เรื่องของกุ๊กบ้าๆบอที่โดนดีเอาไปปล่อยเกาะ (ช้าง) เปิดครัว ไอ้หนู ขึ้นของครบรึยัง เสียงเชฟดังแหวกอากาศมากระทบโสตหูของฉันเข้าอย่างจัง ครับๆๆๆๆ ฉันรัวเสียงรับเร็วๆพอๆกับมือที่จัดของไปมาอย่างวุ่นวาย เสียงโครมครามโป๊งเป๊งๆของทั้งเสียงเคาะกะทะเสียงไฟในเตาแก๊ซดังกังวานระคนไปกับเสียงปังตอสับลงเขียงดังขึ้นสนั่นอยู่ในครัว เสียงสัญญาณที่บ่งบอกว่าตอนนี้ในครัวมีออเดอร์อาหารเข้ามาแล้ว กว่าเสียงจะเงียบก็โน่น เมื่ออาหารต่างๆทยอยออกไปตามลำดับจนหมด บางครั้งเสียงเหล่านี้มันก็ดังเนิ่นนานเป็นชั่วโมงๆ แต่กับบางวันเสียงเหล่าก็แทบจะไม่ได้ยินเลยก็มี ยิ่งเป็นหน้าฝนด้วยแล้วจะได้ยินเสียงก็เพียงแค่ 3 เวลาเช้า กลางวัน เย็น เท่านั้น ทั้งยังเป็นเสียงที่ไม่อึกทรึกครึกโครมเท่าเวลานี้อีกด้วยเพราะอาหารที่ทำนั้นเป็นอาหารพนักงาน ก็ที่นี่มันไม่ใช่ครัวของโรงแรมรึว่าครัวของร้านอาหาร แต่จริงๆแล้วมันเป็นครัวของรีสอร์ต ใช่แล้ว มันเป็นครัวของรีสอร์ตมูลค่า 100 กว่าล้านแห่งหนึ่ง ในเกาะช้าง แต่อย่าไปรู้ชื่อรีสอร์ตเขาเลยเพราะเราอาจจะโดนเขาฟ้องเอาก็ได้เนื่องจากเอาเรื่องของเขามาแฉ เอาเป็นว่ามันชื่อว่ารีสอร์ต สมมุติ (แต่มันมีอยู่จริงๆนะ) ก็แล้วกัน นึกซะว่ามันไม่มีรีสอร์ตจริงๆแต่มันเป็นเพียงรีสอร์ตในเทพนิยายเท่านั้นเป็นพอ แต่เทพนิยายเรื่องนี้ที่มีตัวเอกของเรื่อง เป็นเจ้าหญิงแสนสวยนั้นเริ่มขึ้นเมื่อปี 2547นะ เมื่อหมดออเดอร์ของแต่ละครั้ง ฉันก็จะเดินไปนั่งลงบนลังน้ำแข็ง เพื่อรอออเดอร์ที่จะเข้ามาใหม่เวลาที่นั่งคืดอะไรเพลินๆ ฉันมักมองไปรอบๆครัว (จะเรียกห้องครัวมันก็ไม่มีฝาสักข้างเดียวมันเหมือนโรงทานมากกว่าอ่ะ) ที่ฉันทำงานกับมันมาทุกวันๆฉันก็ยังสงสัยอยู่ดี ว่าเป็นที่ทำงานของฉันเหรอนี่ ไอ้ครัวที่มันมีแค่เสาอยู่ 6 ต้นข้างฝาก็ยังไม่มีแต่ก็ยังดีที่มันมีหลังคาคลุมกันแดดกันฝนให้ ส่วนด้านที่เป็นมุมเตาทำอาหารนั้น ท่านเจ้าของก็ยังมีเมตตาที่จะสั่งผ้าใบ มาบังกันแดดกันลมให้ซะ 2 ด้าน (แต่กว่าจะขอผ้าใบได้มาก็โน่นแน่ะเกือบเดือน) วันไหนที่ฝนตกลงมาหนักๆฉันก็เสียวเป็นบ้าเป็นหลัง ว่าจะโดนไฟดูดเอาด้วย ค่าที่มันไม่มีทางกันฝนอะไรได้มิดเลยแล้วยิ่งเป็นฝนริมทะเลที่มันแรงกว่าฝนปกติทั่วไปด้วยแล้ว เวลาฝนตกลงมาแบบหนักๆทีนึงนี่ แทบจะไม่มีตรงไหนของห้องครัวเลยที่มันจะไม่เปียก ก็ที่นี่มันยังเป็นครัวชั่วคราวอยู่ พวกชาวครัวทั้งหลายก็เลยก็เลยต้องทนอยู่ไปก่อน เดี๋ยวครัวใหม่เสร็จเมื่อไหร่ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เข้าที่เข้าทางเองน่ะแหละ (สาธุ) แต่อะไรไม่ว่าฉันไม่เข้าใจว่าทำไม เขาต้องมาสร้างห้องครัวชั่วคราว ไว้ติดกับไอ้หลุมขี้ด้วยนี่น่ะซิ อ่านไม่ผิดหรอกพื้นครัวกับบ่อพักขี้น่ะมันอยู่ติดกันเลย 555 นานๆทีแต่ก็ออกจะบ่อยๆไป ที่กลิ่นขี้มันจะโชยขึ้นมาอย่างเมามันส์ ตอนแรกฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นหลุมขี้ ฉันนึกว่ามันเป็นแค่บ่อพักธรรมดา พอมองเห็นว่าเขาเอาท่อพลาสสติคสีฟ้ามาปักไว้ ฉันก็เลยนึกว่าได้ที่ตากผ้าใหม่แล้ว ฉันก็เลยเอาบรรดาผ้าเช็ดมือต่างๆไปตากไว้ กว่าเชฟจะมาเห็นว่าฉันไปทำบรรลัยเข้าไปแล้ว ก็โน่นแน่ะตอนที่ผ้าแห้งไปแล้ว แต่ด้วยความอารมณ์ดีของของเชฟก็เลยเห็นว่าเป็นเรื่องตลกในความโง่ของฉันไป ฉันก็เลยไม่ต้องโดนด่า ไอ้หนูผ้าแห้งแล้วไปเก็บมาไป ครับ ฉันก็รีบวิ่งไปเก็บผ้ามาเพราะฉันก็ลืมไปแล้วว่าเอาผ้าไปตากไว้ เออ เก็บมาแล้วก็ดมดูซะหน่อยล่ะว่าหอมไหม เชฟพูดไปก็กลั้นหัวเราะไปแต่ฉันนั้นก็ไม่ได้สังเกตุ ง่ะ ผ้าที่ฉันบรรจงซักอย่างดิบดี ตอนนี้มันติดกลิ่นขี้มาแล้วเรียบร้อย ครั้นจะเอาไอ้ผ้าพวกนี้มาทำเป็นผ้าเช็ดจานผ้าเช็ดเขียงต่อก็ท่าจะไม่เหมาะ ฉันก็เลยต้องโยนไอ้ผ้าพวกนี้ลงถังขยะไปแทน จะให้ฉันมาซักอีกมันก็กระไรอยู่ ก็ตอนนี้มันมีแต่กลิ่นขี้อยู่อย่างนี้นี่นา ไอ้หนูเอ๊ย นั่นบ่อพักส้วมแล้วเอาผ้าไปตากได้ยังไงล่ะนั่น เชฟมองมาที่ฉันอย่างเวทนาในความโง่ที่กินเข้าไปในกมลสันดานของฉันซะแล้ว หนูรู้หนูก็ไม่เอาไปตากหรอก ฉันตอบเชฟไปด้วยหน้าตาที่เซ็งสุดขีด เมื่อชะตาสวรรค์กำหนดให้วิศวกรประจำรีสอร์ต มาสร้างบ่อพักส้วมให้มันมาอยู่ติดกับห้องครัวแล้ว ซ้ำร้ายบริเวณนั้นมันก็เป็นดินธรรมดาๆที่ออกไปทางแนวร่วนอยู่สักหน่อย ฉนั้นเวลาฝนตกก็คงจะนึกภาพออกนะคะ ว่าบริเวณนั้นมันก็จะเหลวเละเทะขนาดไหน บางครั้งคนที่ไม่รู้ว่าไอ้บ่อขี้มันอยู่ตรงนั้น ก็จะเดินลุยเข้ามา อาศัยว่ามันเหมือนจะเป็นทางเดินที่เข้ามาสู่ห้องครัวได้ง่าย แต่จริงๆแล้วคุณกำลังเหยียบขี้อยู่ (อี๋) แล้วบางครั้งถ้าฝนมันตกลงมาเยอะๆเมื่อไหร่แล้วล่ะก็ น้ำบริเวณนั้นมันก็ไหลลงมาที่ครัวด้วย โฮะๆๆๆ ช่างถูกสุขอนามัยทางสาธารณสุขอะไรอย่างนี้หนอ 555 ครั้งแรกเลยตอนที่ฉันมาเห็นห้องครัวของรีสอร์ต 100กว่าล้านนั้นมัน ก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้หรอก มันอยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราว 10 เมตร ที่เดิมของมันอยู่ใต้ห้องส้วม (ส้วมอีกแล้ว) ของห้องพักหลังหนึ่ง ฉันไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเลยว่าจะมาเจอกับที่ทำงานแบบนี้ จริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้อยากจะมาทำงานเป็นแม่ครัวหัวยุ่งหน้ามันอย่างนี้นักหรอก ถึงแม้ว่าฉันจะเรียนมาทางสายนี้ก็ตามเถอะ (ความจริงแล้วฉันอยากเรียนนิเทศแต่ทางบ้านเค้าไม่สนับสนุนน่ะ) เรื่องของเรื่องเมื่อฉันจบมาก็ตั้งนานจะเกือบปีจนจะรับปริญญาอยู่แล้วฉันก็ยังไม่ดิ้นรนกระตือรือล้นที่จะหางานทำอะไรเป็นหลักแหล่งเลย ได้แต่นั่งๆนอนๆไปวันๆนึงจนพี่ฉันชักรำคาณและทนไม่ไหว และพอดีกับว่าช่วงนั้นพี่ฉันเขาขึ้นมาทำธุระกิจที่เกาะช้างอยู่ออกบ่อย จึงพอจะรู้จักกับเจ้าของรีสอร์ตทั้งหลายอยู่บ้าง ก็เลยเมียงๆมองๆดูแล้วว่าที่รีสอร์ตแห่งนี้แหละ ที่สมควรจะเรียกได้ว่าซวยอย่างที่สุดแล้วที่จะรับฉันเข้ามาทำงาน คิดได้ดังนั้นแล้วพี่ฉันก็เลยเอาฉันใส่รถขึ้นที่เกาะช้างแล้วก็จัดแจงนัดเจ้าของรีสอร์ตให้มาดูตัวฉันมันที ก็ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตนใดสิงสู่ใจให้ทั้งท่านเจ้าของและท่านจีเอ็มรับฉันเข้ามาทำงาน ฉันยังไม่อยากจะบอกเลยว่าวันที่สมัครทำงานนั้น ฉันไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย พวกเอกสารสำคัญทุกอย่างฉันลืมมันทั้งหมดไว้ที่บ้าน ไอ้ที่ฉันหอบมามันก็มีแต่เครื่องสำอางค์กับพวกเสื้อผ้าไว้เดินเล่นริมทะเลเท่านั้น โถ่ถัง ...แค่บอกว่าเกาะช้างฉันก็ไม่ได้คิดอะไรไปไกลกว่าไปเที่ยวหรอกน่า ตอนหลังฉันเองก็พึ่งจะมารู้ว่าวันที่ฉันมาสัมภาษณ์นั้น คนในรีสอร์ตที่มาทำงานอยู่ก่อนแล้วนั้น มาแอบมองฉันกันเป็นแถวแต่ละคนก็นึกไปต่างๆนาๆ ว่าฉันน่ะมาสมัครเป็นผู้จัดการมั่งรองผู้จัดการมั่งไ ม่มีใครนึกสังหรณ์ใจกันแม้แต่นิดเดียวว่าอีนี่มันจะมากุ๊กบรรลัยกรรณให้กับที่นี่ สงสัยว่าโหงวเฮ้งฉันจะดีเลิศลำแสงเฮ้ากวงในตัวฉัน ท่าทางมันส่องออกมาเต็มที่ คราวเคาระห์ครั้งนี้มาถึงคุณจีเอ็มก็มานั่งสัมภาษณ์ฉัน ไอ้ฉันเองก็ฟอร์มเรียบร้อยสุดฤทธิ์ ทำงานที่นี่อาจจะเหงานะทนได้เหรอ ได้ค่ะ ที่บ้านพักไม่มีทีวีนะนอกจากจะเอามาเอง ไม่ชอบดูทีวีค่ะ ไม่ชอบละครน้ำเน่าค่ะชอบอ่านหนังสือค่ะ (ตอนหลังก็ดันมาเขียนบทละคร) คุณจีเอ็มมองหน้าฉันอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่แล้วเมื่อดูใบทรานสคิปฉันแล้วคุณจีเอ็มก็ยิ้มออกมาได้หน่อยนึง (แน่ะ) เกรดเอเต็มเลย เรียนเก่งนี่นา ค่ะ ฉันยิ้มรับหน้าบานกว่าเดิมอีก 3 เท่า สัมภาษณ์กันก็แค่ 10กว่านาที ฉันก็ระเหเร่ร่อนออกมาได้แล้วพอหลังจากนั้นฉันก็ไปเดินเล่นอยู่ริมทะเลอย่างสบายใจเฉิบไม่ได้สนใจอะไรต่อไปเลยว่าเค้าจะรับฉันรึว่าไม่รับ แค่ได้มาเทียวเกาะช้างฉันก็ดีใจจะตายอยู่แล้ว จะเอาอะไรกับไอ้คนอย่างฉันมากนักเล่า ![]() ![]() |
บทความทั้งหมด
|