bloggang.com mainmenu search


Movie : My way
Director : Director: Kang Je-Gyu
Writer: Kang Je-Gyu, Na Hyun, Kim Byung-In
Release Date: December 21, 2011 Runtime 145 mins.


เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ขอประกาศเป็นทางการว่าพระเอกอย่างเป็นทางการของหนังเรื่องนี้ คือ จางดองกัน ส่วนที่บล็อกนี้ท่านจะได้เห็นแต่หน้าของ โจ โอดากิริ เป็นส่วนใหญ่ก็เพราะว่า เอ่อ .. มันไม่ใช่เหตุผลที่เป็นทางการสักเท่าไร แต่ก็ถือเป็นเหตุผลใหญ่ในเรื่องของความพึงพอใจส่วนตัว อิอิ คนมันรัก (อีกคนละ)




แม้จะเป็นหนังสัญชาติเกาหลี เขียนบท กำกับ และผลิตโดยคนเกาหลี แต่ก็ขอขึ้นบล็อกด้วยโปสเตอร์ภาษาอังกฤษเพราะในโปสเตอร์ภาษาเกาหลีทั้งสองเแบบเขาให้พระเอกเกาหลีดูเด่นกว่า คือจางดองอยู่ข้างหน้า และเดินนำหน้าหนุ่มโจ รับได้..(ก็หนังเกาหลีน่ะนะ) แต่ไม่ค่อยถูกใจ เพราะคิดว่าบทของโจมิได้เป็นรองจางดองกันแม้แต่น้อย

จางดองกัน รับบท คิม-จุนชิก เป็นคนยากคนจนแต่นิสัยสุภาพบุรุษลูกผู้ชาย

โจ โอดากิริ รับบท ฮาเซกาวะ ทัตสุโอะ เป็นผู้รากมากดีแต่นิสัยไม่ค่อยดีสมสกุลรุนชาติสักเท่าไร



ประเทศเกาหลีในยุคนั้นตกอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น ปู่ของทัตสุโอะเป็นนายทหารชั้นบังคับบัญชาระดับดับสูงคนหนึ่งที่ประจำการอยู่ในเกาหลี และพ่อของทัตสุโอะซึ่งเป็นนายแพทย์ก็พาครอบครัวย้ายติดตามมา




ทัตสุโอะกับจุนชิก จึงได้รู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก เพราะพ่อของจุนชิกเป็นคนรับใช้ในจวนของปู่ทัตสุโอะ เปรียบโดยสถานะของทั้งสองก็คือเป็นนายน้อยกับลูกบ่าวรับใช้ แต่สิ่งหนึ่งที่เท่าเทียมกันคือการเป็นนักวิ่งฝีเท้าดี ในการแข่งขันวิ่งมาราธอนแต่ละครั้งทัตสุโอะกับจุนชิกจึงผลัดกันแพ้ชนะเรื่อยมา

นอกเหนือจากการเป็นคู่แข่ง ความสัมพันธ์ต่อกันแท้จริงในวัยเด็กเป็นมาอย่างไรจนถึงวัยรุ่น ไม่ปรากฏความแน่ชัด จนกระทั่งมีเหตุให้ปู่ของทัตสุโอะตาย พ่อของจุนชิกกลายเป็นง่อย แล้วครอบครัวบ่าวก็ต้องกระเด็นออกจากจวนของเจ้านาย ซึ่งเหตุเดียวกันนี้ทำให้ความสัมพันธ์พบปะของทั้งคู่กลายเป็นดั่งคำโปรยของโปสเตอร์หนังที่ว่า "The met as enemies ...."



เวลาผ่านไป..ทั้งสองเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มใหญ่

พ่อของทัตสุโอะต้องการให้ลูกชายไปเรียนต่อเพื่อเป็นนายแพทย์และมีหัวใจเห็นคุณค่าและความสำคัญของชีวิตผู้คนมากกว่าชัยชนะของญีปุ่นในสงคราม แต่ทัตสุโอะผู้เติบโตมาภายใต้อิทธิพลการเป็นนายทหารของคุณปู่ปฏิเสธที่จะเดินรอยตามผู้เป็นพ่อ แต่ขอเลือกย่ำซ้ำรอยเดิมของคุณปู่ ทัตสุโอะกลายเป็นคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและเต็มใจที่จะตายเพื่อประเทศชาติ



ในการแข่งขันวิ่งมาราธอนรอบคัดเลือกเพื่อส่งตัวแทนเข้าสู่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก คนเกาหลีไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการแข่งขัน แต่ชายผู้หนึ่งซึ่งเคยสร้างฝันให้เป็นจริงได้หาช่องทางแล้วหยิบยื่นโอกาสมาให้คนมีฝันอย่างจุนชิก ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงคนรับจ้างวิ่งรถลากตะลุยไปทั่วย่านด้วยฝีเท้าของนักวิ่งผู้เจนจัด



การแข่งขันมาราธอนรอบคัดเลือกสู่โอลิมปิก ทำให้ทัตสุโอะกับจุนชิก มีโอกาสได้พบหน้าสบตาเขม่นกันอีกครั้ง ในฐานะศัตรูคู่แข่งที่มุ่งมั่นลงสนาม หมายคว้าชัยชนะเหนืออีกฝ่าย

แต่.. ความพ่ายแพ้อย่างอยุติธรรมของคนหนึ่ง
ได้ยัดเยียดชัยชนะที่น่าอดสูให้กับอีกคนหนึ่ง

ความอัปยศของคนญี่ปุ่น และจราจลของคนเกาหลี




บทลงโทษย่อมมีผลต่อชนชั้นผู้ถูกปกครอง จุนชิกและคนเกาหลีจำนวนหนึ่งจึงต้องกลายไปเป็นทหารขององค์จักรพรรดิ แม้ถูกกระทำหยามหมิ่นเป็น "ไอ้หมาเกาหลี" ก็ยังคงต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายออกรบแนวหน้ากับกองทหารญี่ปุ่นในสมรภูมิโนโมฮานประเทศจีน (Nomonhan) แน่นอนว่าไม่ได้รบบ้าเลือดเพื่อญี่ปุ่น แต่เพื่อมีชีวิตรอด

และที่นั่นมีสาวชาวจีนชื่อมิรายเป็น "พลแม่นปืน" ( ฟ่านปิงปิง )



และแล้ววันหนึ่งพวกเขาก็ถูกเรียกรวมพลเพื่อตั้งแถวรอรับนายทหารผู้บัญชาการคนใหม่

ดั่งคนเคยทำบุญร่วมชาติ เคยตักบาตรร่วมขัน

เขา..คนที่ก้าวเท้าย่างลงจากรถมา

คือ ผู้พันฮาเซกาวะ ทัตสุโอะ



เขาเป็นนายคนใหม่ผู้ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นชายชาติทหารจนเข้าข่ายความบ้าคลั่งต่อการจงรักภักดี คนกล้าหาญจึงล้ำเส้นบางๆ สู่ความบ้าบิ่น เมื่อนายไม่กลัวตาย และเผด็จการส่งลูกน้องไปวายวอด เส้นทางมาราธอนสายสงครามของจุนชิกและทัตสุโอะก็ได้เริ่มต้นขึ้นในฐานะเชลยสงคราม

จากโนโมฮานประเทศจีน สู่สหภาพโซเวียต
เยอรมัน ในวันดีเดย์ที่ชายฝั่งนอร์มังดี และ...เส้นชัย



โดยตลอดเส้นทางนั้น จุนชิกยังคงเป็นพระเอ๊กพระเอกเสมอต้นเสมอปลาย ลูกผู้ชายผู้มีฝันและยังคงเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในความหวังถึง..สักวันหนึ่ง ในขณะที่ทัตสุโอะได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากระหว่างเส้นทางของสงครามที่หล่อหลอม รวมถึงอิทธิพลของมิตรภาพเงียบ ที่ทัตสุโอะได้เฝ้ามองจุนชิกคอยหยิบยื่นมันให้เพื่อนร่วมชะตากรรมคนอื่นๆ อย่างมิตรผู้มีน้ำใจ (แม้จะช่วยอะไรไม่ได้) และตัวทัตสุโอะเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เคยได้รับ



นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม โดยส่วนตัวแล้วจึงชอบบทบาทของโจ มากกว่าบทของจางดองกัน คาแรคเตอร์มีความครุ่นคิดที่ซับซ้อนเช่นเดียวกับบทของ "จองแด" ซึ่งได้ส่งนักแสดง คิมอินควอน เข้าคว้ารางวัล Best Supporting actor จาก 2011 (3rd) KOFRA Film Awards Ceremony

เพราะมันเป็นบทที่มีพัฒนาการของการเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลงของทัตสุโอะ กับจองแด มันมีความต่างกันตรงที่ ทัตสุโอะ เติบโตขึ้นในทางที่ดี ขณะที่จองแดเป็นไปในทางตรงกันข้ามเนื่องจากในสภาพแวดล้อมของสงครามมันมีความเจ็บแค้นที่บีบคั้น และถ้าใครดูหนังจบไปแล้วยังนึกไม่ออกว่าจองแดคือ "ผู้จัดการมา" (มาฮุนอี) ของ "โกมีนัม" ในซีรีย์ You're beautiful ก็จะไม่แปลกใจเลย .. ใครจะไปทันคิดออกได้ง่ายๆ ว่า บทนั้นกับบทนี้ที่แตกต่างสุดขั้วจะแสดงโดยคนๆ เดียวกัน



ฉากที่ชอบมากเกี่ยวกับการแสดงของโจ คือ การชายตาแล หรี่ตามอง หรือไม่ก็จดจ้องไปที่จุนชิก คิดว่าโจเล่นบทนี้แล้วเจ๋งดี ระดับความสำคัญต่อเนื้อเรื่อง ก็เทียบความสำคัญได้กับบทบาท ผู้พันเกาหลีเหนือของชาซึงวอนใน 71 into the fire ที่มีได้ทั้งความเมตตาและมหาโหด หรือบทนายร้อยโทของ โกซู ใน The front line ที่ต้องเลือกตัดสินใจแบบคาบลูกคาบดอกจะเป็นวีรบุรุษเพื่อชาติที่ตายไปแล้วหรือจะเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ยังอยู่และปกป้องได้อีกหลายชีวิต เป็นธรรมดาบทบาทที่มีความซับซ้อนทางความคิดและอารมณ์ย่อมน่าสนใจกว่าการเป็นเพียงพระเอกคนดีที่หนึ่ง




มิตรภาพเกิดขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำว่าเพื่อนจากปาก..สักคำ
แค่มองหา แล้วสบตา ก็จะพบว่ามีความอุ่นใจอยู่ตรงนั้น

และหนังก็จบด้วยความรู้สึกอุ่น อารมณ์คล้ายคลึงกับตอนที่นางเอก Love Letter ได้เห็นรูปวาดหลังบัตรยืมหนังสือและรู้ว่านั่นคือความรัก หนังเรื่องนี้ก็ได้ย้อนกลับไปยังภาพของวัยเยาว์ วันหนึ่งวันนั้นที่พวกเขาเคยวิ่งด้วยกัน ทำให้ได้รู้ว่า ณ ช่วงเวลาหนึ่งในอดีตนั้นพวกเขาก็เคยเป็น "เพื่อน"




รู้สึกมีความสุขจัง ที่โจ ได้รับการทาบทามให้มาเล่นหนังเกาหลีเรื่องนี้ เพราะเป็นคนที่ชอบหนังสงครามมาก อย่างเรื่องโปรด Black hawk down ดูไปกี่รอบแล้วก็จำไม่ได้ หากไม่ติดว่าช่วงนี้งานเยอะเว่อร์ คงได้ดู Band of brothers รอบที่สามกันบ้างละ (ส่วนที่ดู episodes ของหมอทหาร Medic Eugene ไปห้าหกรอบ ไม่ขอนับรวมนะ) เพราะดูหนังเรื่องนี้แล้วอารมณ์มันมา โดยเฉพาะฉากในป่าหิมะ .. ชวนให้นึกถึง Band of Btothers สุดๆ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีภาคสงครามต่อมาเรื่อง The Pacific อยู่ในกรุที่ยังไม่ได้ดูเลย





โจ โอดากิริ เป็นชื่อที่ไว้วางใจเสมอ (แต่ขอย้ำอีกทีว่าพระเอกหนังเรื่องนี้ คือ จางดองกัน ) เพราะต่อให้หนังมันธรรมดา ก็ยังพอมีบางสิ่งเป็นประเด็นให้ขบคิด หรือต่อให้หนังมันงงงวยและไม่สนุกเลย ก็ยังคงมีความสุขกับหน้าตาหล่อแบบใช่เลยของโจอยู่ดี (..มอมแมมแค่ไหน ติสต์แตกยังไงก็ไม่เค้ยไม่เคยจะขัดหูขัดตา)

เรื่องนี้นอกจากจะได้พลังจากสองพระเอกแดนโสมและแดนอาทิตย์อุทัย แล้วยังมีนางเอกคนงามจากแผ่นดินจีน ฟ่านปิงปิง ร่วมแสดงด้วย เธอเป็นหนึ่งในนักแสดงสาวชาวจีนไม่กี่คนที่ชอบและจำชื่อได้ ล่าสุดก็เพิ่งจะได้เห็นเธอในหนังเรื่อง Sophie's Revenge (2009) ร่วมกับจางซี่ยี่ ปีเตอร์ โฮ และ โซจีซบ



ส่วนนักแสดงสาวชาวเกาหลีแต่แรกได้วางตัวนางเอก ซอนเยจินไว้ แต่เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนบทและลดความสำคัญลงไปทำให้เธอขอถอนตัวก่อนภาพยนต์จะเริ่มถ่ายทำ และนางเอกลียอนฮีผู้น่ารักก็มาสวมบทบาทเป็นน้องสาวของจางดองกันแทน แม้บทจะไม่ได้สำคัญอะไรเลยอย่างที่ซอนเยจินมีเหตุผลสมควรจะถอนตัว ก็ยังคงถูกใจเอยู่ดีพราะชอบลียอนฮีอยู่เป็นทุน พูดถึงความไม่สำคัญของบทบาท บทของฟ่านปิงปิงก็คิดว่าไม่ต่างกันนัก ถ้าหากไม่ติดว่าเป็นตัวแทนของหนังสามชาติร่วมทุน (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น) ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมีบทนี้ซึ่งจะช่วยประหยัดไปได้เยอะที่ไม่ต้องจ่ายค่าตัวให้ซุปตาร์ฟ่านปิงปิง





ผู้กำกับ คัง เจกิว เคยทำหนังสงครามประสบความสำเร็จสูงอย่าง Taegukgi (2003) ที่เรื่องนั้นคุณพี่จางดองกันก็อาภัพเหมือนเรื่องนี้อีก (เพราะเรื่องนั้นก็กรี๊ด "วอนบิน" คนน้องไม่ใช่จางดองกันคนพี่) แต่เขาหล่อดีนะ ดูบุคลิกหน้าตาแล้วไม่รู้ทำไมพาให้นึกถึงหลิวเต๋อหัวอยู่เรื่อย

แม้คำว่า Based -on- a true -story ดูแล้วไม่ค่อยจะน่าเชื่อถือสักเท่าไร เพราะเนื้อเรื่องมันดูเป็นการเขียนแต่งชะตาชีวิตแนวเพื่อนและมิตรภาพมาก

แต่ก็ยังคิดว่าเขาทำเนื้อเรื่องของหนังสนุกดี
ที่สำคัญคือดูแล้วได้อินกับความซึ้งแบบแมนๆ

และที่สำคัญกว่าที่สำคัญคือ ... โจหล่อ














ข้อมูลภาพยนตร์จาก AsianWiki

Create Date :29 มีนาคม 2556 Last Update :30 มีนาคม 2556 12:03:18 น. Counter : 17208 Pageviews. Comments :2