ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

"น้ำตกผาลี่" แคนยอนอีสานแห่งจังหวัดกาฬสินธุ์

ใครบอกว่าเมืองไทยไม่มีแคนยอนนอกจากสามพันโบก ขอบอกเลยว่าที่จังหวัดกาฬสินธุ์ก็มีแคนยอนเช่นกันค่ะ หลายคนคงสงสัยแล้วว่าที่กาฬสินธุ์จะมีแคนยอนได้อย่างไรกัน ถ้าไม่เชื่อก็ต้องลองไปพิสูจน์ด้วยตัวเองสักครั้งนะคะ


     แคนยอนที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้นอยู่ที่ "น้ำตกผาลี่" ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ของ บ้านโคกกว้าง ตำบลมหาไชย อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยตัวน้ำตกนั้นตั้งอยู่ห่างจากอำเภอสมเด็จ ประมาณ 19.5 กิโลเมตร

     น้ำตกผาลี่ เป็นน้ำตกที่เกิดจากการกัดเซาะแผ่นหินทรายขนาดใหญ่ เมื่อเวลาผ่านไป จากแผ่นหินก็ก่อเกิดเป็นเป็นโตรกธาร โค้งเว้า ซิกแซกไปมาตามแรงของการกัดเซาะของน้ำ จนปัจจุบันได้ก่อเกิดเป็นทัศนียภาพที่สวยงามมาก





     ปัจจุบัน น้ำตกผาลี่ ยังไม่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากนัก ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเยือนส่วนใหญ่ ก็มักเป็นคนในท้องถิ่นเท่านั้น ดังนั้นหากคุณมีโอกาสมาเยือนจังหวัดกาฬสินธุ์ ขแแนะนำให้ลองไปเที่ยวชมน้ำตกแห่งนี้บ้างนะคะ

ภาพ : Livekalasin.com และ กรมการท่อง เที่ยว




//travel.thaiza.com/




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2553    
Last Update : 29 ตุลาคม 2553 23:17:52 น.
Counter : 3257 Pageviews.  

เยือนนครปฐม ชมพระราชวังสนามจันทร์

พระราชวังสนามจันทร์

พระราชวังสนามจันทร์

พระราชวังสนามจันทร์

พระราชวังสนามจันทร์

พระราชวังสนามจันทร์


พระราชวังสนามจันทร์


พระราชวังสนามจันทร์


พระราชวังสนามจันทร์

สรุปข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก นิตยสารคู่หูเดินทาง

พระราชวังสนามจันทร์ อยู่ ห่างจากองค์พระปฐมเจดีย์เพียงสองกิโลเมตร ตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 888 ไร่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นตั้งแต่ครั้งยังทรงดำรงพระยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร เนื่องจากทรงพอพระราชหฤทัยเมืองนครปฐมแห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง ทรงเห็นว่าเป็นเมืองที่เหมาะสำหรับการเสร็จมาประทับพักผ่อน ภูมิประเทศมีลักษณะที่สวยงามร่มเย็น ทั้งยังเหมาะสำหรับการต้านทานข้าศึกในยามที่บ้านเมืองมีภัย

พระราชวังสนามจันทร์ ใช้ เวลาก่อสร้างนาน 4 ปี โดยมี หลวงพิทักษ์มานพ (น้อย ศิลป์) หรือ พระยาวิศุกรรม ศิลปประสิทธิ์ เป็นแม่งาน และสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2450 เมื่อสร้างแล้วเสร็จจึงได้พระราชทานนามว่า "พระราชวังสนามจันทร์" ตามชื่อสระน้ำโบราณหน้าโบสถ์พราหมณ์ (ปัจจุบันไม่มีโบสถ์พราหมณ์เหลืออยู่แล้ว) สระน้ำจันทร์ หรือ สระบัว

พระราชวังสนามจันทร์

พระราชวังสนามจันทร์

พระราชวังสนามจันทร์

พระราชวังสนามจันทร์

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชพินัยกรรมแสดงพระราชประสงค์ยก พระราชวังสนามจันทร์ ให้เป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียนนายร้อยทหารบก โดยมีใจความว่า ...

"บรรดาที่ดินตึกรามทั้งใหญ่น้อย ที่รวมอยู่ในเขตซึ่งเรียกว่า "พระราชวังสนามจันทร์" เป็นสมบัติส่วนตัวของข้าพเจ้าโดยแท้ ไม่ได้รับมฤดกมาจากสมเด็จพระบรมชนกนารถมิได้ ข้าพเจ้าได้เก็บทุนในตำแหน่งหน้าที่พระยุพราช และทุนอื่น ๆ สร้างที่สนามจันทร์ และสร้างพระที่นั่งซึ่งเรียกว่า พระพิมานประฐม นั้นขึ้นก่อน ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าได้ราชสมบัติแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้เอาเงินพระคลังข้างที่ทำนุ บำรุงที่นี้ตลอดมาเป็นส่วนตัวทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จะเอาที่พระราชวังสนามจันทร์ไปรวมเข้ากับกองมฤดกใหญ่นั้นหาควรไม่ ข้าพเจ้ามีสิทธิ์ตามกฎหมายเหมือนสามัญชน ที่จะยกที่นี้ให้แก่ผู้ใดก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อสิ้นตัวข้าพเจ้าไปแล้ว ข้าพเจ้าขอยกที่นี้ให้แก่รัฐบาลสยามเป็นสิทธิขาด เพื่อทำเป็นโรงเรียนนายร้อยทหารบก"

พระราชวังสนามจันทร์

พระราชวังสนามจันทร์

อย่างไรก็ตาม หลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระราชวังสนามจันทร์ ใช้เป็นที่ทำการของส่วนราชการต่าง ๆ ของจังหวัดนครปฐม รวมทั้งเป็นวิทยาเขตหนึ่งของมหาวิทยาลัยศิลปากร ปัจจุบัน พระราชวังสนามจันทร์ อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักพระราชวัง

ต้องขอกระซิบชาวคู่หูเดินทางว่า การมาเยี่ยมชม พระราชวังสนามจันทร์ นั้น ควรมีเวลาสักนิด เพื่อที่ท่านจะได้มีโอกาสซึมซับความงดงาม ของงานสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และมีโอกาสได้เดินศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติในบางเสี้ยวบางตอน ทว่า หากใครมีเวลาน้อย แค่การได้เข้ามาเดินชมความงดงามของพระราชวังแห่งนี้ ก็ถือว่าเกินคุ้มแล้ว

พระราชวังสนามจันทร์

พระราชวังสนามจันทร์


ทั้งนี้ พระราชวังสนามจันทร์ เปิด บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 0.900 – 16.00 น. สำหรับการเยี่ยมชมภายในตัวอาคารห้องจัดแสดง และถึงเวลา 20.00 น. สำหรับบริเวณสวนด้านนอกโดยรอบ โปรดแต่งกายให้สุภาพ ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 30 บาท, เด็ก 10 บาท และชาวต่างชาติ 50 บาท




 

Create Date : 28 ตุลาคม 2553    
Last Update : 28 ตุลาคม 2553 21:53:58 น.
Counter : 1975 Pageviews.  

ปากแพรก นิยามของบ้านและผู้คน บนถนนสายสั้น

ปากแพรก




ปากแพรก นิยามของบ้านและผู้คน บนถนนสายสั้น (Mixmagazine)

ย่านเก่าแห่งนี้ก่อเกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ตำบลริมน้ำแควใหญ่อย่างปากแพรก กลายเป็นเมืองกาญจนบุรีใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2374 ป้อมปราการ กำแพงเมืองต่าง ๆ คือสิ่งตกทอดสู่คนรุ่นหลัง และที่สำคัญ การลงหลักปักฐานของผู้คนรายรอบล้วนก่อให้เกิด "เมือง" ขึ้นมาตามกาลเวลา

ผู้ คนในย่านปากแพรกปะปนอยู่ทั้งคนญวน ซึ่งโยกย้ายมาจากการอพยพเทครัว ด้วยอิทธิพลของสงครามในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รวมไปถึงคนจีนที่มีส่วนทำให้ปากแพรกมากไปด้วยบรรยากาศแห่งการซื้อขาย ก่อเกิดความเป็นย่านตลาดอันสำคัญที่สุดของกาญจนบุรีเรื่อยมา ณ ริมฝั่งน้ำแควใหญ่ หลายอย่างปรับเปลี่ยนปะปน หากสิ่งที่ไม่เคยจางคลายล้วนถ่ายทอดอยู่ในชีวิตของพวกเขา

ในเรื่องเล่าแห่งวันคืน ในตึกเก่าคร่ำที่เรียกว่า "บ้าน" ทุกเช้า ผมมักพบตัวเองอยู่แถวต้นถนนปากแพรก ในห้องแถวปูนสีเหลืองสด 3 คูหาที่บ้านสิทธิสังข์ ใครเลยจะพลาดบรรยากาศเช่นนี้ไปได้ ตึกเก่างดงามหลังนี้สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.2463 สมัยรัชกาลที่ 5 โค้งอาร์กที่ชั้นบนนั้นดึงสายตาให้ออกมายืนมองที่ฝั่งตรงข้าม มองไล่ตั้งแต่บานเฟี้ยม เห็นชัดไปถึงช่องลมเหนือกรอบประตูที่งามด้วยงานฉลุไม้เป็นลายเครือเถา รวมไปถึงภาพปูนปั้นลายก้านขดเพลินตา

ปากแพรก



ฝั่งตรงข้ามกันคือภาพปัจจุบันของโรงแรมสุมิตราคาร โรงแรมแห่งแรกของกาญจนบุรี ที่ทุกวันนี้ทั้ง 5 คูหาของห้องแถวไม้กลายเป็นร้านขายอาหารสัตว์ รวมไปถึงแยกห้องปล่อยเช่า ว่ากันว่าในอดีตสมัยที่ทางน้ำยังคึกคัก ที่นี่เป็นจุดรวมของคนมาติดต่อราชการ รวมไปถึงพ่อค้าไม้ที่ล่องลงมาจากแถบทองผาภูมิและสังขละบุรี

เราเดินเลาะเรื่อยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของถนนปากแพรก รอบด้านคือความหอมหวานของวันวานจากตึกแถวหน้าตาโบราณที่ขนาบข้าง ในห้องแถวปิดเงียบหลายหลังร้างรากิจการเดิม ๆ ไป หากแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคนอยู่ พวกเขาผ่านพ้นช่วงการค้าอันเฟื่องฟูของตน และนั่งมองความเป็นไปรวมถึงการเติบโตของคนรุ่นลูกหลานอยู่อย่างเงียบ ๆ

"ตลาดมาเติบโตสุดก็ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นละ" และเมื่อมาถึงบ้านบุญผ่อง แอนด์ บราเดอร์ คนในบ้านอย่างคุณป้าลำไย สิริเวชชะ-พันธ์ ก็ทำให้ผมรู้ว่าที่ปากแพรกและไล่เลยไปถึงขุนเขารายรอบของเมืองกาญจน์ ล้วนผ่านห้วงเวลานั้นมาอย่างนาจดจำ

เราคุยกันถึงคนที่มีชื่ออยู่ที่ป้ายหน้าตึกแถว 3 ชั้นหลังแรกๆ ของปากแพรก บุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์ตึกกึ่งปูนกึ่งไม้อันงามโอ่อ่าหลังนี้มีส่วนเสี้ยวของสงคราม โลกครั้งที่ 2 อบอวลอยู่ส่วนของมิตรภาพ น้ำใจ และความอาทรต่อกันของเพื่อนมนุษย์

ปากแพรก



"ช่วงสงครามโลก พ.ศ.2485 ญี่ปุ่นเข้ายึดเมืองกาญจน์เพื่อสร้างทางรถไฟเชื่อมไปพม่า ตอนนั้นบ้านเราเต็มไปด้วยทหารญี่ปุ่นที่เข้ามากำหนดในเรื่องการค้า" ช่วงนั้นป้าลำไยซึ่งป็นน้องสะใภ้ของบุญผ่องเพิ่งมารับราชการครูได้ไม่นาน เรื่องราวต่างๆ ล้วนมาจากคำบอกเล่าในเวลาต่อมาปากแพรกในยามนั้นคือแหล่งสินค้าที่ "ใกล้" ที่สุดของค่ายทหาร ร้านค้ากลางตลาดหลายแห่งถูกผูกขาดการค้าขายกับญี่ปุ่น รวมถึงตึก 3 ชั้นของนายบุญผ่องหลังนี้ "เขาส่งหัวหน้าค่ายเชลยมารับสินค้า เขาสั่งอะไรมาเราก็รับ และมาแบ่งการจัดหาให้ ส่งไปถึงค่ายทั้งทางรถ ทางเรือโมงยามนั้นไม่มีใครรู้ว่าสงครามและภาวะ "กดดัน" เช่นนั้นจะยืดเยื้อยาวนานสักเท่าไร

"คนเรามันมีหัวใจน่ะ" ป้าลำไยพูดลอย ๆ เมื่อมองรูปพี่เขยที่หน้าบ้านใน พ.ศ.นั้นไม่มีใครรู้ว่าชายที่ชื่อบุญผ่อง ทายาทของร้านสิริโอสถ จะกลายเป็น "วีบุรุษสงครามของทางรถไฟสายมรณะ (A War Hero Named Boonpong of Deathrailway)" ในเวลาต่อมา "พี่เขาเห็นใจเชลยสงครามที่ต้องทุกข์ทรมานในค่าย ทั้งความอดอยาก ไข้ป่า รวมถึงความโหดร้ายของทหารญี่ปุ่น"

การ ช่วยเหลือเชลยศึกทั้งชาวออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ ที่ถูกเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟเป็นไปอย่างเงียบเชียบภายใต้ภาพคลุมของการค้าขาย กับค่ายทหาร หยูกยาถูกซุกซ่อนในเข่งผัก ยาสีฟัน เครื่องนุ่งห่ม เงินทองที่ให้หยิบยืมโดยไม่รู้ถึงโอกาสที่จะ "ได้คืน" มากไปกว่านั้นคือการส่ง "จดหมายลับ" ต่าง ๆ ที่ติดต่อกับองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือในกรุงเทพฯ อย่างองค์การลับวี (V. Men Club) ไปสู่เชลยศึก เหล่านี้คือความเสี่ยงภัยที่คนคนหนึ่งยินดีแลกเพื่อเห็นกับคำว่าเพื่อน มนุษย์ แม้ในวันที่สงครามสิ้นสุด หลายคนก็ยังทึ่งกับการบอกพิกัดการทิ้งระเบิดทำลายสะพานข้ามแม่น้ำแควอันเป็น จุดยุทธศาสตร์สำคัญได้อย่างแม่นยำของฝ่ายสัมพันธมิตร "สะพานมันอยู่ในป่าในดงน่ะ ใครจะไปเห็นได้ชัด ตอนนั้นเชื่อได้ว่าพี่บุญผ่องต้องเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระเบิดลงถูกจุด"

หลังความโหดร้ายผ่านพ้น ในปากแพรกตกทอดอยู่ด้วยเรื่องเล่าแห่งสงครามตามความทรงจำของคนที่ร่วมผ่าน มันมา บุญผ่องย้ายไปปักหลักที่กรุงเทพฯ ทำธุรกิจรถเมล์โดยสารก็จากรถร่วม 200 คันของกองทัพญี่ปุ่นที่เหลือจากศึกสงครามซึ่งทางฝ่ายสัมพันธมิตรมอบให้เป็น การตอบแทนยังไม่รวมถึงความซาบซึ้งในน้ำใจต่อคนเล็ก ๆ คนหนึ่งในถนนปากแพรก ที่ย้อนกลับมาเป็นเงินทองที่ได้รับการชดใช้ การได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือยศพันโทจากกองทัพอังกฤษและเนเธอร์แลนด์

ผมนั่งอยู่ตรงหน้าบ้านบุญผ่อง แอนด์ บราเดอร์ กับพี่น้องและลูกหลานเครือญาติของบุญผ่อง ด้านหน้าจัดแสดงเรื่องราวของความช่วยเหลือระหว่างคนไทยกับเชลยศึกในห้วง สงครามในตึกแถวโบราณแสนสวยโอ่อ่าที่ชั้นบนมีช่องลมใส่กระจกทึบสีสวยนั้น มากอยู่ด้วยเรื่องราวของคืนวันและทำให้เห็นว่า คนเรานั้นมีขนาดของหัวใจที่ยิ่งใหญ่เพียงไร

ปากแพรก



ถนนปากแพรก ไม่กว้างนัก หากเป็นช่วงเวลากลางวันที่ร้านรวงต่าง ๆ เปิดค้าขายจะเรียกว่าแคบเลยก็ไม่ผิด จากฝั่งตรงข้ามบ้านบุญผ่องฯ ที่เป็นร้านบุญเยี่ยมเจียระไน (คุ้มจันทร์ศิริ) อันสวยงามโดดเด่นด้วยช่องโค้งตั้งรับเสาที่ระเบียงชั้นบน เราเดินผ่านความเก่าแก่กว่า 177 ปีของถนนเส้นนี้ไปอย่างมีชีวิตชีวา

"บ้านตึกแต่ก่อนนั้นสร้างดี ใช้ของดี มันเลยทนนาน" ในแสงสลัวของร้านชวนพานิช ผมเดินผ่านเข้าไปนั่งคุยกับลุงสุรพล ตันติวานิช ในวันที่เลขหลัก 5 มาเยือนชีวิต และตึกแถว 3 ห้องแห่งนี้ดูแลเพาะบ่มตระกูลของเขามากว่า 5 รุ่น

"เดี๋ยวนี้ไม่ได้ขายของเหมือนรุ่นก๋งรุ่นเตี่ยแล้ว มันค่อย ๆ จางไป" เป็นคำพูดที่คล้ายๆ กันของคนที่อยู่ในห้องแถวย่านตลาดของปากแพรก อาจคล้ายการค้าโบราณได้ซบเซา แต่จริง ๆ แล้ว คือคนรุ่นบรรพบุรุษล้วนผ่านการสร้างตัวและมั่งคั่งจนลูกหลานในปัจจุบันนั้น สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไม่ลำบากอะไรนักเข้ามานั่งอยู่ในร้านชวนพานิ ช ลุงสุรพลชี้ชวนให้ดูตู้สินค้าไม้สักใหญ่โตที่ติดอยู่กับผนัง เขาว่ามันไม่เคยมีปัญหาให้ต้องซ่อมแต่อย่างไร "ไม้พวกนี้ก็เหมือนกับที่ก๋งใช้สร้างบ้าน มาจากป่าเขาที่ทองผาภูมิโน่น"

นอก เหนือไปจากไม้ ปูนพอร์ตแลนด์ที่ต้องสั่งมาจากเมืองนอกก็เป็นที่นิยมในสมัยนั้น "บ้านใช้ปูนหล่อทั้งหลัง ใช้ใบเหล็กเสียบเป็นบล็อกแล้วหล่อปูนลงมาเลย ผนังหนามาก ไม่เย็นก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว" ตอนนั้นบ้านใหญ่โตทั้งหลังอย่างนี้ คนรุ่นก่อนใช้เงินสร้างไปถึง 9,000 บาท "เป็นเดี๋ยวนี้ก็หลายอยู่นะ"

เราคุยกันเรื่องบ้านของลุงอยู่อีกนาน หลายส่วนนั้นมีคำบอกเล่าอธิบายอย่างน่าทึ่ง ช่องตรงกลางบ้านที่เรียกว่า "แจ๊" นั้นไม่เพียงเอาให้ลมระบาย แต่ยังมีใว้ขนถ่ายสินค้าขึ้นไปเก็บ "แต่ก่อนมีรอกโยงจากหลังคาเลย บ้านตึกมันขนข้าวของขึ้นลงลำบาก คนขนสินค้าลงเรือ เดินแป๊บเดียวก็ขึ้นมาหน้าบ้านเลย"

ลุงว่าแต่ก่อนแม่น้ำไม่ได้ไหลห่างบ้านและต่ำลงไปแบบนี้ "ก่อน หน้านี้มีคลองนอก คลองใน สันดอนมันกว้าง หน้าน้ำมาทีก็รวมเป็นสายเดียว สมัยนายกเทศมนตรีนิทัศน์ ถนอมทรัพย์นั่นละ ที่ถมตลิ่งให้มันกว้างออกไป บ้านเรือนขยายตัวไปอีกกว้าง แม่น้ำเลยไปอยู่ข้างล่างเขื่อนโน่น"

ปากแพรก


คุยกันบางทีที่ลุงสุรพลก็ว่า "ที่นี่มันเกิดมาแบบเครือญาติ ไม่ใช่ตัวใครตัวมัน" หาก การก่อเกิดของย่านสักแห่งมีที่มาเช่นนี้ คงไม่แปลกที่ใครสักคนอาจไม่เลือกจากไปไหนแม้ในบั้นปลายชีวิตเลาะผ่านความ คึกคักที่สุดของปากแพรกตรงจุดที่ถนนจากตลาดตัดมาเป็นสี่แยกเล็ก ๆ แยกซ้ายไปลงแม่น้ำ ส่วนแยกขวานั้นเป็นวันเวย์ มองเห็นกลุ่มตึกแถวในยุคหลังที่สร้างโดยตระกูลตันติวานิชเหยียดยาว

ภาย ในล้วนสะท้อนความเป็นย่านตลาดใหญ่ ร้านแหวนพลอยเก่าแก่อย่างร้านอาภรณ์ผ่านพ้นคืนวันมาคู่กันกับคุณลุงคุณป้า ที่ส่งยิ้มให้ผมทุกวัน เราเดินมาหยุดอยู่หน้าโรงแรมกาญจนบุรีที่คร่ำเก่าทรุดโทรม แต่ตึก 3 ชั้นที่สร้างด้วยปูนพอร์ตแลนด์ทั้งหลังก็ยังขรึมขลังราวฉากหนังพีเรียดสัก เรื่อง ว่ากันว่านี่คือโรงแรมที่เคยทันสมัยที่สุดในเมืองกาญจน์ ห้องพักทั้ง 14 ห้องนั้นเต็มแน่นอยู่เกือบตลอดปี

"50 กว่าปีแล้วที่ฉันเห็นมาโรงแรมนี้มา" คุณป้าวิไล นัยวินิจ ชวนผมเข้าไปนั่งที่บ้านฮั้วฮงที่ฝั่งตรงข้ามโรงแรม บ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 ชั้นของคุณป้าสวยเนี้ยบ ไม่เคยห่างหายการดูแล เชิงชายที่หล่อเป็นปูนประดับนั้นน่ามองพอๆ กับบานประตูสีสวยเหยียดยาว 3 ห้องที่ชั้นสอง บนดาดฟ้ามีลวดลายและตัวอักษรจีนเขียนไว้ว่า "ตั้งฮั้วเฮง" อันหมายถึงผู้สร้างที่เป็นคนรุ่นปู่ทวด

"แต่ก่อนหน้าบ้านคึกคัก ใครมาเมืองกาญจน์ก็มาพักที่นี่" โรงแรมที่เรียกว่า "ทันสมัย" ที่สุดเมื่อ 50 กว่าปีก่อนนั้น เป็นที่รวมของข้าราชการ พ่อค้าไม้ รวมถึงชนกลุ่มน้อยที่ลงมาซื้อหาสินค้ากลับไปสู่บ้านป่าเมืองไม้แถบทองผาภูมิ "แต่ก่อนคืนละ 2 บาท 4 บาท นี่นานโขแล้วนะ" ยังมีภัตตาคารนำกรุงที่ชั้นล่างอีก ที่ป้าบอกกับผมว่า ใครแต่งงานที่นี่ก็ถือว่าโก้ที่สุด "อาหารเหลาอย่างดี เสียงเฮฮาดังตลอดค่ำคืนเชียวล่ะหลาน"

ถัดจากบ้านฮั้วฮงมาไม่ไกล ติดกันกับศิวภา ชุดห้องแถวสีแดงหม่นที่เก็บความสวยไว้ที่การก่ออิฐตามผนังและป้านร้านแสน คล้าสสิก ตรงข้ามกับก๋วยเตี๋ยวหมูเจ้าอร่อยของปากแพรกคือบ้านแต้มทอง ที่มีอายุราว 100 ปี สร้างมาแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อนช่างภาพหลงใหลและให้ความสำคัญกับซุ้มประตูแบบจีนตรงหน้าบ้าน เขาว่าเหมือนฉากในหนังภาพยนตร์กำลังภายในสักเรื่อง ว่ากันว่าเจ้าของเดิมคือนายฮะฮ้อและนางแฉ่ง แต้มทอง สร้างบ้านตึกหลังแรกนี้ด้วยการพาช่างชาวจีนโพ้นทะเลข้ามมาสร้าง และปักหลักเปิดบ้านหลังนี้เป็นร้านค้าในชื่อ ยี่กงชี

ปากแพรก



ความเป็นย่านตลาดของปากแพรก ลดการบีบอัดเมื่อเราเดินผ่านมาถึงกลุ่มบ้านโบราณที่เป็นหลัง แม่น้ำโยนลมบ่ายขึ้นมาคลายร้อนหลังจากฟ้าอัดอ้าวเมฆฝนมานาน บ้านสุธีสวยเหงาอยู่ในรูปแบบบ้านทรงปั้นหยา มองผ่านซุ้มประตูขึ้นไปเห็นลายปูนปั้นเครือเถาตรงมุขหน้าจั่วแทรกคำว่า "ธนโสภณ" ไว้ตรงกลาง อันเป็นชื่อสกุลของนายโหงวฮก ธนโสภณ ผู้สร้างบ้านก่ออิฐถือปูนแสนโอ่อ่าหลังนี้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ถัดไปไม่ไกลบนฝั่งเดียวกันคือบ้านนิวาสแสนสุข บ้านไม้ทรงปั้นหยาที่เติบโตมาเคียงคู่กับบ้านสุธีในรั้วรอบขอบชิด สภาพสมบูรณ์ที่ได้รับการดูแลอย่างดีกลางความร่มรื่นนั้นบ่งบอกว่า ผู้ที่ต่อยอดดูแลล้วนให้ความใส่ใจกับบ้านอายุ 50 ปีหลังนี้เพียงใด

ถนน ปากแพรกลากผ่านไปสิ้นสุดที่วัดเทวสังฆาราม หรือวัดเหนือ ห้องแถวแถบปลาย ๆ ถนนนั้นปะปนกันไปทั้งเก่าคร่ำและที่ได้รับการดูแลเปลี่ยนผ่านมาถึงปฏิทิน ฉบับปัจจุบัน บางหลังเคยเป็นบ้านเช่าของนายทหารญี่ปุ่นที่ภายหลังขุดพบอุโมงค์ลับที่ขุด จากในตัวบ้านออกไปจนถึงแม่น้ำแควขณะที่ตรงปลายถนนห้องแถวเล็กๆ ชั้นเดียวอย่างบ้านชิ้นปิ่นเกลียวก็สะท้อนรูปแบบของเรือนแถวเชิงช่าง เวียดนามโบราณและการปักหลักของคนญวนในปากแพรกไว้ตามโค้งประตู กระเบื้องดิน บานเฟี้ยม ที่มีอายุถึง 134 ปี ทุกส่วนโทรมทรุดซีดจาง ราวกับเป็นสิ่งสะท้อนความเป็นจริงและสัจธรรมของสิ่งที่เรียกว่ากาลเวลา

ผมใช้เวลาอีกสองสามวันบนถนนปากแพรก แวะไปตามห้องแถวและบ้านเรือนอีกหลายแห่ง ที่เก่าแก่และมากไปด้วยคุณค่าทางสถาปัตยกรรมอย่างที่หลายคนให้คำจำกัดความ บางแห่งเปลี่ยนแปลงหน้าตาสินค้า บางหลังต่อยอดกิจการสู่รุ่นลูกหลาน และก็มีไม่น้อยที่ปิดเงียบ เหลือเพียงชีวิตผ่อนคลายด้านใน

ต่อ หน้าแม่น้ำหนึ่ง สายที่ไหลเอื่อยอยู่เบื้องล่างอย่างไม่เคยเหือดแห้ง ถนนสายหนึ่งเป็นตัวของตัวเองอย่างถึงที่สุดมา 177 ปี ใช่เพียงอาคารบ้านเรือนและส่วนประดับอันตก สะท้อนถึงคืนวันยาวนานอย่างถึงที่สุด ข้างในนั้นอาจซ่อนอยู่ด้วยแววตาบางประเภท แววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงหาอาทร และพร้อมจะมองเข้าในในชีวิตที่ผ่านพ้นอย่างปีติสุข ไม่ว่าเรื่องราวนั้นจะดำเนินไปหรือจบลงเช่นไรก็ตาม




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2553    
Last Update : 27 ตุลาคม 2553 22:36:47 น.
Counter : 1762 Pageviews.  

ภูทับเบิก...สวรรค์บนดิน




























Credit    :      FWM
Credit : FWM




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2553    
Last Update : 26 ตุลาคม 2553 19:59:47 น.
Counter : 1964 Pageviews.  

ผจญภัยใต้ผาหินที่ ถ้ำน้ำเขาศิวะ

อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่มี เอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นพื้นที่ราบสลับกับภูเขาหิน ในส่วนของภูเขาธรรมชาติได้สรรค์สร้างประติมากรรมที่ สวยงาม

     โดยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญให้กับจังหวัดสระแก้ว เช่น หินงอก หินย้อย หน้าผาหินสูง รวมถึงผนังถ้ำที่ธรรมชาติบรรจงแต่งแต้มสีสันให้มีชีวิตชีวา หากใครนิยม ท่องเที่ยวผจญภัยจะต้องไม่พลาดที่จะแวะไปเยือนเด็ดขาด

     ถ้ำเขาศิวะ (ถ้ำน้ำ) ตั้งอยู่บริเวณบ้านเขาจันทร์แดง ถ้ำลึก 500 เมตร ระดับน้ำสูง ตั้งแต่ 10 – 220เซนติเมตร ภายในเป็นหินงอกหินย้อยสวยงาม ภายในถ้ำจะมีน้ำไหลหมุนเวียนตลอดทั้งปี

     จุดส้ายของความลึกของถ้ำจะเป็นหินงอกมีลักษณะคล้ายม่านมีน้ำไหลมองเห็นเป็นน้ำตกขนาด เล็ก เมื่อแสงไฟต้องกับเกร็ดทรายของหินงอกหินย้อยสะท้อนกลับมาสีสันแปลกตา

     ส่วนน้ำที่อยู่ภาย ในถ้ำจะไหลหมุนเวียนตลอดเวลา ในช่วงฤดูฝนน้ำจะเย็นมากกว่าฤดูหนาว อากาศสดชื่นมีการ ถ่ายเทตลอด เป็นแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งที่เหมาะสำหรับผู้รักการผจญภัยและรักธรรมชาติ ใช้เวลา เที่ยวชม 1 - 2 ชั่วโมง


//travel.thaiza.com/




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2553    
Last Update : 24 ตุลาคม 2553 21:50:11 น.
Counter : 1315 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.