ขุนช้าง ขุนแผน ตอนที่ 9/2 พลายแก้วยกทัพ จบตอน


ขุนช้าง ขุนแผน
เรียบเรียงจากเสภา เรื่อง ขุนช้าง ขุนแผน
ตอนที่   9/2 พลายแก้วยกทัพ จบตอน

    ทัพไทยมาช่วยทันเวลา ข่าวนี้สร้างความดีใจให้กับเจ้าเมืองเชียงทอง และชาวเมืองยิ่งนัก

    “กูจะตัดหัวพวกเชียงอินทร์ แต่ต้องมีผู้ออกไปบอกกล่าวเรื่องราวต่อแม่ทัพไทยให้ทราบว่า พวกเรามิได้ขบถต่ออยุธยา”

    คนอื่นๆได้ฟังก็เห็นด้วย จึงไปนินมนต์พระสังฆราช ซึ่งมีวิชาพอตัว ติดตามด้วยพระอีกสองรูป ออกด้านทางประตูหลังของเมือง พวกทหารเชียงใหม่เห็นว่าเป็นพระสงฆ์ ไว้ใจไม่เข่นฆ่า สามารถไปถึงทัพอยุธยาโดยง่าย

    จากนั้นเรียกให้ผู้คนเปิดประตูรับ พวกไทยเห็นพระสงฆ์ท่าทางองอาจรู้สึกประหลาดใจ ให้คนเปิดประตูค่าย พาตัวไปพบแม่ทัพ ให้นั่งเป็นลำดับกันลงไป พระยากำแพง ระแหง เถิน กล่าวว่า     

    “โทษสอดแนมกองทัพมีโทษถึงตาย พระคุณท่าน ทำเกินไปแล้วเก็บไว้ไม่ได้”

    พลายแก้วร้องห้ามว่า
    “เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งทำอันใด”
    แล้วถามไปว่า

    “พระคุณเจ้ามาใยในเพลาใกล้ค่ำ ขอให้รีบบอกตามความจริง อย่าอำพราง เป็นผู้ใดให้ท่านออกมา”

    ครานั้น    ท่านพระสังฆราช เมืองเชียงทองแก้ไขไปว่า
    “สาธุ ตัวข้านี้เป็นนักบวช เจ้าเชียงทองให้มาหา ท่านผู้ถืออาญาถึงที่นี่ ขออวยพรให้ท่านเป็นสุขสวัสดี”

    จากนั้นแจ้งความตามที่มีข้าศึกมาล้อมเมืองเชียงทองว่า

    “พวกมันมีจำนวนมากมาย ทำศึกล้มตายกันหลายเพลา ก็ไม่เลิกทัพกลับไป อีกทั้งในเมืองนั้นข้าวปลาหมดสิ้น จะออกไปหาอาหารกินก็ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องทำเป็นยินยอมพร้อมใจเข้าด้วยเชียงใหม่ เพื่อมิให้โดนฆ่าฟัน

    ครั้นจะบอกข่าวไปอยุธยา พวกเชียงใหม่ตรวจตราเข้มงวด ได้รับความขัดสนยากลำบากยิ่งนัก วันนี้ดีใจที่เห็นไทยมา จึงให้ข้อยมาบอกว่าจะออกรบ ตีตลบหน้าหลัง

ขอให้ท่านแม่ทัพให้สัญญาวันใดทัพไทยตี ได้โอกาสจะได้เข้าตีด้วย ท่านอย่าได้กังขาไปเลย อันถ้อยคำทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความจริง

    ถ้าหากแม้นเชียงทองคิดคดเป็นขบถ จงฆ่าให้ตายสิ้นทั้งชายหญิง แม้แต่เด็กตัวเล็กๆก็ให้ฆ่าฟันทิ้งไปเถิด จะไม่ร้องขอชีวิตเลยหนา”

    ลำดับนั้นเจ้าพลายแก้ว ฟังคำพระสังฆราชก็ยิ้ม หัวเราะ แล้วกล่าวว่า

    “ทัพเราชาวใต้มิได้กลัวผู้ใด ถึงเชียงทองคิดขบถเข้ากับเชียงใหม่ ทั้งเชียงใหม่และเชียงทองก็ยังคงจะย่อยยับเป็นแน่แท้

    เพลานี้ชีต้นได้มาเจรจา เราเชื่อถือด้วยว่าเป็นพระสงฆ์ คงจะซื่อตรง ไม่กล่าวมุสา ท่านจงกลับไปในเมือง บอกพระยาเขียงทองให้แจ้งใจ

พรุ่งนี้เวลาตะวันบ่าย จะทำลายทัพเชียงใหม่ให้จงได้ จงเร่งรัดจัดทัพให้พร้อม ได้ฤกษ์เมื่อใดให้เคลื่อนทัพพร้อมกัน”

    พระสังฆราชารับคำแล้วอำลา รีบกลับเข้าไปในกำแพงเมือง บอกความตามที่ได้รับมา เจ้าเมืองเชียงทอง พอพลบค่ำ ทำตามคำบอกของสังฆราชาทันที ลากปืนขึ้นบนป้อม จัดเตรียมอาวุธน้อยใหญ่ คอยเวลา

บางคนปลุกเครื่องราง รดน้ำว่านมนต์ ปลุกใจให้หาญกล้า พวกผู้ชายเกิดความฮึกเหิม ตีฆ้อง กลองดังสนั่นทั้งเชียงทอง

    ฝ่ายเชียงใหม่มีฟ้าลั่น และสันบาดาล ยอดทหารเชียงใหม่ทั้้งสอง และปราบเมืองแมนแสนกำกอง ร่วมกันปรึกษาราชการ

    “บัดนี้ไทยขึ้นมาล้อมทัพเรา อ้ายเชียงทองก็กลับทำห้าวหาญ ปิดประตูลากปืนใหญ่ขึ้นมา ยิงโต้ตอบเป็นโกลาหล ทัพไทยโอบหลังตั้งดัก จะกักทัพเราไว้มิให้หนี นั่งดูอยู่เฉยๆ จะเสียท่าได้ ลางทีมันอาจตีเข้าถึงแดนเรา”

    บางเสียงแย้งกล่าวว่า
    “หวั่นไปใย ถึงไทยมาสักกี่หมื่น จะตีให้ทัพพวกมันให้แตกตื่นไปติดตีนเขา แล้วจับส่งไปเชียงอินทร์ทั้งกองทัพ ตัวอ้ายเชียงทอง กล้าจองหอง จะจับลูกเมียพวกมันมาแล้วเอาดาบสับมิให้เหลือ”

    จากนั้นแบ่งหน้าที่กัน กำชับ เมืองแมน และแสนกำกอง

    “ทั้งสองคอยต้านทางด้านกำแพง รับพวกอ้ายเชียงทองยิง แทง รบ รุก อุดช่อง เราสองนายนี้จะเข้าตีไทย กำลังพลพวกมันมีเล็กน้อยไม่กี่หยิบมือ หาต้องรบขับเคี่ยวเท่าใดไม่”

    เมื่อยินยอมพร้อมใจกันเรียบร้อยแล้ว ต่างก็ไปเตรียมทัพทันที กองม้าล้วนเก่งกล้า แข็งแกร่ง เบาะอานอาบน้ำยาหว่าน สวมเสื้อแดงคาดสีชมพู ดูทะมัดทะแมง บ้างมีดาบตะพายพร้อมฟัน บ้างมีทวนทองถือประจำกาย หรือไม่ก็หอกซัดเตรียมพร้อม

    เครื่องเบาะอานดูเฉิดฉายสวยงาม บ้างปลุกย้อมเครื่องอาน ด้วยอาบน้ำยาว่าน วิเศษสุดประกาศศักดากล้าหาญ ทนายปืนปั้นล่ำตะแบงมาน คนทั้งหมด ล้วนเคยได้รบประจัญบาน

 


    ครั้นได้พิชัยเพชรฤกษ์ โห่ร้องเอิกเกริกดังสนั่นหวั่นไหว แล้วออกจากค่ายทันที ดูสะพรั่งไปด้วยขบวนไพร่พล สองนายขึ้นนั่งบนหลังม้า ด้วยท่าทีร่าเริงฮึกเหิมยิ่งนัก แสงดาบ แสงปลายทวนแวววาวปลาบแปลบ จวนถึงค่ายไทยให้คนปักธง

    ฝ่ายพลายแก้วผู้แม่ทัพ เยื้องย่างดังพญาราชหงส์ เรืองฤทธิ์เชี่ยวชาญการรบ เห็นทัพเชียงใหม่ยกตรงมา จึงให้ผู้รั้งทั้งสามคนจัดแจงทัพ เตรียมตัว อย่างขมีขมัน เตรียมกำลังพล เครื่องรบให้พร้อม

    จากนั้นพลายแก้วเสกน้ำมัน ให้ทานายทั้งสาม รวมทั้งไพร่พลทั้งหมด จากนั้นแต่งตัวขึ้นม้าดูสง่างามยิ่งนัก เตรียมพร้อม รอคอยฤกษ์ยามการสงคราม

    ถึงเวลามหาพิชัยฤกษ์ ก็เคลื่อนทัพเป็นที่เอิกเกริก โห่ร้อง ลั่นฆ้อง ระดมยิงปืนเสียงดังกึกก้อง ควันคละคลุ้งมืดมิด ประดุจว่า เป็นเวลากลางคืน จนฝ่ายตรงข้ามแตกตื่นตกใจ พอเข้าใกล้ทัพเชียงใหม่ก็หยุดดูท่าที

    กล่าวถึงเจ้าเมืองเชียงทอง กับพวกพ้องเตรียมการไว้อย่างพร้อมเพรียง พอได้ยินเสียงปืนเปิดการรบ เห็นทัพไทยเข้าตีประจัญบาน ก็พากันเปิดประตู กรูออกไปนอกเมือง มากมายลำพังทัพนับได้ห้าพัน  

    นอกนั้นชาวเมืองออกช่วยรบ ล้วนมีปืน หอก ทั้งไพร่และนาย แหกค่ายควันฝุ่นตลบคละคลุ้ง บ้างช่วยกันถอนขวาก บ้างลากปืนออกมายิงเผาค่ายฝ่ายตรงข้าม

    ฝ่ายปราบเมืองแมน แสนกำบอง เห็นพวกเชียงทองเข้ามาใกล้ ยิงปืนควันคลุ้งไปทั่ว พวกที่มีทวนแทงประจัญบานกัน บ้างเสี้ยมไม้รวกเป็นหลาวแหลน แทงเสียงดังปับๆ บ้างเข้ารุมกระหนาบเอาดาบฟัน บ้างถลันเอาหอกแทงแย้งขวาซ้าย

    ทั้งสองฝ่ายต่างยิงกันเสียงดังครืนๆ แรงลูกปืนเข้าปะทะค่ายพังพินาศ ถูกคนล้มตายระเนระนาด บ้างแข้งขาขาดกระจุยกระจายไป พวกเชียงทองมีค่ายปิหลั่นรับ ลูกปืนหาเข้าไม่ รบกันปั่นป่วนเสียงดังสนั่น ไม่ยังไม่มีใครแพ้ชนะ

    ฟ้าลั่น สันบาดาล คุมพลทหารแข็งขัน เห็นแม่ทัพไทยคุมทัพมา รูปร่างสำอางคมสันขี่ม้ามา ท่าทางองอาจ ดังราขสีห์ ดูท่าที ร่าเริง สบายใจ ใคร่ถามดูท่าที ว่าจะมีความรู้ดีเพียงใด จึงร้องตวาดไปว่า

    “เหวย..เฮ้ย อ้ายไทยเล็ก พึ่งรุ่นเด็กยังไม่ครบปีบวช เราดูรูปร่างเจ้าก็พอจะเข้าใจได้ว่าเรียนได้แต่ว่าวิชาเสน่ห์ เล่ห์ ลวง ได้นิดหน่อย มิควรที่จะมาทำศึกเยี่ยงนี้ ฤาถูกเพื่อนฝูงยุยง จึงอาสาซานซม กระเซอะ กระเซิงมา เจ้ามีชื่อว่ากระไร เจ้าอยุธยาจึงเชื่อท่านหนักหนา

    เราขอถาม จงบอกตามความเป็นจริง เมืองเชียงทองนั้นเป็นของใคร แดนลาวต่อลาวเขาขึ้นชนถึงกัน อ้ายเชียงทองหาซื่อตรงไม่ โกหกยกเมืองไปขึ้นไทย

    เจ้าเชียงอินทร์จึงใช้ได้เรามา จับอ้ายเชียงทองผู้เป็นขบถ พร้อมด้วยลูกเมียทั้งหมดไปเข่นฆ่า ใช่การของเจ้าอยุธยา มารุกรานด้วยเหตุอันใด มีพลขึ้นมาแค่หยิบมือ ไม่พอมือทัพเมืองเชียงใหม่ แค่เหยียบก็จะราบเรียบไป ไม่ต้องทันถึงได้ประจัญบาน”


    พลายแก้ว ยิ้มแล้วตอบไปว่า
    “เรานี้ฤาคือองค์พระกาฬ ยอดทหารในอยุธยา ชื่อว่าพลายแก้ว มีดี มั่นใจแน่แล้วจึงรับอาสา เจ้าเชียงทองถวายเมืองกับอยุธยาแล้ว กลับมาขึ้นเมืองเชียงใหม่ เป็นขบถตีสองหน้า สร้างความขุ่นเคืองพระบาท เจ้าเมืองกำแพง ระแหง แจ้งบอกไป พระองค์จึงใช้เรามาฟาดฟัน

    ครั้นมาถึงเชียงทอง ก็ปรองดองเหมือนดังเดิม มิแปรผัน เจ้าเชียงทองบอกว่าถูกล้อมไว้หนีไม่ทัน จึงแกล้งล่อลวงท่านให้ตายใจ บัดนี้ออกมาช่วยเรารบ พวกท่านต้องย่อยยับเป็นแน่แท้ ท่านอย่าประมาทไทย ถ้าไม่มีดี เราคงไม่กล้ามา

    ท่านเล่าชื่อเรียงเสียงไร คารมใหญ่ อวดกล้า โอหัง ช่างเจรจายิ่งนัก อีกพริบตาเดียวพวกท่านก็จะบรรลัย จะพากันสิ้นชาติวาสนา ทัพที่ยกมาจะหาเหลือกลับไปไม่ ขอบอกท่านเอาบุญ จงอ่อนน้อมยอมไทยเถิด นี่เป็นหนทางเดียวที่พวกท่านจะรอดชีวิต”

    พระยาฟ้าลั่นได้ฟังพลันตบมือหัวเราะแล้วกล่าวว่า
    “ชะด้า ช่างกล้าพูดมาได้ เขารู้กันทั่วทุกแคว้นว่า เมืองเชียงทองตั้งแต่โบราณ ถิ่นฐานเดิมเคยขึ้นกับเมืองเชียงใหม่ หากเป็นเพราะมันคิดคดเป็นขบถ จึงมีภัยมาถึงตัว

เขาจะทำการประสาข้ากับเจ้า ใช่ธุระอย่าได้เข้ามาเกี่ยวข้อง ขืนสู่รู้ทำเป็นคึกคะนอง อย่าคิดว่าจะรอดไปสักคน เราฤาชื่อพระยาฟ้าลั่น เพื่อนเรานั้นสันบาดาล”

    ว่าพลาง พร้อมสั่งเคลื่อนกองทหารเกลื่อนกล่นกระชั้นเข้ามา พวกไทยโห่ร้องเอาปืนยิง บ้างฉายหอกวิ่งเข้าหา ต่างฝ่าย ต่างพุ่งเข้าหากัน บ้างตะโกนว่า

    “รบรับมัน ไม่ต้องไปกลัว”
    บางคนถูกปืนซวนเซไม่อาจลุกขึ้นได้ สิ่งของถูกทิ้งกลาดเกลื่อนไป เปลวไฟแดงลุกโชน บรรยากาศ ในเพลานี้ เป็นที่โกลาหลยิ่งนัก ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายกันไปไม่น้อย

    ในขณะที่ไทยถูกลูกปืนถอยร่นมา ฝ่ายตรงข้ามก็ไล่ตามอย่างไม่ลดละ พระยาฟ้าลั่น สันบาดาล นำทหารกระโจนเข้าไล่ กวัดแกว่ง หอก ดาบโห่ร้องกึกก้อง เข้าไล่ฝ่ายไทย

    พลายแก้ว รีบเร่งม้าเข้ามา มือถือดาบที่ได้รับพระราชทาน ตรงเข้าใส่สันบาดาลที่นำกองทหารมา ฟันฉับสันบาดาลรับด้วยปลายทวน ฉับพลันสันบาดาลเปลี่ยนรับเป็นรุกแทงสวนมา พลายแก้วหลบได้อย่างว่องไว ฝ่ายที่แทงพลาดขุ่นเคือง ร้องด่าท้าทาย

    “หมาซี้แม่ เข้ามาเลย”
    พลายแก้วพุ่งเข้าฟาดฟัน  จังหวะหนึ่งฟันสันบาดาล ที่คอสะพายแล่งตลอดบ่า ฟ้าลั่นเห็นเหตุการณ์รีบเข่นม้า ตรงเข้าฟันพระยากำแพงเพชร แต่พลาดเป้าโอนเอน ทำท่าจะตกจากหลังม้า พลายแก้วพุ่งเข้ามาฟัน หัวขาดตกจากหลังม้า

    ส่วนไพร่เห็นนายตายก็แตกหนี ไทยไล่ตามตี บาดเจ็บ ล้มตายกลาดเกลื่อน มิอาจนับจำนวนได้ ทั่วบริเวณ

เพลานี้ เลือดคละคลุ้งไปด้วยเลือดไหลนองสีแดงฉาน ช้าง ม้า อาวุธ สิ่งของต่าง ๆ ถูกปล่อยทิ้งเรี่ยราดไปทั่วบริเวณ เมืองนครลำปาง เมืองลำพูนไม่ต่อสู้ ผู้คนต่างทิ้งบ้านเรือน ครอบครัว หลบหนีเข้าป่า

    ทัพไทยยึดค่ายได้โดยไม่ยากลำบากเท่าใดนัก ส่วนหนึ่งไปสกัดทางหลบหนีไปเชียงใหม่ บางพวกค้นเก็บทรัพย์สินเป็นจ้าละหวั่น ยกเว้นบ้านจอมทองไม่ถูกทำร้าย รื้อค้น แต่อย่างใด และได้รับการป้องกันอย่างแข็งขัน

    เหมือนจะเป็นการดลใจของสิ่งศักดิ์ก็เป็นได้ ด้วยจะได้ลาวทองในภายหน้า จึงทำให้มีน้ำใจ ให้อยู่ เข้า ออกได้อย่างสบายใจ ส่วนพวกไพร่บางคน ได้เสียเมียสาวหรือแก่ แล้วแต่วาสนา เป็นที่สุขสำราญใจ รอคอยวันเวลาที่จะกลับอยุธยา

จบตอนที่ 9



Create Date : 09 กันยายน 2563
Last Update : 9 กันยายน 2563 9:49:31 น.
Counter : 2107 Pageviews.

1 comments
เวลาที่หายไป - บทที่ 22 ดอยสะเก็ด
(20 มี.ค. 2567 14:40:13 น.)
ถนนสายนี้มัตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 347 : ติดเป็นนิสัย ตะลีกีปัส
(20 มี.ค. 2567 14:10:12 น.)
๏ ... ร่วมสมัย ... ๏ นกโก๊ก
(20 มี.ค. 2567 20:59:17 น.)
:: ถนนสายนี้มีตะพาบ โครงการที่ 347 :: กะว่าก๋า
(16 มี.ค. 2567 05:24:45 น.)

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณหอมกร

  
0000 Book Blog ดู Blog
ฉากรบนี่น่าสนุกกว่าฉากรักเยอะจ้า

โดย: หอมกร วันที่: 9 กันยายน 2563 เวลา:11:52:52 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Sut0000.BlogGang.com

0000
Location :
สุรินทร์  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด