ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

เกาะสีชัง



เกาะสีชัง สถานต่างอากาศที่มีชื่อเสียง;เกาะสีชังเป็นสถานตากอากาศที่มีชื่อเสียงมานาน นับร้อยปีจนถึงปัจจุบัน มีธรรมชาติความงดงามแตกต่างไปจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ มีบรรยากาศที่สงบเงียบ อากาศบริสุทธิ์ มีสถานที่ ท่องเที่ยวอันงดงาม

เกาะสีชังเป็นท้องที่ที่มีความสำคัญทาประวัติศาสตร์เพราะเป็นสถานที่ประทับ ของพระเจ้า แผ่นดินถึง 3 พระองค์ คือ รัชกาลที่4 รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ซึ่งมีหลักฐานปรากฏจากพระนามาภิไธยหลาย แห่ง และ รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชฐานบนเกาะขึ้นเป็นแห่งแรก เพื่อเป็นสถานที่ประทับใน ฤดูร้อน และพระราช ทานนามว่า พระจุฑาธุชราชฐาน ตามพระนามพระราชโอรสที่ประสูติบนเกาะสีชังแห่งนี้ เกาะสีชัง เป็นเกาะใหญ่ที่มีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของชลบุรี อยู่ห่างจากฝั่งศรีราชาประมาณ 12 กิโลเมตร ประกอบ ด้วย เกาะสีชัง และเกาะบริวารน้อยใหญ่อีก 8 เกาะ คือ เกาะยายท้าว เกาะค้างคาว เกาะท้ายตาหมื่น เกาะปรง เกาะขามใหญ่ เกาะขามน้อย เกาะสัมปันยื้อ และเกาะร้านดอกไม้ เป็นที่จอดพักเรือสินค้านานาชาติ และเป็น เกาะที่น่า ท่องเที่ยวในบรรยากาศแบบท้องถิ่น ซึ่งสามารถแวะท่องเที่ยวในวันเดียวหรือพักค้างคืนก็ได้



1.พระจุฑาธุชราชฐาน
เป็น สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเกาะสีชัง ห่างจากท่าเทววงศ์ลงมาทางใต้ของเกาะ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นท่ีี่ประทับในฤดูร้อน มีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่ตามชั้นเนินเขาที่สูง ต่ำลดหลั่นกันอย่างงดงามประกอบด้วยพระที่นั่ง 4 องค์ พระตำหนัก 14 หลัง ศาลา 1 หลัง มีสวนดอกไม้ สระ ธารน้ำ น้ำพุ ถ้ำและหน้าผา ภายในบริเวณมีสภาพ ภูมิทัศน์ที่งดงามตกแต่งตามลักษณะอุทยานในพระราชวังของประเทศตะวันตก ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างดังต่อไปนี้
- เรือนเขียว
ใน สมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเสด็จมายังเกาะสีชังเป็นประจำโดยเรือกลไฟ และประทับแรมบนเรือ พระที่นั่งโดย มิได้สร้าง สร้างพลับพลาที่ประทับ แต่ในเวลานั้นก็มีเรือนไม้พักผ่อนริมทะเล ปลูกสร้างอยู่แล้วหลังหนึ่ง คือ "เรือนเขียว" ปัจจุบันยังอยู่และมีสภาพที่เรียบร้อยสมบูรณ์
- เรือนผ่องศรี
จัดแสดงนิทรรศการพระราชประวัติและประวัติบุคคลผู้ที่มีบทบาทสำคัญกับเกาะสีชังในอดีต
- พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์
พระ ที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ พระที่นั่งองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านทรงโปรดเกล้าวาง ศิลาฤกษ์ ใน ปี พ.ศ.2435 แต่ขณะที่กำลังก่อสร้างพระที่นั่งองค์นี้ ได้เกิดเหตุความไม่สงบ ร.ศ.112 ขึ้น ต่อมา พระองค์ท่านได้มีพระ ์พระราชองค์การรับสั่งให้รื้อพระที่นั่งองค์นี้ แล้วมาสร้างในพระราชวังสวนดุสิต กรุงเทพ มหานคร และพระราชทานนาม ใหม่ว่า พระที่นั่งวิมานเมฆ ซึ่งองค์พระที่นั่งเป็นเรือนไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก การก่อสร้างนั้นไม่ได้ใช้ตะปูเข้าเรือน เรือนเลยสักตัว เป็นการสร้างเรือนไม้ด้วยช่างไม้หลวงฝีมือชั้นครู ภายใน พระจุฑาธุชราชสถานปัจจุบันเหลือเพียงฐาน ของอาคารซึ่งเป็นคานคอดินที่เหลือให้พวกเรา ได้จินตนาการว่า องค์พระที่นั่งวิมานเมฆได้เคยก่อสร้างเป็นอาคารริมทะเลที่สวยงามอย่างมาก
- เรือนวัฒนา
จัดแสดงนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญในเกาะสีชังในสมัยรัชกาลที่ 5
- สะพานอัษฎางค์
อยู่ ในบริเวณพระตำหนัก เป็นสะพานที่รัชกาลที่ 5 ท่านทรงใช้เป็นท่าขื้นเทียบเรือหลังจากที่เสด็จประพาสฝรั่งเศส ที่เห็นนี่คือบูรณะใหม่ทั้งหมดแล้ว แต่ว่ายังคงรูปแบบสภาพเดิมทั้งหมด



- อัษฎางค์ประภาคาร
อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีศิลาอยู่ใต้น้ำอยู่ตรงปากช่องทางเรือ ทั้งนี้เพื่อเป็นที่ สังเกต แก่เรือที่จะเดินเข้าออก

- พระเจดีย์อุโบสถ วัดอัษฎางค์นิมิตร
เป็น พระอุโบสถที่อยู่ในเขตพระราชวัง มีลักษณะแตกต่างจากที่อื่น คือ พระอุโบสถอยู่ใต้เจดีย์ทรงกลมแบบ ลังกาตัวพระ อุโบสถสร้างแบบสถาปัตยกรรมแบบโกธิค บริเวณพระเจดีย์อุโบสถยังมีต้นศรีมหาโพธิ์ ซึ่งนำหน่อ มาจากพุทธคยา ประเทศอินเดียปลูกไว้ด้วย พระเจดีย์อุโบสถนี้ที่ตั้งอยู่บนเขา ณ ตำแหน่งที่สูงมองเห็นได้ชัด และจากองค์พระเจดีย์ สามารถมองเห็นทัศนียภาพบริเวณพระราชฐานโดยรอบ รวมถึงภูมิทัศน์ทางทะเลที่สวย



2. ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่
ตั้ง อยู่บนเขาห่างจากท่าเรือเทววงศ์ไปทางด้านเหนือของเกาะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเกาะสีชังให้ความเคารพนับถือ ลักษณะเป็นถ้ำซึ่งดัดแปลงเป็นศาสนสถาน ที่ผสมผสานด้วยสถาปัตยกรรมจีนและไทย จากบริเวณศาลมองเห็น ทิวทัศน์บ้านเรือนด้านหน้าเกาะได้ชัดเจน

3. มณฑปรอยพระพุทธบาท
อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเขาเดียวกับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ รัชกาลที่ 5 ทรงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ บนยอดเขาเป็น จุดชมทิวทัศน์ทะเลได้โดยรอบ
4.ช่องเขาขาด
ตั้ง อยู่ด้านหลังของเกาะ หากนั่งเรือผ่านจะเห็นเป็นช่องเขา ในบริเวณมีสะพานสำหรับเดินชมทิวทัศน์สามารถ ชม พระอาทิตย์ตกได้สวยงาม มีหาดหินกลม ซึ่งเต็มไปด้วยหินกลม ๆ ขนาดต่าง ๆ มากมาย ในอดีตเคยเป็น ที่ตั้ง พลับพลาที่ประทับชมทิวทัศน์ของรัชกาลที่ 5

5.แหลมมหาวชิราวุธ
แหลม มหาวชิราวุธ คล้ายกับแหลมพรมเทพ แต่เล็กกว่าเป็นแหลมที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเกาะสีชัง มีสะพาน ที่ทอดยาวยื่นออกไปยังแหลม นักท่องเที่ยวนิยมไปตกปลาที่นั่นกันมากเพราะเป็นโขดหินมากมายเป็นแหล่งที่ อยู่ อาศัยของฝูงปลาหลายชนิด และสวยงามเป็นอย่างมาก แหลมสลิดยังเ็ป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกในยามเย็นอีก ด้วยในฤดูหนาวพระอาทิตย์ตกน้ำจะมีดวงใหญ่โตเป็นพิเศษ




6.หาดถ้ำเขาพัง
ตั้ง อยู่ด้านตะวันตกของเกาะ เป็นชายหาดกว้าง สะอาดและสวยงาม มีทรายละเอียด น้ำใสสะอาดเหมาะแก่ การเล่นน้ำการเดินทางท่องเที่ยวบนเกาะ เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสีชังอยู่ห่างกันพอสมควร จะสะดวก มาก หากจะเช่ารถสามล้อเครื่องจากท่าเทียบเรือไปชมสถานที่ต่าง ๆ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็เที่ยวได้ทั่วเกาะ ค่าเช่ารถสามล้อเครื่อง คิดเป็นรอบ ๆ ละประมาณ 150-250 บาท ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและระยะทาง

7.แหลมจักรพงษ์
เป็น แหลมที่สวยงามอีกแห่ง เลยหาดถ้ำพัง ไปทางทิศตะวันตก ใช้เส้นทางเดียวกันกับเส้นทางไปหาดถ้ำพัง บริเวณริมฝั่ง ทะเลจะเป็นโขดหินขนาดใหญ่ สวยงาม เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกน้ำที่สวยงามและมีจุดพักของ นักท่องเที่ยวปลูก เป็นกระโจมเล็กๆกลมกลืนกับบรรยากาศ ได้อย่างสวยงสมและลงตัวลงตัว

ขอขอบคุณภาพสวยๆจาก
คุณเอ //phitchaphat.multiply.com
คุณน้ำพี้ //nampee.multiply.com
คุณลูมิซิโอะ //lumixio.multiply.com



1. รถยนต์ส่วนตัว
จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนสายบางนา - ตราด มุ่งหน้าสู่จังหวัดชลบุรี จากตัวเมืองชลบุรี มุ่งหน้าสู่บางแสน (หลักกิโล เมตรที่ 104 ท่านจะถึงแยกขวามือเข้า หาดบางแสน ) จากทางเข้าหาดบางแสน ขับตรงไปประมาณ 13 กิโลเมตร จะถึง ห้าง โรบินสันศรีราชา ซึ่งอยู่ทางขวามือของท่าน ( ตรงห้างโรบินสัน คือ หลักกิโลเมตรที่ 117 ) จากนั้นให้ เลี้ยวขวาตรง ห้างโรบินสัน จากนั้นขับตรงไปยังท่าเรือเกาะลอย ประมาณ 2 กิโลเมตร ก็จะถึง ท่าเรือเกาะลอย
**หากท่านต้องการค้างคืนสามารถจอดรถไว้ืที่ฝั่งเกาะลอยๆได้**

2. รถโดยสารสาธารณะ
สามารถขึ้นรถได้ 2 แห่ง คือ
- สถานนีเอกมัย นั่งรถกรุงเทพ - สัตหีบ หรือกรุงเทพ - ศรีราชา หรือ กรุงเทพ - พัทยา แล้วไปลงที่ หน้าห้าง โรบินสัน ศรีราชา จากนั้นเดินข้ามฝั่งไปยังห้างโรบินสัน แล้วนั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างหรือสามล้อเครื่องไป ยังท่าเรือเกาะลอย ( ค่าโดยสาร 40 บาท )
- สถานีหมอชิตรถออกทุกครึ่งชัวโมง ตั้งแต่เวลา 05.00-20.00 น. ยกเว้นวันจันทร์ที่มีรถออกตั้งแต่ 04.30 น.

จากศรีราชา(ท่าเรือเกาะลอย) ไปยังเกาะสีชัง(ท่าเรือเทววงศ์)
มีเรือโดยสารออกจากท่าเรือเกาะลอยทุกวันตั้งแต่ 6.00 -20.00 น. ออกทุกชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางประมาณ
15 นาทีจากเกาะสีชังมายังท่าเรือเกาะลอย ศรีราชาก็เช่นกัน แต่ในวันเสาร์อาทิตย์จะเพิ่มรอบเรือเวลา 7.00 น. ด้วย ค่าโดยสาร 40 บาท
**รายละเอียดสอบถามได้ที่เรือสีชังพาเลซ โทร. 038 216 276-82 หรือ เรือแสงประทีปบริการ
โทร. 038 313 687

การเดินทางท่องเที่ยวบนเกาะสีชัง
เนื่อง จากสถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสีชังอยู่ห่างไกลกันพอสมควร นักท่องเที่ยวจึงนิยมเช่ามอเตอร์ืไซต์หรือสามล้อ เครื่อง สกายแลป (นั่งได้ 3- 4คน) ค่ารถมอเตอร์ไซต์วันละ 250 บาท, ค่ารถสกายแลป 150-250 บาท แล้วแต่การ แวะชม สถานที่ท่องเที่ยวจุดใดบ้างซึ่งท่านสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ ของเทศบาล ตำบลเกาะสีชัง เทศบาลตำบลเกาะสีชัง 038 216 141




ขอบคุณ paiduaykan.com




 

Create Date : 26 เมษายน 2554    
Last Update : 26 เมษายน 2554 8:08:44 น.
Counter : 1492 Pageviews.  

ความสุขสุดขอบฟ้าที่...โครงการหลวง

ท่องเที่ยว

ความสุขสุดขอบฟ้าที่โครงการหลวง (Lisa)

มี โอกาสกลับมาโครงการหลวงอีกครั้งในปลายทางที่ต่างออกไป เพราะห้องทดลองทางการเกษตรของพ่อหลวงที่ทรงริเริ่มไว้ในวันนี้มีถึง 38 แห่งใน 5 จังหวัดภาคเหนือ หากสิ่งที่เรารู้สึกทุกครั้งไม่ว่าจะไปโครงการหลวงที่ไหน ๆ ก็คือ ความสุขที่ได้อยู่กับธรรมชาติ สัมผัสมิตรภาพใหม่จากผู้คนบนดอยไกล เรียนรู้ความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมที่แตกต่าง ซึ่งเหนืออื่นใดคือความรัก และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พ่อหลวงทรงทำเพื่อประชาชน

หมอกจ๋ามยามสุขสนุก

ทริปนี้ที่เราเดินทางตาม "โครงการหลวง อัศจรรย์ความสุขสุดขอบฟ้า" ของมูลนิธิโครงการหลวงและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อเปิดมุมมองใหม่ในการท่องเที่ยวโครงการหลวง 3 แห่ง ในจังหวัดเชียงใหม่ เริ่มที่ โครงการหลวงหมอกจ๋าม อำเภอแม่อาย ด้วยการนั่งเรือล่องแม่น้ำกก ซึ่งช่วงนี้แม่น้ำตื้นเขิน แต่ทัศนียภาพสองฟากฝั่งยังมีสีสัน ทั้งเด็ก ๆ ที่สนุกสนานกับการโดดน้ำเล่น ขณะที่ผู้ใหญ่ก้มหน้าก้มตาดักแหหาปลา

เกือบ เที่ยงเราขึ้นท่าที่บ้านวังไผ่ เพื่อเติมพลังด้วย อาหารคาว-หวานแบบชาวไทลื้อ มีเมนูเด่นอย่างยำหัวบุกน้ำพริกคั่วทรายกับผักต้มง่าย ๆ และไก่อุ๊บสิบสองปันนา พร้อมฟังเพลงไทลื้อขับกล่อมข้างสำรับ เสร็จแล้วไปดูชาวบ้านสาธิตวิธีแปรรูปหัวบุก ก่อนมุ่งหน้าสู่ลุ่มน้ำงาม ฝ่าเปลวแดดลุยแปลงปลูกพืชผลของเกษตรกร ที่อยู่ในความดูแลของโครงการหลวงหมอกจ๋าม ทั้งมันฝรั่ง ฟักทองญี่ปุ่น แตงกวาญี่ปุ่น ถั่วแดงหลวง และข้าวโพด

เราได้ชิมมันฝรั่งต้มสุกใหม่ ๆ กลางไร่ ช่วยเขาห่อ ฟักทองลูกโต ๆ ถึงจะร้อนจะเหนื่อย แต่ความสนุกนั้นมีมากกว่า และยังได้ฟังเรื่องราวของชาวปกากะญอ ว่าที่นี่มีสุขเพียงไรจากการเป็นเกษตรกร ในโครงการพระราชดำริจนเรายังนึกอิจฉา

ดอยอ่างขาง

ดอยอ่างขาง

ดอยอ่างขาง

ดอยอ่างขาง

ยิ้มไม่จางที่อ่างขาง

ความสุขเพิ่มขึ้นอีกเท่าเมื่อเราไปถึง สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ได้นอนพักท่ามกลางอากาศเย็นสาย ตื่นเช้าพร้อมสายหมอกแล้วไปดูการรีดนมแพะ ก่อนเดินขึ้นดอยชมวิวแปลงชากลางแดดอุ่น ดื่มกาแฟอราบิก้าร้อน ๆ อร่อยกับสลัดผักสดกรอบราดน้ำสลัดโรยงา เป็นมื้อเช้าบนปลายดอยที่บรรยากาศสุดชิลล์ไม่มีที่ใดเหมือน

ท้อง อิ่มก็พร้อมลุยต่อ ไปดูแปลงปลูกสตรอวเบอร์รี่ของชาวปะหล่อง ชิมสตรอเบอร์รี่สดๆ สายพันธุ์พระราชทาน 80 ที่หอมหวานสดฉ่ำ...ชื่นใจจริง ๆ ถ้าอยากเก็บไปฝากคนที่บ้านก็คิดราคา 100 บาทต่อกล่องเท่านั้น งานนี้เก็บคนละกล่องสองกล่องก็เหงื่อซึมแล้ว และผลจากการออกแรงเลยทำให้เรายิ่งเอร็ดอร่อยกับมื้อกลางวัน ทั้งยำสตรอเบอร์รี่ กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา ขาหมู-หมั่นโถวสไตล์ ยูนนาน...เผลอแป๊บเดียว เกลี้ยงจาน!

ได้ชมผลผลิตสด ๆ จากไร่ก็ถึงเวลาไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 บ้านยาง ที่นี่เราได้รู้ถึงที่มาของการก่อตั้งโรงงานหลวงการแปรรูปผลิตภัณฑ์ หลากหลายของแบรนด์ดอยคำ ที่สร้างรายได้และเปลี่ยนชีวิตของผู้คนบนดอยไกลให้มีรอยยิ้ม

ดอยอ่างขาง ชมดอกไม้เมืองหนาว

ขุนวาง

ขุนวาง

ขุนวาง


มิตรภาพใหม่ที่ขุนวาง

อำลาทริปด้วยมิตรภาพใหม่ที่ประทับใจเราจากชาวม้งแห่ง หมู่บ้านโป่งน้อยใหม่ ในพื้นที่ โครงการหลวงขุนวาง ซึ่งชาวบ้านที่นี่นอกจากจะปลูกข้าว สตรอเบอร์รี่ และพืชผักอื่น ๆ แล้วยังทอผ้าได้สวยงามอีกด้วย

ผู้เฒ่าผู้แก่ต้อนรับเราดุจลูกหลาน ด้วยการผูกข้อมือรับขวัญ เราล้อมวงเปิบข้าวเหนียวห่อใบตองเป็นมื้อกลางวัน กับไข่ต้ม หมูทอด และน้ำพริก แกล้มผักนึ่งอย่างกะหล่ำปลี ฟักทองญี่ปุ่น และบร็อกโคโลนีที่หวานอร่อยด้วยรสธรรมชาติ พร้อมชมการแสดงพื้นบ้านของเด็กชาวม้งแก้มแดง อิ่มแล้วลงล้างมือในลำธาร ก่อนเดินเล่นชมน้ำตกเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน อันเป็นส่วนหนึ่งของความสุขเรียบง่าย แบบพอเพียงของชาวบ้านโป่งน้อยใหม่ผู้รักความสงบ

ก่อน ลาจากขุนวางเป็นช่วงเวลาช้อปปิ้งผลผลิตคุณภาพดีในโครงการ ซึ่งที่นี่นอกจากจะมีโรงเรือนวิจัยวานิลลา โรงเพาะเห็ด และปลูกดอกไม้เมืองหนาวแล้ว ยังส่งเสริมการปลูกพืชผักผลไม้อื่น ๆ พร้อมจำหน่ายในราคาถูก ไม่ว่าจะเป็นเห็ดพอร์ตทาเบลโล เฟสเนล ถั่วลันเตาหวาน สตรอเบอร์รี่ เคปกูสเบอร์รี ฯลฯ ให้เราได้หอบหิ้วของดีจากดงดอย พร้อมแบ่งปันเรื่องราวอัศจรรย์แห่งความสุขสู่คนข้างล่างด้วย

ท่องดอยสูงจากขุนวาง-แม่กลางหลวง

Fast Facts

• โครงการหลวงมีโปรแกรมให้คุณเที่ยวได้ตลอดทั้งปี พร้อมบริการบ้านพักและอาหาร สนใจติดต่อศูนย์ประสานงานท่องเที่ยวโรงการหลวง โทรศัพท์ 053-810-765-8 ต่อ 104, 108 หรือ 08-6117-9774

• จุดเยี่ยมชมเพิ่มเติมในหมอกจ๋าม เช่น วัดใหม่หมอกจ๋ามและพิพิธภัณฑ์เจ้าครูหมอไต ที่สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมของชาวไทใหญ่, พระธาตุสบฝาง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่บนเขาสูง, ชุมชนทอผ้าและเจียระไนพลอยในหมู่บ้านใหม่หมอกจ๋าม

• สำหรับแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติในขุนวาง มีน้ำตกผาดำ น้ำตกเต๊ะเละโพ และดอยผาแง่ม

• ส่วนที่อ่างขางสามารถขึ้นไปจุดสูงสุดของดอย เพื่อชมดอกกุหลาบพันปีที่จะออกดอกปีละครั้งในเดือนธันวาคม หรือจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก รวมถึงเยี่ยมฐานปฏิบัติการชายแดนไทย-พม่าก็ได้




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Vol.12 No.10 16 มีนาคม 2554
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คู่หูเดินทาง และ Lisa




 

Create Date : 25 เมษายน 2554    
Last Update : 25 เมษายน 2554 9:02:18 น.
Counter : 1825 Pageviews.  

อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด

ตั้งอยู่ในเขตอำเภอกุยบุรี และอำเภอปราณบุรี ห่างจากหัวหินลงมาทางใต้ประมาณ 63 กม. ตามตำนานของเทือก เขาสามร้อยยอดเล่ากันว่า พื้นที่แถบนี้เคยเป็นทะเลมีเกาะใหญ่น้อยอยู่มากมาย
ในสมัยนั้นมีขบวนเรือ สำเภาจีน แล่นผ่านมา และประสบกับลมพายุมรสุมจนเรืออับปางคนบนเรือที่รอดชีวิตได้ไปอาศัยอยู่ตาม เกาะต่าง ๆ จำนวน 300 คนจึงเรียกว่า "เกาะสามร้อยรอด" ต่อมาเพี้ยนเป็น "เขาสามร้อยยอด" จนทุกวันนี้ อุทยานแห่งชาติ เขาสามร้อยยอด มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 98 ตรกม. หรือ 61,300 ไร่ ลักษณะภูมิ ประเทศประกอบด้วยภูเขา หินปูนสลับซับซ้อน มีที่ราบน้ำท่วมถึงอยู่ริมชายฝั่งทะเล เป็นที่อาศัยของนกนานาชนิด ซึ่งมีมากในช่วงเดือน พฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2509 และเป็น อุทยานแห่งชาติประเภทชายฝั่งทะเลแห่งแรกของประเทศไทย



1.จุดชมวิวเขาแดง
อยู่ บนยอดเขาหนึ่งของเขาแดง เวลาที่เหมาะแก่การขึ้นชมวิวคือตอนเช้ามืดประมาณ 5.30 น. เพราะสามารถชม พระอาทิตย์ขึ้นเหนือขอบทะเลบ้านเขาแดงและทัศนียภาพรอบๆได้ดี ระยะทางเดินประมาณ 500 เมตร ใช้เวลา เดินทางประมาณ 30 นาที ตลอดจนชมเลียงผาเดินและเล็มใบไม้เหนือหุบเขามรณะ นกออกบินร่อนหาอาหาร และอาจจะพบลิงแสมหรือค่างแว่นโหนตัวเล่นบนคาคบไม้

2.คลองเขาแดง

นัก ท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือได้จากหมู่บ้านเขาแดง และที่หมู่บ้านบางปู โดยลงเรือที่ท่าน้ำหน้าวัดเขาแดง ล่องไป ตามลำคลองประมาณ 3-4 กม. ใช้เวลาเดินทางไป-กลับประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง มีนกนานาชนิดให้ชม เวลาที่ เหมาะแก่การล่องเรือคือประมาณ 16.30-17.00 น. เพราะอากาศไม่ร้อนและสามารถ ชมพระอาทิตย์ตกได้อย่าง สวยงามหิน

3.ทุ่งสามร้อยยอด

เป็น พื้นที่ชุ่มน้ำประเภทหนึ่ง มีพื้นที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีน้ำขังหรือท่วมถึงตลอดทั้งปี มีทั้งส่วนที่เป็นน้ำจืดและน้ำกร่อย เป็นแหล่งที่มีองค์ประกอบทางชีวภาพและกายภาพ เป็นเอกลักษณ์ของระบบ ซึ่งมีความหลากหลายชนิดของพืช สัตว์ และธาตุอาหาร ทุ่งสามร้อยยอดเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกนานาชนิด ทั้งนกประจำถิ่นและ นกอพยพตามฤดูกาล นับเป็นแหล่งดูนกที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศ บริเวณเชิงเขา มีศูนย์ศึกษาธรรมชาติิทุ่งสามร้อยยอด โดยมีเส้นทางเดินศึกษาพันธุ์ไม้น้ำให้ได้เดิน เป็นสะพานไม้ที่ ยกระดับ ให้สูงขึ้นมาจากท้องทุ่งและทอด ตัวเป็นแนวยาวเข้าไปในทุ่ง ตลอดทางที่เดินเราจะได้เห็นถึงความหลากหลาย ของพันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ในทุ่ง ไม่ว่าจะหญ้า แขม อ้อ ต้นธูปฤาษี มอสน้ำ จอก บัวหลวง สาหร่ายฉัตร สาหร่ายพุงชะโด โอ้ย!! สารพัดพืชพันธุ์ บางชนิดนั้นหาดูได้ยากแต่ที่นี่มีให้ดู ที่นี้มีและสถานที่กางเต็นท์ ไว้ให้บริการนัดท่องเที่ยว การเดินทางเข้าถึงสะดวกเป็นทางลาดยางจนถึงศูนย์ศึกษาธรรมชาติ (ทางเข้าเดียวกับสถานีรถไฟสามร้อยยอด)




3.หาดแหลมศาลา และถ้ำพระยานคร
ตั้ง อยู่ที่บริเวณเขาเทียน ใกล้บ้านบางปู ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ไปทางทิศเหนือประมาณ 16 กม. ใกล้บ้านบางปู ทางด้านทิศตะวันออกของถ้ำ เป็นชายหาดที่สวยงามมีชื่อว่า "หาดแหลมศาลา" ตามประวัติเล่าว่า ในสมัยรัชกาลที่ 1 ขณะที่เจ้าพระยานคร ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราช แล่นเรือผ่านทางเขาสามร้อยยอด บังเอิญเกิดพายุใหญ่ไม่ สามารถ เดินทาง ต่อไปได้ จึงจอดเรือหลบคลื่นที่ชายหาดแห่งนี้ ระหว่างที่พักแรมอยู่บริเวณนั้น ได้ค้นพบถ้ำ ขนาดใหญ่ เพดาน ถ้ำมีปล่องให้แสงสว่างลอดเข้าไป มองเห็นความสวยงามภายในถ้ำ จึงได้รับการขนานนามว่า "ถ้ำพระยานคร" ภายในถ้ำมีหลายคูหา มีหินงอกหินย้อยเป็นเชิงชั้นหลืบม่าน บางส่วนก็หยดย้อยลงมาเป็น รูปร่าง ต่างๆงามแปลกตา ระหว่างทางมีบ่อน้ำกรุด้วยอิฐดินเผารูปสี่เหลี่ยมคางหมู กว้าง 1 เมตร ลึก 4 เมตร เรียกว่า "บ่อพระยานคร" จุดเด่นของถ้ำก็คือ พลับพลาแบบจตุรมุข ชื่อว่า "พระที่นั่งคูหาหาสน์" ซึ่งพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างขึ้น พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ นับเป็นเครื่องเชิดชูอย่างยิ่งของถ้ำพระยานคร และกลายเป็นสัญลักษณ์ตราประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบัน

การเดินทาง

นัก ท่องเที่ยวสามารถเดินทางโดยทางเรือ โดยเช่าเรือจากหมู่บ้านบางปูใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที หรือจะ เดินข้ามเขาเทียนเป็นระยะทางประมาณ 480 เมตร จากชายหาดมีทางเดินขึ้นเขาไปยังถ้ำพระยานคร อุทยานฯ มีบริการบ้านพักที่บริเวณ เขาแดง และที่ หาดแหลมศาลา และยังมีบริการเต็นท์ให้เช่า ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ้ที่ อุทยานแห่งชาติ (ทางทะเล) กรมป่าไม้ บางเขน กรุงเทพฯ โทร. 561-2919-20, 561-4294 ต่อ 746-7579-5734, 579-7223

4.ถ้ำแก้ว

อยู่ บริเวณเขาหุบจันทร์ ในเส้นทางไปบ้านบางปู (ก่อนถึงบ้านบางปูประมาณ 3 กิโลเมตร)จากเชิงเขา ต้องเดิน เท้าอีก 15 นาที เป็นถ้ำที่มีความสวยงามมาก ภายในถ้ำเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย มีลักษณะเด่นคือ หินงอก หินย้อย ส่วนใหญ่ค่อนข้างใสและโปร่งแสง การเดินชมถ้ำค่อนข้างลำบากเนื่อง จากภายในถ้ำมืดมาก และพื้นไม่ เรียบ เต็มไปด้วยหินใหญ่ น้อยระเกะระกะ จึงจำเป็นต้องใช้ตะเกียงเจ้าพายุและมีเจ้าหน้าที่อุทยานฯนำทาง ถ้ำแก้วตั้ง ชื่อตามพระธุดงค์ซึ่งค้นพบถ้ำนี้เป็นคนแรกหรืออาจเป็นเพราะมี ประกายระยิบระยับเมื่อถูกแสงไฟจาก ตะเกียง

5. ถ้ำไทร
เป็น ถ้ำที่มีความงดงามอีกถ้ำหนึ่ง อยู่บริเวณเขาสูง ใกล้กับบ้านคุ้งโตนด การขึ้นชมถ้ำมีระยะทางไม่ไกลมากนัก นักท่องเที่ยวสามารถนำรถยนต์ไปจอดไว้ที่เชิงเขาใกล้กับทางเดินไปถ้ำได้ ภายในถ้ำค่อนข้างมืด จึงจำเป็น ต้อง ใช้ตะเกียงเจ้าพายุในการชมถ้ำ ตะเกียงมีไว้ให้บริการบริเวณถ้ำในวันหยุด หากไปวันธรรมดาควรติดต่อ ขอเช่า ตะเกียงที่ ีหมู่บ้านคุ้งตะโหนด ถ้ำไทรตั้งชื่อตามต้นไม้ที่ขึ้นอยู่บริเวณหน้าปากถ้ำ

6.หาดสามพระยา

เป็น หาดทรายที่สวยงามสงบเงียบ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ไปทางเหนือประมาณ 3.5 กิโลเมตร บริเวณหาดมี ต้นสนทะเลปลูกอย่างเป็นระเบียบ เวลาน้ำลงจะปรากฎชายหาดอันงดงาม ความยาวของชายหาดทรายประมาณ 1 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีเขากะโหลก ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอุทยานฯ มีชายหาดอันสวยงามและ เกาะต่างๆ ในทะเล ได้แก่ เกาะโครำ เกาะนมสาว เกาะระวิง เกาะระวาง และเกาะสัตกูด

7.หาดดอนต้นสน

เป็น หาดทรายที่สงบเงียบ และดงสนอันร่มรื่น ชายหาดแห่งนี้อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 1 กิโลเมตร ในฤดูแล้งสามารถนำรถยนต์ไปจอดใกล้ชายหาดได้ หากน้ำลงสามารถเดินเลาะชายหาดไปยังหาดทรายที่เขาแร้งได้


ขอขอบคุณภาพสวยๆจาก คุณพี //nampee.multiply.com
คุณชาญชัย //chanchai02.multiply.com
อุทยาน แห่งชาติเขาสามร้อยยอด มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอยู่บริเวณใกล้กับที่ทำการอุทยานฯ สำหรับให้ ความรู้แก่ นักท่องเที่ยว และมีบ้านพักไว้บริการนักท่องเที่ยว จำนวน 6 หลัง พักได้หลังละ 8-25 คน ค่าธรรมเนียมที่พักหลังละ 500-1,000 บาทต่อคืน และมีเต้นท์เล็กพักได้ 2 คน จำนวน 30 เต้นท์ ค่าธรรมเนียม 30 บาทต่อคืน ซึ่งมีบริเวณกางเต้นท์ 3 จุด คือ บริเวณที่ทำการอุทยานฯ หาดสามพระยา และหาดแหลมศาลา อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด
หมู่ 2 บ้านเขาแดง ต.เขาแดง อ. กุยบุรี จ. ประจวบคีรีขันธ์ 77150
โทรศัพท์ 0 3282 1568, 0 3264 6293




1.รถยนต์ส่วนตัว
จากกรุงเทพฯ เดินทางโดยใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม ถึงสี่แยกอำเภอปราณบุรี แล้ว เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสายปากน้ำ-ปราณบุรี ประมาณ 4 กิโลเมตร จะเห็นป้ายบอกทางไปอุทยานฯ ให้เลี้ยวขวา ไปตามถนน รพช. ซึ่งเป็นถนนลาดยางอีกประมาณ 31 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานฯ อีกทางหนึ่งคือ เดินทางไปตามเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 เมื่อถึงหลักกิโลเมตรที่ 286.5 (ใกล้บ้านสำโหรง ก่อนถึงอำเภอ กุยบุรี 6 กิโลเมตร) มีทางแยกเลี้ยวซ้าย เดินทางประมาณ 14 กิโลเมตร

2. รถโดยรถประจำทาง
วัน แรกจาก ก.ท.ม. ขึ้นรถที่ ขนส่งสายใต้ใหม่ สาย ๆ หน่อยก็ได้ครับตีตั๋วไปลงที่แยกปราญบุรี เลยหัวหินไปอีก 1 สถานี ลงที่แยกปราญบุรี หมารถสองแถวจากแยกปราญเข้าไปส่งที่ บ้านบางปู ท่าเรือข้ามไปหาดแหลมศาลา ค่ารถประมาณ 200 บาท ถ้าไปรถส่วนตัวถึงแยกปราญเลี้ยวซ้าย ระหว่างทางมีป้ายบอกทางอย่างชัดเจน (ถ้ำพระยานคร) นำรถไปฝากที่ หาดบางปู

3. การเดินทางโดยรถไฟ
ส่วนรถไฟควรจะไปเช้าๆหน่อยขึ้น ที่สถานรถไฟ บางกอกน้อย ตีตั๋วไป ลงที่สถานีขนส่ง ปราญบุรีเหมาสองแถว เข้าไปเหมือนกัน

4.เครื่องบิน
โดยบริษัทบางกอกแอร์เวย์ มีเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-หัวหิน วันละ 1 เที่ยว โทร. 229-3456-63




 

Create Date : 24 เมษายน 2554    
Last Update : 24 เมษายน 2554 15:57:47 น.
Counter : 1788 Pageviews.  

สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ



บึงฉวากเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ อยู่ในพื้นที่ 2 จังหวัด คือ อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี และอำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท รับน้ำจากคูส่งน้ำซึ่งผันน้ำมาจากแม่น้ำท่าจีน บึงฉวากมีความกว้างประมาณ 650 เมตร ความยาวประมาณ 6,500 เมตร ระดับน้ำลึกเฉลี่ย 2 เมตร รวมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1,807 ไร่

บึงฉวากได้รับประกาศให้เป็นเขตห้ามล่าสัตว์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 ซึ่งสัตว์ที่ห้ามล่าส่วนใหญ่เป็นสัตว์จำพวกนกที่มีมากกว่า 50 ชนิด

ต่อมาในปี พ.ศ. 2537 จังหวัดสุพรรณบุรีได้จัดทำโครงการบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวาระโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 50 ปี ในปี พ.ศ. 2539 ได้ดำเนินการปรับปรุงบูรณะบึงฉวากให้เป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เพื่อใช้พื้นที่กักเก็บน้ำไว้ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค และการเพาะปลูกให้แก่ราษฎร ในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดจนส่งเสริมเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด และเป็นแหล่งในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย โดยได้รับการสนับสนุนจาก นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ตลอดจนคำแนะนำอันเป็นประโยชน์ และติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด ทำให้โครงการสำเร็จอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันโครง การบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสุพรรณบุรี ประกอบไปด้วยกรงเสือ สิงห์โต และสัตว์ป่า กรงนกใหญ่ เกาะกระต่าย ศุนย์รวมพันธุ์ไก่และสัตว์หายาก อุทยานผักพื้นบ้านเพื่อการยังชีพ สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ บ่อจระเข้น้ำจืด และโลกใต้ทะเล

สำหรับ สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2539 โดยได้จัดสร้างตู้ปลา 30 ตู้ มีปลาน้ำจืดกว่า 50 ชนิด และสร้างบ่อจระเข้ ดำเนินการสร้างแล้วเสร็จ และเปิดให้บริการเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541

เนื่องด้วยอาคารแสดง พันธุ์สัตว์น้ำหลังที่ 1 มีขนาดเล็กสามารถแสดงพันธุ์สัตว์น้ำได้เพียง 50 กว่าชนิดเท่านั้น ปีพ.ศ. 2544 จึงให้จัดสร้างอาคารแสดงพันธุ์สัตว์น้ำหลังที่ 2 แล้วเสร็จเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2546 และต่อมายังได้สร้างอาคารแสดงพันธุ์สัตว์น้ำหลังที่ 3 สวรรค์แห่งโลกใต้ทะเล ซึ่งทำพิธีเปิดอาคารเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552



ข้อมูลทั่วไป

สถาน แสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ ตั้งอยู่ที่ ตำบลเดิมบาง อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ก่อสร้างขึ้นภายใต้โครงการพัฒนาบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ มีวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างเพื่อเป็นสถานที่ศึกษาพฤติกรรมสัตว์น้ำให้กับ นักวิชาการ ประชาชน นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนผู้สนใจโดยทั่วไป


ภาย ในสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ มีอาคารสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ 3 หลัง ที่รวบรวมปลาจากทั่วทุกแหล่งน้ำจากทุกมุมโลก มีการจัดแสดงทั้งพันธุ์สัตว์น้ำจืดและน้ำเค็ม ปลาสวยงาม และพันธุ์ปลาหายาก


จุดเด่นหรือสิ่งที่น่าสนใจ

อาคารสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำหลังที่ 1
ภายในรวบรวมพันธุ์สัตว์น้ำจืดและน้ำเค็ม อาทิ ปลาม้า ปลาหนวดพราหมณ์หนวด 14 เส้น ปลาบ้า ปลาช่อนงูเห่า ปลาเสือตอลายใหญ่ ปลาเทพา

อาคารสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำหลังที่ 2
ภายในมีตู้ปลาขนาดใหญ่บรรจุน้ำได้ 400 ลูกบาศก์เมตร เดินดูปลาได้รอบตู้


มีอุโมงค์ยาวประมาณ 8.5 เมตร ซึ่งเป็นอุโมงค์ปลาน้ำจืดแห่งแรกของประเทศไทย

อาคารสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำหลังที่ 3 (สวรรค์แห่งโลกใต้ทะเล)
ภาย ในอาคารมีตู้ปลาทรงกระบอกที่เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เมตร สูง 6.08 เมตร อุโมงค์ปลาใต้ทะเล ซึ่งเป็นอุโมงค์บันไดเลื่อนความยาวกว่า 12.50 เมตร และมีความสูง 9 เมตร บรรจุปลาทะเลชนิดต่างๆ อาทิ ปลาหมอทะเล ปลาชะลิน ปลาฉลามเสือดาว ปลาโรนันจุดขาว

มี อุโมงค์ปลาฉลาม มีความยาว 16 เมตร กว้าง 6 เมตร นับเป็นอุโมงค์ที่เลี้ยงปลาฉลามที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในมีปลาฉลามชนิดต่างๆ ได้แก่ ปลาฉลามเลมอน ปลาฉลามครีบดำ ปลาฉลามเสือดาว ปลาฉลามขี้เซา

บ่อจระเข้น้ำจืด
มีขนาดพื้นที่ 3 ไร่ เลี้ยงจระเข้พันธุ์พื้นเมืองของไทย ได้แก่ จระเข้น้ำจืด และจระเข้น้ำเค็ม

หมาะสำหรับ

เด็ก, เยาวชน, ผู้ใหญ่, ครอบครัว, คนชรา, ผู้ชาย, ผู้หญิง, เที่ยวคนเดียว, เที่ยวเป็นกลุ่ม, เที่ยวเป็นคู่


กิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยว

  • ชมการจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม
  • ชม การแสดงของนักประดาน้ำที่ตู้ปลาใหญ่ ณ อาคารสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำหลังที่ 2 (มีเฉพาะในวันเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ มี 4 รอบ รอบละ 1 ชั่วโมง เวลา 10.30 น., 12.00 น., 13.30 น. และ 15.00 น.)
  • ชม การแสดงการให้อาหารปลาฉลาม ณ อาคารสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำหลังที่ 3 (มีเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ มี 1 รอบ ตั้งแต่เวลา 14.00 - 15.00 น.)
  • ชมการแสดงโชว์จับจระเข้ (มีเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ รอบ 11.00 น., 12.30 น., 14.00 น. และ 15.30 น.)

เวลาทำการ

เปิดให้เข้าชมทุกวัน โดยไม่เว้นวันหยุดราชการ
วันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 8.30 - 17.00 น.
วันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 8.30 - 18.00 น.

ค่าธรรมเนียม/ค่าเข้าชม

สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ
อาคารสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำหลังที่ 1-2
เด็ก 10 บาท
ผู้ใหญ่ 30 บาท

อาคารสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำหลังที่ 3 (สวรรค์แห่งโลกใต้ทะเล)
ชาวไทย
เด็ก 50 บาท
ผู้ใหญ่ 150 บาท

ชาวต่างชาติ
เด็ก 100 บาท
ผู้ใหญ่ 200 บาท

ติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติม

โทรศัพท์: 035-430-043 - 4 , 035-430-033
โทรสาร: 035-439-208

แหล่งข้อมูลอ้างอิง: wikipedia.org และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

teeteawthai.com







 

Create Date : 23 เมษายน 2554    
Last Update : 23 เมษายน 2554 12:07:06 น.
Counter : 1407 Pageviews.  

"น้ำตกแก่งโสภา" สายน้ำสวยแห่งลำห้วยเข็กใหญ่



สำหรับคนที่รักการเที่ยวน้ำตก คงเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ดีมาก ถ้าหากครั้งหนึ่งได้มีโอกาสไปเยือน "น้ำตกแก่งโสภา" น้ำตกแสนสวยที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก

น้ำตกแก่งโสภา เป็นน้ำตกที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ โดยน้ำตกนั้นเกิดจากลำห้วยเข็กใหญ่ ไหลผ่านหน้าผาขนาดใหญ่ลดหลั่นกันประมาณ 3 ชั้น และไหลผ่านไปตามแก่งหินอีกหลายแก่ง


น้ำตกแก่งโสภา เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่ระหว่างกิโลเมตรที่ 71-72 ของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 (พิษณุโลก-หล่มสัก) ซึ่งจะมีทางแยกเข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร

ข้อมูลโดย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช




 

Create Date : 21 เมษายน 2554    
Last Update : 21 เมษายน 2554 10:22:06 น.
Counter : 1499 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.