Rise of the Tomb Raider : ยินดีต้อนรับนะ ลาร่าคนใหม่ (No Spoilers)
(*หมายเหตุ : บทความด้านล่างนี้ มีการพูดถึงเรื่องราวของตัวละครลาร่า ครอฟท์ก็จริง แต่ไม่น่าจะถึงขั้นสปอยล์ ยังมีจุดหักมุมปลีกย่อยอื่นที่ไม่ได้เอ่ยถึงอยู่อีก ไม่น่าจะเสียอรรถรสต่อการเล่นเกมแต่อย่างใด)


ผมรักซีรีส์ Tomb Raider ตั้งแต่ตอนที่มันออกวายจำหน่ายบน PS1 ครั้งแรก (เคยเขียนไว้ในบทความ "Tomb Raider รำลึก") ในฐานะแฟนซีรีส์นี้และแฟนคลับลาร่า ครอฟท์... Rise of the Tomb Raider เป็นการเดินทางที่สนุกจนคุ้มค่าตั้งแต่ต้นยันจบเลยทีเดียว 



ว่าด้วยเนื้อเรื่อง

หลังลาร่า ครอฟท์รอดมาจากเหตุการณ์ใน Tomb Raider 2013 เธอกลับมาหมกมุ่นแต่กับการตามหาเมืองในตำนานชื่อคิเทช (Kitezh) และ "แหล่งพลังศักดิ์สิทธิ์ (Divine Source) ซึ่งจะมอบพลังอมตะให้ ภารกิจนี้ได้พาลาร่าไปทั้งดินแดนที่แห้งแล้งอย่างซีเรีย และหนาวยะเยือกอย่างไซบีเรีย รวมถึงการได้เผชิญหน้ากับกลุ่มคนติดอาวุธที่ตามหา "แหล่งพลังศักดิ์สิทธิ์" เช่นเดียวกับเธอ



โดยหลักแล้วพล็อตของ Rise of the Tomb Raider จะอิงเรื่อง "คิเทช" เมืองใต้ทะเลสาบในตำนานของรัสเซียที่อารมณ์คล้ายๆกับแอตแลนติส แต่มีการผสมตำนานของชาวสลาฟโบราณเรื่อง Koschei ว่าด้วยมนุษย์ที่กลายเป็นอมตะเข้าไปด้วย

คนเขียนบทของเกมนี้ผูกตำนานทั้งสองเรื่องให้เข้ากับปมในจิตใจของลาร่าได้ดีมาก

หัวใจสำคัญของ Rise of the Tomb Raider คือ "การเดินทางของลาร่า ครอฟท์" ที่เริ่มต้นลาร่าจะมีทัศนคติแบบหนึ่ง แต่เมื่อได้พบกับตัวละครอย่าง "เจค็อบ" และ "โซเฟีย" ได้เรียนรู้เรื่อง "ความเป็น-ความตาย" ผ่านตำนานโบราณและพลังเหนือธรรมชาติแล้ว ลาร่าก็ได้ตระหนักถึงความหมายอันสำคัญในการเดินทางของตัวเธอเอง!

ดังนั้นผมจึงบอกได้เต็มปากว่า ผมชอบเนื้อเรื่องของ Rise of the Tomb Raider เป็นอันดับต้นๆของซีรีส์ Tomb Raider เลยทีเดียว!



สารภาพเลยว่าผมไม่ค่อยชอบเนื้อเรื่องของ Legend กับ Underworld มันพยายามผูกเรื่องตำนานเข้ากับเรื่องส่วนตัวของลาร่า แต่ผลสุดท้ายกลับเป็น "การจับแพะชนแกะได้ห่วยมาก" ทำนองว่า "อะไรวะ? ทำไมตำนานดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ไปเกี่ยวข้องกับเนปาล?" หรือ "เฮ้ย ทำไมใต้วิหารไทยถึงมีวิหารและรูปปั้นของเทพเจ้าธอร์แห่งตำนานนอร์สอยู่?" อะไรทำนองนี้

หัวใจในการเขียนเรื่องประมาณ Indiana Jones หรือซีรีส์ Tomb Raider ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับตำนานปรัมปราที่มีอยู่จริงในโลกเรานั้นก็คือ "การจับแพะชนแกะที่เข้าท่า"

ใช่ หนังหรือเกมนั้น ยังไงก็ต้องผสมเรื่องแต่ง เรื่องแฟนตาซีเข้าไปด้วยอยู่แล้ว เพียงแต่ จะทำอย่างไรให้มันดูเนียนที่สุดนี่แหละสำคัญ!

ใน Tomb Raider ภาคแรกปี 1996 นั้น มีทั้งแอตแลนติสและมนุษย์ต่างดาว แถมลาร่ายังต้องเดินทางไปทั้งอเมริกาใต้, ยุโรป และอียิปต์อีก แต่ว่า... Tomb Raider ภาคนั้นมันอิงจากทฤษฎีที่เคยมีการเสนอว่า อารยธรรมของชาวแอตแลนติสถูกกระจายไปตามที่ต่างๆของโลก และทวีปทั้งสามทวีปก็คือผลผลิตที่เกิดจากแอตแลนติสนั่น

แน่นอนว่าทฤษฎีนี้ยังไม่ได้รับการยอมรับ แถมยังมีหลายจุดที่ยังดูแถๆ

แต่อย่างน้อย Tomb Raider ภาค 1996 ก็ยังพยายาม "จับแพะชนแกะให้เข้าท่า" การนำเสนอของแต่ละประเทศไม่มีการ "มั่ววัฒนธรรม" ออกมาให้เห็นเท่าไหร่ แถมเรื่องมนุษย์ต่างดาวในยุคโบราณ ก็เป็นหนึ่งในทฤษฎีที่คนชอบเรื่องลึกลับชอบนำเสนอกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วด้วย

แต่... ภาค Legend กับ Underworld กลับ "จับแพะชนแกะ" ได้ห่วยมาก เหมือนไม่ได้ศึกษาวัฒนธรรมที่ตัวเองจะอ้างถึงอย่างละเอียด แล้วก็จับยัดๆกันแบบไม่สนใจอะไรเลย เรียกว่า "เอาสนุกเข้าว่า เข้าท่าหรือเปล่าไม่รู้" ผลคือทั้งสองภาคนั้นทำออกมาได้สนุก แต่มันก็ทำให้เห็นว่าทีมงานขาดการค้นคว้าที่ดีจริงๆ (ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการเขียนเรื่องเกี่ยวกับโบราณคดีหรือตำนานปรัมปรา)

ส่วนภาค Rise of the Tomb Raider นั้น ส่วนตัวผมคิดว่า "จับแพะชนแกะได้ค่อนข้างเข้าท่า" ไม่ค่อยมีการ "มั่ววัฒนธรรม" ออกมาให้เห็น (ถึงจะมีแต่ก็ไม่ใช่หัวใจหลักอะไร เลยพอจะมองข้ามไปได้) และหัวใจที่ทำให้เนื้อเรื่องภาคนี้ประสบความสำเร็จในสายตาของผมคือ การเล่าเรื่องที่ดีครับ

ต่อให้ไอเดียเข้าท่าแค่ไหน แต่ถ้าเล่าเรื่องไม่ดี มันก็ออกมาไม่ดี

ต่อให้ไอเดียเห่ยแค่ไหน แต่ถ้าเล่าเรื่องดี มันก็ออกมาดี

Rise of the Tomb Raider นอกจากจะมีการ "จับแพะชนแกะที่เข้าท่าแล้ว" ยังโยงเรื่องของตำนานเข้ากับ "การเดินทางค้นหาตัวเองของลาร่า ครอฟท์" ได้อย่างฉลาดด้วย! 

ทำให้ Rise of the Tomb Raider เป็นเหมือนหนังแอ็กชั่นบู๊ถล่มทลายที่มีดราม่าดีๆ ฉากทรงพลังดีๆแฝงอยู่ตลอดทั้งเกม เล่นจบแล้วรู้สึกประทับใจ

นอกจากตัวละครหลักอย่างลาร่า ครอฟท์แล้ว ตัวละครปลีกย่อยอย่างเจค็อบและโซเฟีย ล้วนมีบทบาทต่อ "การเดินทางของลาร่า" ได้อย่างน่าสนใจ ไม่ใช่แค่ตัวละครตัวประกอบไร้ประโยชน์ พวกเขามีส่วนที่ทำให้ลาร่าได้เรียนรู้และเข้าใจถึงเส้นทางอีกเส้นทางที่มากไปกว่าแค่การพิสูจน์ตำนานและค้นหาพลังเหนือธรรมชาติ... เส้นทางของผู้ที่จะเป็น "ฮีโร่" ในอนาคตนั่นเอง!



ทางด้านตัวร้ายของภาคนี้ ค่อนข้างน่าสนใจกว่าตัวร้ายภาคที่แล้ว แถมยังมีการเซ็ทอัพ "องค์กรร้าย" ที่จะมาเป็นศัตรูหลักของลาร่าด้วย อารมณ์เหมือน spectre ของเจมส์ บอนด์นั่นแล




ว่าด้วยลาร่า ครอฟท์

ลาร่า ครอฟท์ใน Rise of the Tomb Raider คือลาร่า ครอฟท์เวอร์ชั่นที่มีการพัฒนาตัวละครมากที่สุด!

ลาร่า ครอฟท์ใน Series 1 (1996-2003) เป็นหัวขบถที่ต่อต้านพ่อแม่และสังคมผู้ดีอังกฤษ ภาพลักษณ์โดยรวมเป็นเหมือนอินเดียน่า โจนส์เวอร์ชั่นผู้หญิง เราจะเห็นเธอเป็นแบบนี้ไปทุกภาค ผมเรียกลาร่าคนนี้ว่า "ลาร่าออริ (จินอล)"

พอมาใน Series 2 (2006-2008) ที่เป็นการรีบูทครั้งแรก ลาร่า ครอฟท์ได้เปลี่ยนให้ใกล้เคียงกับเวอร์ชั่นหนังที่แอนเจลีน่า โจลี่เล่น เธอเก่งและเซ็กซี่ เปี่ยมด้วยเสน่ห์เหมือนเจมส์ บอนด์แบบโรเจอร์ มัวร์หรือเพียซ บรอสแนน เราจะเห็นเธอเป็นแบบนี้ไปทุกภาคเช่นกัน ผมเรียกลาร่าคนนี้ว่า "ลาร่าลั๊ลลา"

เมื่อมีการรีบูทอีกครั้ง ลาร่า ครอฟท์ใน Series 3 (2013-2015) นั้นบุคลิกของเธอดูจริงจังขึ้นเหมือนเด็กสาวทั่วไป เธอเป็นบัณฑิตใหม่ที่ทะเยอทะยานจะค้นหาอาณาจักรที่สูญหายไปของญี่ปุ่น ก่อนจะเจอเรื่องเลวร้ายจนชะตาชีวิตต้องพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ผมเรียกลาร่าคนนี้ว่า "ลาร่ามาม่า"

ตอนที่ Tomb Raider ภาค 2013 ออกจำหน่าย แฟนลาร่าบ่นเรื่องบุคลิกของลาร่าคนใหม่กันระงม

แต่การเจริญเติบโตของลาร่า ครอฟท์เวอร์ชั่น 2013 ก็มาผลิดอกออกผลเอาในตอนภาค Rise of the Tomb Raider นี่เอง!

ในภาคนี้เราจะได้เห็นเบื้องลึกเบื้องหลังระหว่างลาร่ากับพ่อมากขึ้น ซึ่งผมว่าทำออกมาได้น่าสนใจกว่าของ "ลาร่าลั๊ลลา" และเวอร์ชั่นหนังของแอนเจลีน่า โจลี่มาก

เราได้เห็นว่าพ่อของลาร่าต้องสูญเสียชื่อเสียงเพราะการค้นหาเมืองในตำนานและพลังเหนือธรรมชาติ เราได้เห็นว่าลาร่าเคยทะเลาะกับพ่ออย่างรุนแรง ทำให้เราได้เข้าใจเรื่องที่ลาร่าปฏิเสธเรื่องพลังเหนือธรรมชาติมาตลอด...

จนกระทั่งตอนที่ลาร่าได้มาเห็นพลังเหนือธรรมชาติด้วยตาตัวเอง (ในเกมภาค2013) ในที่สุดเธอก็เข้าใจ! เพราะอย่างนั้นเธอถึงต้องมองพ่อของตัวเองใหม่ ต้องยอมรับว่าพ่อเป็นฝ่ายถูกมาตลอด และเธอคือฝ่ายผิด!



เพราะฉะนั้นเธอจึงรู้สึกเสียใจ และเพราะรู้สึกเสียใจ เธอจึงหมกมุ่นอยู่แต่กับการตามหา "คิเทช" และค้นหา "แหล่งพลังศักดิ์สิทธิ์" ที่เธอกับคนทั้งโลกเคยปฏิเสธมาแล้ว 

ทว่าการเดินทางครั้งนี้ กลับทำให้เธอเติบโตขึ้นในแบบของตัวเอง!

เพราะแบบนี้ Rise of the Tomb Raider จึงมีอารมณ์ดราม่าของลาร่า ครอฟท์ที่ดีที่สุดเท่าที่ซีรีส์นี้เคยมีมา!!



มันทำให้ผมเริ่มรู้สึกผูกพันกับลาร่าเวอร์ชั่นนี้มากขึ้น ช่วงครึ่งท้ายของเกม เธอดูมีความเป็นฮีโร่มากขึ้น เมื่อเกมจบลง ผมอยากจะติดตามการเดินทางของลาร่าต่อไป อยากรู้ว่าตัวละครของเธอจะพัฒนาไปในทางไหนได้อีก 



ถ้าถามความรู้สึกผม... ผมรู้สึกว่าธีมหลักของลาร่าเวอร์ชั่นนี้ (ทั้งภาค 2013 และ Rise of the Tomb Raider) จะเล่นเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอด วิบากกรรมที่หล่อหลอมให้คนๆหนึ่งให้ชั่วร้ายก็ได้ หรือเป็นคนที่ดีและแข็งแกร่งกว่าเดิมก็ได้ รวมถึงเรื่องที่ชีวิตและความตายมีผลต่อทั้งมนุษย์และสิ่งเหนือธรรมชาติ

ผมจึงฟันธงว่า "ลาร่ามาม่า" ดีกว่า "ลาร่าลั๊ลลา" แน่นอน 

แต่จุดตรงนี้ก็คงเหมือนกับเจมส์ บอนด์ บางคนชอบของฌอน คอเนรี บางคนชอบโรเจอร์ มัวส์ บางคนชอบเพียซ บรอสแนน บางคนชอบเดเนียล เครก 

ลางเนื้อชอบลางยา!


ว่าด้วยเกมเพลย์

ตรงนี้ผมขอแบ่งออกเป็นแง่บวกกับแง่ลบ

แง่ลบ :

(-) ระบบการต่อสู้และสกิลส่วนหนึ่งเหมือนกับของภาค 2013 จนแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง มันไม่ใช่เรื่องแย่อะไร แต่แค่... มันรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรใหม่มากนัก

(-) การดำเนินเรื่องเป็นแพทเทิร์นที่เหมือนกับภาค 2013 มาก ลาร่าเดินๆอยู่ก็มีอะไรพลังทลาย ต้องตกต้องร่วงตลอด, ตอนเริ่มต้นของเกมลาร่ามีศัตรูเป็นพวกหมาป่า และการตามล่าสัตว์อย่างกวาง ต่อมามีศัตรูเป็นคน แล้วตอนท้ายๆเกมก็ต้องเจอการรุมสกรัมของเหล่าอมนุษย์เหนือธรรมชาติ แบบนี้เป็นต้น มันไม่ใช่เรื่องแย่อะไร แต่... อย่างที่บอก รู้สึกเหมือนไม่มีอะไรใหม่



(-) ระบบเควสท์ดูไม่ค่อยจะมีความหมายอะไรเท่าไหร่ จะทำหรือไม่ทำก็ไม่มีผลอะไรมาก แค่จะได้ค่าประสบการณ์ หรืออาวุธใหม่ หรือชุดใหม่ๆเท่านั้นเอง (ถึงไม่มีก็จบเกมได้สบายๆ)



(-) มีชุดให้เปลี่ยนมากมาย แต่สกิลพิเศษของชุดกลับให้ผลซ้ำๆกันเสียเป็นส่วนใหญ่


(-) หน้าผาสีขาวที่ดูก็รู้ว่า "อ้อ ตรงนี้ให้ไต่ขึ้นสินะ" หรือ รอยป้ายสีขาวที่บอกว่า "อ้อ ตรงนี้กดกระโดดสองครั้งปีนขึ้นไปสินะ" คือตรงนี้ไม่ได้แย่อะไรอีกเหมือนกัน เพียงแต่... ถ้าเทียบกับ Tomb Raider ภาคแรกๆแล้ว ตรงนี้เหมือนจะเป็นอะไรที่ขาดความท้าทายไปนิด ใครเคยเล่นเกมภาคแรกๆจะเข้าใจข้อเสียตรงจุดนี้ ของภาคแรกๆมันจะมีอารมณ์แบบ "เฮ้ย ตรงไหนต้องปีนวะ เฮ้ย ตรงนี้หรือเปล่าวะ ลองกระโดดซิ อ้าว เวร ตายเลย ลองอีกที เฮ้ย ตายอีกแล้ว" อะไรแบบนี้เป็นต้น


(-) ภาคนี้มีระบบซื้อขายของซึ่ง... เอ่อ... เหมือนระบบเควสท์ มันดูไร้ความหมายไปนิด

(-) QTE (Quick Time Event) ในฉากบอสน่ะจะใส่มาทำไมกัน...


แง่บวก:

(+) ในที่สุดก็สมกับเป็น "Tomb Raider" เสียที เราได้สำรวจ เราได้ผจญภัยในวิหารโบราณ! 



(+) ระบบคราฟท์คราวนี้มีผลต่อการอัพเกรดอาวุธหรือกระสุนมาก ทำให้ระบบการล่าสัตว์หรือตัดต้นไม้ไม่ไร้ความหมายเหมือนภาค 2013 แถมยังมีการขุดแร่เพิ่มขึ้นมาด้วย



(+) การสำรวจ "สุสาน" ในภาคนี้ ไม่ได้ให้แค่ EXP เพียงอย่างเดียว แต่มีให้ "สกิลพิเศษ" ที่ไม่มีตามปกติ อย่างเช่น สกิลมองเห็นกับดัก หรือสกิลในการยิงธนูออกมาเป็นไฟสีน้ำเงิน (แรงกว่าปกติ) ทำให้ผมต้องตามเก็บสุสานให้ครบ!



(+) พัซเซิลในสุสานออกแบบมาได้เพลินมาก



(+) สกิลใหม่ทำให้เล่นธนูได้สนุกขึ้น เช่น "ดับเบิ้ลช็อต" (ล็อกเป้าศัตรูสองคนแล้วยิงธนูออกไปพร้อมกันสองดอก) หรือ "ทริบเบิ้ลช็อต" (ล็อกเป้ายิงออกไปพร้อมกันสามดอก) หรือ "ล็อกเป้าเฮ้ดช็อต" (ล็อกเป้าศัตรูให้เล็งที่หัวโดยอัตโนมัติ) เป็นต้น



(+) ภาคนี้เล่น stealth สนุกกว่าภาคที่แล้ว

(+) มีเพิ่มระบบการเรียนรู้ "ภาษากรีก, ภาษารัสเซีย" เพิ่มมาด้วย เมื่อเราเรียนรู้ภาษาพวกนี้ เราจะสามารถอ่าน "ศิลาจารึก" ได้ และการอ่านศิลาจารึกจะทำให้เรารู้ตำแหน่งของสมบัติที่ซ่อนไว้ในแผนที่ รวมถึงให้ค่า exp ด้วย



(+) มีระบบว่ายน้ำ,ดำน้ำเพิ่มขึ้นมา



(+) สามารถคราฟท์ลูกธนูหรือระเบิดกระป๋อง,ระเบิดขวดในระหว่างต่อสู้ได้

(+) สัตว์ร้ายมีแฝงอยู่ในหลายๆจุดของแผนที่ เช่น หมีหรือเสือ และหนังของสัตว์พวกนี้มีประโยชน์ต่อการอัพเกรดอาวุธหรืออุปกรณ์ อีกทั้งการสู้กับหมีหรือเสือก็ท้าทายใช่เล่น ให้อารมณ์เหมือนเกม Tomb Raider ภาคเก่าๆดี

(+) บางฉากมีกิมมิคอะไรเจ๋งๆ อย่างเช่น ควบคุมฐานยิงลูกไฟเพื่อทำลายประตู!



(+) ศัตรูท้าทายพอหอมปากหอมคอ

(+) ฉากสู้กับบอสของเกมทำได้สนุก แม้จะเสียดายที่สั้นและขาดความท้าทายไปนิด





สรุป

Rise of the Tomb Raider เป็นเกมแอ็กชั่น-ผจญภัยที่สนุกมาก ระบบเกมทำได้ดี การสู้กับศัตรูทำได้ไหลลื่น ศัตรูก็ท้าทายใช้ได้ มีอะไรให้สำรวจเยอะ การสำรวจสุสานสนุก พัซเซิลทำออกมาได้ค่อนข้างจะโอเค เนื้อเรื่องดี ตัวละครดี 

ส่วนในฐานะของการเป็นเกมซีรีส์ Tomb Raider ภาคนี้ได้มอบทิศทางใหม่ๆที่น่าสนใจในแบบที่ Tomb Raider ไม่ได้เป็นมานาน ตัวละครสำคัญอย่างลาร่า ครอฟท์คาแร็กเตอร์ที่ดูลึกและแตกต่างจากที่ผ่านมา ในขณะเดียวกัน ก็เป็นตัวละครที่ผมสามารถกล่าว "ยินดีต้อนรับ" ได้อย่างยินดีปรีดาด้วยเช่นกัน

คะแนน : 9.1/10 เลยเอ้า!





Create Date : 31 มกราคม 2559
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2559 21:40:13 น.
Counter : 5805 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมาหัวโจก
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]



All Blog