รีวิว MG GS เอสยูวีรุ่นแรกของค่าย พกทีเด็ดที่ไม่ควรมองข้าม
รีวิว MG GS เอสยูวีรุ่นแรกของค่าย พกทีเด็ดที่ไม่ควรมองข้าม ตลาดรถ ครอสโอเวอร์/เอสยูวีในปัจจุบันกำลังไปได้สวยในตลาดโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ที่รถ ประเภทนี้ได้รับความนิยมสวนกระแสตลาดรถ ยนต์ที่ยังคงซบเซามานานหลายปี และยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น แบรนด์น้องใหม่บ้านเราอย่าง MG ก็ถือเอาโอกาสนี้ส่งคอมแพ็คเอสยูวี GS มาชิงส่วนแบ่งด้วยเช่นกัน
MG GS ถูกเปิดตัวในบ้านเราเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา ก่อนหน้าตลาดอังกฤษเสียอีก ชูจุดเด่นด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร ทุกรุ่นย่อย ที่เคลมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาไม่ถึง 9 วินาที ซึ่งนับว่าเป็นจุดแข็งของ MG GS ที่ทำให้ภาพลักษณ์ดูแข็งแรงขึ้นพอสมควร
คราวนี้ Sanook! Auto ได้รับเกียรติจากทางผู้บริหารของ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เข้าร่วมทดสอบ MG GS ใหม่ล่าสุด บนเส้นทางกรุงเทพฯ-กุยบุรี ซึ่งถือว่าเป็นรูทที่ช่วยให้เราได้รู้จักและเข้าใจเอสยูวีคันนี้มากขึ้นพอสมควร
ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จัก MG GS กันหน่อยดีกว่า
MG GS ในตลาดบ้านเรามีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ 2.0T D 2WD ซึ่งเป็นรุ่นรอง และรุ่นท็อปสุดก็คือ 2.0T X AWD นั่นเอง โดยทั้งคู่ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน แต่ต่างกันที่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งมาให้ทั้งคู่
MG GS ยังคงชูจุดเด่นด้วยการพัฒนาภายใต้แนวคิด Brit Dynamic เช่นเดียวกับเอ็มจีรุ่นอื่นๆ ตัวถังถูกออกแบบจากศูนย์ UK Technical Centre ประเทศอังกฤษ ด้วยการออกแบบสไตล์ Diamond Flow ที่เน้นความเรียบหรูเป็นสำคัญ
อุปกรณ์มาตรฐานติดรถ ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นของรุ่นท็อปสุด ซึ่งก็คือ 2.0T X AWD ทั้งหมดครับ
ด้านหน้าติดตั้งไฟหน้าแบบ Projector HID พร้อมระบบฉีดน้ำล้างไฟหน้า ขณะที่รุ่น D จะเป็นแบบโปรเจคเตอร์เหมือนกัน แต่ใช้หลอดฮาโลเจนแทน ทั้งคู่มาพร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติตามสภาพแสง สามารถปรับระดับสูง-ต่ำได้อัตโนมัติเช่นกัน
ไฟ Daytime Running Light แบบ LED ถูกแยกติดตั้งไว้บริเวณกันชนใกล้กับไฟตัดหมอก ขณะที่กันชนส่วนล่างถูกตกแต่งด้วยสีดำ ตัดกับสีเงิน เพิ่มความดุดันสไตล์รถเอสยูวี
เส้นสายด้านข้างออกแบบให้ดูเรียบหรู มีเส้นไหล่ลากยาวตั้งแต่บังโคลนหน้าไปจรดด้านท้าย เหนือหลังคาติดตั้งราวหลังคาสีเงิน พร้อมหลังคาซันรูฟ ซึ่งสองอย่างหลังนี้มีให้เฉพาะรุ่น X AWD เท่านั้น
ด้านท้ายติดตั้งไฟท้ายแบบ LED ทั้งไฟหรี่และไฟเบรก กันชนตกแต่งด้วยสีดำพร้อมไฟตัดหมอกหลังล้อมกรอบสีเงิน ติดตั้งปลายท่อไอเสียแบบคู่เพิ่มความดุดัน ตัวถังวางอยู่บนล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว Bicolour ดีไซน์ Diamond Cut พร้อมยางขนาด 235/50 R18 เหมือนกันทั้งสองรุ่นย่อย
เข้ามาภายในห้องโดยสาร ให้ความรู้สึกสูงโปร่งตามสไตล์รถเอสยูวี ตกแต่งด้วยโทนสีดำ แผงคอนโซลตกแต่งด้วยสีดำเปียโนแบล็คให้ความรู้สึกหรูหราขึ้น ปุ่มต่างๆ ถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อย สวยงาม
ทั้งสองรุ่นมาพร้อมเบาะนั่งหุ้มหนังสีดำที่ให้ความนุ่มกำลังดี เบาะนั่งฝั่งคนขับสามารถปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง ฝั่งผู้โดยสารปรับไฟฟ้าได้ 4 ทิศทาง (รุ่น D 2WD เป็นแบบปรับมือฝั่งผู้โดยสาร)
ขณะที่เบาะนั่งด้านหลังสามารถปรับเอนได้ 14 องศา ซึ่งก็ถือว่าเยอะพอสมควร ช่วยให้เดินทางไกลได้สะดวกสบาย ตัวพนักพิงสามารถปรับพับแยกแบบ 60:40 ได้ ติดตั้งหมอนพิงศีรษะมาให้ทั้ง 3 ที่นั่ง สามารถปรับสูง-ต่ำได้ พร้อมช่องแอร์ด้านหลังมาให้ด้วย
เบาะนั่งเมื่อปรับเอนไปด้านหลังจนสุด
ด้านคนขับติดตั้งพวงมาลัยหุ้มหนังแบบ 4 ก้านดีไซน์สปอร์ต พร้อมรูระบายอากาศ ตัวพวงมาลัยถูกออกแบบให้มีร่องกริปเพื่อความกระชับมือยิ่งขึ้น สามารถปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ติดตั้งปุ่มควบคุมเครื่องเสียงไว้ทางซ้ายมือ ขณะที่ด้านหลังพวงมาลัยมีแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift มาให้ด้วย (เฉพาะรุ่น X AWD)
คอนโซลกลางติดตั้งเครื่องเสียงหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ระบบสัมผัสให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับสมาร์ทโฟน ตัวอินเตอร์เฟซใช้งานไม่ยาก แต่อาจต้องเรียนรู้กันนิดนึงเพื่อการใช้งานที่รวดเร็วขึ้น ซึ่งหน้าจอนี้ยังใช้แสดงภาพจากกล้องมองหลังขณะถอยหลัง พร้อมสัญญาณเตือนกะระยะอีกด้วย
เครื่องเสียงชุดนี้มาพร้อมฮาร์ดดิสก์ขนาด 16 GB สามารถบันทึกไฟล์เพลงไว้ได้ ไม่ต้องเสียบ USB Stick คาไว้บ่อยๆ มีช่อง USB และ AUX ให้อย่างละ 1 ช่อง รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth ขับกำลังเสียงผ่านลำโพง 8 จุดรอบคัน
นอกจากนั้น ทุกรุ่นย่อยยังมีระบบนำทางและระบบ inkaNet ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เอ็มจีเลยทีเดียว ซึ่ง inkaNet ที่ติดตั้งใน MG GS คันนี้ นอกเหนือจากฟีเจอร์ที่ติดตั้งไว้ในรุ่น MG5 และ MG6 แล้ว ยังเพิ่มฟังก์ชั่นการโทรออกและรับสายผ่านหน้าจอของรถ, สามารถรับ-ส่งข้อความ SMS ได้ และยังสามารถแชร์ Wi-Fi Hotspot เพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตบนอุปกรณ์อื่นๆได้ด้วย เปรียบง่ายๆเหมือนเป็น Wi-Fi Router ที่ใช้ในบ้านหรือออฟฟิสนั่นเอง
ซึ่งสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตดังกล่าวนี้ ทางเอ็มจีจะมีแพ็คเกจของทรูมูฟให้กับ GS ทุกคัน เรียกว่าสามารถใช้งานแทนโทรศัพท์มือถือได้เกือบเต็มรูปแบบ ในกรณีที่ลืมมือถือไว้ที่บ้าน เป็นต้น
ขณะที่ฟังก์ชั่น inkaNet อื่นๆ ได้แก่ ระบบนำทางผ่าน Google Maps, ระบบแจ้งอัตราสิ้นเปลือง, ระบบกำหนดรัศมีการขับขี่ตั้งแต่ 500 เมตร ถึง 10 กิโลเมตร, ระบบวิเคราะห์รถยนต์เบื้องต้น, ระบบตรวจสอบสถานะรถยนต์, ระบบควบคุมการทำงาน เช่น เปิดไฟหน้า หรือปลดล็อคประตูจากมือถือ รวมถึงระบบเลขาส่วนตัวจาก MG Call Centre เป็นต้น
มาตรวัดความเร็วออกแบบคล้ายกับที่พบในเอ็มจีรุ่นอื่นๆ มาพร้อมหน้าจอ MID สำหรับบอกข้อมูลต่างๆ พร้อมตำแหน่งเกียร์ไว้ตรงกลาง ซึ่งความพิเศษของหน้าจอนี้ คือ สามารถเปลี่ยนเป็นสีแดงได้เมื่อโยกคันเกียร์มาที่โหมดสปอร์ต
บริเวณใกล้กับคันเกียร์ ติดตั้งปุ่มเบรกมือไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชั่น Auto Vehicle Hold มาให้ ช่วยเหยียบเบรกค้างให้อัตโนมัติในกรณีที่รถติดไฟแดง รวมถึงปุ่มล็อคระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และปุ่มปิดการทำงานระบบควบคุมการทรงตัว
แต่จุดสังเกตคือระยะห่างในการยื่นแขนเพื่อกดปุ่มบนแผงคอนโซลกลางค่อนข้างไกลไปนิด แม้ผู้เขียนยื่นแขนไปสุดตัว ก็ยังเอื้อมไม่ถึงปุ่มต่างๆอยู่ดี ต้องอาศัยโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ซึ่งหากใช้งานบ่อยๆ อาจทำให้รู้สึกรำคาญได้ แต่ทั้งนี้ก็แลกมาด้วยความกว้างขวางที่เพิ่มขึ้นของห้องโดยสาร
ด้านระบบความปลอดภัย MG GS ถือเป็นไฮไลท์ของแบรนด์เก่าแก่สัญชาติอังกฤษที่ให้ความปลอดภัยในระดับรถยุโรป ซึ่ง MG เรียกระบบการทำงานทั้งหมดนี้ว่า Synchronized Protection System ผสานการทำงานกว่า 13 ระบบเข้าไว้ด้วยกัน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สอดคล้องกันเต็มรูปแบบ ประกอบด้วย
ABS ระบบป้องกันล้อล็อค EBD ระบบกระจายแรงเบรก TCS ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี CBC ระบบควบคุมเบรกขณะเข้าโค้ง SCS ระบบควบคุมการทรงตัว AVH ระบบป้องกันรถไหล BDC ระบบทำความสะอาดจานเบรกอัจฉริยะ OHBV ระบบเพิ่มแรงดันไฮโดรลิกเบรก MSR ระบบป้องกันการลื่นไถลในกรณีลดเกียร์ต่ำฉับพลัน EBA ระบบเสริมแรงเบรกอิเลคโทรนิคส์ HAS ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน TPMS ระบบตรวจสอบความผิดปกติความดันลมยาง EPB ระบบเบรกมือไฟฟ้า นอกจากนั้น MG GS ยังใช้โครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ Full Space Frame พร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ และผ้าเบรกแบบ Ceramic Compound ที่ทนความร้อนกว่าเดิม รวมถึงติดตั้งถุงลมนิรภัยมาให้ 4 ลูก บริเวณคู่หน้าและด้านข้าง ติดตั้งเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดมาให้ทั้ง 5 ที่นั่ง ขณะที่คู่หน้ามีระบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติให้ด้วย
มาถึงไฮไลท์อีกอย่างของ MG GS ซึ่งก็คือขุมพลังเทอร์โบความจุ 2.0 ลิตร รหัส 20L4E แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว Turbo TGI-TECH ที่ให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้า ที่ 5,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Twin Clutch Sportronic 6 สปีด ซึ่งก็คือเกียร์แบบดูอัลคลัทช์นั่นเอง สามารถรองรับเชื้อเพลิงทางเลือกสูงสุด E85
ในจุดนี้ ทางเอ็มจีได้เคลมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ของ GS รุ่นขับเคลื่อนสองล้อไว้ที่ 8.2 วินาที ซึ่งถือว่าจี๊ดจ๊าดไม่ใช่เล่นสำหรับรถสไตล์เอสยูวีแบบนี้
เราเริ่มออกเดินทางจากจุดสตาร์ทบริเวณถนนสาทร มุ่งหน้าไปขึ้นทางด่วนเพื่อไปยังจุดหมายที่ อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เราสัมผัสได้ถึงทัศนวิสัยที่ดีในแบบรถเอสยูวี ด้วยตัวถังแบบยกสูงช่วยให้สามารถเห็นการจราจรด้านหน้าได้สะดวกสบาย
อัตราเร่งของเครื่องยนต์เทอร์โบ 2.0 ลิตรใน MG GS ถือว่าไม่ผิดหวัง ให้แรงดึงอย่างต่อเนื่องและชัดเจน สามารถขึ้นไปแตะความเร็ว 120 กม./ชม. ได้อย่างสบายๆ
แต่
.!!! จุดที่น่าสังเกตคือการทำงานของคันเร่งและระบบเกียร์ที่ต้องอาศัยจังหวะตอบสนองอยู่นานพอสมควร กว่าที่เครื่องยนต์จะสามารถเรียกแรงม้าและแรงบิดลงสู่พื้นถนนได้ คิดแบบคร่าวๆ คือ ต้องกดคันเร่งไว้เกือบ 2 วินาที ก่อนที่แรงบิดจะเริ่มมาให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นการออกตัว หรือจังหวะเร่งแซง ซึ่งอาการนี้คล้ายกับ MG6 รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์นั่นเอง
ถ้าหากผู้อ่านสามารถรับตรงจุดนี้ได้ ก็ถือว่าไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะพ้นจาก 2 วินาทีนี้ไป ก็คือแรงดึงที่มากพอจะทำให้แผ่นหลังแนบชิดไปกับพนักพิง ปนกับความตื่นเต้นจากแรงบิดของเครื่องยนต์เทอร์โบกว่า 350 นิวตัน-เมตร
ช่วงล่างของ MG GS ถือว่าเป็นจุดเด่นของแบรนด์เอ็มจี ด้วยสไตล์ช่วงล่างที่แน่นหนึบ ให้ความมั่นใจที่ความเร็วสูง จังหวะเข้าโค้งก็มีอาการโคลงให้เห็นน้อยมาก เรียกว่าเป็นเอสยูวีที่ขับได้สนุกที่สุดคันหนึ่งในตลาดเลยทีเดียว
โดยรุ่น D 2WD และ X AWD จะถูกเซ็ทช่วงล่างต่างกันเล็กน้อย เพื่อรองรับระบบขับเคลื่อนที่ต่างกัน ในรุ่น X AWD จะถูกเซ็ทให้แน่นหนึบกว่า เหมาะสำหรับการขับขี่แบบออฟโรดมากกว่า แต่ทั้งนี้ การเซ็ทช่วงล่างของทั้งคู่ถือว่าไม่ต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ ทั้งสองรุ่นยังคงรักษาความหนึบหนับ หนักแน่น เพื่อการตอบสนองที่ขับสนุกเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
การตอบสนองของระบบเบรกให้ความรู้สึกแบบเดียวกับรถยุโรป คือเซ็ทมาค่อนข้างลึก ช่วยให้ Linear เบรกได้อย่างนุ่มนวล แต่หากต้องการหยุดรถกะทันหัน ก็ยังคงไว้ใจได้ เพียงแต่จะต้องกดเบรกให้ลึกกว่าความคุ้นชินจากรถญี่ปุ่นสักเล็กน้อย
สรุป MG GS ถือเป็นเอสยูวีที่ขับได้สนุกรุ่นหนึ่งในตลาด จะติดก็เพียงการตอบสนองของคันเร่งและเกียร์ที่มีบุคลิกเชื่องช้าสักเล็กน้อย แต่เมื่อแรงบิดเริ่มมา ตัวรถก็ให้แรงดึงแบบไม่แพ้ใคร ช่วงล่างยังถือเป็นจุดเด่นในรถระดับเดียวกัน เซ็ทมาในสไตล์รถยุโรป ให้ความมั่นใจที่ความเร็วสูง เข้าโค้งได้อย่างสนุกสนาน ระบบ inkaNet ถือเป็นเทคโนโลยีที่น่าจะถูกใจคนชอบแก็ดเจ็ท เพราะสามารถควบคุมตัวรถได้จากสมาร์ทโฟน ถือเป็นลูกเล่นที่ยังไม่พบในคู่แข่งรายอื่นขณะนี้
ราคาจำหน่าย MG GS มีดังนี้
2.0T D 2WD ราคา 1,210,000 บาท 2.0T X AWD ราคา 1,310,000 บาท
ขอขอบคุณผู้บริหารและทีมงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้เกียรติเชิญเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้ และคอยดูแลอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี
Create Date : 25 พฤษภาคม 2559
Last Update : 25 พฤษภาคม 2559 8:29:29 น.
0 comments
Counter : 2535 Pageviews.