียยิ้มอย่างขบขันเธอนั่งยองๆมองดูเจ้าหมาป่าตัวใหญ่ซึ่งไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัวหนีมือของเธอที่กำลังลูบไล้ปลอบประโลมได้แต่คำรามเบาๆกรอกตามองหญิงสาวผู้โสภาด้วยความรู้สึกตะลึ่งงันและหงุดหงิดพูดก็ไม่ได้ ทำได้แต่ส่งเสียงขู่คำรามหวังจะให้แม่สาวอ้อนแอ้นแสนสวยหวั่นกลัวบ้างเขาคิดว่าจัดการได้ขอเวลารวบรวมพลังอีกนิด นอกจากสาวโสภาจะไม่กลัวกลับยิ้มล้อและหัวเราะด้วย

“นี่นายอยู่หมู่บ้านไหนกันถึงได้หลุดมาอยู่แถบนี้หืมม์”สาวโสภาเอ่ยถามล้อๆ คำตอบที่ได้ยินคือเสียงคำรามหงุดหงิดหญิงสาวหัวเราะเสียงกังวาน

“แน้..ถามดีๆมาขู่กันซะงั้นเดี๋ยวไม่ช่วยเสียเลย”หญิงสาวเอียงคอยิ้มให้หมาป่าหนุ่ม หญิงสาวลุกขึ้นยืนมองซ้ายมองขวาคล้ายจะหาอะไรสักอย่างทำให้เขามีโอกาสได้พิจารณารูปร่างของเธอได้อย่างเต็มตานอกจากจะสวยจัดจนเขาตะลึงไปพักใหญ่เรือนร่างสมบูรณ์เต็มวัยสาวยังทำให้หัวใจเขาหวั่นไหวอย่างรุนแรงกางเกงสีดำมันที่แนบไปกับสัดส่วนที่กลมกลึง กล้ามตัวในแนบไปกับเรือนร่างอิ่มเอิบจนแทบจะล้นทะลักหมาป่าหนุ่มผู้บาดเจ็บถึงกับแอบกลืนน้ำลายจนอย่างให้เธอรูดเสื้อแจ็กเก็ตที่สวมคลุมอยู่ให้เรียบร้อยหากว่าตอนนี้เขาพูดเป็นภาษามนุษย์ได้นะ

หญิงสาวเดินลับหายไปสักพักพอให้เขาได้พักนอนหลับตารวบรวมสมาธิซึ่งแตกกระเจิดกระเจิงเมื่อกี้ให้กลับมากลิ่นหอมที่เพิ่งจดจำเมื่อสักครู่ก็เดินกลับมานั่งขัดสมาดอยู่ข้างๆเขาอีกครั้งมือของเธอถือดอกไม้มาด้วยในปากกำลังเคี้ยวดอกที่เธอถือมานั่นแหละสาวโสภายกหัวเขาพาดบนตักนุ่ม มือเรียวลูบหัวเขาไปมาอ่อนโยนเธอคายสิ่งที่เคี้ยวบนฝ่ามือ รอยยิ้มจากริมฝีปากสีสดยิ้มให้เขาอย่างภาคภูมิใจ ไคล์ตาเหลือกอย่าบอกว่าเธอเคี้ยวไอ้ดอกอะไรนั่นยัดปากเขานะ

หนุ่มในร่างหมาป่าดิ้นรนขัดขืนหญิงสาวหัวเราะเมื่อเห็นอาการนั้น

“กินนี่เข้าไปซะ..มันจะช่วยให้นายผ่อนคลายนี่คงไม่ต้องบอกต่อนะว่าจะต้องทำไงต่อ..บ้าจริงนี่ฉันต้องมาสอนหมาป่าแปลงร่างยังกะสอนลิงปีนต้นไม้หรือไร”หญิงสาวบังคับยัดสิ่งที่เคี้ยวใส่ปากหมาป่าเซ่อซ่าได้ก็ลุกขึ้นยืนปัดมือสองสามทีก่อนจะพยักหน้าหยิ่งๆใส่

“โชคดีนะนายเซ่อ..ดูเหมือนโจทย์นายกำลังค้นหาแน่ะ”

ว่าจบเธอหมุนตัวกระโดดไปตามก้อนหินลับหายไปจากสายตาทิ้งให้เขามองตามตาละห้อยด้วยความเสียดายน่าจะให้เขากลายร่างเป็นคนก่อนซิ อย่างน้อยฟังคำขอบคุณจากเขาสักนิดก็ยังดี ไคล์หลับตารวบรวมสมาธิกำหนดจิตไปที่กึ่งกลางหน้าผาก ความผ่าวร้อนแผ่กำจายทั่วทั้งร่างเขารู้สึกถึงความลื่นใหลเหมือนน้ำโอบล้อมร่างกายยามแหวกว่ายในสายน้ำร่างกายยืดขยายกลับมายืนสองขาได้เช่นเดิม เขามองไปยังทิศทางที่สาวโสภาจากไป ริมฝีปากสีสดเอ่ยคำขอบคุณฝากสายลมตามไป ส่วนอีกด้านหนุ่มร่างกำยำสองคนโผล่มาพร้อมกับเสื้อคลุมวางลงบนไหล่เปลือยของเขา

“ขออภัยที่ติดตามท่านมาช้าเกินไป”

“ทุกอย่างปกติดีใช่ไหมเจ้าชาย” เจสันหัวเราะแห้งๆเมื่อสบสายตาขุ่นๆของนายหนุ่ม

“ปกติ แต่หัวใจ..ไม่เลย”




------------------------

Smileyตอนที่6มาอัพช้ามาก ต้องขออภัยด้วยนะคะ พอดีว่าก้มลงหยิบของผิดท่าเส้นพลิกปวดหลังมาก เดี้ยงไปหลายวันเลย นั่งนานๆก็ไม่ได้ทรมานจริงๆ

เพื่อนๆระวังกันด้วยนะคะ ก้มๆเงยๆนี่ต้องระวังกันทีเดียว

Smileyอีกเรื่องที่อยากบอก คงจะอัพไม่ได้ทุกวันนะคะแต่จะพยายามเท่าที่สังขารจะเอื้อ  อย่าเพิ่งหนีหายจากเค้าไปไหนนะแค่เข้ามาอ่านก็ดีใจแย่แล้ว ขอบคุณจริงๆ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันค่ะ




Create Date : 25 พฤษภาคม 2558
Last Update : 25 พฤษภาคม 2558 15:47:30 น.
Counter : 409 Pageviews.

0 comment
Wolf True Blood ตอนที่ 4 ฟรีเซีย



ตอนที่ 4. ฟรีเซีย

หญิงสาวหน้าตาหมดจดงดงามกรอกตาไปมาด้วยความเบื่อหน่าย..กลิ่นฉุนเฉียวของสมุนไพรเย็นๆที่แตะตรงบาดแผลบาดลึกจากการถูกลูกดอกของมนุษย์เล่นเอาสะดุ้งด้วยความเจ็บ..ความจริงบาดแผลแค่นี้ไม่ช้ามันก็จะประสานตัวเองแต่ทว่าครั้งนี้เธอโชคไม่ดีลูกดอกทำจากแร่เงินบาดแผลที่ควรจะหายได้เองจึงไม่อาจสมานตัวเองได้อย่างเช่นเคยดีไม่ดีอาจจะทิ้งร่องรอยแผลเป็นที่ระลึก จากการซุกซนของเธอก็เป็นได้..

ไพรอนจอมเวทย์แห่งหุบเขาสีเทา เขาเป็นเหมือนพ่อบุญธรรมของเธอ ไพรอนผู้พร่ำสอนอบรมความเป็นกุลสตรีเหมาะสมกับตำแหน่งราชินีในอนาคต สิ่งนี้ถูกปลูกฝังนับแต่เธอจำความได้ เมอาภรรยาของไพรอน เลี้ยงดูเธอพร้อมกับ คุณหนูจากหลายตระกูล รวมทั้งบุตรสาวของหัวหน้าแต่ละหมู่บ้าน แต่เธอคือคู่หมายของ เจ้าชายตระกูลราเมเซ็ทผู้สาบสูญ..ฟรีเซียจะเป็นผู้ให้กำเนิดทายาทสายเลือดบริสุทธิ์ เธอได้ถูกกำหนดมาเช่นนั้นนับแต่ลืมตาขึ้นมาบนโลก

เธอไม่ได้คิดว่านั่นถูกต้อง..รุ่นพี่หลายคนที่เข้าพิธีเลือกคู่ต่างก็ได้คนที่ถูกใจแต่เธอไม่อาจกระทำได้เช่นผู้หญิงอื่น แม้แต่เพื่อนสาวๆรุ่นเดียวกันก็รอคอยคืนแห่งการเลือกคู่..ทันทีที่ได้รับอนุญาต พวกเธอก็จะได้ออกเรือนสิ่งที่สาวๆคุยกันคงจะหนีไม่พ้น เรื่องของหนุ่มๆจากตระกูลต่างๆ และนายทหารคนสำคัญของฝูง..ตำแหน่งอันจะทำให้พวกเธอมีหน้ามีตาได้รับการยกย่องจากสมาชิกในฝูง มันเป็นสิ่งที่ ฟรีเซียไม่อาจได้เจอ..นั่นคือสาเหตุที่เธอต้องออกไปค้นหา เจ้าชายไคล์คู่หมั้นที่ถูกกำหนดให้เป็นคู่ของเธอ และมันจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง หญิงสาวขยับเสื้อให้เข้าที่เมื่อแผลถูกพันผ้าเรียบร้อยพร้อมกับหยิบอาวุธประจำกายนั่นก็คือธนู..

“ฟีฟี่..สิ่งที่ลุงเตือน..เพราะลุงหวังดีกับหนูการต่อต้านกฎของสภาไม่เป็นผลดีอะไรกับหนูเลยหนูก็รู้ว่ากฎของสภามีอำนาจแค่ไหน..อย่างฝืนเลย..” ไพรอนปรามธิดาสาวคนเดียวของตระกูลเรเวน

“เรื่องนี้..เราพูดกันไม่รู้ต่อกี่ครั้งคุณลุงคะหนูไม่คิดต่อต้าน..เพียงแต่หนูแค่ขอเวลา..หากว่าเจ้าชายไม่ปรารถนาในตัวหนูหนูก็มีสิทธิ์ที่จะยกเลิกได้ไม่ใช่หรือคะ” เธอแย้งเสียงเบา ทั้งที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เจ้าชายผู้งามสง่าสายตาที่อ่อนโยนมันละลายน้ำแข็งที่เกาะกุมหัวใจเธอไปจนหมด เมื่อคืนนี้..

“ชะตาของหนูกับเจ้าชายตระกูลราเมเซ็ทถูกกำหนดไว้ด้วยเวทย์มนตร์แห่งดวงดาว จะยื้อเวลาออกไปมันก็ไม่มีผลอะไรนักหรอก..เอาล่ะ..ลุงไม่คุยกับหนูเรื่องนี้แล้วป้าเมอาสั่งให้ไปหาแน่ะ..ทางทีดีหนูควรอยู่กับป้าเขาอย่าออกไปไหน”

“คุณลุงจะลงโทษหนูหรือคะ..ไม่ยุติธรรมเลย”หญิงสาวโวย สีหน้างอง้ำเมื่อรู้ว่าการอยู่กับป้าเมอา ก็ถูกกักบริเวณดีๆนี่เอง

ไพรอนหัวเราะกับกิริยานั้น..คุณหนูฟรีเซียผู้ซุกซนอย่างที่สุด..”จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด..กฏก็ต้องคือกฎหนูทำผิดที่ข้ามเขตออกไปจนเกือบทำให้มนุษย์จับได้..อีกทั้งยังทำให้เจ้าชายเกือบจมน้ำตายด้วย”

หญิงสาวทำปากยื่นเจ้าชายไคล์..ผู้เขย่าหัวใจของเธอ..แซค กับ แพม สองแฝดองครักษ์ของเธอช่วยไว้ได้นี่นาแล้วตอนนี้ เจ้าชายอยู่ที่ไหนกันล่ะแต่ลุงไพรอนจะมากักบริเวณเธอแบบนี้เห็นทีจะต้องต่อรองกันหน่อยแล้ว

“ก็ได้ค่ะ..หนูจะเป็นเด็กดี..แต่ว่าหนูขอมาเรียนขว้างบูมเมอแรงกับโลแกน ได้หรือเปล่าคะ..” หญิงสาวยิ้มประจบเรื่องอะไรจะนั่งเย็บผ้าอยู่กับ ป้าเมอาเล่าน่าเบื่อจะแย่

“ครั้งนี้เห็นจะไม่ได้หรอกสาวน้อย..หนูต้องอยู่กับป้าเมอาหนึ่งสัปดาห์..”ไพรอนหันหลังให้ ทันทีที่เห็นสีหน้าของสาวน้อยแสนซน เขาเคยใจอ่อนแต่ครั้งนี้เห็นจะไม่ได้เสียแล้วฟรีเซียแอบออกไปนอกเขตของดินแดนต้องห้ามมันเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับเผ่าพันธุ์หากสภาสูงรู้ คนที่ลำบากเห็นจะเป็นฟรีเซีย..

“คุณลุงคะ..”หญิงสาวทำเสียงอ้อน แต่ไพรอนโบกมือพลางง่วนอยู่กับการทำความสะอาดอาวุธประจำตัว..หญิงสาวเห็นดังนั้นจำเป็นต้องถอย..แม้จะขัดใจอยู่บ้างก็ตามไพรอนมองตามร่างโปร่งระหงเดินลับหายออกไปจากห้อง สายตามีร่องรอยขันระคนเอ็นดู ฟรีเซียเติบโตได้สง่างามอย่างที่ตั้งใจแม้จะดื้อดึงไปบ้างแต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลฟรีเซียเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมและเหมาะสมที่สุดที่จะให้กำเนิดสายเลือดบริสุทธิ์ซึ่งนับวันจะลดน้อยลงทุกที….

ชายหนุ่มออกฝึกภาคสนามร่วมกับชายหญิงรุ่นเดียวกันนับจากที่ฟื้นก็เข้าสัปดาห์ที่สองแล้วเขาไม่รู้ว่าอยู่ๆทำไมถึงต้องมาฝึกหนักท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นจริงอยู่แม้หิมะจะเริ่มละลายแต่การที่ต้องตะลุยไปกับกองหิมะโดยมีเพียงกางเกงทหารรองเท้าบู้ตหนักนอกนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเลยเล่นเอาเกือบแย่ อาหารที่ได้รับแจกในแต่ละมื้อล้วนให้พลังงานและเหมือนๆกับทุกคนไม่ว่าครูฝึกหรือพวกที่กำลังฝึกอยู่แต่ให้พลังงานมากมาย

ไคล์ถูกฝึกฝนหนักกว่าใครเพื่อนทั้งกลางวันและกลางคืน ในค่ำคืนเขาต้องฝึกซ้อมดาบกับไพรอน คนที่ให้ยาเมื่อแรกฟื้นตื่นขึ้นร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาเหมือนจะแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาอันสั้นอีกทั้งประสาทสัมผัสของเขาที่เคยรู้สึกว่าเหนือมนุษย์ทั่วไป บัดนี้พัฒนาไปไกลจนเขาแทบจะมองเห็นในเวลากลางคืนได้ราวกับกลางวันการจดจำแยกกลิ่นต่างๆ กลิ่นที่เป็นมิตร กลิ่นที่อันตรายเขาเริ่มคุ้นเคยและแยกแยะออกได้อย่างไม่ผิด คะแนนที่ครูฝึกให้ในแต่ละครั้งที่ปฏิบัติภารกิจเขาเป็นหนึ่งในคนที่ทำคะแนนให้กับทีม

มันเป็นสิ่งที่เขาเองแทบจะไม่ยอมรับในสิ่งที่ไพรอนและบรรดาอาวุโสซึ่งบอกแก่เขามันยากที่จะเข้าใจแต่หลักฐานที่ไพรอนจอมขมังเวทย์ซึ่งได้บอกกับเขาและรูปภาพต้นตระกูลราเมเซ็ท ผู้สืบเชื้อสายที่เหลืออยู่คนเดียวคือเขา..แรกทีเดียวเขาไม่อยากยอมรับแต่เพราะไพรอนตั้งคำถาม และพิสูจน์ให้เขาได้ประจักษ์เขาคือคนของ ตระกูลราเมเซ็ทผู้นำของชนเผ่าแห่งหุบเขาสีเทา..ดินแดนที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้หมอกอันหนาทึบไม่ปรากฏให้เห็นบนแผนที่โลกของประเทศไหนทั้งสิ้น ดินแดนที่เต็มไปด้วยเวทย์มนตร์อันเก่าแก่ยากที่ผู้ใดจะคาดถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่ไพรรอนแจ้งแก่เขามันช่างเหนือคำบรรยายไคล์ดูภาพวาดสีน้ำมันของมารดาผู้งดงาม..เธอผู้ซึ่งเสียชีวิตหลังจากให้กำเนิดเขาไม่นานบิดาของเขาเจ้าชายเฟดเดอริคถูกเหล่าแวมไพร์จับตัวไปในคืนเดียวกับที่มารดาให้กำเนิดเขา..นั่นคือบันทึกที่เขาได้อ่าน..ตราสัญลักษณ์ของตระกูลที่ลุงดอนให้เขามาเป็นหลักฐานอย่างดีเพราะไม่ใช่แค่เหรียญหากแต่มันคือกุญแจไขตู้นิรภัย ประวัติและทรัพย์สมบัติของตระกูลถูกเก็บไว้ในห้องนิรภัยเพียงแค่เขาก้าวเข้าไปก็ตะลึงกับความใหญ่โตและอลังการล้นเหลือ..เปรียบได้ว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สมบัติมากที่สุดก็ว่าได้เพราะไม่แต่เพียงเพชรนิลจินดาที่กองในหีบมากมายหลายร้อยใบเท่านั้นแต่เขายังมีทรัพย์สินซึ่งอยู่ในเมืองใหญ่ๆอีกมากมาย..

จะว่าไปแล้วสมบัติของพ่อแม่บุญธรรมของเขาที่มีแทบไม่ถึงครึ่งที่เขามี..การที่เขาถูกเลี้ยงโดยมนุษย์ทำให้ความเป็นตัวตนของเผ่าพันธุ์เดิมหลบซ่อนเขาไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง..ไพรอนได้รับคำสั่งจากสภาสูงให้เป็นผู้ถ่ายทอดและฝึกฝนให้เขาเป็นคนของตระกูลราเมเซ็ทผู้เกรียงไกรเหนือใครทั้งปวง..เขาผู้ซึ่งจะสวมมงกุฏผู้นำของเผ่าพันธุ์ไลแคน..และเพื่อหาหนทางไปช่วยเหลือเจ้าชายเฟดเดอริค ซึ่งไพรอนบอกกับเขาว่า..ยังมีชีวิตอยู่

ก่อนจะเป็นผู้นำไคล์ก็ต้องตากแดดตัวไหม้เกรียมล้มลุกคลุกคลานให้ทั้งทีมหัวเราะด้วยความขบขัน..ฐานะที่ไม่เปิดเผยขณะฝึกไคล์ก็แค่หนุ่มจากหมู่บ้านที่ไหนสักแห่งภายใต้การปกครองของจ่าฝูงเซย์ครูฝึกของเขาคือ..ทรอน ซึ่งมาจากดินแดนแอฟริกา

เจ้าหนุ่มที่เป็นตัวถ่วงของทีมเพียงแค่ไม่กี่วัน สายเลือดของผู้นำก็ฉายชัด..เมื่อไคล์ สามารถล้ม ซิกฟรีดหัวหน้าทีมA ในการแข่งชิงธงซึ่งแข่งกันถึงหนึ่งวันเต็มล้วนแต่โหดเหลือรับหากไม่อึดจริงยากนักที่จะผ่านในแต่ละด่าน แต่เขาและทีมDทีมซึ่งด้อยที่สุดในการฝึกก็ได้รับชัยชนะเป็นครั้งแรก และ ได้รางวัลคือเนื้อแกะย่างอย่างดีจากครูฝึกในค่ายฝึกบนเขา..มันเป็นความแข็งแกร่งซึ่งไคล์ได้พิสูจน์ให้ทุกคนที่เคยหัวเราะได้เงียบเสียงและส่งสายตายอมรับนับถือมาให้แทน ไม่เว้นแม้แต่คนในทีมอื่นก็เช่นกัน..

ไพรอนได้กล่าวแก่เขาในคืนหนึ่งเวทย์มนตร์ที่เขาต้องเรียนต้องฝึกสมาธิ..มันยากยิ่งที่เขาจะทำได้ไลแคนสามารถแปลงร่างได้อย่างอิสระแต่นั่นก็ต้องฝึกฝนอีกมาก..หากไม่แล้วเขาก็ไม่ต่างจากแวร์วูลฟ์ ต้องรอให้พระจันทร์เต็มดวงเสียก่อน ไพรอนบอกกับเขาว่าแวร์วูลฟ์ซี่งอยู่ในการปกครองของไลแคนนั้นมีมากมายพวกนั้นแพร่พันธุ์ได้เร็ว..และรอดชีวิตได้มากกว่าเด็กๆไลแคนมากมายนัก..ไคล์จึงเป็นความหวังเดียวที่จะดำรงสายพันธุ์บริสุทธิ์เอาไว้..เพื่อสืบทอดอำนาจและควบคุมแวร์วูลฟ์

คำที่ไพรอนบอกกล่าวสร้างความหนักใจให้กับเขาเป็นอย่างยิ่ง..เขานึกถึงสาวน้อยหน้าหวานผิวผ่องเธองดงามเหมือนดอกไม้แรกแย้มในยามเช้า..เจ้าหญิงแห่งแคว้นเทอริสตัน..แม้ไม่คิดกับเธออย่างชู้สาวทว่า เขาก็เอ็นดูเธอที่สุดเพราะบิดามารดาบุญธรรมของเขาหมั้นหมายเธอเอาไว้ให้กับเขา เจ้าหญิงไอริสสาวน้อยที่น่ารักและตอนนี้เขาคิดถึงเธอ..


* ขอบคุณที่แวะเข้ามานะฮ้าฟฟ





Create Date : 18 พฤษภาคม 2558
Last Update : 18 พฤษภาคม 2558 15:57:52 น.
Counter : 391 Pageviews.

0 comment
1  2  3  

wynter289
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]