ขุนช้าง ขุนแผน ตอนที่ 14/1 ขุนแผนบอกกล่าว


ตอนที่   14/1 ขุนแผนบอกกล่าว
เรียบเรียงจากเสภา เรื่อง ขุนช้าง ขุนแผน โดย ทักษภณ
ขุนช้าง ขุนแผน

    กล่าวถึงขุนแผน ผู้เรืองฤทธิ์ อยู่ร่วมกับลาวทอง ผ่านไปสองคืน เวลาเที่ยงคืนตื่นขึ้นมา อยู่ในห้อง ท่ามกลางความเงียบสงัด ปราศจากการพูดจาของผู้คน
เมื่อมองผ่านหน้าต่างไปเห็นแสงจันทร์ส่องสว่าง กระจ่างฟ้า เสียง หริ่ง เรไร ร้องระงม ก้องกังวาล น้ำค้างสีสุกใสเย็นฉ่ำ    ลมพัดเบาๆ ให้รู้สึกเย็นสบายใจ ให้หวนนึกถึงวันทอง

    “เอ๊ะดู กูนี้ประมาทจริง ควรฤาทิ้งเมียรักไว้ห่างกาย เมื่อวันที่หวงหึงกันกับลาวทอง เกิดขุ่นข้องหมองใจมากมายในวันนั้น

    อ้ายขุนช้างสร้างหอไว้รออยู่แล้ว ซ้ำร้ายน้องวันทองมาหุนหัน ขุ่นเคือง ซึ่งน่าจะสมอารมณ์มัน คิดไปแล้ว ก็ยิ่งพรั่นใจนัก อนิจจาความพยายามของขุนช้าง ที่มุ่ง หมายปองวันทอง เป็นเหมือนมารมาหาญหัก พอห่างหน่อยมันก็จ้องจะเข้าชิง ครั้นจะกลับคืนก็ไม่ทันเสียแล้ว

    พอได้เจอหน้าแล้วยังมามีเรื่องขุ่นเคือง ประหนึ่งว่ากำแก้วไว้ได้แล้ว กลับทำพลัดหลุดจากมือ ประจวบเหมาะพอดีกับโจรที่่จ้องตระครุบ น้องเจ้าคงเสียท่าเป็นราคีเสียแล้วกระมังหนา เนื้อตกถึงปากเสือฤาจะรอด มันคงกัดกินเหยื่ออย่างเอร็ดอร่อย ปล่อยทิ้งไว้ให้มันถึงสองเวลา

    แก้วตาของพี่จะเป็นประการใดบ้างหนา ยิ่งคิด ยิ่งแค้น อัดแน่นอก วิตกกังวลอึดอัดขัดใจยิ่งนัก พรุ่งนี้กูจะไปยังสุพรรณ กลางคืนมะรืนคงได้รู้ จะสะกดเข้าไปดูให้ได้รู้แน่ชัด

    ถ้าวันทองนอนอยู่กับมัน จะฟันคอให้ขาดเสียทัั้งสองคน ทั้่งอีศรีประจัน และอีเทพทอง มันเกี่ยวดองกัน พวกเฒ่าแก่ทั้งหลาย ที่มาทำการสู่ขอก็เช่นเดียวกัน กูจะมิให้พวกมันเหลือหลอ จะทำให้เป็นเหมือนหมาหางงอ สมกับความแค้นที่มีอยู่

    คิดพลางออกผลักหน้าต่างออกดู เป็นแสงทองยามเช้าท่ามกลางเสียงไก่ขันรับกันเป็นทอดๆ จึงรีบลุกออกมาล้างหน้าล้างตา ไม่นานแสงแดดยามเช้าก็สาดส่องมา จึงร้องเรียกบ่าวไพร่ ทั้งคนไทยและลาว สั่งการงานหาทันที

    “เร่งรัดจัดการให้เร็วไว เลือกคัดแต่คนที่มีฝีมือ ตามชื่อที่ให้ไว้ จำนวน 20 คน เตรียมม้า และอาวุธที่เคยถือให้ครบทุกคน ข้าวสารใส่ไถ้ (ถุงยาวใช้คาดเอว) ไว้สักสี่มื้อ

    กูจะไปลาดตระเวณถึงปลายด่าน จะละเลยงานราชการคงไม่เป็นการดี พวกเอ็งเคยไปทัพ มาก่อน ข้าได้พวกเอ็งตามไปด้วยกัน ข้ารู้สึกไว้ใจ”

    ว่าแล้วก็กลับเข้าไปในห้อง สั่งลาวทองว่า
    “พี่จะไปเที่ยวลาดตระเวน ตามที่ได้รับมอบหมายมา พี่ไปไม่นานจะกลับมา”

    แล้วจัดแจงแต่งตัวคาดเครื่องลาง ถือดาบออกไปจากบ้าน พวกไพร่ที่เตรียมพร้อม ก็ขึ้นม้า ทุกคนมีอาวุธครบมือ ทั้งข้าว ปลา คบเพลิง สิ่งของจำเป็นต่างๆ ใส่ไว้ในไถ้ เดินทางตัดกลางทุ่งไป สองคืนก็ถึงเมืองสุพรรณ

    หยุดม้าไว้ที่ชายป่า หุงข้าวเผาปลากันกินที่นั่น ครั้นพลบค่ำตะวันลับขอบฟ้า ให้ปลูกศาลขึ้นทันที จุดเทียนชัยระเบิดศาล โอมอ่านพระเวทย์อันศักดิ์สิทธิ์ ปลุกเครื่องรางของขลัง ข้าวสารเสก มะนาวมนตร์ สำเร็จเสร็จในเวลาไม่นาน
แต่งตัวผูกม้า เตรียมตัว เตรียมอาวุธ กันทุกคน พอฤกษ์บนส่องแสงขาว เปล่งประกาย ดุจดังแสงมณี   ขุนแผนแกว่งไกว ตวัดดาบเดินมาอย่างรีบเร่ง ขึ้นหลังม้าออกเดินทาง พวกพลไพร่ก็ตามมา

    ถึงบ้านศรีประจัน ประมาณสักสองยาม ดวงดาวสุกใสสว่างตาเต็มท้องฟ้า ขุนแผนลงจากหลังม้า ซัดข้าวสารเสกไป ขับผีพราย ทั้งพระภูมิเจ้าที่ เพลานี้จะมีผู้ใดตื่นก็หาไม่ พอถึงหอขุนช้าง จุดเทียนติดไว้ที่เสาต้นแรก เอามีดหมอตำฉับไปที่เสา ปลายเสาแตกออกเป็นสี่แฉก สะเดาะดาลหน้าต่างให้เปิดกว้าง
ข้าวสารแทรกกระดูกผี ก็ถูกซัดเข้าไป ผู้คนเกลื่อนกล่นบนเรือน ทุกคนต่างโงกง่วงนอน จนมิอาจทานทนได้ ตัวอ่อนพับ หลับระเน ระนาดเกลื่อนกล่นไป

    ขุนแผนปีนหน้าต่างใหญ่นั้นขึ้นมา กระโดดลงพื้นกลางห้องทางด้านใน แสงไฟสว่างรางๆ ทางด้านหน้า ตัดม่านออกกองไว้ แล้วไปเปิดมุ้ง เห็นหน้าวันทองหลับอยู่บนเตียงเคียงข้างกับขุนช้าง ขุนช้างกอดก่าย รึงรัดวันทองแนบแน่น

    “อุเม่ อีตัวดี อีหน้าด้าน กล้ามีผัวใหม่ไม่เกรงกลัวกู สารพัดคำพูด สัตย์สัญญาที่มึงได้ให้ไว้แต่เก่าก่อน มันยังคงฝังแน่นอยู่ในใจกู ผัวไปไม่ทันได้พ้นประตู มึงริอาจคบชู้ต่อหน้าต่อตา”

    จากนั้นขุนแผนก้าวขึ้นไปบนเตียงนอนทางด้านข้าง
    “ขอผลักออกมาให้ห่าง จากกัน ดูหน้าหน่อย”
    ขุนแผนเลิกผ้าที่ห่มปกปิดที่อกวันทองออกมา

    “ทุดสมน้ำหน้าอีหน้านวล ไม่รู้เลยว่า รูปงามจนกระชากใจ ดังจะกลืนกินได้ งามทุกสัดส่วน ทั้งจริตก้าน แต่มึงงามแต่รูป จูบไม่หอม อีหน้ามอมก้นหม้อ อีคอหงส์ ควรที่จะเลี้ยง เก็บรักษาไว้ฤา”

    จากนั้นถีบทั้งสองตกลงจากเตียง
    “จะให้พวกมึงมีชีวิตอยู่ไปไย”
    เงื้อดาบคิดจะฟันให้ทั้งสอง ขาดเป็นสองท่อน แต่เพลานั้นเอง เสียงจิ้งจกร้องทักขัดขวาง อยู่ไปไม่ห่างนัก ทำให้ขุนแผน หยุดชะงัก อดใจไว้ได้ทัน ไม่ฆ่าฟันได้ทันท่วงที

    “เคราะห์ดีแล้วมึงที่รอดตัว เพราะจิ้งจกทักกูไว้ หาไม่พรุ่งนี้เช้า หัวพวกมึงได้ขาดเหลืออยู่แต่ตัวเป็นแน่แท้ พวกมึงไม่รู้สึกกลัว ช่างกล้าทำได้ กูจะให้พวกมึงได้รู้ความผิดของตัวเองในวันนี้”

    จากนั้นไปเอาเชือกป่านมา
    “ถึงงดเว้นไม่ล้างผลาญให้เป็นผี  แต่ก็จะทำให้สมน้ำหน้าอีกาลี เชือกเส้นนี้แหละจะเล่นงานมึง”
    จากนั้นถีบทั้งสองให้แนบชิดติดกัน เอาเชือกผูกมัดทั้งสองเข้าหากันเข้าอย่างแน่นหนา เอาผ้าม่านคลุมหุ้มไว้ให้ดูเหมือนผี ปลายเชือกโยนโยงไปถึงหลังคา

    “ทุด อีอัปปรีย์สมน้ำหน้า”
    พอจวนใกล้รุ่งสาง ขุนแผนรีบลงจากเรือนไปทันที จากนั้นไปถอดมีดหมอออกจากเสา เรียกเหล่าไพร่มา ให้มัดคบครบมือจุดไฟถือไป แสงคบไฟมองดูเหมือนว่า มีเสด็จมา จากนั้นก็แก้มนต์สะกด คนในบ้านตื่นขึ้นกันทุกคน ขุนแผนขึ้นไปขี่ม้า เอาดาบตีไปที่ฝาเรือน ให้บ่าวไพร่ร้องเรียกเสียง ดังลั่น

    “นางวันทองอยู่ฤา หรือว่าไปข้างไหนเสียแล้ว ผู้คนที่อยู่ข้างใน ตื่นกันบ้างหรือยัง เข็นบันไดมารับเร็วๆ หวา ท่านขุนแผนมา”
    ครานั้นสายทองได้ยินเสียง
    “เอ๊ะ ใครมาเรียกหา”

     รีบลุกออกไปดู เห็นคนขี่ม้ามามากมาย ไต้คบส่องสว่างไปทั่วบริเวณ สายทองใจหายเกิดความกลัวขึ้นมา ค่อยๆ แอบมอง จ้องเพ่ง เห็นเป็นพลายแก้ว

    “คิดไว้อยู่แล้ว ต้องเป็นพลายแก้ว เรื่องคงจะวุ่นวายเป็นแน่ เสียน้องรักวันทองไป พลายแก้วกลับคืนมาหา กูจำเป็นจะต้องไปพูดจา แก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นต่อหน้าให้ผ่อนคลาย”

    คิดได้ดังนี้แล้ว ลุกมาเปิดประตู เห็นพลายแก้วยังโกรธอยู่ก็ใจหาย
    “นี่หากพลายแก้วหุนหัน ฟันกูคงจะตายเป็นแน่ แต่เขามิใช่คนใจร้าย คงมิเป็นไรดอกกระมัง”

    จึงเข็นบันไดลง แข็งใจลงมาถึงตรงหน้าขุนแผน ร้องไห้ฟูมฟาย แล้วก็ว่า

    “สุดเสียใจแล้วนะ พลายแก้ว ช่างกระไรใจคอ พ่อคุณเอ๋ย มาละทิ้งวันทองไปเสียง่ายๆ วันนั้นวันทองผูกคอตาย พ่อช่างไร้น้ำใจ ไม่อาลัย ไม่มาดูแล

    แม่ศรีประจันท่านหักหาญน้ำใจ ทุบ ตี วันทองเสียจนเลือดตก บังคับขืนใจ ฉุดกระชาก ลากถู ไปให้เป็นคู่กับอ้ายหัวล้าน วันทองต้องอดทน ต่อสู้ ไม่น้อย แต่ด้วยหนทางไกลเป็นหนักหนา จะไปบอกให้มาช่วยเหลือก็ทำมิได้ จึงเสียตัว เป็นคนชั่วช้า ด้วยความจำใจ ได้สองวันแล้วพลายแก้ว”

    ขุนแผนเพลานี้ยัง ขุ่นเคือง เดือดดาล ไม่หาย
    “สายทองไม่ต้องมาเจรจาดอก ข้ารู้ทันเล่ห์กลแล้วหนา ที่เป็นเยี่ยงนี้ เพราะข้ายากจน ไร้ทรัพย์ แม่ยายจึงได้ชิงพรากวันทองจากไป เพราะเห็นว่าไม่มีอะไร

    แต่มองว่าขุนช้างนั้นมั่งมี ดีกว่าฉัน จึงได้ประเคนทุกสิ่งทุกอย่างให้กับมัน ที่มาหมายจะมารับไป ถ้ายังดี ไม่เสียหายก็ยังจะรักใคร่ แต่นี่มันเน่าแล้วจะเอาไปทำไม ถึงจะใส่ตะกร้าล้างก็ไม่มีเกลือ

วันทองนั้นจะว่าไปไยเล่า ถึงตัวเจ้านั้นนานไปก็จะไม่เหลือรอดเช่นเดียวกัน น้องสาวขัดข้องพี่สาวเข้าไปเจือจานแทน ด้วยเนื้อแท้น้ำใจเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันมา เข้านอกออกในได้ รับใช้ให้สอยอย่างคล่องแคล่ว กลัวว่าจะถูกใช้สอยบ่อยๆ จนแทบมิได้พัก เสียแรงรักใคร่ ให้คำมั่นสัญญา อยากจะขอดูหนังหน้าพวกสอพลอ

    คิดว่าจะฟ้องแต่คงป่วยการ ฟันทิ้งทั้งบ้านมิให้เหลือน่าจะดีกว่า เกี่ยวดองกันไป ก็ไม่มีประโยชน์ อีคนสู่ขอ คนอะไรๆ ก็ไม่ปล่อยไว้  ถึงตัวเจ้าเป็นเมียของข้า แต่กลับไปคบหาเป็นใจกับพวกนั้น เมื่อจวนตัวกลัวความผิดก็มาหากระนั้น คิดแต่ที่จะเอาความชอบมาใส่ตัว

    สายทองร้องว่า
    “อุแม่เอ๋ย อย่าได้พูดไม่เข้าหูไปเลย เหมือนปลาเน่าในข้องไม่มองดูให้ดี ก็คิดว่าเน่าเสียทั้งหมด ควรแยกให้ออกว่าปลาตัวไหนเน่า ตัวไหนดีต่างหากจึงจะถูกต้อง จวนแจ้งแล้วท่านขุนแผน ขอเชิญขึ้นมาบนเรือนใหญ่ ก่อนเถิด”

    ว่าแล้วก็กลับขึ้นเรือน เข้าไปในห้องนางศรีประจัน
    “ลุกขึ้นเร็วๆ คุณแม่ขา ขุนแผนมาอยู่ข้างบ้านนั่น ทั้งคน ทั้งม้า มากมาย หอก ดาบครบทุกคนเต็มไปหมด”
    ยายศรีประจัน ตัวสั่นตกใจปานจะมุดแผ่นดินหนีไปเสียให้ได้ ปาก คอ สั่นใจเสีย

    “เราจะทำกระไรดี ออสายทอง เขามิมาจับกูแล้วฤา ผู้คนอื้ออึงเต็มไปหมด ครั้ังนี้แย่แน่ ๆ เขาคงจะถองกูให้ย่อยยับลงไปกับพื้นดิน”

    “แม่เอ๋ย เขามาครานี้ มีดีจัดจ้านนัก เจ้านายโปรดปรานเขาทั้งสิ้น ฉันได้ยินเขาพูดกับไพร่ว่า จะฉีกเนื้อกินให้สิ้นทั้งบ้าน หอก ดาบ เชือกปอ ก็เตรียมพร้อม เอามาครบครัน เขาจะเอามาผูกคอจับไปเป็นแน่แท้ เขาบอกว่า เทพทอง ศรีประจัน จะฟันทิ้งไว้ให้คนดู”

    ศรีประจันได้ฟัง ยิ่งตัวสั่น ขวัญหาย เป็นดังลูกนก เหงื่อตก ไหลโซมลงมาเต็มหน้า น้ำหู น้ำตาไหลพรั่งพรู

    “ตัวกูคราวนี้คงถึงที่ตายเป็นแน่”
    แล้วกลับไปเข้ามุ้งเอาฟูกมาคลุมตัว เอาผ้าพันทับจนมิดกล่าวว่า

    “สายทองเอ็งช่วยไปร้องบอกพลายแก้วว่า กูเป็นลมจับตายไปหลายวันแล้ว”
    สายทองกล่าวแย้งว่า
    “นี่จะซ่อนเขาไปที่ไหนจึงจะพ้นได้ เขามิเข้ามาค้นหาฤานั่น”

    ว่าแล้วสายทองก็ออกมาข้างนอก ผลักดันประตูห้องวันทอง เห็นลิ่มกลอนซ้อนปิดแน่นสนิทอยู่ มิรู้หนทางที่จะเข้าไปในห้องได้เยี่ยงไร ได้แต่กลับมาที่ประตูบ้าน ร้องเชิญให้ขุนแผนขึ้นมา


    ขุนแผน และบ่าวไพร่ขึ้นไปบนเรือน ผู้คนเกลื่อนกล่นนักหนา ขุนแผนถามสายทองทันทีว่า
    “อย่างไร ไม่เห็นหน้าท่านแม่ยาย วันทองอยู่ฤาไม่ หรือว่าไปข้างไหนแล้ว ไยนอนหลับจนตะวันสาย”

    ขุนแผนแสร้งร้องเรียกหาวุ่นวาย เอาไม้ป่ายฝาเข้าเสียงดัง ปังปึง คนข้างนอก เสียงดังสนั่น อึงคะนึง ขุนช้างและวันทองได้ยินก็ตกใจยิ่งนัก ปรารถนาจะลุกขึ้นแต่ก็ทำมิได้ ด้วยถูกเชือกผูกขึงไว้ เชือกมัดรัดตึงอยู่รอบตัว

ทั้งสองถูกม่านคลุมหุ้มพันอยู่ชั้นนอก ชั้นในถูกผูกมัดอย่างแน่นหนา หายใจเป็นไปด้วยความยากลำบาก ใจสั่น หวั่นไหว ระทึกสั่นรัว รู้สึกกลัว แต่มิอาจทำอันใดได้ ได้แต่มองดูหน้ากัน ขุนแผนร้องว่า

    “วันทอง ยังไม่ออกมาจากห้องเจียวฤานั่น เวลากลางวันแล้ว ไยจึงยังไม่ลุกขึ้นมา ลุกออกมาพูดจากันบ้างเป็นไร”

    วันทองจำได้ว่าเป็นเสียงของผัว ความกลัวยิ่งมีมากขึ้น อกสั่นระทึก หวั่นไหว แต่ก็จนใจด้วยตัวติดกันสองคน จะร้องออกไปก็อับอาย ขุนแผนร้องต่อไปว่า

    “เฮ้ย อ้ายขุนช้าง สายมากแล้ว ไยไม่วางเมียกูลงหวา ตัวมึงวันนี้ถึงที่ตาย อย่าได้คิดว่าจะรอดชีวิตผ่านวันนี้ไปได้ กูไม่รู้ว่ามึงอยู่ข้างในฤาไม่ หาไม่แล้วกูจะเข้าไปบั่นหัวมึง”
 
    จากนั้นจับดาบขึ้นมากวัดแกว่ง ถีบฝาปึงปัง ให้ผู้ที่อยู่ด้านในตกใจกลัวเป็นที่วุ่นวาย ขุนช้างได้ฟังคำขุนแผน รู้สึกแค้นใจ แต่ก็ทำอะไรมิได้ ด้วยถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา ส่วนวันทองนั้นอายไม่กล้าแม้แต่ลืมตา สายทองร้อนใจร้องว่า

    “แม่ศรีประจัน ขุนแผนจะฟันวันทองแล้วหนา นอนนิ่งอยู่ไย ไม่ออกมา หลบเร้น ซ่อนตัวอยู่ คิดว่าจะรอดพ้นไปหรือไร”

    ยายศรีประจัน กลัวจนตัวสั่นรัว ใจมิอยากออกไป แม้สักนิดเดียว แต่ก็กลัวว่าเขาจะฟันลูกสาวตายไป จำต้องแข็งใจออกไป ด้วยคิดว่า ตามบุญ ตามกรรมเถอะ ถึงคราวตายก็ต้องตาย

แม้ความกลัวตายจะยังมีอยู่ หนักหนา แต่ใจที่เป็นห่วงลูกนั้นมีมากกว่า จึงเลิกฟูกใหญ่ขึ้นพันรอบตัว แล้วเอาเชือกรัดข้างนอก ดูแล้วกลมโตเหมือนเป็นหุ่น ด้วยใจคิดว่า

    “ถึงเขาจะฟันมาคงถูกนุ่นน่าจะไม่เป็นไร”
    แล้วเอาผ้ามาพันทับเข้าไปอีกห้าชั้น ส่วนหัวก็เอาผ้ามาพันซ้อนหลายชั้น ดูแล้วกลมใหญ่โต หู ตา ปิดมิด จากนั้นเอามือเข้าไปไว้ในฟูก ผ้าพันพอกหน้าตา หามองเห็นทางไม่ ย่างเท้าไปไม่ใคร่ถูก หกล้ม ล้มลุกคลุกคลาน

    “ลูกเอ๋ย สายทองมาช่วยกูหน่อย”

    สายทองได้ฟังรีบวิ่งไป แลเห็นฟูกม้วนกลมใหญ่โต อยู่ตรงหน้า ลมกลิ้งคาประตู สายทองเห็นแล้ว หัวเราะงอหาย ได้แต่เข้าไปปล้ำ กอดประคองทั้งม้วนผ้าฟูก ก้าวผิด ก้าวถูก เดินมาตัวสั่น งันงก

    แต่ก็ออกไปจากประตูไม่ได้ เพราะม้วนฟูกใหญ่เกินไป ต้องใช้แรงดันให้ผ่านช่องประตูไป แต่กลับล้มติดคาอยู่อย่างนั้น สายทองต้องช่วยทั้งผลัก ทั้งดัน ด้วยความทุลักทุเล
    พวกบ่าวไพร่ ของขุนแผนมองเห็นพากันหัวเราะดังลั่น บ้างก็ชี้แล้วหัวเราะ
    “อ้ายโม่ง”

    แม้แต่ม้า ลา เห็นแล้วก็สะดุ้งตื่นตกใจ กันเกรียวกราว ด้วยคิดว่าผีโป่งจะมากินมัน ในที่สุดยายศรีประจันก็ผ่านพ้นประตูไปได้ สายทองประคองออกมานอกชาน สภาพของยายศรีประจันเพลานี้ ทำให้ขุนแผนได้แต่อดกลั้นหัวเราะไว้

    “ร้องไปไย นี่เป็นอะไร ไยต้องเอาฟูกมาม้วนพัน สายทองแกล้งกันฤา อย่างไร ยายศรีประจันไปอยู่ที่ใดจึงไม่แลเห็น หากพบเจอจะฆ่าเสียทั้งเป็น หาได้เก็บไว้ไม่”

    นางศรีประจัน คิดว่าขุนแผนไม่รู้ จึงพิงฝาไม่พูดไม่จา ใดๆ ขุนแผนผู้มีความรอบคอบ เป็นอย่างยิ่ง จึงให้คนไปเชิญพันโชติ ผู้เป็นใหญ่ในแขวงนั้นมา
 
 

    “ตัวท่านเป็นพัน กำนันบ้าน เราไปราชการที่เชียงทองนั่น เรากับวันทองครอบครองกัน กี่เดือน กี่วัน ท่านก็รู้แจ้งแก่ใจ ครั้นเราไปทัพกลับมา ก็หาเห็นหอห้องของเราไม่ หอใหม่เก้าห้องนี่เป็นของผู้ใด ท่านรู้ฤาไม่ ขอให้ว่ามา”
    พันโชติกำนันบ้าน บอกการตามตรง ตามที่ได้รู้มา

    “เมื่อท่านขึ้นไปเชียงทองยังไม่กลับมา ตัวข้าได้รู้เห็นเป็นพยาน ด้วยขุนช้าง พายายกลอย กับยายสา มาให้บอกกล่าวว่า ตัวท่านนี้ตายแล้ว จึงให้นัดวันกันทันที ก่อนวันขันหมากจะมาถึงบ้าน นางศรีประจัน กับนางทองประศรี ได้ว่ากล่าว ทะเลาะซึ่งกันและกัน เกี่ยวกับท่านขุนแผน ตายแล้วหรือไม่
นางทองประศรีได้ห้ามมิให้ทำการงาน ข้างนางศรีประจันหักหาญน้ำใจ หาได้ฟังไม่ ฝ่ายนางทองประศรี ก็กลับไป ได้บอกกล่าวข้าไว้ ให้ได้รู้เยี่ยงนี้”

    ขุนแผนได้ฟังนายบ้าน บอกทุกสิ่ง ก็นิ่งนึกตรึกตรองความไปตามเป็นจริง

    “วันทองนี้มิ่งเมียรักกู รักดังเป็นชีวิตเดียวกัน มันแกล้งตัดความอาลัยให้พลัดพราก ขุนช้างเป็นดังศัตรู ใช้กลลวงสู่ขอทำการงาน วันทองอุตส่าห์ครองรักไว้คอยท่า จนได้เลิกทัพกลับมาถึงบ้าน มาเกิดเหตุเพราะคนพาล แตกแยกหักหาญให้เสียของรักไป

    เพราะกูเองด่วนหุนหัน มุทะลุถือโทษเข้าใจผิด จึงเสียท่าให้ขุนช้าง ได้สมหวัง ขุนช้างได้ไปเชยชมไปแล้ว ก็เป็นเหมือนจะกินน้ำแต่มองเห็นตัวปลิงในทุกสิ่ง จะคืนดีให้เป็นดังเดิม เห็นจะเป็นไปได้ยาก

    ครั้นจะกราบทูลเกรงว่าวันทองจะได้รับความลำบาก อับอาย ขายหน้าเมื่อเรื่องอยู่ที่ศาล ได้ผิดพลาด ได้เสียตัว ก็เพราะคนพาล ถ้าคิดว่าให้เป็นทานเห็นจะเป็นเรื่องดีเกินไป สิ่งที่มันทำหาได้เกรงใจผู้ใดไม่ เพราะมันคิดว่าเงินทองมีมากมาย หากปล่อยไว้มันก็จะยิ่งกำเริบ เพลานี้เห็นจะทำอะไรมันไม่ได้  หากเอาคืนลางทีมันจะเล่นกูป่นปี้ คงทำได้แค่ขู่ให้พวกมันรู้ว่าชั่วหรือดี”

    คิดได้ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า
    “ตัวท่านพันโชติเป็นผู้ใหญ่  ควรเร่งไปหาตัวผู้ร่วมกระทำการครานี้ ทั้งยายเทพทองผู้มารดา ยายกลอย ยายสา มาว่ากล่าวตักเตือน”

    พันโชติ ได้ฟังรีบสั่งนายสอน
    “อย่าได้นิ่งนอนใจไป จงรีบไปเดี๋ยวเลย”
    จากนั้นนายสอนก็รีบไปบ้านเทพทองทันที ไปถึงก็พรวดพราดขึ้นไปบนเรือน ยายเทพทองร้องถามว่า
    “ไปไหนมา เหงื่อออกโทรมหน้านัยน์ตาเฝื่อน มีธุระอันใดจึงได้มา”

    จากนั้นแกก็เสือกเชี่ยนหมากให้
    “เชิญนายสอนกินหมากก่อน”
    นายสอนสอนบอกว่า

    “แน่คุณนาย เพลานี้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น เรื่องใหญ่เหมือนไฟไหม้แผ่นดิน บ้านถิ่นเรานี้เห็นมิเป็นการ”
    นางเทพทองตกใจร้องว่า
    “ที่ไหนพ่อ พวกเด็กๆ หามีดพร้า ตะขอ เตรียมพร้อมไว้”
    แล้วแกก็ลุกขึ้นลนลาน นายสอนว่า
    “มิใช่ไฟดอก”
    นางเทพทองร้องว่า

    “เยี่ยงนั้นมีผู้ร้ายปล้น ฆ่าฤา แต่โดนปล้นสิบหน ก็ยังมิเท่าไฟไหม้ หนเดียว”
    จากนั้นแกกลับมานั่นลง แต่ยังคงตกใจ ปากสั่น ถามว่า
    “มีความมีอันใดอันใดฤา”
    นายสอนกล่าวว่า

    “ความเรื่องวันทอง ผัวของเขามาที่บ้านแล้ว เขาเป็นคนโปรดปราน ได้รับพระราชทาน บ่าวไพร่ เป็นพัน มียศศักดิ์ที่ขุนแผนแสนสะท้าน ขู่เข็ญนายบ้านอยู่เพลานี้ เขาจะจับตัวเอาไปอยุธยา กราบทูลพระพันปีให้ฆ่าฟัน
    เพลานี้พันโชติให้มาหาท่าน ทั้งยายกลอย ยายสายด้วย อันตัวขุนช้าง วันทอง และยายศรีประจันนั้น ได้ถูกมัดตัวไว้แล้ว”

    นางเทพทองกำลังตำหมาก ตกใจ ทิ้งสากลงโผง
    “ตายจริงแล้ว อีพ่อ ข้าขอไหว้ละ กรรมเอ๋ยกรรมข้า ได้ทำผิดอะไรไว้ เกิดมาแต่น้อยจนฟันหัก รู้จักแต่ทำนา กับทำสวน ปลูกเผือก ปลูกมัน รดน้ำพรวนดิน จนจวนจะตายห่า มาเกิดความ

เป็นเพราะอ้ายช้างคางเครา อ้ายขี้เค้า มันมิฟังคำแม่ห้าม อียายสา ยายกลอย พลอยเป็นไปกับมันด้วย เขาจะจับผูกล่ามเป็นวัววัดแน่แท้”

    จากนั้นแกร้องบอกยายกลอย ยายสา
    “อ้ายตายห่าขุนช้างมันสร้างเรื่องเข้าแล้ว ขุนแผนเขาจะจับมันมัด ให้กลิ้งไปมาเหมือนปูทะเล”
    
ตอนที่ 14 ยังมีต่อ



Create Date : 01 พฤศจิกายน 2563
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2563 7:53:30 น.
Counter : 1998 Pageviews.

1 comments
봄 처녀(Virgin spring) by 홍난파(NanPa Hong) ปรศุราม
(17 เม.ย. 2567 10:09:12 น.)
เรา คือ เอไอ ชีวภาพ..ที่ ทุกอย่าง ทำงาน อัตโนมัติ..อวิชชา ไม่รู้ โง่ ทุกข์..โดย อัตโนมัติ 15 CXO.Asia
(15 เม.ย. 2567 05:12:22 น.)
: รูปแบบของการตระหนักในการรับรู้ : กะว่าก๋า
(15 เม.ย. 2567 05:37:45 น.)
15 เมษายน 2567 คุกกี้คามุอิ
(15 เม.ย. 2567 04:15:53 น.)

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณหอมกร, คุณnewyorknurse

  
0000 Book Blog ดู Blog
เป็นเรื่องของยุคสมัยอย่างไรเสียผู้หญิงก้ผิดจ้า


โดย: หอมกร วันที่: 1 พฤศจิกายน 2563 เวลา:21:10:32 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Sut0000.BlogGang.com

0000
Location :
สุรินทร์  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด