Wolf True Blood ตอนที่ 3 เผ่าแมนซา



ตอนที่3. เผ่าแมนซา

พายุหิมะโหมแรงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหิมะที่จับตัวหนาอยู่บนยอดเขาร่วงพรูลงมาจนแทบจะกลบฝังคนที่หลบอยู่เบื้องล่าง..ทั้งหมดตัดสินใจเดินออกให้พ้นจากอันตรายเพิ่งประสบหลังจากหารือกันสักพักใหญ่ๆทุกคนก็ออกเดินตัดเส้นทางให้ห่างจากจุดที่เสี่ยงกับการถูกหิมะถล่มแม้จะต้องยืดเวลาออกไปอีกแต่เพื่อความปลอดภัยจำต้องถอยห่างออกมาจากจุดนั้น เนินสูงต่ำปกคลุมด้วยหิมะนุ่มเท้าแต่ละก้าวที่ย่ำไปจมลงถึงครึ่งหน้าแข้งหลายครั้งที่สมาขิกในทีมหน้าทิ่มหิมะต่างค่อยๆประคับประคองเดินตามกันไป..สัมภาระที่หนักอึ้งบนบ่าของแต่ละคนเหมือนเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกายจะทนสภาพอันโหดร้ายนี้ได้สักกี่วัน

พ่อบ้านทิมคนสนิทของไคล์นั้นแม้จะใจสู้แต่ร่างกายที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยในการสมบุกสมบันติดต่อกันหลายวันทำให้สองขาของทิมแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงก้าวเดิน..และความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ร่วมโลกก็ปรากฏออกมาให้เห็น..เมื่อร็อบเอ่ยปากกับหัวหน้าทีมขอหยุดพัก กลับถูกปฏิเสธอย่างเย็นชาและไม่มีทีท่าจะหยุดรอต่างก้าวเดินไปข้างหน้า พายุที่พัดรุนแรงเริ่มอ่อนกำลังลงแต่ก็ยังคงตกหนาอยู่นั่นเอง..ช่องแคบระหว่างเขาข้างหน้าเป็นที่หมายของการหยุดพักแรมคืน..ทุกคนจึงเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว

คณะทั้งหมดเดินกันอีกร่วมชั่วโมงจึงมาถึงที่หมายหิมะซึ่งโปรยปรายหนากลับเป็นปุยบางๆอากาศที่หนาวเหน็บแทบหยิบจับอะไรไม่รู้สึก คณะผู้เป็นนายจ้างเอ่ยตำหนิพ่อบ้านทิมอย่างไม่ไว้หน้าที่ทำให้ทั้งคณะล่าช้า ซึ่งมันไม่เป็นดังที่กล่าวเลยและไม่หยุดรอกลับเดินทิ้งห่างออกไปปล่อยให้คณะของไคล์แบกสัมภาระที่หนักอึ้งตามไปอย่างเชื่องช้าร็อบเห็นดังนั้นจึงไม่สนใจที่จะทำตามคำสั่งของคนเห็นแก่ตัวเหล่านั้น ทั้งหมดหยุดพักโดยทันทีที่เห็นพ่อบ้านทิมล้มฟุบลงอีกครั้ง

“ไคล์อย่าไปสนพวกนั้นพาพ่อบ้านไปนั่งพักตรงนั้นก่อนเถิด”ตรงนั้นที่พี่ชายทั้งสองบอกก็คือ ใต้ต้นสนใหญ่ใบดก หิมะที่อยู่ข้างใต้ไม่จับหนามากนักยังพอมองเห็นต้นหญ้าแทงยอดออกมา

“ไม่เป็นไรครับคุณชาย..ผมยังไหวเราเร่งเดินให้ทันพวกเขาดีกว่าอย่าให้ผมเป็นตัวถ่วงเลย”แม้พ่อบ้านจะปฏิเสธแต่ทว่ากลับไม่มีใครฟัง..กลับช่วยกันพาพ่อบ้านมานั่งพักที่ต้นสนใหญ่จนได้

“ถึงอย่างไรเราก็เดินตามทันอยู่ดี..พักสักเดี๋ยวมันคงไม่เป็นไรหรอก..อีกไม่ไกลก็เข้าไปยังหุบนั่นไม่รู้จะรีบร้อนกันไปไหน”

ไคล์มองตามไปยังกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้าไปยังหุบเขา..บริเวณนี้คงอยู่ในเขตภูเขาสีเทานอกจากป่าสนซึ่งไม่ได้หนาทึบแล้วเขาก็ไม่เห็นพืชชนิดอื่นอีกเลย พวกนั้นดูจะเร่งรีบเขาเห็นพวกนั้นก้มลงมองกล่องเล็กๆในมืออยู่บ่อยๆ สัญญาณในจอเล็กๆนั่น..แค่แว่บเดียวก็พอมองออก..ในบริเวณนั้นคงเป็นจุดที่ใกล้กับคนสูญหายแม้ใจจะร้อนรนอยากรู้ว่า ลุงดอน จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ข้างกายเขาตอนนี้เขาก็ต้องดูแล..ไคล์หันกลับมามองพ่อบ้านคนสนิทกำลังจิบเครื่องดื่มในกระติกเก็บความร้อนจากกระติกของใครสักคนที่กำลังสาละวนปูพลาสติกลงบนหิมะเพื่อให้ทิมได้นังพัก

ดวงตะวันแทบจะไม่ช่วยอะไรในเรื่องการให้ความอบอุ่นด้วยบนท้องฟ้ามีเพียงปุยขาวๆบางเบาโปรยปรายอยู่ไม่ขาดมันเย็นเฉียบจนเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายของแต่ละคน แทบจะเอาไม่อยู่แม้คนที่เคยชินอยู่กับหิมะชั่วนาตาปีถึงกับออกปาก ก็แน่ละ ไม่เคยออกมาเจอพายุกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตาอย่างนี้นี่นา..

ระยะแค่ไม่กี่ร้อยเมตรจากจุดที่ยืนอยู่เทือกเขาที่ซับซ้อนลดลั่นมองเห็นเป็นเงาขาวพร่างท่ามกลางหิมะที่โปรยสายเป็นปุยฝอยบางเบาคณะที่ทิ้งพวกเขาไว้เบื้องหลังก็หายลับไปจากสายตา..ไม่มีใครรู้ว่าคณะนั้นเข้าไปลึกแค่ไหนเหนือขึ้นไปบนยอดเขาเสียงหิมะถล่มกลิ้งตัวลงมาก้อนใหญ่ทำให้ทั้งหมดที่นั่งพักอยู่ลุกยืนพลางตะโกนกันเสียงลั่น..เสียงโครมคลืนดังสะท้อนในความเงียบสงัดของหุบ ทั้งสี่คนมองหน้ากัน สีหน้าตกใจไม่แพ้กันสักนิด

“พวกนั้น..” ร็อบชี้ไปยังซอกหุบแล้วก็เม้มปาก พูดอะไรไม่ออก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า..คนพวกนั้นจะถูกหิมะถล่มกลบฝังไม่อยากจะเชื่อว่าคณะที่มาติดตามจะประสบชะตากรรมเฉกเดียวกับคณะชุดก่อนรวดเร็วอย่างนี้..

ธรรมชาติทั้งงดงามและโหดร้าย..ยากที่จะป้องกันตัวไว้ได้ทันพวกนั้นจะเป็นอย่างไรนะ หวังว่าคงจะหลบได้ทันทั้งสี่คนต่างวิ่งไปยังจุดที่พรรคพวกโดนหิมะถล่มใส่ บริเวณที่ถูกถล่มทับเป็นทางเดินกว้างประมาณสิบเมตร นอกจากหิมะที่จับหนาก็มีโขดหินสูงต่ำกระจัดกระจายกันอยู่ ทั้งหมดช่วยกันตะโกนเรียกชื่อ บนเนินฝากหนึ่งของหุบเขาปรากกฏข้าวของบางส่วนของโผล่พ้นหิมะออกมา..ทั้งหมดตะกายไปยังจุดนั้นมือที่สวมถุงมือ ตะกุยหิมะออกอย่างเร่งรีบหวังว่าจะช่วยชีวิตไว้ได้

คนที่ถูกดึงขึ้นจากกองหิมะคือแฟรงค์ และทีด้อกด้วยความบังเอิญที่ตรงซอกหินเป็นโพรงตื้นๆพอที่จะเข้าไปซุกหลบได้เพียงสองคน ส่วนคนที่เหลือยากนักที่จะค้นหาเครื่องมือสัมภาระของทั้งหมดถูกกลบฝังไปกับหิมะหลายตันซึ่งถล่มลงมา

ทีด็อกขาหักส่วนแฟรงค์บาดเจ็บหนังศีรษะด้านหนึ่งเปิดออกจนเห็นกะโหลก ชุดเวชภัณฑ์นั้น จมอยู่ในกองหิมะ..ทั้งสี่คนช่วยกันย้ายคนเจ็บซึ่งช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ออกมาจากจุดเสี่ยง

“เห็นทีว่าเราคงจะต้องส่งสองคนนี้กลับไปเสียแล้วพร้อมทั้งแจ้งข่าวให้ทางการทราบ”ร็อบเอ่ยขึ้นหลังจากกางผ้าใบให้คนเจ็บทั้งสองนอนโดยมีทิมและจิมมี่ช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น..

“สองคนนี่..นอกจากที่เห็นภายนอกก็ไม่รู้ว่าบาดเจ็บตรงไหนอีก..น่าเป็นห่วงทีด็อกหากไม่รีบดามขาที่หักเห็นทีว่าจะต้องถูกตัดขา..เราเดินทางมาไกลขนาดนี้ลำพังแค่เราสี่คนจะพาคนเจ็บออกไปถึงมือหมอหรือเปล่าก็ไม่รู้”ทิมเงยหน้าจากการพันผ้าที่ขาของทีด็อก..สายตาหม่นหมองของไคล์และสองพี่น้องนั้นทำให้ทิมสะท้อนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้า..ความหวังที่จะค้นหาผู้รอดชีวิต ผู้เป็นที่รักของพวกเขานั้นริบหรี่เหมือนเทียนใกล้จะมอดดับ สำหรับวันนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว

เสียงสุนัขป่าเห่าหอนรับกันเป็นทอดๆดังแว่วมาแต่ไกลทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นกองไฟทีก่อเอาไว้มีเปลวไฟเพียงเล็กน้อยความเหน็บหนาวแทรกผ่านเข้าไปจนแขนขารู้สึกเย็นจนแทบขยับตัวไม่ไหวแต่กระนั้นเขาก็ยังพยายามลุกขึ้นหยิบท่อนฟืนใส่เข้าไปในกอง สักพักกองไฟก็ลุกโชนขึ้นอีกครั้งเขาควักนาฬิกาพกซึ่งกลัดไว้กับเสื้อตัวในออกดูเวลาก็พบว่า มันเป็นเวลาเกือบจะค่อนรุ่งเขาบิดกายไล่ความเมื่อยขบ เสียงหมาป่าเงียบไปแล้ว เขาได้แต่คาดหวังว่าจะไม่ถูกฝูงหมาป่าโจมตีหรอกนะ ลำพังแค่พี่ชายและทิมพอจะปีนต้นไม้ไหว แต่คนเจ็บทั้งสองคนนั้น จะทำอย่างไรหากถูกโจมตีจริงๆ

เสียงฝีเท้าดังซวบซาบดังอยู่ในความมืดชายหนุ่มหันรีหันขวางสิ่งที่นึกหวั่น มันดันเป็นจริงขึ้นมาเสียแล้ว จะทำอย่างไรเขารีบปลุกพี่ชายทั้งสองอย่างรวดเร็ว ต่างพากันช่วยเคลื่อนย้ายคนเจ็บไปยังหน้าผาซึ่งสูงพอที่จะพ้นจากการถูกจู่โจมจากสัตว์ทุกอย่างต้องทำแข่งกับเวลา ไฟฉายกระบอกเล็กสาดเป็นลำเข้าไปยังป่าทึบกระทบกับสีเขียวของสัตว์กินเนื้อหลายต่อหลายคู่ สามพี่น้องชักมีดออกมาถือไว้มั่น..

จะเป็นสัตว์นักล่าประเภทไหนก็ยังไม่รู้..เสียงวิ่งพล่านขู่คำรามใกล้เข้ามาทุกที แสงจันทร์สลัวๆ พอมองเห็นทุกๆสิ่งเป็นเงาตะคุ่มเสียงฝูงสัตว์กระหายเลือดหยุดอยู่ที่จุดที่พวกเขาพักอยู่เมื่อก่อนหน้าพวกมันมีอยู่กัน เกินห้าตัวเท่าที่เขาพอจะมองเห็น ไม่นานพวกมันก็วิ่งพล่านดมกลิ่นตามกองหิมะ และใกล้เข้ามาทุกที พวกมันรู้แล้วว่าเหยี่อของพวกมันอยู่ที่นั่นตรงที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่..บนหน้าผาเตี้ยๆจะพอป้องกันภัยจากสัตว์นักล่ากระหายเลือดพวกนี้หรือไม่ ไม่มีใครตอบได้

ทั้งสี่คนที่ยังปกติดดีอยู่ต่างยืนอยู่บนขอบหน้าผาคอยระแวดระวังภัยที่กำลังจะมาถึงมันน่าแปลกที่เขาสามารถมองเห็นฝูงหมาไนได้อย่างชัดเจนราวกลับกลางวันอีกทั้งได้ยินเสียงพวกมันพูดคุยกันราวกับว่ามีเครื่องแปลภาษาอยู่ในหัวทั้งๆที่พวกมันมีแค่เสียงคำราม เห่าหอนขบกัดกันเท่านั้น...พวกมันดมกลิ่นเวียนวนอยู่บริเวณนั้นอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะวิ่งหายลับไปยังป่าอีกด้าน.บริเวณที่เพื่อนร่วมเดินทางของเขาถูกกลบฝังอยู่ใต้หิมะที่เย็นเฉียบ

“อีกไม่กี่ชั่วโมงคงจะสว่าง..อยู่บนนี้จนเช้าเถอะแล้วเราค่อยออกเดินทางต่อ..”จิมมี่ซึ่งเป็นผู้นำตั้งแต่ที่แรก บอกแก่ทุกคนทั้งหมดเห็นคล้อยตามต่างก็หาที่เหมาะนั่งขดตัวรวมกลุ่มกันไคล์นั้นมองไปยังภูเขาสีเทา..เส้นทางที่จะไปยังภูเขาลูกนั้นอยู่ที่ใดกันนะ..ช่องเขาที่ถูกหิมะถล่มเมื่อวานคงไม่ปลอดภัยหากพวกเขาจะพยายามเข้าไปจิมมี่บอกว่าเส้นทางนั้นเป็นเส้นทางที่เขาเคยตามกวางเข้าไป..แต่ว่าตอนกลับนั้นเขาออกมาอีกทางหนึ่ง

หลังจากที่กินอาหารเช้าเรียบร้อยทั้งหมดก็นั่งล้อมวงดูแผนที่จากแผนที่ของจิมมี่เส้นทางที่ว่าอยู่ห่างออกไปจากจุดค้นหาไม่ไกลมากต้องเดินอ้อมเขาตัดป่าภูมิประเทศที่เปลี่ยนไปค่อนข้างจะลำบากอยู่เหมือนกันอีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก..จิมมีและร็อบต่างก็หารือกันว่าจุดที่มาค้นหาคนสูญหายน่าจะอยู่หลังเขาลูกนี้ ก่อนจะถึงภูเขาสีเทา..แต่ทว่า..พวกเขามีคนเจ็บที่จะต้องนำกลับไปยังหมู่บ้านแผนการค้นหาคงต้องล่าช้าออกไป

“จิมมี่แถวนี้ไม่มีหมู่บ้านหรือชนเผ่าบ้างหรือ” จิมมี่ละสายตาจากคนเจ็บมองไปรอบๆตัว..

“ก็พอมีแต่ก็ไม่รู้จะช่วยอะไรพวกเราได้หรือเปล่านะลำพังพวกเขาเองยังปกป้องตัวเองได้ไม่ดีนัก” คำตอบชองจิมมี่ทำให้ไคล์กลับมาครุ่นคิดเขายังมีความหวังว่าจะเจอพ่อบุญธรรมของเขา แต่คนที่เจ็บก็ทิ้งไม่ได้

“อยู่ไกลหรือเปล่า..”ไคล์ตัดสินใจ

“เดินย้อนกลับไปทางทิศใต้ข้ามแม่น้ำไรน์เดินอีกครึ่งวันก็ถึงหมู่บ้านที่ว่านั่น..นายมีแผนอะไรหรือ” ไคล์ไม่ตอบแต่ครุ่นคิดถึงแผนขั้นต่อไปอันดับแรกคงต้องพึ่งคนที่หมู่บ้านนั้นให้ไปส่งข่าวที่หมู่บ้านพิวรี่..เขาคิดอย่างฉับไวถึงอย่างไรเขาต้องเดินทางต่อแม้จะต้องเสียเวลาไปอีกสักหน่อยก็ช่างเหอะ..ชีวิตคนที่รอคอยความช่วยเหลืออยู่นั้นสำคัญมากกว่า

“ผมว่าเราต้องลองดูก่อนนะ..”

“นายมีแผนอะไรหรือ”

“ร็อบเมื่อเช้าพี่ไปดูจุดที่หิมะถล่มพบร่องรอยอะไรหรือเปล่า..” ไคล์หันไปถามร็อบซึ่งกำลังง่วนในการเก็บข้าวของซึ่งเมื่อเช้าตรู่ร็อบตัดสินใจกลับไปยังจุดที่หิมะถล่มเพื่อเอาของที่พบก่อนจะนำไปเจอกับทีด็อกและแฟรงค์

“เหนือขึ้นไปจากจุดที่เราพบสองคนนี่”ร็อบบุ้ยใบ้ไปยังคนเจ็บ..”พี่ไม่เจอศพของคนที่เหลือ ข้าวของเราเห็นพ้นจากหิมะถล่มก็หายไป มีร่องรอยการขุดค้น คาดว่าหลังจากเราช่วยสองคนนี่จะมีอะไรสักอย่างเข้าไปช่วยเหลือคนที่เหลือ..บางทีพวกนั้นอาจจะมีชีวิตรอดแต่ว่า..พี่หวั่นใจนะ รอยที่มุ่งตรงไปยังภูเขาสีเทาพี่พบรอยเลือดบนหิมะ..กับรอยเท้า..หมาป่า”

ทั้งหมดที่นั่งฟังการสนทนานั้นเลือดในกายเย็นเฉียบ..สัตว์กินเนื้อที่ไม่มีใครอยากจะได้ยินและพบเจอพวกเขาทั้งหมดไม่มีอาวุธอะไรพอจะป้องกันตัวได้มีดเดินป่าเล่มยาวก็แค่พอได้ฟันฟืนถางป่าถางหญ้าหากเจอจับฝูงเกินสิบก็คงจะตกเป็นเหยื่อก่อนจะชักมีดออกจากฝักอย่างแน่นอน

“นายแน่ใจเหรอว่าเป็นรอยเท้าหมาป่า..”จิมมี่พยักหน้านายพรานในหมู่บ้านย่อมรู้จักรอยเท้าของสัตว์ทุกสายพันธุ์ในแถบนี้..หมาป่าซึ่งไม่ค่อยปรากฏให้เห็นในเขตรัศมีของหมู่บ้านแต่ทว่าหมาป่าที่จิมมี่เจอนั้นรอยเท้าใหญ่มหึมาราวกับสิงห์โตทีเดียว แต่เขาเลือกที่จะเงียบ แค่นี้ก็ทำเอาทีด็อกและแฟรงค์หน้าถอดสี

“พวกคุณคงไม่ทิ้งเราไว้ที่นี่หรอกนะ”ทีด็อกระล่ำระลัก

“มันก็ไม่แน่นะ..กวนตีนมาตลอดทางอยู่แล้วนี่”ร็อบสะแหยะยิ้ม ยิ่งทำให้ทั้งสองคนมองหน้ากันเลิ่กลัก

“พวกเราจ้างพวกคุณราคาสูงเงินก็รับไปแล้วพวกคุณต้องดูแลเราต่อซิ “ แฟรงค์ยังคงลำเลิก

“ตอนนี้แกมีเงินไหมละค่าจ้างแบกแกกลับไปเนี่ย..” จิมมี่ถ่มปากชังน้ำหน้าทั้งสองคนนี้เหลือจะทนแล้ว

“มีซิ..แต่ถึงเมืองก่อนได้ไหมฉันจะเขียนเช็คให้” แฟรงค์ต่อรองเสียงอ่อนลงแต่ยังคงไว้ตัวเย่อหยิ่งอยู่เหมือนเดิม

“เท่าไหร่ล่ะสำหรับค่าเหนื่อยแถมยังต้องแบกแกสองคนไปให้ถึงมือหมอ..รถม้าก็ไม่มีสักคัน”จิมมี่แกล้งพูดเหมือนคนขี้งกแล้งน้ำใจ

“แกจะเรียกเท่าไหร่ก็ได้ขอเพียงพาเราออกจากป่า..” ทีด็อกพูดขึ้นโดยไม่หยุดคิดเขาเหลือบมองขาข้างหนึ่งที่ดามไม้เอาไว้ลวกๆ อากาศที่หนาวเย็นหรือเปล่านะที่ทำให้เขาไม่มีความรู้สึกอะไรเลยกับขาข้างนี้หากไปถึงมือหมอเร็วเท่าไหร่โอกาสที่เขาจะรักษาขาข้างนี้เอาไว้ก็มีทางเป็นไปได้..ชาวบ้านห่างไกลความเจริญพวกนี้ไม่น่าจะฉลาดอะไรมากนักให้เงินไปสักก้อนขี้คร้านจะตาโต..

จิมมี่หรี่ตาข่มความขุ่นเคืองเอาไว้ในใจเขาไม่ได้สนใจเงินทองที่พวกนี้เสนอมา ดอนผู้เป็นบิดาต่างหากเล่าที่เขาปรารถนาจะพบเจอและนำเขากลับสู่ครอบครัว

“ทางที่ดีผมว่าคุณควรหุบปากเหม็นๆของคุณจะดีกว่านะ..”ร็อบตัดบทเขาไม่พอใจคนพวกนี้เอาเสียเลยนับแต่ออกเดินทางเข้าป่ามาด้วยกัน แม้แต่พวกเดียวกันเองยังไม่คิดจะถามไถ่ถึงกันสักคำใจคอจะทิ้งเพื่อนให้หนาวเย็นอยู่ใต้หิมะซินะ..

คำพูดของร็อบทำให้ทีด็อกหุบปาก แฟรงค์ซึ่งบาดเจ็บที่ศีรษะนั้นทิมได้ช่วยชะล้างบาดแผลและพันผ้าให้ใหม่เรียบร้อย ส่งสายตาปรามเพื่อนเขารู้จักทีด็อกดีนอกจากขี้ปอดแล้วความเห็นแก่ตัวของทีด็อกแม้แต่เขาเองยังนึกรังเกียจ


* คุณชายไคล์มีแผนการณ์อะไรหนอ..คนที่หายไปจะได้เจอกันแบบไหน
ติดตามไปเรื่อยๆเนาะ


ป.ล.อัพอีกทีวันเสาร์เนาะ..

*ขอบคุณที่แวะมาอ่านกันเน้อ..






Create Date : 12 พฤษภาคม 2558
Last Update : 22 พฤษภาคม 2558 14:22:39 น.
Counter : 441 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wynter289
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]