Wolf True Blood ตอนที่ 8 ความจริง

ตอนที่ 8 ความจริง

จิมมี่เก็บเก็บเรื่องที่เขาสงสัยเอาไว้ในใจเขาไม่จำเป็นต้องบอกดีลี่ว่าเขาเห็นรอยเท้ามนุษย์ รอยเท้าที่ใหญ่กดลึกบ่งบอกน้ำหนักของเจ้าของรอยได้เป็นอย่างดีเขามั่นใจว่าไม่ใช่รอยเท้าของเผ่าแมนซาซึ่งแม้จะมีรูปร่างใหญ่โตแต่กลับมีรูปร่างผอมเพรียวเสียส่วนมากยิ่งกลุ่มที่ค้นหาร่องรอยนั้นเป็นพวกผอมบางตัวเล็กรอยเท้าบนพื้นทรายแทบจะมองไม่เห็น และสิ่งที่ย้ำความมั่นใจของเขาอีกประการหนึ่งก็คือไม่มีรอยเลือดหรืออะไรที่บ่งบอกว่าไคล์ถูกทำร้ายจากหมาป่า หรือสัตว์อื่นที่เขาไม่อยากคาดเดาให้เสียเวลาเขาและร๊อบเป็นพรานแกะรอยได้ดีอันดับต้นๆของหมู่บ้านพิวรี่ขอเวลาให้เขาได้กลับไปเตรียมข้าวของที่จำเป็นก่อนเถิดรอยที่ปรากฏชัดเจนขนาดนี้ไม่ยากที่จะออกตามหา จิมมี่คิด

ดีลี่นำทางเขากลับเข้าหมู่บ้านหลังจากสำรวจร่องรอยเรียบร้อยที่หมู่บ้านโบซาได้คอยอยู่แล้ว

“พ่อเฒ่าลิบ้าทราบเรื่องแล้ว” โบซาแจ้งแก่เขา

“เราเสียใจที่มาทำความยุ่งยากวุ่นวายในหมู่บ้านของพวกท่าน”จิมมี่เอ่ยขึ้นหลังจากที่โบซาพาตัวเขามาพบกับพ่อเฒ่าลิบ้า

“ลิบ้าเสียใจด้วยสำหรับคนของเจ้าแมนซาไม่เคยมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านของเรา” ลิบ้าเอียงหัวฟังเสียงกระซิบจากคนสนิทซึ่งดูไม่ค่อยชอบหน้าพวกเขาตั้งแต่วันวานสีหน้าของลิบ้าเคร่งเครียด

“คนของพวกเจ้าลิบ้าจะให้คนพาไปส่งยังเขตหมู่บ้านเราจะไม่เข้าไปยังหมู่บ้านของพวกเจ้า..พรุ่งนี้สายๆพวกเจ้าต้องออกเดินทาง”ลิบ้าตัดสิน เสียงฮือฮาของคนทั้งเผ่า สีหน้าที่บึ้งตึงไม่ชอบใจอะไรหลายๆอย่างซึ่งจิมมี่รู้สึกหวาดกลัว แต่พยายามที่จะข่มเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมา

“ท่านผู้เฒ่าลิบ้าผู้เป็นใหญ่ในเผ่าข้าและพรรคพวกขอขอบคุณท่านที่ได้ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีหากแต่ข้ามีเรื่องที่ต้องขอร้องท่านอีกสักครั้ง”

“เจ้าว่ามาเถิดข้ายินดีรับฟัง”

“ข้ายังยืนยันคำขอร้องเดิมของเมื่อวานกรุณาส่งเพื่อนที่บาดเจ็บของข้าไปยังหมู่บ้านพิวพรี่หากท่านไม่ช่วยข้าเกรงว่าน้ำใจของท่านจะสูญเปล่า หนทางที่อันตรายระหว่างการเดินทางพวกข้าไม่มีความสามารถที่จะเอาตัวรอดจากอันตรายเหล่านั้น”จิมมี่ให้เหตุผลอย่างระวัง รอดูท่าทีของเผ่าแมนซาว่าจะอย่างไรมันต้องเสี่ยงกันหน่อย ทุกอย่างต้องแข่งกับเวลาหากว่าแมนซาตกลงเขาก็อยากจะออกเดินทางไปตามหาไคล์ทั้งพ่อของเขาที่หายตัวไปนั่นคือเป้าหมายที่จิมมี่ไม่คิดจะเปลี่ยนแผนเลย

ลิบ้าหันไปปรึกษากับที่ปรึกษาถกเถียงกันอยู่สักครู่จึงได้หันกลับมาสนทนากับเขาอีกครั้ง

“ลิบ้าช่วยได้เพียงแค่เขตหมู่บ้านพิวรี่เท่านั้นเราไม่มีเวลามากพอที่จะพาไปส่งได้ไกลกว่านั้น”ลิบ้าบอกกับเขาและแม้ว่าเขาอยากจะขอร้องสักเพียงไหนคำพูดเหล่านั้นถูกกลืนหายกลับเข้าคอ

จิมมี่ไม่โต้เถียงและไม่อยากร้องขอความช่วยเหลืออะไรจากคนเผ่าแมนซาอีกเพราะรู้ดีว่าคนป่าถึงอย่างไรก็คงจะต่อรองอะไรไม่ได้มากเท่าที่ช่วยเหลือตั้งแต่วันวานก็มากพอแล้วเฒ่าลิบ้าได้ให้คนนำทางเขามายังกระท่อมของหมอผีที่รักษาแฟรค์และทีด็อกประตูซึ่งลั่นดาลแน่นหนาจากภายในบัดนี้เปิดออก ยอมให้เขาเดินเข้าไปยังภายใน ที่นั่นเป็นห้องโล่งๆ สองฝั่งมีแคร่ไม้ต่อหยาบๆวางเรียงชิดผนัง บนเตียงมีร่างของคนเจ็บซึ่งไม่ค่อยน่าเดินเข้าไปดูนักด้วยละม้ายซากอะไรซักอย่าง บางเตียงก็พันผ้าสีคล้ำๆส่งกลิ่นเหม็นเน่าเจือกับกลิ่นสมุนไพรซึ่งชวนให้ขย้อนของที่กินเข้าไปออกมาเขาต้องกล้ำกลืนแทบแย่ที่จะไม่แสดงกิริยาที่ดูไม่ดีอย่างนั้นออกมาเสียงร้องครางดังเป็นระยะ คนบาดเจ็บเหล่านี้ไปโดนอะไรมาบ้างเขาก็ไม่รู้ เหมือนเดินเข้าไปในฉากหนังสยองขวัญทำให้เขาต้องรีบเดินตามคนขอของลิบ้าไปติดๆไม่รีรอสำรวจอะไรอีกแล้ว

ชายร่างสูงเดินนำเขาไปยังอีกห้องซึ่งเล็กกว่าห้องแรก มีเตียงวางอยู่ข้างละสามเตียงแต่มีคนนอนอยู่เพียงสองเตียง ซึ่งก็คือ ทีด็อกและแฟร้งค์ทั้งสองคนยังหลัลบสนิท จิมมี่สำรวจทั้งสองคน ทีด็อกซึ่งขาหัก ได้รับการดามด้วยไม้ไผ่หุ้มทั้งท่อนขาดูโบราณแต่ก็ใกล้เคียงกับเฝือกปูนพลาสเตอร์อย่างที่โรงพยาบาลในเมืองส่วนแฟรงค์เขาไม่รู้แผลที่เปิดบนหัวจะได้รับการรักษาอย่างไรเพราะพันผ้าเอาไว้แทบจะทั้งหน้า เขายืนรีๆรอๆอยู่ระหว่างคนเจ็บทั้งสอง

“นึกว่าแกทิ้งพวกเราแล้ว” ทีด็อกเอ่ยทักเขาจึงละสายตาจากแฟร้งค์ซึ่งหลับอยู่หันกลับมา

“นายเป็นไงมั่ง”จิมมี่ไม่ใส่ใจอาการกวนประสาทของทีด้อกเพราะรู้อยู่แล้วว่าไอ้นี่มันเลี้ยงฟาร์มหมาไว้ในปาก

“ยังไม่ตาย..”

“ก็ดีแล้ว..หมอประจำเผ่าทำอะไรให้แกมั่งละ”

“นี่ไง..” ทีด้อกบุ้ยปากไปที่ขาซึ่งหุ้มด้วยไม้แบนๆเกลาเรียบค่อนข้างประณีต

“ดูท่าแกไม่เป็นไรแล้วนี่ทีด็อก..อีกไม่นานก็วิ่งได้”

“อยากให้หายวันนี้เสียด้วยซ้ำกูอยากกลับเข้าเมืองไอ้ป่าเวรนี่ไม่เอาแล้วสมบัติอะไรกูก็ไม่เอา”ทีด็อกพ่นคำหยาบออกมาตามอารมณ์ขี้หงุดหงิดของตัวเอง

จิมมี่สะดุดหูจากคำพูดที่ทีด็อกพ่นออกมา

“หมายความว่ายังไงสมบัติอะไร..”จิมมี่หันมาคาดคั้นทีด็อกอึกอักรู้ว่าตัวเองพลาดที่เผลอพูดความลับที่ปกปิดกันมาตั้งนาน

“ไม่มีอะไรนี่..คณะของศาสตราจารย์สูญหายเครื่องไม้เครื่องมือแพงๆก็เป็นสมบัติของพวกที่ตามหาไง” ทีด็อกเฉไฉ จิมมี่สะกดใจเขาหรี่ตามมองมันอย่างข่มอารมณ์ที่จะไม่ชกหน้ากวนๆนั่น

“อย่ามาหลอกกูด้วยคำพูดโง่ๆบอกมาพวกมึงมาทำอะไรที่ป่านี่..”

จิมมี่กดมือลงบนไม้ที่หุ้มขาของทีด็อกออกแรงกดจนหมอนั่นสะดุ้งเสียงกระดูกลั่นเบาๆแต่สร้างความเจ็บปวดอย่างยิ่ง

“ไอ้เวรบ้านนอกมึงจะทำอะไรกู”ทีด็อกคำรามพลางดิ้นรนให้มือที่กดบนขาที่หักให้หลุดออก

“ไม้ดามนี่ไม่ได้แข็งแรงเหมือนปูนพลาสเตอร์อะไรสักนิดถ้ากูรื้อออกนี่ขามืงอาจจะถูกสับทิ้ง..พูดความจริงมา”จิมมี่ตวาดมือก็ออกแรงกดลงไปอีกเสียงกระดูกลั่นกว่าเดิมพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของทีด็อก

จิมมี่ไม่สนใจ ยังไงต้องคาดคั้นเอาความจริงที่สงสัยให้ได้สายตาที่เอาจริงจนทีด็อกขยาด ระล่ำระลักพูดจนลิ้นแทบจะพันกัน

“สมบัติโบราณไอ้พวกที่หายไปมันก้อปปี้ลายแทงเอาไว้สองชุด” จิมมี่คลายมือที่กดขาของทีด็อกไอ้พวกสารเลวบังอาจหลอกลวงให้พ่อของเขาต้องมาประสบชะตากรรมไปกับพวกมันด้วย

“พวกมึงรู้ได้ไงว่าแถวนี้มีสมบัติ..”จิมมี่ยังสงสัยทีด็อกร้องโอดโอยมือกุมขาที่ร้าวระบมจากการทรมานของจิมมี่ทั้งปากก็สบถไม่หยุด จิมมี่วางมือลงบนขาที่หักอีกครั้ง ทีด็อกตาเหลือก

“กูไม่รู้ไอ้สารเลวกูบอกมึงหมดแล้วอย่ายุ่งกะขากู “ ทีด็อกคร่ำครวญด้วยความโกรธ จิมมี่ไม่ได้ฟังคำที่มันบอกเขาดึงมีดพกออกจากซองข้างเอวมือลูบคมเบาๆ มุมปากยกขึ้นหมิ่นๆ

“มึงไม่รู้จริงๆเหรอจะให้กูเชื่อมึงง่ายๆว่างั้น”

“จิมมี่ กูไม่รู้ไปมากกว่านี้แล้วพวกนั้นมันแกล้งมาหาสมุนไพรไปวิจัยแต่ความจริงพวกมันมาล่าสมบัติ..พระเจ้าให้ตายเหอะ กูบอกมึงหมดแล้ว ปล่อยกูไป..”ทีด็อกพยายามยกขาข้างที่หักหนีแต่จิมมี่จับเอาไว้มั่นมีดในมืออีกข้างตวัดปลายแหลมลงเบื้องล่างรอที่จะปักลงไปบนขาเจ้านั่นตาเหลือกลานด้วยความหวาดกลัวแทบจะฉี่ราดซึ่งไม่น่าเชื่อว่าคนกร่างๆทำท่าเป็นนักเลงโตอย่างทีด็อกจะกลัวหัวหดเพียงแค่เขาขู่นิดๆหน่อยๆ

จิมมี่ไม่ได้ฟังคำพล่ามไร้สาระของเจ้านั่นมีดในมือกดลงตรงบาดแผลเพียงเท่านั้นก็สร้างความเจ็บปวดให้กับเจ้านั่นจนต้องรีบบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่มันรู้จนหมดสิ้น

“ลายแทงอยู่ในกระเป๋าของกูมึงเอาไปได้เลย”

“ตอบกูมึงรู้ได้ไงว่ามีสมบัติ”

ทีด็อกกลืนน้ำลายมองหน้าเอาเรื่องของจิมมี่อย่างไม่เข้าใจไอ้สารเลวบ้านนอกไม่สนใจสมบัติมันโง่หรือบ้ากันแน่ แล้วมันจะคาดคั้นเอาอะไรจากเขาทีด็อกไม่ใช่คนฉลาดแต่เรื่องความเลวแล้วละก็มันมีความสามารถอย่างที่สุด

“กูไม่รู้ว่ามีหรือไม่มีสมบัติ ลายแทงที่กูมีมันเป็นฉบับคัดลอกจากฉบับจริงของศาสตราจารย์ แกได้มาจากตาแก่ขี้เมาพูดจาเลอะเทอะพล่ามถึงเมืองโบราณในหุบเขาเหมืองเพชรเหมืองทองก้อนกรวดในลำธารเป็นหินมีค่า อาจารย์ไม่ได้บอกว่าได้จากไอ้ขี้เมานั่นมาได้ไงแต่กูว่าแกคงยึดมาเฉยๆตอนที่ไอ้แก่นั่นตายเพราะกินเหล้าเยอะหรือมันตายห่าเพราะอะไรก็ช่างหัวมันเถอะ กูบอกมึงหมดแล้วจริงๆปล่อยกูไปเหอะกูไม่ไปแล้วขากูหักกูอยากไปโรงพยาบาลในกระเป๋ากูมีเงินอยู่ไม่มากมึงเอาไปแล้วช่วยบอกไอ้คนป่าพวกนี้ให้ไปส่งกูกะไอ้แฟรงค์ที..”

ทีด็อกคร่ำครวญน้ำตาใหลอย่างหมดอาลัยดูสภาพมันตอนนี้ถึงมันจะโลภแค่ไหนก็คงจะไปไหนไม่รอด ขาที่หักต้องถึงมือหมอทันสมัยเท่านั้นสภาพที่ดามเอาไว้ลวกๆ แม้แผลจะหายแต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมสมุนไพรสีเขียวๆเหลืองๆโปะบนแผลสมุนไพรที่เขาพอรู้จักว่าช่วยระงับความเจ็บปวดและป้องกันการติดเชื้อแต่ไอ้คนศิวิไลซ์โง่ๆอย่างทีด็อกอธิบายไปมันก็คงไม่เชื่อถือสู้ปล่อยให้มันผวากับสิ่งที่มันคิดต่อไปก็แล้วกัน

ทั้งสามคนยืนมองแพไม้ไผ่ซึ่งจะเป็นพาหนะพาทีด็อกและแฟรงค์เดินทางออกจากหมู่บ้านแมนซาทีด็อกดูสงบปากแต่สายตาที่ไม่เป็นมิตรและเคียดแค้นยังมีร่องรอยส่วนแฟรงค์ไม่พูดอะไรมากไปกว่าขอบคุณพวกเขาสั้นๆที่ช่วยเหลือแฟรงค์ยังห่วงเพื่อนที่หายไปใต้หิมะรับปากว่าจะไปบอกทางการให้ส่งทีมมาช่วยพวกเขาค้นหาจิมมี่ไม่คิดจะคอยทางการ ลายแทงของทีด็อกเขายึดของมันมาเสียอย่างงั้น ก่อนแพจะล่องไปตามลำน้ำ เขาได้แอบฝากจดหมายไปกับอูตูซึ่งเคยไปยังหมู่บ้านพิวรี่หมอนั่นรับปากจะส่งให้ถึงมือของผู้ช่วยของบิดา แน่นอนว่าเนื้อความในจดหมายบอกเล่าถึงสิ่งที่เขาซักถามเจ้าทีด็อกใว้อย่างครบถ้วนไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว..เมื่ออาแซมอ่านจบก็คงจะรู้ล่ะว่าจะจัดการเจ้าสองคนนี่ยังไง จิมมี่กระชับสัมภาระบนไหล่ส่งสัญญาณให้ร๊อบและลุงทิมออกเดินทางออกจากหมู่บ้านแมนซาเพื่อติดตามค้นหาผู้สูญหายตามความตั้งใจเดิมภูเขาสีเทาที่อยู่ไกลลิบเบื้องหน้าคือเป้าหมายที่มุ่งไป..





Create Date : 09 มิถุนายน 2558
Last Update : 9 มิถุนายน 2558 14:56:55 น.
Counter : 328 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wynter289
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]