พระบัญญัติ 10 ประการ






พระบัญญัติ 10 ประการ

พระบัญญัติ 10 ประการคือข้อกฏหมาย 10 ข้อที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้กับชนชาติอิสราเอลได้ปฏิบัติหลังจากได้อพยพออกจากแผ่นดินอียิปต์ พระบัญญัติ 10 ประการนี้ได้สรุปรวบรวมจากพระบัญญัติที่มีอยู่ในพระคำภีร์เดิมทั้งหมด 600 กว่าข้อ พระบัญญัติ 4 ข้อแรกได้พูดถึงการปฏิบัติและความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า และ 6 ข้อหลังได้พูดถึงการปฏิบัติและความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้อื่น ซึ่งพระบัญญัติ 10 ประการนี้ได้บันทึก

ไว้ในพระคำภีร์พระธรรม อพยพ 20: 1-17 และพระธรรม เฉลยธรรมบัญญัติ 5:6-21 ดังนี้

1. จงนมัสการพระเป็นเจ้า พระสวามีเจ้าผู้เดียวของเจ้า
2. อย่าเอ่ยนามพระสวามีเจ้าโดยไม่สมเหตุ
3. วันพระเจ้าจงอย่าลืมฉลองเป็นวันศักดิ์สิทธิ์

ส่วนหลังมี 7 ข้อ เป็นข้อปฏิบัติระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ได้แก่

4. จงนับถือบิดามารดา
5. อย่าฆ่าคน
6. อย่าทำอุลามก
7. อย่าลักขโมย
8. อย่าใส่ความนินทา
9. อย่าปลงใจในความอุลามก
10. อย่ามักได้ทรัพย์ของเขา


........ที่นี้ เราก็จะมาดูข้อปฏิบัติแต่ละข้อ และ ความหมายในแต่ละข้อ ที่ คริสตชนต้องปฏิบัติ

พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่หนึ่ง
“จงนมัสการพระสวามีพระเป็นเจ้าผู้เดียวของเจ้า”

• พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่หนึ่ง สั่งให้นมัสการพระเป็นเจ้า
คือเคารพบูชาพระองค์อย่างสูงสุดในฐานะที่พระองค์เป็นพระผู้สร้างและเป็นเจ้านายสูงสุด
• เราต้องนมัสการพระเป็นเจ้าภายใน คือ เชื่อ ไว้ใจ รัก และ เคารพบูชาพระองค์ในจิตใจ
• เราต้องนมัสการพระเป็นเจ้าเป็นการภายนอก คือ แสดงความเชื่อ ไว้ใจ รัก และบูชาด้วยกิจการภายนอก
เช่น การสวดภาวนา การไปวัดและร่วมพิธีกรรมต่างๆ
• คาทอลิกเข้าร่วมนมัสการพระเป็นเจ้าที่ทำเป็นส่วนรวมในนามพระศาสนจักรทั่วโลก
ซึ่งได้แก่พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณและพิธีกรรมเป็นทางการของศาสนาทุกอย่าง
• บาปที่ผิดต่อพระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่หนึ่ง คือ
1. การละเลยเพิกเฉย
2. การเคารพบูชาคนหรือสิ่งอื่นขึ้นแทนพระเป็นเจ้า
3. การเชื่อถือหรือพึ่งพาอาศัยอำนาจที่นอกเหนือไปจากฤทธิ์อำนาจของพระเป็นเจ้า
4. การทุราจาร

ข้อควรรู้

1. นมัสการ แปลว่า การไหว้ แต่ในศาสนาคาทอลิก ใช้หมายถึง การเคารพยกย่องอย่างสูงสุด ซึ่งใช้กับพระผู้สร้างแต่ผู้เดียวเท่านั้น

2. ทุราจาร แปลว่า ความประพฤติชั่วร้ายเลวทราม ในศัพท์คาทอลิกใช้หมายถึง การประมาทดูหมิ่นพระเป็นเจ้าด้วยการพูด หรือการกระทำผิดต่อนักบวช สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนา หรือสถานที่ทางศาสนา

3. การพึ่งพาอาศัยอำนาจนอกเหนืออำนาจพระเป็นเจ้า ได้แก่ เชื่อถือเครื่องรางของขลัง คาถาอาคม ใช้อำนาจผี เข้าเจ้าเข้าทรง เชื่อหมอดู
ซึ่งเป็นการลบหลู่ฤทธิ์อำนาจของพระเป็นเจ้า

ข้อความจากพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับพระบัญญัติประการที่หนึ่ง

พระเป็นเจ้าถูกปีศาจผจญ ชี้ให้พระองค์ทอดพระเนตรอาณาจักรต่างๆอันรุ่งเรื่องของโลก แล้วทูลว่า
“เราจะให้ทุกสิ่งเหล่านี้แก่ท่าน ถ้าท่านกราบนมัสการเรา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น ยังมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
'จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเจ้า และรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น' ” (มธ 4:8-10)

พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่สอง
“อย่าออกพระนามพระสวามีพระเป็นเจ้าโดยไม่สมเหตุ”
(คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ภาค 3 ข้อ 2142-2167)

• พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่ 2 สั่งให้เคารพพระนามพระเป็นเจ้า และห้ามใช้พระนามของพระองค์ในทางที่ผิด

• การใช้พระนามพระเป็นเจ้าในทางที่ผิด ได้แก่

1. สาบานที่ผิด
2. ผิดต่อการบนบาน
3. กล่าวร้ายต่อพระผู้เป็นเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์
• เราสาบานได้ในเรื่องจริง และเรื่องที่สำคัญเท่านั้น
• การบนบาน คือ การสัญญาแก่พระเป็นเจ้าว่าจะทำกิจการดีบางอย่างโดยผูกมัดตนเองว่า ถ้าไม่ทำก็เป็นบาป
• การกล่าวร้ายถึงพระเป็นเจ้า คือ การพูดจาดูหมิ่นพระเป็นเจ้า แม่พระ นักบุญต่างๆ ฯลฯ

ข้อควรรู้

1. การสาบาน คือ การอ้างถึงพระเป็นเจ้าเพื่อยืนยันคำพูดหรือคำสัญญาของตน
2. ในการบนบาน ควรจะคิดให้ดีเสียก่อน แล้วถ้าเป็นเรื่องสำคัญ ควรปรึกษาพระสงฆ์

ข้อความจากพระคัมภีร์

พระเยซูเจ้าทรงสอนว่า ท่านยังได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า “อย่าผิดคำสาบาน แต่จงทำตามที่ได้สาบานไว้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า”
แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย อย่าอ้างถึงสวรรค์ เพราะเป็นที่ประทับของพระเจ้า อย่าอ้างถึงแผ่นดิน
เพราะเป็นที่รองพระบาทของพระองค์ อย่าอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเป็นนครหลวงของพระมหากษัตริย์ อย่าอ้างถึงศีรษะของท่าน
เพราะท่านไม่อาจเปลี่ยนผมสักเส้นให้เป็นดำเป็นขาวได้ ท่านจงกล่าวเพียงว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” ที่เกินไปนั้นมาจากปิศาจ (มธ 5:33-37)

พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่สาม
“วันพระเจ้าอย่าลืมฉลองเป็นวันศักดิ์สิทธิ์”
(คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ภาค 3 ข้อ 2168-2195)

• พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่ 3 สั่งให้ถือวันพระเจ้า คือ ต้องไปร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณและหยุดทำงานกรรมกรในวันนั้น
• การขาดพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณในวันพระเจ้าเป็นบาปหนัก (ดูกฎหมายพระศาสนจักร ม. 1246-7) ยกเว้นกรณีจำเป็น
• ในวันพระเจ้า ห้ามทำงานกรรมกร คือ งานที่ใช้กำลังกาย เช่น ขุดดิน ไถนา ก่อสร้าง แบกหาม ฯลฯ

ข้อควรรู้

1. วันพระเจ้าคือวันอาทิตย์ วันปัสกาและวันฉลองพระคริสตสมภพ 25 ธันวาคม
2. ในวันพระเจ้า คาทอลิกจะต้องร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยการสำรวมใจกาย ผู้ที่แม้จะไปวัด
แต่ก็ถือว่าขาดมิสซาวันพระเจ้าได้ ในกรณีดังนี้ คือ
ก. ไปช้าเกิน หรือออกจากวัดก่อนเสร็จพิธีจนขาดตอนสำคัญของมิสซา คือตั้งแต่พระสงฆ์ถวายปังและน้ำองุ่น จนถึงพระสงฆ์รับศีลมหาสนิทแล้ว
ข. อยู่นอกวัด หรืออยู่นอกกลุ่มผู้ร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ เมื่อมีคนแน่นจนเป็นที่แสดงว่ามิได้ร่วมจิตใจร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณเลย
ค. ทำสิ่งใดที่ขัดต่อการร่วมจิตใจในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ ตลอดเวลาที่เป็นส่วนสำคัญของมิสซา
เช่น คุยกัน นอนหลับ อ่านหนังสืออื่นๆ สูบบุหรี่ ชมภาพต่างๆ ฯลฯ
3. ผู้ที่ได้รับการยกเว้นจากการร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณวันพระเจ้าคือ ผู้ที่อยู่ไกลวัดเกินไป
หรือการเดินทางไปวัดลำบากมาก ผู้ป่วยหรือผู้ฟื้นไข้ ผู้พยาบาลคนป่วย เลี้ยงทารก เฝ้าบ้านและความจำเป็นอื่นๆ
4. ในวันพระเจ้า อนุญาตให้ทำงานที่ใช้สติปัญญา และงานที่มิใช่กรรมกร เช่น การเรียน การสอน
แม้จะคิดค่าจ้าง งานฝีมือ และงานเพื่อการกุศล แม้จะเป็นงานกรรมกร เช่น ตบแต่งวัด ฯลฯ
5. ในวันพระเจ้าอนุญาตงานจำเป็นทุกชนิด คือ
ก. งานฉุกเฉิน เช่น ดับเพลิง ขนของหนีน้ำท่วม ขนข้าวหรือเกี่ยวข้าวเพื่อมิให้เสียหาย การป้องกันเหตุร้ายต่างๆ
ข. งานจำเป็นส่วนตัว เช่น หุงหาอาหาร เลี้ยงสัตว์ ซักเสื้อผ้า การหากินของผู้หาเช้ากินค่ำ งานที่หยุดไม่ได้โดยไม่เกิดความเสียหาย
ค. งานจำเป็นส่วนรวม เช่น คนขับรถ เรือโดยสาร การขายอาหารหรือเครื่องใช้ที่จำเป็น ช่างตัดผม ช่างไฟฟ้า ประปา งานซ่อมถนนหรือสะพาน ฯลฯ

พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่สี่
“จงนับถือบิดา มารดา”
(คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ภาค 3 ข้อ 2197-2257)

• พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่สี่ สั่งให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ในครอบครัว และหน้าที่ในสังคม
คือ หน้าที่ระหว่างบิดามารดากับบุตร และหน้าที่ระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อย
• บุตรมีหน้าที่ รัก เคารพ เชื่อฟัง และมีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาหรือผู้ปกครองของตน
• บิดามารดาหรือผู้ปกครองมีหน้าที่ รัก เลี้ยงดู อบรม เอาใจใส่ วิญญาณ และช่วยจัดอนาคตของบุตร
หรือผู้ที่อยู่ในความอุปการะของตน
• ผู้น้อยมีหน้าที่เคารพนับถือและเชื่อฟังผู้ใหญ่ พลเมืองมีหน้าที่เคารพเชื่อฟังผู้บริหารแผ่นดินและถือตามกฎหมาย
ตลอดจนทำหน้าที่พลเมืองดี
• ผู้มีอำนาจหรือผู้ใหญ่ในสังคมมีหน้าที่ปกครองดูแล และเอาใจใส่ผู้อยู่ใต้อำนาจ และต้องรักษาความยุติธรรม
และรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม ทั้งต้องใช้อำนาจให้ถูกต้อง

พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่ห้า
“อย่าฆ่าคน”
(คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ภาค 3 ข้อ 2258-2330)

• พระบัญญัติประการที่ห้า ห้ามทำร้ายร่างกายและวิญญาณของผู้อื่น
• การทำร้ายชีวิตและร่างกายของผู้อื่น คือ การทำอันตรายใดๆแก่เขา เช่น ทำให้บาดเจ็บ พิการ หรือถึงแก่ความตาย
• การทำร้ายวิญญาณของผู้อื่น คือ ทำสิ่งใดๆ ที่เป็นเหตุให้เขาทำบาป เช่น การพูด เขียน การเป็นตัวอย่างไม่ดี หรือการยุยงให้เขาทำบาป
• การฆ่าคนเป็นบาปหนักร้ายแรง เพราะเป็นการละเมิดสิทธิ์เหนือชีวิตมนุษย์ ซึ่งเป็นของพระเป็นเจ้าแต่ผู้เดียว
• การฆ่าคนอาจทำได้ในกรณีจำเป็นดังนี้
1. เพื่อป้องกันชีวิตของตนเองหรือของผู้อื่นจากคนร้าย หรือเพื่อป้องกันทรัพย์สินจำนวนมาก
2. เพื่อป้องกันประเทศชาติจากข้าศึกที่รุกราน
3. เพชฌฆาตซึ่งทำหน้าประหารชีวิตนักโทษ ซึ่งถูกศาลตัดสิน
o การฆ่าตัวเองเป็นบาปหนักร้ายแรง เพราะว่าเราไม่มีสิทธิ์ทำลายชีวิตซึ่งเป็นของพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
o การฆ่าทารกในครรภ์ หรือจงใจทำแท้งบุตร เป็นบาปหนักร้ายแรงเช่นเดียวกับฆ่าคน พระศาสนจักรลงโทษอย่างหนักแก่ผู้ทำผิดเช่นนี้
รวมทั้งผู้มีส่วนร่วมมือด้วย
o การฆ่าสัตว์ไม่เป็นบาป เพราะว่าพระเจ้าสร้างสัตว์เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ แต่การทรมานสัตว์โดยไร้เหตุผลก็เป็นบาปเบาได้
o พระบัญญัติประการที่ห้า ห้ามการทะเลาะวิวาท เกลียดชัง พยาบาท ด่าแช่ง รังแก เบียดเบียนกัน ฯลฯ
o พระบัญญัติประการที่ห้า สั่งให้มีความรัก เมตตากรุณาต่อกัน ให้อภัยและทำดีแก่ผู้อื่นทั้งกายและวิญญาณ
ข้อควรรู้
1. การเป็นที่สะดุด คือ การพูดหรือการกระทำสิ่งใดๆไม่ถูกต้องอันเป็นเหตุให้ผู้อื่นทำบาป ผู้ที่เป็นที่สะดุดแก่ผู้อื่นมีบาป
เพราะเป็นการทำร้ายวิญญาณของเขา
2. พระบัญญัติประการที่ห้ามีข้อบังคับสำหรับนายแพทย์และผู้พยาบาลคนเจ็บให้ปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยสุจริตและเคร่งครัด
และต้องแสวงหาความรู้ให้เพียงพอในการรับผิดชอบต่อชีวิตและสุขภาพของผู้อื่น

พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่หก
“อย่าผิดประเวณี”
(คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ภาค 3 ข้อ 2331-2440)

• พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่หก สั่งให้เราเคารพและรักษาความบริสุทธิ์ในร่างกายของตนเองและของผู้อื่น
ห้ามกิจการทุกอย่างที่ผิดต่อความบริสุทธิ์ และห้ามแสวงหาหรือเสี่ยงอันตรายต่อความบริสุทธิ์
• กิจการที่ผิดต่อความบริสุทธิ์คือ การจงใจทำผิดทางเพศเพื่อหาความสุขในกามารมณ์ทุกชนิด ซึ่งตนเองไม่มีสิทธิ์
เช่น การพูด ฟัง มองดู สัมผัส และกิจการลามกทุกชนิด
• วิธีรักษาความบริสุทธิ์ คือ
1. หลีกเลี่ยงอันตรายและโอกาสบาป
2. หมั่นแก้บาปรับศีลมหาสนิทบ่อยๆ
3. มีความศรัทธาต่อแม่พระและสวดภาวนา ทรมานกายและใจ
4. การคบเพื่อนที่ดี เป็นต้น

ข้อควรรู้

1. ความบริสุทธิ์ในร่างกายนี้ หมายถึง การละเว้นจากการหาความสนุกที่ผิดในเรื่องทางเพศ
2. กามารมณ์ คือ ความใคร่ หรือความปรารถนาเกี่ยวกับทางเพศ
3. โอกาสและอันตรายต่อความบริสุทธิ์คือ การคบเพื่อนชั่ว การสนิทสนมเกินควรกับเพื่อนต่างเพศ การดูมหรสพที่ผิดศีลธรรม
ภาพยนตร์ งิ้ว ละคร ลำตัด รำวง การเต้นรำ การเที่ยวในสถานที่เป็นภัย เช่น สถานอาบอบนวด ไนต์คลับ ดิสโก้เธค ฯลฯ
4. พระเป็นเจ้าสร้างความสุขในกามารมณ์ เพื่อชักจูงให้มนุษย์ทำหน้าที่พ่อแม่จะได้มีบุตรสืบสกุลต่อไป ดังนั้น
ความสุขในกามารมณ์จึงไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย ทุกคนมีสิทธิ์แสวงหาความสุขนั้นตามกฎระเบียบของพระเป็นเจ้า คือ ในชีวิตสมรสเท่านั้น
5. การหาความสุขในกามารมณ์นอกจากชีวิตสมรสจึงเป็นการละเมิดพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าอย่างหนัก
การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง (Masturbation) การผิดประเวณีต่อคนเพศเดียวกัน (การเล่นเพื่อน Sodomy หรือ Lesbianism)
เป็นการหาความสุขในกามารมณ์ที่ผิดต่อจุดมุ่งหมายซึ่งพระเจ้ากำหนดไว้ จึงเป็นบาปเช่นเดียวกัน
ข้อความจากพระคัมภีร์
ท่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า “อย่าล่วงประเวณี” แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่
ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป
จงควักมันทิ้งเสียเพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก (มธ 5:27-29)

พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่เจ็ด
“อย่าลักขโมย”
(คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ภาค 3 ข้อ 2441-2463)

• พระบัญญัติประการที่เจ็ด สั่งให้รักษาความยุติธรรม และเคารพกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่น
• บาปที่ผิดต่อความยุติธรรมในทรัพย์สิน คือ
1. เอาของๆเขาไว้อย่างผิดยุติธรรม
2. เก็บของๆเขาไว้อย่างผิดยุติธรรม
3. ทำทรัพย์สินของเขาเสียหาย
4. ร่วมมือในการทำผิดยุติธรรมดังกล่าวมานี้
o ผู้ที่ทำบาปผิดยุติธรรมในทรัพย์สินของผู้อื่น แม้จะแก้บาปแล้วก็จำเป็นต้องคืน หรือชดใช้ความเสียหายแก่เขาจนครบถ้วนจึงจะพันบาป

ข้อควรรู้

1. กรรมสิทธิ์ คือ การเป็นเจ้าของโดยถูกต้องในทรัพย์สินที่มีอยู่หามาได้ หรือได้รับตกทอดอย่างถูกต้อง
2. การเอาของผู้อื่นมาอย่างผิดยุติธรรม คือ เอาของๆเขาโดยเจ้าของไม่ยินยอมยกให้ เช่น ขโมย โกง ปล้น แย่งชิง บังคับ ขู่เข็ญเรียกดอกเบี้ยเกินควร
3. เก็บของๆเขาไว้ผิดยุติธรรม คือ การยึดเอาหรือไม่ให้สิ่งของเงินทองแก่ผู้อื่นในเมื่อเขามีสิทธิ์ควรได้รับ เช่น การไม่ยอมใช้หนี้ ไม่จ่ายค่าจ้าง
ลููกจ้างที่ไม่ทำงานตามที่ตกลง การไม่ยอมคืนสิ่งของที่เขาฝาก เก็บของตกหล่นไม่คืนเจ้าของ
4. ทำทรัพย์สินเขาเสียหาย คือ ทำให้เขาสูญเสียทรัพย์สิน หรือกีดกันมิให้เขาได้รับผลประโยชน์ที่ควรได้รับ
5. การร่วมมือในการทำผิดยุติธรรม คือ ช่วยเหลือหรือร่วมมีส่วน เช่น การเสี้ยมสอน ยุยงส่งเสริม สมรู้ร่วมคิด รับซื้อของโจรหรือช่วยเหลือด้วยวิธีต่างๆ
6. การพนันเป็นเหตุให้คนทำผิดยุติธรรมมากที่สุด เมื่อการเล่นพนันเป็นการล้างผลาญทรัพย์สินในครอบครัว การพนันจึงบาปผิดต่อความยุติธรรม
7. นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างอย่างยุติธรรม คือ เพียงพอต่อการดำรงชีวิตและเลี้ยงครอบครัวของลูกจ้าง
ควรช่วยอุปการะครอบครัวและช่วยเหลือในยามเจ็บป่วย และต้องป้องกันอันตรายทางกายและวิญญาณของเขาด้วย
8. ลูกจ้างต้องเคารพเชื่อฟัง และทำงานตามที่ตกลง และรักษาผลประโยชน์ของนายจ้าง และมีความซื่อสัตย์สุจริตในหน้าที่การงานของตน

พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่แปด
“อย่าพูดเท็จใส่ร้ายผู้อื่น”
(คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ภาค 3 ข้อ 2464-2513)

• พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่แปด สั่งให้รักษาความเป็นจริงและเคารพชื่อเสียงของผู้อื่น
• บาปที่ผิดต่อความจริงและผิดต่อชื่อเสียงของผู้อื่น คือ
1. โกหก
2. เป็นพยานเท็จ
3. ใส่ความ
4. นินทา
5. พิพากษาด้วยเบาความ
6. เผยความลับผิดยุติธรรม
o ผู้ที่ทำผิดต่อความจริงและผิดต่อชื่อเสียงของผู้อื่น จะต้องชดเชยความเสียหายและคืนชื่อเสียงแก่เขา
o ผู้ที่มีส่วนร่วมในการทำลายชื่อเสียงของผู้อื่นก็มีบาป และจะต้องชดเชยความเสียหาย และคืนชื่อเสียงแก่เขาเช่นเดียวกัน

ข้อควรรู้

1. โกหก คือ พูดผิดต่อความจริงที่ตนรู้เพื่อหลอกลวงผู้อื่นให้หลงผิด
2. เป็นพยานเท็จ คือ การช่วยยืนยันเรื่องเท็จว่าเป็นจริงในการตัดสินคดีใดๆ
3. ใส่ความ คือ การกล่าวหาว่าเขาทำผิดที่เขาไม่ได้ทำ หรือมีข้อบกพร่องที่เขาไม่มี หรือเพิ่มความผิดของเขาให้หนักกว่าที่เป็นจริง
4. การนินทา คือ การเปิดเผยความผิดลับของเขาแก่ผู้ที่ไม่ควรรู้อันเป็นเหตุให้เขาเสียชื่อเสียง
5. การพิพากษาด้วยเบาความ คือ การตัดสินหรือกล่าวหาว่าผู้อื่นมีความผิดโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ
6. การเปิดเผยความลับผิดยุติธรรม คือ การนำเรื่องส่วนตัวของเขาไปเที่ยวเล่าบอกให้เขาเสียชื่อเสียง หรือเกิดความเสียหาย

พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่เก้า
“อย่าปลงใจในความลามก”
(คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ภาค 3 ข้อ 2514-2533)

• พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่เก้า สั่งให้รักษาความบริสุทธิ์ทางจิตใจ และห้ามคิดหรือปรารถนาในสิ่งที่ผิดต่อความบริสุทธิ์
• การคิดหรือปรารถนาผิดต่อความบริสุทธิ์ โดยรู้ตัวและเต็มใจเป็นบาปหนัก
• วิธีขจัดความคิดและความปรารถนาผิดต่อความบริสุทธิ์ คือ
1. สวดภาวนาสั้นๆบ่อยๆ
2. ไม่อยู่ว่างเปล่า มีงานอดิเรก เล่นกีฬา ดนตรี
3. สำรวมกาย วาจา ใจ

ข้อควรรู้

1. ความคิดหรือความปรารถนาไม่ดีที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ยินยอมเต็มใจ ไม่เป็นบาป
2. การพยายามสละทิ้งความคิดหรือความปรารถนาไม่ดี กลับเป็นการบุญกุศล เพราะเป็นสิ่งยากลำบาก
3. การหลีกหนีความคิดไม่ดีโดยหันไปคิดถึงหรือสนใจสิ่งอื่นๆเป็นวิธีง่ายที่สุดเพื่อชนะการประจญเรื่องนี้

พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่สิบ
“อย่ามักได้ทรัพย์สินของผู้อื่น”
(คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ภาค 3 ข้อ 2534-2557)

• พระบัญญัติพระเป็นเจ้าประการที่สิบ สั่งให้รักษาความยุติธรรมในใจ และห้ามคิดปรารถนาหรือมักได้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่นโดยผิดความยุติธรรม
• การคิดมุ่งหมายจะได้ทรัพย์สมบัติผู้อื่นโดยผิดความยุติธรรม การตั้งใจจะขโมย หรอมักได้ทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นบาปหนักหรือเบาแล้วแต่กรณี
• วิธีขจัดความมักได้ทรัพย์สมบัติ คือ
1. ทำมาหากินอย่างสุจริตเพื่อจะมีสิ่งที่ต้องการ
2. พึงพอใจในฐานะและทรัพย์สมบัติที่ตนมีอยู่

ข้อควรรู้

1. ความมักได้หรือความโลภในทรัพย์สมบัติ เป็นเหตุทำให้ผิดความยุติธรรมได้ทุกชนิด
2. การถือความยากจนตามแบบอย่างพระเยซูเจ้า เป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อชนะความมักได้


** ขอขอบคุณข้อมูลจากหลายที่ มากมาย จำไม่ได้ว่าเอามาจากที่ใดบ้าง **

จุดประสงค์ก็ เพื่ออยากจะรวบรวมเอาไว้อ่าน เป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจ







Create Date : 20 สิงหาคม 2552
Last Update : 7 พฤษภาคม 2558 17:32:45 น.
Counter : 5902 Pageviews.

9 comment
โมเสส Moses
Moses

โมเสส (อังกฤษ: Moses ฮีบรู: מֹשֶׁה อาระบิก: موسى) คือผู้นำศาสนาของชนชาติยิวก่อนที่จะมีพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู โมเสสเป็นทั้งผู้บัญญัติกฎ ผู้พยากรณ์ นักประวัติศาสตร์ และยังเป็นผู้ถ่ายทอดคัมภีร์โตราห์หรือหนังสือห้าเล่มในพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเดิม อีกทั้งยังเป็นผู้พยากรณ์คนสำคัญของอิสลามและศาสนาบาฮาอี
โมเสส ในพระคริตสธรรมคัมภีร์
อัตชีวประวัติของท่านที่ได้บันทึกไว้ในพระธรรมเบญจบรรณ (พระคัมภีร์ห้าเล่มแรก ที่เชื่อกันว่า โมเสสเป็นผู้เรียบเรียงขึ้น)

พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวไว้ว่า โมเสสเกิดในตระกูลเลวี บิดาชื่อ อับราม มารดาชือ โยเคเบด มีพี่ชาย คือ อาโรน ก่อนหน้าโมเสสเกิด ฟาโรห์แห่งอียิปต์ เห็นว่าชาวยิวมีจำนวนมากและแข็งแกร่ง จึงต้องการลดปริมาณชาวยิวลง โดยมีคำสั่งให้อิสราเอลนำเด็กเกิดใหม่ที่เป็นเพศชาย ทิ้งลงแม่น้ำไนล์ แต่มารดาของโมเสสได้ซ่อนโมเสสไว้ จนกระทั่งถึงวัยที่ไม่สามารถจะหลบซ่อนได้อีก มารดาจึงนำโมเสสใส่ตะกร้าวางไว้ในกอไม้ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ เมื่อธิดาฟาโรห์ลงมาสรงน้ำ จึงเจอทารกน้อยโมเสส จึงนำไปเลี้ยงดู ชื่อของโมเสส แปลว่า "ฉุดขึ้นมาจากน้ำ" โมเสสได้โตขึ้นมาโดยมีมารดาเป็นแม่นมของตนเอง

โมเสสฆ่าคนอียิปต์

แม้โมเสสจะโตขึ้น โดยการเลี้ยงดูของธิดาฟาโรห์ แต่ยังคงเป็นคนรักในความเป็นอิสราเอล และพบเห็นว่าคนอิสราเอลต้องตรากตรำทำงานหนัก วันหนึ่งขณะโมเสสไปอยู่ท่ามกลางชาวอิสราเอล พบชาวอียิปต์กำลังทุบตีคนอิสราเอล เมื่อมองดูว่าไม่มีใคร โมเสสจึงฆ่าชาวอียิปต์คนนั้น และฝังซ่อนไว้ในทราย
วันรุ่งขึ้น ขณะโมเสสกำลังเดินอยู่ พบชาวอิสราเอลกำลังทะเลาะกัน จึงเข้าไปเตือน แต่กลับถูกย้อนว่า "ใครตั้งท่านให้เป็นเจ้านาย และเป็นตุลาการปกครองข้าพเจ้า ท่านตั้งใจจะฆ่าข้าพเจ้า เหมือนกับที่ได้ฆ่าคนอียิปต์คนนั้นหรือ"
เมื่อโมเสสได้ยินดังนั้น ก็ตกใจ และทราบว่าเรื่องนี้ลือกันไปทั่วแล้ว จึงหลบหนีออกไปอยู่ที่เมืองมีเดียน โดยอาศัยอยู่กับเยโธร ปุโรหิตของเมืองนั้น

พระเจ้าทรงเรียกโมเสส

ภายหลังจากฟาโรห์สิ้นพระชนม์ ชาวอิสราเอลก็คร่ำครวญกับพระเจ้า พระองค์จึงทรงระลึกถึงชนชาวอิสราเอล พระองค์จึงทรงไปปรากฏต่อหน้าโมเสส เพื่อเป็นผู้นำอิสราเอลให้ออกจากอียิปต์ ไปยังดินแดนคานาอัน อันเป็นดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับอับราฮัมว่าจะยกให้แก่พงศ์พันธุ์ของท่าน
เมื่อพระเจ้าทรงเรียกโมเสสนั้น ทรงกระทำหมายสำคัญ 3 ประการเพื่อให้โมเสสตอบรับหน้าที่นี้ หมายสำคัญทั้งสามประการได้แก่

1. พระเจ้าทรงให้โมเสส โยนไม้เท้าลงบนพื้น และไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู และเมื่อโมเสสจับหางงู งูนั้นก็กลายเป็นไม้เท้าดังเดิม

2. พระเจ้าทรงให้โมเสส สอดมือไว้ที่อก เมื่อชักมือออกมา มือนั้นก็กลายเป็นเรื้อน และเมื่อสอดมือไว้ที่อกอีกครั้ง มือนั้นก็เป็นปกติ

3. พระเจ้าทรงให้โมเสสตักน้ำมา และเทลงบนพื้น น้ำนั้นก็กลายเป็นเลือดบนดิน

แต่ถึงกระนั้น โมเสส ก็ยังคงมีข้อต่อรองกับพระเจ้า ด้วยโมเสสบอกว่าตนเองพูดไม่เก่ง เกรงว่าชาวอิสราเอลจะไม่ยอมฟัง พระเจ้า จึงให้อาโรน พี่ชายของโมเสส ซึ่งเป็นคนพูดเก่ง เป็นผู้ช่วยของเขา
ดังนั้นโมเสสจึงได้ลาพ่อตา และเดินทางกลับไปยังอียิปต์ และพบกับอาโรนเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าให้สำเร็จต่อไป เมื่อโมเสสได้ไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ที่อียิปต์ครั้งนี้ โมเสสมีอายุ 80 ปี และอาโรนมีอายุ 83 ปี

เหตุการณ์สำคัญ

• เมื่อโมเสสเข้าเฝ้าฟาโรห์ในครั้งนั้น โมเสสทูลขอให้ฟาโรห์ปล่อยอิสราเอลให้ไปนมัสการพระเจ้าในถิ่นทุรกันดาร (ทะเลทราย) ฟาโรห์ทรงมีพระทัยแข็งกระด้าง และไม่ยินยอมให้อิสราเอลไป ในครั้งนั้น โมเสส และ อาโรน จึงได้รับบัญชาจากพระเจ้าในการทำให้เกิดภัยพิบัติแก่อียิปต์ ถึง 10 ประการ

จนในที่สุด ฟาโรห์ และเหล่าข้าราชบริพารจึงพากันขับไล่อิสราเอลออกไปจากอียิปต์

• ก่อนภัยพิบัติครั้งสุดท้าย พระเจ้าทรงให้โมเสสนำอิสราเอลประกอบพิธีปัสกาขึ้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ความเป็นอิสราเอลไว้ เพื่อในคืนนั้นพระเจ้าจะผ่านเลยบ้านที่มีเลือดแกะปัสกาป้ายอยู่ แต่บ้านชาวอียิปต์พระเจ้าจะทรงนำเอาบุตรหัวปีของพวกเขาไป พิธีปัสกา จึงเป็นพิธีที่อิสราเอลเฉลิมฉลองถึงเหตุการณ์ความเป็นไท ในครั้งนี้
• เมื่อเดินทางมาริมทะเลแดง กองทัพอียิปต์ก็ติดตามอิสราเอลมา เพื่อตามอิสราเอลกลับไปเป็นทาสดังเดิม ครั้งนี้ พระเจ้าทรงให้โมเสสชูไม้เท้าขึ้นเหนือน้ำ ทำให้ทะเลแดงแหวกออก เป็นทางเดินให้อิสราเอลเดินข้ามไป แต่เมื่อกองทัพอียิปต์จะข้ามตาม ทะเลก็กลับคืนดังเดิม และท่วมกองทัพอียิปต์ตายไปเสียสิ้น
• เมื่อเดินทางถึงภูเขาซีนาย พระเจ้าทรงเรียกโมเสส ขึ้นไปเข้าเฝ้าพระพักตร์พระองค์ แบบหน้าต่อหน้า และที่ภูเขาซีนายนี่เอง ที่พระเจ้าทรงประทานบัญญัติ 10 ประการมาให้อิสราเอล และประทานกฎหมายข้อบังคับต่าง ๆ ให้แก่พวกเขา
• เมื่อออกเดินทางจากภูเขาซีนาย ก็เข้าสู่เขตแดนคานาอัน ในครั้งนั้น โมเสสส่งผู้สอดแนม จากบรรดาหัวหน้าในคนอิสราเอล จำนวน 12 คน (ตามเผ่าของอิสราเอล) ไปดูลาดเลาในคานาอัน ในจำนวนนั้น ยกเว้น โยชูวา และ คาเล็บ ต่างพากันให้ร้ายแก่แผ่นดินคานาอันนั้น เป็นเหตุให้คนอิสราเอลทั้งหลายไม่ยอมเดินทางเข้าแผ่นดินคานาอันตามที่พระเจ้าทรงบัญชา เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้อิสราเอลต้องใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทราย เป็นเวลา 40 ปี นับตามจำนวนวันที่ผู้สอดแนมเดินทางไปดูลาดเลาแผ่นดินนั้น และบรรดาอิสราเอลที่มีอายุเกิน 20 ปีในวันนั้น ยกเว้น โยชูวา และ คาเล็บ ล้วนไม่มีใครได้เข้าไปในแผ่นดินคานาอันเลย
• ขณะเมื่ออยู่ในทะเลทราย ช่วง 40 ปีอันโหดร้ายนั้น ครั้งหนึ่งเกิดการกันดารน้ำ ชาวอิสราเอลจึงมาต้ดพ้อโมเสส ในครั้งนี้พระเจ้าตรัสสั่งให้โมเสส ออกไป "บอก" ก้อนหินให้หลั่งน้ำ เพื่อได้มีน้ำใช้ แต่ครั้งนั้นอิสราเอลทำให้โมเสส และอาโรนโกรธอย่างมาก จึงใช้ไม้เท้า ตี หินสองครั้ง น้ำจึงไหลออกมา เหตุการครั้งนั้น พระเจ้านับว่าทั้งสองไม่เชื่อฟังพระองค์ อาโรนและโมเสสจึงไม่ได้สิทธิในการเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน

ชีวิตครอบครัว

เมื่อโมเสสไปอาศัยอยู่กับ เรอูเอล ปุโรหิตแห่งเมืองมีเดียนนั้น เยโธร ได้ยก ศิปโปราห์ บุตรสาวของตนให้โมเสส และมีบุตร ชื่อ เกอร์โชม

บั้นปลายชีวิต

โมเสสใช้เวลาปกครองอิสราเอล และนำอิสราเอลเดินทางผ่านทะเลทราย เป็นเวลา 40 ปี เมื่อท่านอายุได้ 120 ปี ก็สิ้นชีวิต โดยมิได้เข้าไปในแผ่นดินคานาอัน แผ่นดินแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า เพราะการไม่เชื่อฟังพระเจ้าเพียงครั้งเดียวตามบันทึกพระคัมภีร์กล่าวว่า ศพของโมเสส ถูกฝังไว้ในเขตแดนก่อนเข้าแผ่นดินคานาอันนั่นเอง

/1250759471.jpg>







Create Date : 13 สิงหาคม 2552
Last Update : 25 กันยายน 2552 8:43:40 น.
Counter : 972 Pageviews.

3 comment
บทเพลงในมิซซา
"บุญลาภ 8 "

"บุคคลใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นก็เป็นสุข
เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา"

สมัยก่อนใช้คำว่า "จิตใจยาก" แทน "บกพร่องฝ่ายวิญญาณ" หมายถึง การที่บุคคลนั้น มีความสำนึกตนว่าเป็นคนบาป และทูลขอโทษพระเจ้า ผู้นั้นก็จะได้แผ่นดินสวรรค์ การมีจิตใจยากจน แสดงถึงความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ไม่ยึดติดกับสิ่งของทางโลก สำนึกตนว่า ตนเองยังบกพร่องด้านจิตใจ มีใจสุภาพถ่อมตน ไม่อวดหยิ่ง จองหอง ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ มีความเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวง มีสภาวะจิตใจที่เติบโต ผู้นั้นก็จะได้แผ่นดินสวรรค์ คือสภาวะแห่งความสุข ความเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวงเป็นรางวัล

"บุคคลใดโศกเศร้า ผู้นั้นก็เป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับการปลอบประโลม"

แม้ว่าเราจะพบกับความเศร้าโศกในบางครั้ง เราจะพบว่าพระเจ้ามิได้ทรงทอดทิ้งเราให้อยู่ตามลำพัง พระองค์จะประทับอยู่กับเรา และคอยปลอบประโลมใจเราเสมอ การที่เรามีความทุกข์ เราจะนึกถึงพระ และได้รับพระเมตตาจากพระองค์ในที่สุด จงยอมรับว่า เราเป็นทุกข์ และมันไม่ได้เป็นนายเหนือเรา การเป็นสุข เกิดจากการยอมรับว่าตนเองเป็นผู้มีทุกข์ และยอมรับสภาพแห่งทุกข์นั้น พร้อมที่จะเข้าพึ่งพาอาศัยพระเมตตาจากพระเจ้า การเป็นทุกข์เกิดจากความไม่เป็นอิสระของใจเรา การตกเป็นทาสของอารมณ์ การไม่ปล่อยวาง และเมื่อเรายอมรับได้ เมื่อนั้น เราจะพบว่า เราได้รับการปลอบโยนจากพระองค์ ผู้ไม่เคยทอดทิ้งเรา

"บุคคลใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นก็เป็นสุข
เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก"

ผู้ที่มีจิตใจอ่อนโยน ก็ย่อมจะเป็นที่รักของทุกคนในโลกนี้ เปรียบเหมือนการได้แผ่นดินโลกไว้เป็นกรรมสิทธิ์ เพราะบุคคลอันเป็นที่รักของทุกคน ไปที่ไหนย่อมมีคนต้อนรับ อยากให้เข้าร่วมสังคมด้วยความอ่อนโยน ไม่ได้หมายถึงความอ่อนแอที่ยอมไปทุกเรื่อง การอ่อนโยน จะต้องมีพื้นฐานอยู่บนเหตุผล และความถูกต้องของสังคมศีลธรรมเสมอ

"บุคคลใดมีความหิวกระหายความชอบธรรม ผู้นั้นก็เป็นสุข
เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มสมบูรณ์"

ผู้ที่ยึดมั่นในความชอบธรรมด้วยการปฏิบัติตามพระวาจาของพระเจ้า พระองค์จะทรงประทานบำเหน็จให้เขา ในวันที่เขาจะต้องได้รับการพิพากษา เพราะเมื่อเรารักความชอบธรรม หรือแสวงหาความชอบธรรม (อย่างมีสันติ) เราจะไม่รู้สึกว่าตนเองถูกข่มเหง เบียดเบียน ไม่แสวงหาความสุขใส่ตน แต่ทำเพื่อผู้อื่น เราก็จะเป็นคนดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้าเสมอ

"บุคคลใดมีใจกรุณา ผู้นั้นก็เป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ"

บุคคลใดที่มีจิตใจกรุณา พระเจ้าก็ทรงพอพระทัยเขายิ่งกว่าคนที่ทำบุญเสียอีก เพราะการให้ มีคุณค่ามากกว่าการรับ โดยเฉพาะการให้แก่คนที่มีความต้องการ หรือคนที่ด้อยโอกาส ในสังคมคริสตชนทุกคน จึงควรเป็นผู้มีจิตเมตตากรุณาต่อผู้อื่น โดยเฉพาะคนยากจน คนตกทุกข์ได้ยาก คนเจ็บป่วย คนชรา เด็กพิการ และเด็กด้อยโอกาส เพราะเขาก็จะได้รับพระกรุณาจากพระเจ้า เป็นการตอบแทนเช่นกัน

"บุคคลใดมีจิตใจบริสุทธิ์ เขาจะได้เห็นพระเจ้า"

ผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ คือผู้ที่ไม่คิดร้ายต่อใคร ไม่ทำบาป หรือทำความผิดต่อพระเจ้าและคนอื่น มีมโนธรรมที่เที่ยงตรง ยำเกรงพระเจ้า ซื่อ ๆ สงบ มีสันติในจิตใจ เขาจะได้เห็นพระเจ้า เมื่อเขาจากโลกนี้ไปแล้ว เพราะพระเจ้า คือจิตที่บริสุทธิ์ คนที่จะพบพระเจ้าได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน

"บุคคลใดสร้างสันติ ผู้นั้นก็เป็นสุข
เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาเป็นบุตร"

ผู้ที่อยู่กับผู้อื่นอย่างสันติ ผู้นั้นก็จะได้เข้าใกล้ชิดพระเจ้า เพราะพระเจ้า เป็นองค์แห่งความสันติ ไม่ใช่องค์แห่งความวุ่นวาย ถ้าเราไม่มีสันติในจิตใจ คือ มีจิตใจที่อาฆาต พยาบาท เป็นจิตชั่วของผีปีศาจ ไม่ใช่จิตของพระเจ้า ดังนั้น ผู้ที่ดำรงตนอยู่ในสันติ จะต้องสร้างความปรองดองในหมู่ชน ไม่เว้นแม้แต่กับบุคคลที่เราไม่ชอบ หรือศัตรู เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคน ในฐานะที่เป็นพระบิดาของทุกคน เมื่อเราสร้างสันติเกิดขึ้น เท่ากับเราเป็นพี่น้องของเขา เราก็จะได้เป็นบุตรของพระเจ้าเช่นกัน

"บุคคลผู้ใดถูกข่มเหง เพราะเหตุของความชอบธรรม ผู้นั้นก็เป็นสุข
เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์ก็เป็นของเขา"

ผู้ที่ถูกข่มเหง เพราะความเชื่อที่เขามีต่อพระเจ้า หรือเพราะการกระทำดีตามพระวาจาของพระเจ้า เขาก็จะได้รับบำเหน็จในสวรรค์ ในชีวิตเรามักจะถูกเบียดเบียนจากความอยุติธรรม เพราะเราจะหาความยุติธรรมบนโลกนี้ได้น้อยมาก แต่พระเจ้าจะประทานความยุติธรรมให้อย่างแน่นอน ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

---------------------------------------------------------------------------------------

Credit :: //www.mariarosa.org

ความจริง ตั้งใจจะเขียนถึงเพลง "บุญลาภ" หนึ่งในบทเพลง รับศีล ที่ขับขานได้โดนใจมาก ๆ ไปเจอบทความ "บุญลาภ 8 " อ่านแล้วก็ รู้สึกดีมาก ๆ หากปฏิบัติได้จริง...

...เมื่อวานวันอาทิตย์ ปกติ เราเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัดมาก ๆ ไปวัดทุกวันอาทิตย์ แต่นั่นมันก็ เมื่อสมัยอยู่บ้านต่างจังหวัด การเดินทางแสนสดวกสบาย แค่ 5 นาทีก็ถึงวัดแล้ว พอย้ายมาอยู่กรุง การเดินทางก็ต้องเผื่อเวลาทำให้การไปโบสถ์ ( เราเรียก "วัด" ดีกว่านะ ชินกับคำนี้มากกว่า..) ในจิตสำนึก เราคือ "คาทอลิก"

เรานับถือ นิกาย "โรมันคาทอลิก" ซึ่งมีพระสันตปาปา เป็นประมุข ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้จักไม้กางเขน ร่ำเรียนพระคัมภีร์ รับศีลศักดิ์สิทธิ์ครบถ้วน ซึมในสายเลือดแล้วว่า ฉันเป็นคาทอลิก

...เช้าวันนี้ ในความรู้สึก อยากไปมาก ๆ อยากไปขับขานบทเพลงในพิธี ซึ่งล้วนแต่ไพเราะ นักขับที่วัดนี้ เป็นเยาวชน ช่วยกันร้อง เล่นดนตรี ร้องเพลงประสานเสียงได้ไพเราะมาก

"พระสิริมงคล จงมีแด่องค์ พระบิดาเจ้า
และชาวเรา ทุกคน ที่ทรงโปรดปราน ณ.แผ่นดินนี้
พระราชาสวรรค์ ชาวโลกพร้อมกัน สรรเสริญยินดี
พระผู้ทรงฤทธี ส่ง่าราศี เหลือที่เปรียบปาน

พระบุตรา ชุมพา พระองค์ พลีชีพองค์ประทาน
เพื่อวิญญาณ ของชาวโลกา เป็นบูชา นิรันดร์
ขอทรงธรรม์ ทรงพระเมตตา กรุณาเราเิทอญ

พระสิริมงคล จงมีแด่องค์ พระจิตตาเจ้า
ทรงให้ชีวิตเรา และทรงบรรเทา พิทักษ์คุ้มครอง
ขอพระผู้เรืองรอง รับสิริช่วงโชติ พร้อมโรจนา
ตลอดทุกทิวา ร่วมพระบิดา พระบุตรานิรันดร์"

......เป็นบทเพลง สรรเสริญ " พระตรีเอกภาพ" ซึ่ง ฉันชอบมาก ๆ ในยามที่ขับขานบทเพลง พระสิริมงคล จะรู้สึก ถึงพลัง ที่ใหลอาบทั่วร่าง มีจิตใจที่เข้มแข็งเหมือนได้รับพลัง จาก "พระตรีเอกภาพ" ประทานพระพรให้จริง ๆ

....." ดั่งทะเลเจอมรสุมแปรปรวน ทุกคนมีชีวิตเป็นเช่นนั้น

ยามทุกข์เจียนตายดั่งคลื่นและลมพัดพา ขาดคนคุ้มครองป้องกันพักพิง

แต่อย่าลืมพระองค์เฝ้ามองเราอยู่ พร้อมจะเชิดชูใจที่อ่อนระอา

จงหันคืนสู่พระพักตร์ที่แสนเมตตา มอบชีวาให้พระเจ้านำพา

......พักพิงในพระเจ้า พักพิงใจพระองค์ พระทรงเป็นศิลามั่นคง

พระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์เป็นพลัง โปรดเป็นโล่ห์เป็นกำบังที่เข้มแข็ง

ต่อไปนี้ ฉันจะไม่ ต่อสู้เพียงลำพัง

เหตุพระองค์ผู้กอบเกียรติชัยในความตาย

ความบาป โปรดเดินเคียงข้างฉัน....


.....เพลงนี้เป็นเพลง รับศีล เป็นเพลงที่ขับร้องแล้ว รู้สึกว่า มันใช่ชีวิต เราในตอนนี้จริง ๆ สิ่งที่อยู่ข้างเรา ก็คือ พระองค์ นั่นเอง

"พักพิงในพระเจ้า พักพิงในพระองค์ พระองค์เป็นศิลามั่นคง "

ใช่ที่สุด ท่อนนี้ เลย ยามที่เราท้อแท้ เรานึกถึงพระองค์ พระองค์มีแต่ความรัก ความเข้าใจ พร้อมที่จะรับฟังทุกเรื่องราวอยู่แล้ว

ทำไม ฉันลืมพระองค์ ทำไม ไม่วิงวอนต่อพระองค์ ยามที่เหน็ดเหนื่อยกับปัญหารอบด้าน ที่เราไม่สามารถ ผ่านไปได้

.....เหตุพระองค์ ผู้กอบเกียรติชัยในความตาย ความบาป โปรดเดินเคืยงข้างฉัน

พระองค์ คือผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์กล้าหาญ ที่ยอมถุกดูหมิ่นเหยียดหยาม เราเจอปัญหาแค่เล็กน้อย ทำไมเราท้อถอย ท้อแท้ ไม่กล้าหาญ

ข้าแต่พระบิดา ของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์
พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักร จงมาถึง
ขอให้ทุก ๆ สิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัย ในแผ่นดิน เหมือนในสวรรค์

ขอประทานอาหารประจำวัน แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้
โปรดยกโทษข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้ายกให้ผู้อื่น
อย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าถูกผจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นภัย


บทเพลงข้าแต่พระบิดา ภาวนาทุกทีที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ท้อถอย ในชีวิตประจำวัน จบมิซซาในวันนี้ ก้าวออกมาจากวัด พร้อมกับความรู้สึก ที่เปี่ยมล้นไปด้วยศรัทธา ขอบคุณพระองค์ค่ะ....







Create Date : 20 กรกฎาคม 2552
Last Update : 25 กันยายน 2552 8:52:38 น.
Counter : 1062 Pageviews.

2 comment
เรื่องสั้นที่ฉันเขียน.. ภูเรือ ในความรู้สึก
ภูเรือ 5 ธันวา 36

21.45 น.

ลมเย็นพัดแรงขึ้นทุกที...กอดอกไว้เท่าไหร่ก็ยังไม่หายหนาว แหงนหน้ามองฟ้ามืดมิดในคืนนี้...แพดาวระยับ...งดงามในความรู้สึก

....ฉันเหงา ฉันเหงาเหลือเกิน เหงาจนอยากร้องไห้ (ปวดร้าว เหลือเกิน)

สูบบุหรี่อีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่ก็เคยสัญญา...กับบางคนที่จากไปแล้ว ว่าจะไม่สูบอีก บุหรี่ หลายซอง ที่เก็บเอาไว้ในกล่อง จากการไปกินเหล้าในแต่ละครั้ง

ผู้หญิงกินเหล้า....กินไปทำไม ? นั่นซิ นั่นคือคำถามที่ ถามตัวเองตลอดเวลา ในทุกครั้งที่จิบเหล้า....เพื่อความพอใจ..ประชดประชัน..สะใจ หรืออะไรสักอย่าง...อารมณ์ยังคงสับสนวุ่นวายในคืนนี้ หากมีคนที่เข้าใจอยู่ข้าง ๆ คงไม่เหงาเนิ่นนานอย่างนี้....สูบบุหรีไปกี่ตัวแล้วนะ...กองไฟเริ่มมอด ฉันเติมฟืนเข้าไปก่อนจะออกมาเดินรอบ ๆ ที่พัก...ลมเย็นพัดกรูเกรียวหนาวสะท้าน แต่คงไม่สามารถดับความรุ่มร้อนในใจของตัวเอง...เรื่องราวถูกถ่ายทอดสู่กันและกัน ความรู้สึกของเพื่อน ๆ ร่วมเดินทาง ฉัน...เข้าใจ...เท่าที่จะเข้าใจ...ทุกคนมีความเหงาลึก ๆ ในจิตใจ...เสาะหาคนที่เข้าใจ เพียงแค่คนเดียว...บางคน ก็หาเจอ บางคน หาเท่าไหร่ ไขว่คว้าเท่าไหร่ ก็ไม่พบ...ฉัน ในยามนี้ เพียงแค่เดินกอดอกฝ่าลมหนาว...เพราะหัวใจเงียบเหงาเหลือเกิน

....ฉันมีเพียง แพดาวบนฟ้า ลมเย็น และ ขุนเขา เป็นเพื่อนคุย ...สายลมกระซิบริมหู ฉัน จะต้องเข้มแข็ง..เพื่อตัวเอง...

....เหล้าหมดไปแล้ว เดินมาไกลเหลือเกิน ได้ยินเสียงแปลก ๆ ในความมืดเบื้องหน้า ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน...มนุษย์ช่างอ่อนแอ จริงหนอ

....ฉันกลับมาซุกกายใต้ผ้านวม หมอนนุ่ม ๆ บนพื้นหญ้า ข้างกองไฟ นอนมองฟ้ากว้างยิ่งกว่ากว้าง พระจันทร์ลอยเด่น ขับไล่ดวงดาวหายไปเกือบครึ่งฟ้า...ลมเย็นรายล้อมรอบกาย

02.25

"หอมเอย...หอมกลิ่นสายลม
ชื้นเย็นจับใจ
วันวาน ผ่านมาแสนไกล
ใยหัวใจอ่อนแรงทุกที
เพราะเหงา เพราะเศร้าหรือ
ยื่นมือมาซิ จะกุมมือเธอไว้
ถ่ายทอดพลังแห่งใจ
ก้าวต่อไปด้วยตนเอง
ฉันยังอยู่ที่นี่ ตรงนี้
คอยมองเธอทุกที ที่สิ้นหวัง
ฉันคือฉัน คนนี คือพลัง
คือความหวัง คือจิตใจ ของเธอเอง"

....ยังไม่รู้สึกง่วงเลย...ฉันอยากพัก..สงบใจที่นี่ ไม่อยากลุกไปไหนเลย อยากนอนมองท้องฟ้าอย่างนี้ หลับไปพร้อมกับราตรีกาลที่เคลื่อนผ่านม่านเวลา

....พรุ่งนี้ คำถามต่อไป...จะเป็นอย่างไรนะ...ฉันไม่อยากถาม ไม่อยากรับรู้ ในเวลานี้ หัวใจ สงบเหลือเกิน ไม่มีความขุ่นเคือง เจ็บปวดหลงเหลืออยู่เลย
มันยากเหลือเกิน ที่จะให้อภัย คนที่เคยรู้สึก รัก...แต่ เมื่อไม่อาจกลับมาเหมือนเดิมได้เพียงปล่อยให้เวลา รักษาจิตใจที่ปวดร้าว ฉันรู้สึกว่า เริ่มเข้มแข็งขึ้นบ้าง

เสียงเพลงคุ้นเคย พลิ้วไหวในความทรงจำ "Some Where My Love"

เหล้า ก็หมดไปแล้ว ฉันนั่งดื่มอยู่คนเดียว รู้สึกถึงความมึนเมา โอบล้อม จนอยากออกไปเดินเล่น อืมม์...ได้ยินเสียงเพลงแว่วมาเบา ๆ ร้องเพราะเชียว..อย่าถามถึงเวลาว่าจะล่วงเลยขนาดไหน...ฟ้าใสขึ้น พระจันทร์นวลลอยเด่น..ดาวเหลือไม่กี่ดวงแล้ว พอจะนับได้ สิบ ยี่สิบ สามสิบดวง ฉันหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ ตลกจัง นอนร้องเพลง จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง คนมีความสุข ทำไปเถอะ ชีวิตคนมันสั้นนัก จำได้ถึงบทกวี ของ อัศศิริ ธรรมโชติ ที่เขียนไว้ว่า

"ความรัก มัีนนำความสุุขมาให้
มันนำความทุกข์มาใ่ส่
และมันทำให้น้ำตาเราใหล เปื้อนแก้ม"

อ่านแล้วชอบจัง แต่ก็ไม่เคยจำเสียที พอเจอหนุ่มหล่อ ยิ้มหวาน หัวใจก็ระทวยซะแล้ว ราตรีนี้ อีกไม่กี่ชั่วโมงกระมัง เีงียบสนิทดีจังนะ สายลมยังคงพัดหยอกล้อกับใบไม้ เกิดเงารูปร่างแปลก ๆ ฉันไม่รู้สึกกลัว ....ครั้งหนึ่งบนเขาเชียงดาว บ้านชมดาว ที่ไปพัก...ฉันนั่งกินเหล้าจนสว่าง แล้วก็ชอบออกไปเดินท่อม ๆ ในความสลัวรางยามใกล้รุ่งสูดกลิ่นชื้น ๆ ของน้ำค้าง คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ในยามที่ไม่มีใครเดินเป็นเพื่อน ทุกคนหลับใหล เหน็ดเหนื่อย....

"หัดรักตัวเองซะบ้างนะเรา" มีคนเคยบอก นั่นซินะ ฉันน่าจะรักตัวเองให้มากกว่านี้ แต่ ณ.เวลานี้ ฉันมีเพื่อนรักไม่กี่คน ที่ร่วมเดินทางมาี่ที่นี่ เพื่อจะลืม ใครบางคนที่ทำให้เจ็บปวด แทบปางตาย..ฉันสัญญา ฉันจะไม่ลืม..จารจรดไว้ในความทรงจำตลอดไป..ขอบคุณนะ เพื่อน....ที่อยู่ข้างกันเสมอ

อ้อมกอดของสายลม ...ภูเรือ

ภูเรือ 4-5-6 ในความทรงจำ



.....อีกครั้งกับความรู้สึกที่ไม่เคยจากจาง ลบเลือนจากความรู้สึก ไม่ว่าวันเวลา จะผ่านเนิ่นนานเพียงใด ฉันก็ยังคงเหงา...โดดเดี่ยวท่ามกลางฝูงชน....

นับสิบ

2 กรกฏา 52

.......................................................................................................

....คิดถึงจัง
คิดถึงนะ
คิดไหม
อยู่ใกล้ แค่นี้
คิดถึง
อยากไปหา
อยากเห็นหน้า
อยากบอกว่า
ห่างแค่นี้
คิดถึงจัง
คิดถึงเธอ...

.......................................................................................................

หัวใจอ่อนหวานนัก
ด้วยความรัก เดินทางมาถึง
เคาะเบา ๆ ที่ประตู
กลัว ๆ กล้า ๆ
จะเปิดรับดีไหมนะ...

........................................................................................................

เริ่มต้นกันตรงไหนนะ
ความรู้สึกถึงได้มากมายขนาดนี้
ชอบเธอ...
ความรู้สึกมาเร็วจนฉันตกใจ
ทำไมหัวใจจึงอ่อนไหว
เพราะใกล้ชิด เพราะผูกพัน
เพราะเธอดีกับฉัน อาทรฉัน
รัก...รักไม่คิดว่าจะรักเธอได้
ฉันอยากเริ่มต้นใหม่
เธอจะให้โอกาส บ้างไหม
เพื่อลบรอย
ความรู้สึกที่เกิดขึ้น
ฉันอยากหยุดเพียงแค่นี้
แค่ที่เราเป็น...แค่เพื่อน
ฉันคงปวดร้าวบ้าง
แต่ไม่ช้าคงเลือนหาย
ดีกว่าปล่อยใจ เพ้อฝ่ายเดียว
รอคอย วันที่เธอไปกับคนอื่น
ให้อภัยฉันเถอะนะ ที่คิดเพ้อเกินเพื่อน
เธอที่รัก...คงเรียกเธอได้เพียงในใจ
คงไม่มีโอกาส ได้เอ่ยคำนี้ จากหัวใจ
เพราะถึงอย่างไร คงไม่มีวันนั้น...

.......................................................................................................

เหนื่อยหน่าย ที่จะสานสัมพันธ์ต่อไป
นับวันแสนอ่อนล้า
มีแต่ความเมินเฉย เย็นชา
เหมือนสายป่านที่จวนขาดลอย
ใยต้องคอยเหนี่ยวรั้ง
ป่วยการจะฉุดรั้งเอาไว้ได้
ใจใครก็ต่างใจ
ห่างกันแสนไกล ใยต้องโหยหา
หากความสัมพันธ์ ต้องร้างลา
จะค่อยผ่อนสายป่านให้เนิ่นช้า
เพื่อว่า ป่านนั้น
จะไม่ทิ้งรอยบาดไว้กับมือ

......................................................................................................
.....ฟากเขื่อน ภูเก้า....

....คืนที่นั่งนับดาวดวงที่ 7 เมฆขาว ๆ หม่น ๆ ก็ลอยมาบังดวงดาวนั้นเอาไว้ นั่งรอว่าเมื่อไหร่กลุ่มเมฆจะจาง....

ดาวสวยมากเลยคืนนี้ ลมแม่น้ำพัดโชยค่อนข้างแรง เรือตกปลาลำเล็ก ๆ โคลงเคลงไปมา พระจันทร์สีซีด ๆ ที่เห็นเมื่อ 2 คีนก่อนก็ยังเหมือนเดิม

ใช่แล้วคืนนั้นเดือนหงาย ดาวมีไม่กี่ดวง เรานับได้ถึงดวงที่ 7 แล้ว เบ็ดก็ติดปลา

เสียงเพลง จากใครคนหนึ่งในเรือร้องนำขึ้นมา พวกเรานั่งนิ่งกันเงียบ ๆ บนเรือลำเล็ก ที่ปล่อยให้ลอยเท้งเต้งไปตามกระแสลมเย็นของลำน้ำ นั่งปล่อยอารมณ์คิดถึงเรื่องราวหลากหลายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ฟังเสียงแมลงเล็ก ๆ กรีดเสียงร้องแผ่ว ๆ มันอาจจะดังมากก็ได้นะ แต่เราได้ยินแค่นั้น...

ภูเก้า...อยู่อีกฟากของเขื่อนอุบลรัตน์ เหล้าไทย และกับแกล้มปลาห่อกระดาษฟลอย์ ไอ้เกี้ย มันจิ้มเข้าปากเรา หิวอ่ะ ใครป้อนอะไรกินหมด คืนนี้กับเพื่อน 7-8 คน มาที่นี่กันทำไมเนี่ย มากินเหล้า เอิ๊ก ๆ กินไปทำไมนักหนานะเหล้าเนี่ย ทั้งเมา ทั้งอ้วก สารพัดจะเป็น ไม่เห็นอร่อย กินกับเพื่อนอร่อยนะ เมาดี เราเป็นผู้หญิงธรรมดา เคยมีความรัก ว๊าววว นั่นแหละ จุดกำเนิดของความรู้สึกอ่อนแอ ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตน้อย ๆ จากความประทับใจเล็ก ๆ แล้วแผ่ขยายอานุภาพอันยิ่งใหญ่ หยั่งรากลึก เมื่อเริ่มต้นก็มีสิ้นสุด เรายิ้ม ทั้งที่หัวใจปวดร้าว ยอมรับสภาพที่เป็น...

อืมม์ ....ฉันผิดเองที่ไม่ดูแล ความรู้สึกในส่วนนี้ไว้ให้ดี แต่มีแล้วก็อบอุ่นหัวใจดีนะ
รอยยิ้มล้อเลียน ประกายตาระริกไหว ใต้แสงตะเกียงวับแวม พี่เตี้ยจุดบุหรี่ยัดไส้กัญชาสืดเข้าปอดลึก ๆ ฉันนั่งมองเงียบ ๆ ลมพัดมาวูบหนึ่งหนาวสะท้านใจ กลิ่นหอมเอียน ๆ ลอยมากระทบจมูก ไอ้เกี้ย ไอ้หน่อย พี่ตุ๊ก พี่บี้ เพื่อนร่วมชะตากรรม ลอยเท้งเต้งในเรื่อตกปลา....หึ หึ

"ลองหน่อยมั้ย" ฉันยื่นมือไปรับ พี่บี้ยิ้มตาหวาน ทำท่าจะหัวเราะ
คงจะเหมือนสูบบุหรี ฉันคิด ค่อย ๆ สืดลงปอดรู้สึกแสบร้อนแล้วก็สำลัก ไอจนน้ำตาใหล มึนหัวเหมือนถูกทุบ เพื่อนๆ หัวเราะกันใหญ่ ไอ้อ่อนหัดเอ๊ย..โดนประนามซะ เออ ก็คนเพิ่งริหัดสูบบุหรี่เนอะ ยังไม่เป็นนี่นา

"มันไม่ดีหรอก อย่าหัดเลย" พี่เตี้ย ทอมตัวเล็ก ๆ ที่เราแสนจะรักน้ำใจ ผลักหัวเบา ๆ ฉันได้แต่ยิ้มแหย ๆ ไม่ได้อยากหัดเลย ตามใจเพื่อนน่ะ

เสียงร้องเพลงเบา ๆ ของหนุ่มหน้าหวาน ร้องเพราะด้วยซิ
ไอ้เีกี้ย ตัวเป็นชาย ไม่ค่อยแมน แต่เพื่อนคนนี้เราสนิทกันเมื่อจะจากกันไปเสียแล้ว อีกไม่นานเกี้ยจะย้ายไปลงจังหวัดอื่น วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่จะได้พบกัน เราคงคิดถึงเกี้ย มันไม่ชอบผู้หญิง แต่มันรักเรา เรารู้ เคยนั่งร้องไห้ มีอ้อมแขนของเกี้ย อกผอม ๆ ให้คอยซับน้ำตา ผู้หญิงอกหัก ซ้ำซาก เฮ้อ ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้า ให้น้ำตาใหล้ย้อนไปในอก..ร้าวราน

พระจันทร์สีซีด ๆ มัวซัวดวงเดิม เรือยังคงโคลงเคลงไปตามระลอกพริ้วของผืนน้ำกว้างใหญ่ดำมืด ดูอ้างว้างนัก มาไกลฝั่งมากแล้ว แสงไฟวับแวมเล็ก ๆ ริมฝั่ง ไอ้โต กับพี่โรจน์ (อัสนี ตัวปลอม) คงต้มกาแฟไว้รอ กองไฟกองนั้นยังมิไ้ด้มอดดับ แต่อย่างใด เรืองหาปลาแล่นผ่านเราไป พร้อมกับเสียงตะโกนทักทาย ได้ยินแต่ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง เพราะฟังไม่รู้เรื่อง ไอ้เกี้ยร้องวู้ ตอบกลับไปแล้วก็หัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย คงจะพี้กันได้ที่กันแล้ว...

ได้ปลาตัวขนาดกลาง ๆ มา 5 ตัว อ้อ 4 ตัว เพราะอีกตัว ไอ้หน่อย เมา ปล่อยลงน้ำไปตัวหนึ่ง

ในชีวิตหนึ่งของคนเรา คงมีสักครั้งที่ได้ปล่อยตัว ปล่อยอารมณ์ออกมาในลักษณะที่แตกต่างกัน ฉันมีเพียงเพื่อนในชั่วครู่ชั่วยาม "ความสุขไม่ได้ผ่านเข้ามาบ่อย ๆ ในชีวิต"

......วันวานมาจากแสนไกล คงไม่มีวันย้อนกลับไปเจอเพื่อนเก่า ๆ ป่านนี้คงลืมไปหมดแล้วกระมังว่า ครั้งหนึ่งเรามีกิจกรรมอะไรที่ร่วมสร้างความทรงจำที่ดีต่อกัน

ภาระหน้าที่รับผิดชอบ ของแต่ละคน ปัญหาที่เราไม่เคยพูดคุยให้กันและกันรับทราบมากนัก เพียงคำพูดสั้น ๆ ไปด้วยกันนะ...

แล้วพวกเราก็มากันที่นี่ ....ภูเก้า อีกฟากของเขื่อน ในค่ำคืนเดือนหงาย

.....ไอ้เกี้ยเอนตัวอิงกราบเรือ ผมค่อนข้างยาวระไปกับผืนน้ำ พี่ตุ๊กขยับหัวมันให้เข้าที่กลัวหัวจะทิ่มลงน้ำ...

มีเพลงหลากหลายในเรือลำเล็ก ที่ร้องคลอด้วยกัน เสียงหัวเราะเยาะเย้ยตัวเองอย่างเจ็บช้ำ น้ำตามิได้รินใหลสักหยด มันคงอ่อนแอเกินไป เิกินกว่าจะระบายออกทางนั้น...ผู้หญิงร้องไห้ บางครั้งก็ไม่ใช่เสียใจ อะไรนักหนาหรอก ฉันเองก็เคยร้องไห้หนัก ๆ แต่ไม่ใช่อกหัก ใครล่ะจะรู้ จะมีซักกี่คนกัน ที่เข้าใจฉันในสถาพนั้น

ภูพานคำ สูงทมึนมืดมิดดูยิ่งใหญ่จัง ตอนนี้ ตีสามกว่า ๆ หนาวจนขนลุก อาศัยจิบเหล้าแม่โขง น้ำแข็งหมดไปนานแล้ว ไม่ไหว หนาวเป็นบ้า

ชอบเพลงที่ไอ้หน่อยมันร้องจัง "คิดถึง" เคยได้ยินกันไหม
"จันทร์กระจ่างฟ้า นภาประดับด้วยดาว"

เก่าจากกรุ ไม่นึกว่า ผู้หญิงเซ็กซี่อย่างไอ้หน่อยจะชอบฟังเพลงอย่างนี้ เหตุผลสั้น ๆ จากเจ้าหล่อน
"ฟังแล้วขนลุกดี ยิ่งตอนนี้นะ อึ๋ยยย"
แล้วหล่อนก็ทำท่าขนลุกขนพอง
เสียงบ่นพึมพำเหมือนพระสวด ดังแว่ว ๆ เออ ขนลุกดีแฮะ เหล้าหมดแล้ว ไอ้หน่อยนอนหนุนแขนตัวเอง หัวซุกอยู่ข้างไอ้เกี้ย ที่นอนร้องเพลงสากล เพราะ ๆ เสียงดีอ่ะ ชอบฟังจังเลย ในเรือเงียบเสียงไปหมด สงสัยจะหลับกันหมด

"ตี 4 แล้วเข้าฝั่งดีกว่ามั้ย " ฉันเปรยเบา ๆ ค่อนข้างเกรงใจ ด้วยรู้ว่าทุกคนมาปล่อยอารมณ์กันเรื่อยเปื่อย
พี่บี้หยิบพายอันหนักจ้วงลงน้ำ ขาอีกข้างเขย่าไอ้เกี้ยให้ลุกมาช่วยกันพาย ฉันกลัวเรือคว่ำ มีแต่คนเมา ถ้าจมน้ำก็เสร็จ พวกเรากลับเข้าฝั่งกันได้อย่างทุลักทุเล ฉันถอนหายใจ รอดมาได้ไงเนี่ย...

"ได้ปลาเยอะมั้ย..." พี่เป้ยื่นมือขาวเรียว มารับถังใส่ปลาไปจากมือไอ้หน่อย พี่เตี้ยบ่นหิวน้ำ แต่มือควานหาเหล้าที่เหลือจากสัมภาระที่กองอยู่
เพื่อนพวกนี้กินเหล้ากันเก่งมาก ฉันไม่อาจะเทียบได้เลย คงเป็นเพราะไม่ได้ชอบอะไรนักหนา สูบบุหรี่เมื่ออยากจะสูบ กินเหล้าก็เมื่ออยากจะกิน นี่แหละที่เป็นฉัน ความทุกข์ ความสนุกสนาน ต้องสมดุล...

กลิ่นหอมไหม้ ๆ ปลาบู่ห่อฟลอย์ สูตรของพี่โรจน์ อัสนี สุดหล่อของฉัน ชอบนะพี่แกอารมณ์ดี ชอบคุยเรื่องแปลก ๆ ตลก ๆ มีปัญหาน่าถีบมาถามเสมอ กับแกล้มที่แสนอร่อย อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศ สถานที่ อะไรก็อร่อยไปหมด แม้แต่น้ำจืดก็ยังรู้สึกว่าหวานเหลือเกิน

ระหว่างที่รอปลาเผาสุก พี่โรจน์คว้ากิต้าร์เก่า ๆ ที่พี่แกคุยว่ามีประวัติ THIS OLD GITAR ว่าเข้านั่น
พวกเราล้อมวงใกล้ ๆ พี่เตี้ยชงเหล้าแจกทุกคน ไฟกองเล็กคุโชน กลิ่นหอมของปลา กลิ่นไหม้ของฟืน กลิ่นชืั้น ๆ ของน้ำค้าง เย็นจนรู้สึกแสบจมูก
พี่โรจน์เล่นเพลงอะไรไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยได้ยิน เพราะดี แล้วเพลงหลากหลายก็ตามมา พวกเราร้องคลอ ร้องไม่จบซักเพลง ส่วนใหญ่จะหาเรื่องมาคุยแทรก พี่โรจน์ ก็ด่าเป็นระยะ ได้หัวเราะขำกัน สนุก

เริ่มอุ่นอีกครั้ง ดีกรีเข้าไปเต็มกระเพาะ หน้าร้อนฉ่า แต่ข้างหลังเย็นและชื้นชอบกล
หวานนะ ปลาบู่เผา หอม ๆ คาว ๆ ก็ปลาเนาะ ฉันไม่ค่อยชอบกินปลา แหะ ๆ แสงเรื่อเรืองแย้มเหลี่ยมเขา เหล้าเหลืออีกครึ่งขวด
รถกระบะสีน้ำเงินเข้ม โคลงไปเคลงมาบนถนนลูกรัง ทำให้นึกถึงเกวียน ขย้อนท้องชอบกล สีส้มเรือง ๆ ลอยเด่นเหนือเนินเขาข้างถนน ไอ้เกี้ยตะโกนบอกให้รถหยุด ก่อนจะวิ่งไปบนเนิน โพสต์ท่าถ่ายรูป แบ็กกราวด์คือพระอาทิตย์สีส้ม ตัวมันเป็นเงาดำ ๆ อยุ่ตรงกลาง เป็นภาพที่สวยมากประทับในความทรงจำไม่มีวันลืม

ฉันแหงนหน้ามองฟ้าขมุกขมัว หมอกบาง ๆ โรยตัวอ้อยอิ่งขาวพร่างไปหมด เส้นผมเปียกชื้นลีบลู่ ฉันนับดาวที่เหลือบนท้องฟ้า..

เพื่อนที่รู้ใจ รู้จัก และห่างไกล เหมือนดวงดาว....

ชำมะนาด

นับสิบ
2 กรกฏา 52

.......................................................................................................

จะเก็บดาวมาถักฝัน
ร้อยความผูกพัน มาเก็บไว้
รินหยดน้ำ แห่งความจริงใจ
เพื่อเป็นกำลังใจ ให้เธอ
ฉันอยู่ตรงนี้ ที่รัก
ศาลาพักใจ คือฉัน
หากเธอไว้ใจซึ่งกัน
ฉันจะอยู่ข้าง ๆ เธอ ตลอดไป

...................................................................................................

เย็นเอย สายลม
พัดพาความสดชื่นมาให้
ฝนเอย ฝนรินรดใจ
เย็นฉ่ำ คลายเหงา เศร้าระทม
ชั่วครั้ง ชั่ววาร นานนับ
คอยสดับ เสียงเพรียกหา
ความรักเคาะประตู ผ่านมา
พอชื่นอุรา แล้วจากไป
ทิ้งรอย ทิ้งความขมขื่น
รอยสะอื้น จำเจ็บไว้ให้
ไม่ลืม จดจำ ฝังใจ
รักเอย ใยไม่ฉ่ำเย็น
ต่อไป หัวใจนี้จะมีใคร
กล้าหรือไม่ สานต่อแม้ขมขื่น
อยากมีรัก โอบกอดทุกค่ำคืน
ไม่ต้องยืน เดียวดาย ท่ามกลางดาว

.......................................................................................................
เช้าวันอาทิตย์กับ หนึ่งความทรงจำ

เช้าวันอาทิตย์ เป็นวันที่ฉันรู้สึกสดใส เพราะฉันได้พบกับคุณโดยบังเอิญ ดีใจมากที่พบกับคุณอีก...รอยยิ้มของคุณ ทำให้หัวใจฉันพองโต เต้นแรง ฉันยิ้มกว้าง ด้วยความรู้สึกผูกพันธ์ เนิ่นนาน แม้ว่ามันจะกลายเป็นอดีตที่แสนทรมาน แต่ฉันก็ยอมรับตามสถานะที่เป็น...

รอยยิ้มอบอุ่นของคุณ ดวงตากลมโตเป็นประกายสุกใส ภายใต้กรอบแว่นสีขาว ดูเหมือนคุณยังไม่ได้เปลี่ยนแว่นอันใหม่นะ

" ดีใจจังค่ะ ที่พบกันอีก " ฉันระงับความตื่นเต้น พูดกับคุณด้วยท่าทีปกติ รอยยิ้มอ่อนโยนของคุณ ที่ฉันคุ้นเคยมาแสนนาน

" นิน ดูเปลี่ยนไปมากนะ"

" หืมม์ เปลี่ยนยังไงคะ บอกหน่อยซิ " คุณยิ้มล้อเลียน ระคนเอ็นดูกับหน้างอน ๆ ของฉัน..ใช่สินะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันเป็นแค่น้องสาว แต่ความรู้สึกของเรามันเกินฐานะของพี่ กับ น้อง คุณรู้ ฉันรู้ เพียงแต่เรา ไม่เอ่ยถึง เราสัมผัสรู้สึกด้วยสายตา และความอาทรต่อกัน

" ผมหมายถึง นินน่ารักขึ้นต่างหาก " ฉันหัวเราะแก้เขิน คุณก็หัวเราะเอ็นดูเหมือนเคย ร้ายนักนะ ทำให้ฉันเขินบ่อย ๆ เนี่ย

ฉันอยากบอกคุณเหลือเกิน ว่าที่ฉันเปลียนแปลงตัวเองก็เพราะคุณ ฉันไม่ต้องการให้ใครเห็นว่าฉันอ่อนแอ บางความรู้สึก ฉันก็รู้ว่า คุณยังรักฉันอยู่ มันคงยาก ที่เราจะกลับมาเหมือนเดิม...

" อยากคุยกับคุณจังค่ะ..." ฉันออดอ้อน คุณยิ้มหวานล้อเลียน เอื้อมมือมาขยี้ผมอย่างเอ็นดู ฉันชอบจังค่ะรู้สึกอบอุ่นวูบไหว ในหัวใจ

" ไปซิครับ ผมว่างทั้งวัน นินอยากไปไหนครับ " ฉันกอดแขนคุณอย่างเผลอตัว เอนหน้าซบต้นแขน ยิ้มประจบ ส่งสายตาหวาน เจ้าเล่ห์ คุณหัวเราะ เพราะ ได้หลงกล ฉันเข้าแล้ว ...

......เช้าวันอาทิตย์ แดดไม่ค่อยแรงเลย เราเดินไปตามฟุตบาท ฉันกอดแขนคุณเหมือนเด็กน้อย ตามพี่ชาย มีความสุขจังค่ะ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน เราเดินดูข้าวของ ดูหนังกัน เล่นโบวล์ สนูกมีความสุขแทบลืมเวลา

" หิวจังเลย เราหาอะไรทานก่อนดีมั้ยคะ " คุณพยักหน้า

ฉันสั่งอาหารที่คุณชอบ กาแฟรสขม น้ำส้มคั้น และที่ขาดไม่ได้ก็ บลูเบอร์รี่ชีส ..จริง ๆ แล้ว คุณก็ชอบ เค้กทุกชนิด กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ฉันไม่เห็นคุึณไว้พุงสักทีนะ

" นิน มีแฟนรึยังน่ะ " จู่ ๆ คุณก็ถาม ฉันแทบสำลัก น้ำส้มที่กำลังดื่ม

" มี แล้วค่ะ " ฉันอ้อมแอ้ม ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ถ้าตอบว่า ยังไม่มี ดวงตาคุณจะวูบไหว หมือนขณะนี้หรือเปล่า ฉันไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่า คุณยังอาลัยใยดีฉันอยู่...
สองครั้งแล้ว ที่ฉันปฏิเสธคุณ แม้ใจฉันปวดร้าว น้ำตารินใหล

" เขาคงดีกับนิน และ รัก..นินมากซินะ " คุณเส หยิบถ้วยกาแฟขึ้นจิบ เมินหน้าไปนอกหน้าต่างร้าน..

" เค้าก็ดีค่ะ แต่เราไม่ค่อยได้เจอกัน " ฉันรู้สึกขำ ที่โกหกได้เป็นวักเป็นเวร คุณทำหน้าสงสัย

" เค้าไม่ได้อยู่ แถวนี้หรือ "

" อืมม์ ... บางทีเค้าอาจจะมีแฟนใหม่ไปแล้วก็ได้ " ฉันตอบยิ้ม ๆ
" นิน ไม่ได้ ..รัก..เหรอ " ดูคุณจะ เค้นทำว่า "รัก" ออกมายากเย็นเหลือเกินนะคะ ฉันแทบแต่งเรื่องต่อไม่ไหว เพราะดูคุณปักใจเชื่อจริงจัง..

"ใช้อะไรวัดความแน่นอน ของคำ ว่า " รัก " ทุกคนก็พูดได้ รักเธอ รักคุณ จะรักมาก รักน้อย ก็พูดกันได้ง่าย ๆ นินไม่คิดว่าจะใช้ คำนี้ผูกมัดใคร อย่าถามเลยค่ะ ว่ารัก ของนินมีมากแค่ไหน กับใครสักคน ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่า " รัก " ในความรู้สึกของตัวเอง ว่ามีมากแค่ไหน แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ที่เอ่ย คำว่า "รัก" แล้วพรุ่งนี้ก็เปลี่ยนไป คนที่นิน เอ่ย คำว่า " รัก " นั่นคือนิน มั่นใจ ว่านิน "รัก" นินจะเก็บเอาไว้ เพราะมันเป็นความรู้สึกที่สวยงาม นินไม่มีวันลืมหรอกค่ะ "

ฉันสบตากับคุณด้วยความรู้สึกทั้งหมดจากใจ

" ผมไม่อยากให้ นิน คิดถึงความรู้สึกเก่า ๆ จนลืมที่จะนึกถึงปัจจุบัน ผมดีใจที่พบกับนินวันนี้ ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ จะได้กลับมาเจอกับนินอีก "

ฉันยิ้ม แม้จะพยายามปั้นสีหน้าอย่างไร ก็คงจะแสดงความอ่อนไหวออกมาให้เห็น เราต่างนิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง..

" เล่าให้ฟังหน่อยซิคะ ว่าคุณไปไหนมาบ้าง "

" ผมไปเรียน.. " " ที่..นิวยอร์ค นั่นหรือคะ " ฉันยิ้มล้อ อย่างรู้ทัน คุณหัวเราะ
" เอ๊ะ รู้ได้ยังไง ผมยังไม่ได้เล่าเลย "

" รู้ซิคะ กรอบเล็ก ๆ ที่เขาประกาศคนหายไงคะ " ฉันหัวเราะ คุณทำหน้าดุ ล้อ ๆ
" มีคน บอกค่ะ "

" หืมม์ ไหนบอกต่อซิ คนบอก เขาว่าไงอีก " คุณทำท่างอน น่ารักเชียวค่ะ นาน ๆ จะได้เห็นชายหนุ่มมาดขรึม ๆ งอน

" ก็....ไม่เห็นบอกอะไรมากค่ะ บอกว่า คุณไปต่อโท ที่ยู ไหนซักยูที่ นิวยอร์ค "
" อืมม์ งั้นหรือ แต่ว่า ผมรู้เรื่องของนิน เยอะเลยนะครัย " คุณอวดทำตากรุ้มกริ่ม ชอบจังค่ะ
" บอกมาค่ะ คุณรู้อะไรบ้าง " คุณเอียงหน้า ทำท่าสำรวจฉัน

" อืมม์...ก็ผมยาว หยิก ฟู เว้า ๆ แหว่ง ๆ นะครับ " คุณล้อยิ้ม ๆ

" แหม...ทรงออกจะทันสมัย ไม่ได้แหว่งซะหน่อย "

" นั่นซิ คนบอก ไม่เห็นบอกว่า ซอยนะ บอกว่า เซ็กซี่ อืมม์ สวย "
คุณพูดหน้าเฉย แต่ลูกตาพราวเชียวล่ะ

" หลัง ๆ นี่ คุณพูดเองแน่ ๆ เลย "

" อ้าว รู้ทันอีกแล้ว.." คุณยิ้ม เจ้าชู้เชียวนะ

ฉันอยากให้วันนี้ ไม่มีสิ้นสุด เพื่อจะได้อยู่กับคุณ และมองหน้าคุณนาน ๆ ฉันก็แค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่รู้สึกดี ๆ กับคุณ

" พอกลับ จาก อเมริกา ผมก็ไปใต้ ไปอยู่เกาะ เป็นเดือน แล้วก็ขึ้นเหนือ ตระเวณไปตามดอย ไม่ได้หยุดอยู่กับที่นาน "

" น่าสนุกจังนะคะ นิน อยากไปแบบคุณจัง คงอิสระดีนะคะ "

" ผมก็อยากชวนไปด้วยกัน แต่ไม่กล้า " คุณทำตาเจ้าชู้อีกแล้ว สงสัยคงจะคุยได้ไม่นาน เพราะฉันเขินนี่คะ

" อย่าพูดดีเลย คุณไม่ชวนหรอก นินรู้หรอกน่า แต่ชวนคนอื่นไปล่ะซิ "

" จริงที่ไหน เคยชวนใครที่ไหนกัน กลัวพาลูกสาวเค้าไปลำบาก " คุณยิ้มแล้วหล่อมาก ๆ เลยนะคะ

สำหรับฉัน แม้ว่าลำบากแค่ไหน ก็ทนได้เสมอ หากไปกับคนที่รัก ขอเพียงได้อยู่ใกล้ ๆ กันก็พอ

" หนังสือที่ผมเขียน ได้พิมพ์แล้วนะ ผมเขียนบนเกาะ ชีวิต ชาวเกาะ สนุก เห็นแต่น้ำกับฟ้า เสียงนก เสียงคลื่น เดี๋ยวนี้ นิน ยังเขียนหนังสืออยู่หรือเปล่าครับ "

" ไม่ค่อยได้เขียนแล้วค่ะ นาน ๆ ถึงเขียนกวี สักบท "

" แอบไปดื่ม อีกรึเปล่าครับ " คุณหัวเราะ ลูกตาพราว ฉันหัวเราะประสานกับคุณ แหม คุณน่ะ ไม่น่าถามเลย

ถ้าตอนนั้น ฉันมั่นใจสักนิด ฉันคงไม่สูญเสียคุณไป ความรู้สึกจริง ๆ ไม่นึกเสียดายวันเวลา ดีเสียอีก ที่ได้พบเพื่อนที่ดีอย่างคุณในวันนี้ ด้วยความรู้สึกมันเดินทางมาแสนไกล เกินกว่าจะกลับไปรู้สึกเหมือนเดิมได้ คงเป็นเพียงความรู้สึกใหม่ ที่มีให้แก่กันเท่านั้นเอง

" ช่วงที่ผมอยู่เกาะ ผมคิดถึงหลายอย่าง มากที่สุดก็คิดถึง คนที่ผมรัก ผมอยากให้เธอมาอยู่ใกล้ ๆ ผมคิดถึงเธอทุกวันเลยนะ " คุณสบตาฉันเนิ่นนาน ราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมด หัวใจฉันอ่อนไหว ฉันไม่หวัง ไม่อาจหวังว่าจะเป็นคนที่คุณรัก เพราะคนที่ดีกว่าฉัน สักวันคุณคงเจอ และวันนั้นฉันก็พร้อมจะยินดีกับคุณ
แต่ลึก ๆ ในใจ ก็ อยากเป็น " คนที่คุณรัก " นะคะ.....


วันอาทิตย์

พฤศจิกายน

นับสิบ
3 กรกฏาคม 52








Create Date : 02 กรกฎาคม 2552
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 20:10:22 น.
Counter : 719 Pageviews.

0 comment
ไปงานบวช..พระแชมป์
....ฟ้ายังไม่สางทุกอย่างรีบไปหมด เพราะวันนี้ จะไปงานบวชน้องชาย ที่เจอบนภูสูง..ต้องเดินทางอีกไกลทีเดียว วัดที่บวช คือวัด "ประสาทบุญญาวาส" อยู่มุมไหนของ กทม ก็มิอาจตอบได้

...ตีห้าเศษ ๆ ใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวอย่างไว เดินออกจากหมู่บ้าน ฟ้ายังมืด ๆ อยู่เลยผ่านยามหน้าหมู่บ้าน โอว แม่เจ้า ไฉนมันเงียบเชียบ เหลือเกินล่ะนั่น มีหมา 2-3 ตัว เดินเป็นเพื่อน (มันจะมาตามทำไมเนี่ยยย..) เดินมาเรื่อย ๆ มีชาวบ้านแถวนั้นตื่นมาบ้าง ก็ดีไม่เปลี่ยวมากนัก มองหา รถมอเตอร์ไซด์ ไม่เห็นซ้ากกคัน เิดินจนเหงื่อเริ่มซึม ๆ เวลาก็จวนจะ หกโมงด้วยนัดหมายกะน้องสาวคนงาม เธอ จะไปรอที่ สถานี รถใต้ดิน เพชรบุรีตอน 6 โมง กว่ารถมอเตอร์ไซด์ จะวิ่งมา ก็ปาเข้าไปเกือบจะ หกโมง กว่าจะไปขึ้นรถ ต่อรถ มันก็เลยเวลาไปมากโข สายเป็นสายล่ะ ทำไงได้ รีบแล้วนะ...อิอิ

เอ๋า มีเรื่องปล่อยไก่ หมดเล้า กร๊าากกก บ้านนอกแท้ มันมีที่ไหน สถานีอโศก เราก็ พาซื่อไปบอก กระเป๋า เค้าทำหน้า งง ๆ แต่ก็ ครับ ๆ แล้วเดี๋ยวผมจอดให้ ฮ่า ๆ ๆ

...กระเป๋าไล่ลง ให้เดินอีกไกลมาก ๆ กว่าจะถึงสี่แยกไฟแดง เป็นเวลา 6.30 ซึ่งความจริงคือเวลานัดเจอกะน้องอีกกลุ่ม ที่สถานีรถไฟใต้ดิน บางซื่อ ...กังวลใจนิดหน่อย ก็ไม่ค่อยผิดนัดเลยเวลามากขนาดนี้อ่ะนะ

...กว่าจะได้เจอกัน ก็ปาเข้าไป เจ็ดโมง เจอกับพวกน้องภรณ์ ก็รีบขึ้นแท็กซี่อย่างเร่งด่วนไปที่วัดทันที จะทันไหมหนอ...

...ถึงวัดแล้ว เดินเข้ามาข้างใน ก็เจอเ น้องฟัก แล้วก็ ญาติมิตร ของน้องแชมป์จับกลุ่มคุยกันอยู่..

อิอิ น้องแชมป์ นั่งอ้วนอยู่หน้าศาลา แฮ่ ๆ บุ้ยใบ้ให้มาขลิบผม




...........ดี ๆ นะพี่ทุม ระวังหูแชมป์ เอิ๊ก ๆ ....



.........พี่คนนี้เค้ายืนห่างเนาะ บรรจงมาก ๆ เลย อิ อิ...



...หิวมั้ยจ๊ะ นาค แฮ่ ๆ ข้าวต้มอร่อยมากค่ะ..(แชมป์แอบบ่นหิว พี่แซวซะเลยอิอิ)



.........เฮ้อ ...ผมหนาวแล้วครับ ....



........พระมาแล้ว....เิตรียมจะโกนผมแล้วค่ะ....



.......สระผม กันก่อน .....



......โกนกันเลยทีเดียว......







....ทาขมิ้น (หมูทาขมิ้น) เอ่อ แชมป์จ๊ะ สึกแล้วไปจัดการเจ้าฟักนะคะ พี่ม่ายเกี่ยว



....กราบเท้า ขอขมา คุณแม่ ( เอ่อ ซึ้งค่ะ น้ำตาซึมเล็กน้อย)



ล้างเท้าคุณแม่ (ซึ้งค่ะ)



...เป็นอันเสร็จพิธี แล้วนาคก็ไปแต่งตัว ออกมาถ่ายรูปหมู่กับญาติ และเพื่อน ๆ



.....คุณแม่ และ น้องชาย...



.......หลุด..รึเปล่าเนี่ย เห็นพี่ไปส่อง ๆ อ่ะ คริ คริ....



.......เพื่อน ๆ และพี่....



....เริ่มแห่นาค รอบโบสถ์ค่ะ ตั้งขบวนกันอย่าเร่งรีบ แดดร้อนมัก ๆ



.....ขบวนนำหน้า ฟ้อนกันอย่างสนุกสนาน.....



...ได้รับเกียรติ ถือพานพุ่ม ดอกไม้ธูปเทียน ร่วมขบวนแห่ด้วย...ปลื้มจังค่ะ



.....ญาติคนนึงมังเนาะ ถือหมอน...แหะ ๆ (พี่อยากถืออ่ะ คริ คริ)

width='450' height='298' border=0>

.....สงบเยือกเย็นมาก ๆ ....



......ญาติผู้ใหญ่....สีหน้าอิ่มเิิอิบ...มีความสุขถ้วนทั่ว...



.....สีหน้าเพื่อน ๆ ....ยินดีทั่วหน้า บานนนนนนมาากกกก...กร๊ากกก..



....ครบ 3 รอบแล้วค่ะ เข้าโบสถ์กัน....



....หว่าน กาลพฤกษ์....คว้าได้ 1 อัน เย้ ๆ ดีใจ.....



.....เจ้าอาวาสไปรับเทียนพรรษาอยู่ รอก่อน...รอก่อน..



...พระมาแล้วเริ่มพิธีบวช ช่วงนี้ก็บรรยายไม่ถูกนะคะ ดูภาพเอาก็แล้วกันค่ะ ตามลำดับเลยละกัน ชอต ต่อ ชอต...















...พระแชมป์ได้ฉายาว่า "ประภากะโร"....แปลว่าอะไรใครพอรู้ บอกหน่อย..



..........คุณแม่ถวายธูปเทียนแพ และบาตร......





....เริ่มพิธีต่อค่ะ.....





...ตอนนี้ น่าจะเป็นคำกล่าวขอบวช นะคะ ผิดขออภัย ไม่ทราบขั้นตอนค่ะ..







...ช่วงสวดให้พร ไม่ได้เก็บภาพ พนมมือรับพรด้วยน่ะค่ะ เสร็จพิธีก็เป็นการถวายปัจจัย โดยคุณแม่ เป็นผู้ถวายให้พระค่ะ







......เป็นอันเสร็จพิธีค่ะ..ญาติโยม และเพื่อน ร่วมกันถวายปัจจัยใส่ย่ามให้พระด้วย..อิอิ (มีแอบแซวกันเองสนุกสนาน..)







......ถ่ายภาพกับพระเรียบร้อย ก็ถึงเวลาไปรับประทานอาหาร..เมนูน่ากินทุกรายการ ด้วยความหิว จึงเหลือ แต่ เมนูหลัง ๆ นะคะ แหะ ๆ





.......สภาพอย่างที่เห็น อร่อยมาก ๆ ......



..........อิ่มแล้ว ลั๊ลลา หน้าบานได้อีก......









.............บัวลอยงาดำน้ำขิง อร่อยมาก ค่ะ อิ่มเลยทีเดียว.........



อิ่มเรียบร้อยพวกเราก็นัดหมายไปเดินเล่น ที่ เจเจ มอล ก่อนกลับ เหลือบไปเห็น พระแชมป์เดินมาใกล้ ๆ ขอถ่ายถาพใกล้ ๆ หน่อยละกันค่ะ

พระ งาม มาก ๆ เลยค่ะ



....ฟัก ถามพระว่า จำวัดที่กุฎิ ไหน พระตอบว่า กุฎิ ที่ 30 น่าน ๆ จดกันใหญ่อีกไม่กี่วันหวยออก...เิ๊ิอิ๊ก ๆ
....อ๋อ โยมพี่ทุม ฝากบอกว่า พระแชมป์ สึกเมื่อไหร่ ออนเอ็มด้วยนะคะ ฮ่า ๆ (อันนี้ พระเดินไปแล้ว ถึงนึกออกเนาะ เดี๋ยว พระนั่งสมาธิ ก็ ทราบเองแหละ่ค่ะ โยมพี่ทุม อิอิ)
...โยมพี่แป๋ว ก็ บอกว่า สึกเมื่อไหร่ รีบมาอ่านบล็อค แล้วเม้นท์ให้ด้วยนะคะ
มีโปรแกรมรออยู่นะเออ จะไปเดินป่ากัน...อิอิ

....อิ่มบุญปลื้ม กันถ้วนหน้าชื่นใจจังค่ะ...ยินดีจริง ๆ ที่ได้ร่วมทำบุญกับน้อง ๆ
เป็นความทรงจำดี ๆ ไม่แพ้ ที่เจอะเจอบนภูกระดึงเลย พี่น้องงงง...


............งามค่ะ............









Create Date : 22 มิถุนายน 2552
Last Update : 8 กันยายน 2552 15:52:33 น.
Counter : 2230 Pageviews.

6 comment
1  2  

wynter289
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]