ขุนช้าง ขุนแผน ตอนที่ 16/3 กำเนิดกุมารทองบุตรนางบัวคลี่ จบตอน
ขุนช้าง ขุนแผน
เรียบเรียงจากเสภา เรื่อง ขุนช้าง ขุนแผน โดย ทักษภณ
ตอนที่   16/3 กำเนิดกุมารทองบุตรนางบัวคลี่ จบตอน





    ครั้นเวลาดึกสงัด ผู้คนต่างนอนหลับไหล ก็เป่าคาถาสะกดประกับใจ แล้วรีบลุกไปเตรียมการ เอาเครื่องอานสารพัดยัดลงในย่าม รวมทั้งเทียนสามเล่ม กลักเหล็กไฟ สายสิญจน์ เลขยันต์ พร้อมสรรพในเวลาไม่นาน

    จากนั้นหยิบเอามีดคร่ำด้ามกัลปังหา ตรงไปที่ร่างบัวคลี่ แหวกม่านตลบมุ้งขึ้น ท่ามกลางแสงไฟริบหรี่จากอัจกลับ (อัจกลับ โคมไฟอย่างหนึ่งทำด้วยทองเหลือง) มองเห็นเพียงรำไร ก้าวขึ้นไปบนเตียงทางด้านข้าง เพ่งมองนางที่นอนหลับสนิท แล้วถออนใจใหญ่

    “ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า นางจะสิ้นรักไร้เยื่อขาดใย มีใจคิดฆ่าผัวเสียได้”

    แล้วชักมีดตั้งท่าเงื้อ เกิดใจอ่อน สงสารนาง แต่เมื่อนึกถึงนางวางยาพิษ หมายฆ่าให้ตายผุดขึ้นมา

    “เอาชีวิตนางเสียเถิด อย่าได้ไว้เลย”

    จากนั้นเอามีดคร่ำปักลงไปที่อกเข้าดังอั๊ก เลือดทะลักพุ่งออกมา นางสะดุ้งเฮือก ดิ้นได้สักครู่ก็สิ้นชีวิต เลือดไหลนองแดงฉาน แล้วผ่าแผ่แล่ไปตลอดทั้งอก แหวะตัดรกให้สายขาด เพ่งตรวจตราจนแน่ใจว่าเป็นชาย รู้สึกดีใจ สมดังที่คิดไว้ ไม่รอช้ารีบอุ้มเอาทารกออกมาจากท้องบัวคลี่

    “กุมารทองมาเถิดไปกับพ่อ”
    แล้วหยิบเอาย่ามใบใหญ่ขึ้นมาสวมคอ เอาผ้าห่อลูกชายใส่ไปในย่าม สะพายเดินจากไป เปิดประตูออกมานอกบ้าน รีบเดินผ่านป่าตัดเข้าไปในวัดใต้ เปิดประตูวิหารแล้วลั่นดาลทางด้านใน ใส่ลิ่มกลอนเพิ่มเข้าอีกให้แน่นหนา วางย่ามลงเปิดกลักแล้ว ชักชุดไฟออกมา ตีเหล็กไฟ จุดเทียนขึ้น เปลวเทียนเปล่งแสงแดงร่า

    เอาไม้ชัยพฤกษ์พระยายา ปักเป็นขาพาดกัน เอากุมารวางลง ยันต์นารายณ์ ปิดที่ศรีษะ ยันต์ราชะปะที่พื้นล่าง ยันต์นารายณ์ฉีกอกปิดตรงกลาง ยันต์ธรณีที่พื้นดิน เอาไม้รักปักเสาขึ้นสี่ทิศ ยันต์ปิดปักธงวงสายสิญจน์ ยันต์สังวาลอำมรินทร์เป็นเพดาน ทั้งหมดเสร็จสิ้นถูกต้อง ตามตำรา

    เอาไม้มะริด กันเกรา เถากันภัย จุดก่อไฟใส่ไปที่พื้นด้านล่าง ตั้งจิตเป็นสมาธิ นั่งภาวนา ย่างกุมารทอง ร้อนทั่วทั้งตัว เสียงน้ำมันดังฉ่า กลับหน้าหลังทั้งสองด้านจนแห้งสมความตั้งใจในเวลารุ่ง แสงทองส่องขอบฟ้า

    รุ่งเช้า ยายลาวบ่าวของบัวคลี่ อยู่ในทับดินใต้ถุนบ้านใหญ่ เห็นเลือดโซมสาดลาดออกไปเป็นบริเวณใหญ่ ก็ตกใจวิ่งร่าขึ้นมาดู เห็นมุ้งถูกแหวกขึ้น มองไปเห็นบัวคลี่นอนตายอยู่ข้างใน ตัวซีดเผือดเลือดไหลนองกาย ตกใจวิ่งร้องกรี๊ดๆ ไปตีประตูเรียกผู้คนเสียงโหวกเหวก

    “แม่บัวคลี่ ตายแล้วคุณพ่อขา เขาฟันเสียยับไปทั้งตัว ทั้งพลายแก้วก็หายตัวไปด้วย”
    หมื่นหาญ นางสีจันทร์พอได้ฟัง ลุกทะลึ่งขึ้นตึงตังทั้งสองคน ต่างตกใจวิ่งงกๆ ออกมา เห็นลูกสาวของตนนอนตาย ร่างโดนผ่าเชือดเป็นถ่องแถวเลือดนองไปทั่วบริเวณ

    “ชะอ้ายแก้ว ชิงคมกูเอาจนได้”

    หมื่นหาญรีบออกจากบ้านไปเรียกข้าไท บ่าวไพร่ทุกคนวิ่งกันลนลาน

    “อ้ายแก้ว ฆ่าบัวคลี่แล้วหนีไป พวกมึงตามกูมาให้ทั้งบ้าน”
    พวกบ่าวไพร่ทุกคนทั้งในบ้าน นอกบ้านวิ่งกันให้พล่านไปทุกทิศทาง ถือหอก ดาบ ง้าว ศาสตรา ทุกชนิด รวมทั้งปืน ยา มีด ตรี (หลาวสามง่าม) กระบี่ กริช ธนู หน้าไม้ ใส่ยาพิษ

    พากันตามรอยเลือดไป เห็นรอยเลือดติดหญ้าอยู่ห่างๆ ตรงเข้าป่าที่ตัดเข้าไปทางวัดใต้ พากันไปถึงประตูวิหาร พบว่าด้านในถูกลั่นดาล ค่อยๆ ย่องเข้าไปดูตามช่องดาลของประตู มองเห็นแสงไฟวับแวม มีพลายแก้วนั่งอยู่ในวิหาร จึงได้เรียกกันมาล้อมรอบวิหารไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นกระทุ้งบานประตู ในทันทีเสียงดังกังกัง สนั่นหวั่นไหว

    ขุนแผนไม่สะทกสะท้าน นั่งอ่านมนต์ปลุก ผีลูก ทันใดนั้นกุมารทองก็ลุกขึ้นพูดจ้อ ขุนแผนรีบกระโดดโผนขึ้นขี่คอ
    “กุมารทอง ลูกพ่อช่วยพ่อให้พ้นภัยด้วย”

    ด้วยฤทธิ์ไสยเวทย์ กุมารทอง พาขุนแผน โลดปึงวิ่่งปร๋อ ลอดรูดาลออกมา ข้ามหัวพวกหมื่นหาญไปโดยที่มองไม่เห็น พอมาถึงข้างนอกของวิหาร ขุนแผนคิดว่าควรทำให้ปรากฏตัวกับพวกหมื่นหาญ ให้รู้ฤทธิ์ว่ามีดีเพียงใด แล้วจึงจะไปบ้านกาญจนบุรี คิดได้ดังนี้แล้วก็คลายมนต์ให้คนเห็น ยืนเด่นผงาด มือขวาถือกฤช มือซ้ายจูงผีกุมารทอง

    เสียงผู้คนเซ็งแซ่เมื่อได้แลเห็นตัวขุนแผน พากันโวยวาย ตะโกนบอกกันดั่งลั่นไปทั่วบริเวณ บางคนถือธนู ดอกอาบยาพิษ ดาบ ไม้พลอง วิ่งตะบึงพรูตรงเข้าไปหา ขุนแผนตวาดอำนาจครุฑ พวกที่วิ่งเข้ามา พากันหกล้ม คว่ำคะมำหงาย อาวุธหลุดมือ ไม่อาจลุกขึ้นได้ หมื่นหาญถือง้าววิ่งเข้าไป สั่งการพวกไพร่ให้บุกเข้าไป ขุนแผนร้องว่า

    “อ้ายไพร่ พวกเจ้ามิมีความผิด กูจะล้างชีวิตแต่หมื่นหาญ อย่าดื้อดึงเชื่อฟังนาย จะหัวขาดหล่นลงพื้ืนดิน เอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่า”

    พวกทหารเคยเห็นแล้วว่าขุนแผนเก่งกล้าแคล้วคลาด จึงไม่อาจกล้าไปต่อสู้ได้ แต่ความกลัวนายจะโกรธก็ยังมีอยู่ จึงได้แต่เต้นแร้งเต้นกาเป็นที่ชุลมุน หมื่นหาญ โกรธโมโหนัก ชี้หน้าขุนแผน ด่าว่า

    “เหวย เฮ้ยอ้ายสถุล มึงอกตัญญู ไม่รู้จักบุญคุณ เสียแรงเลี้ยงดูมาเท่าไร กูให้กินข้าว น้ำ ทุกเช้า ค่ำ แม้แต่ลูกสาวในอกยังยกให้ มึงยังทรยศขบถใจ ครั้งนี้กูจะไม่ไว้ชีวิตมึง”

    ขุนแผนเดือดดาลยิ่งนัก ถอดกริช รำคว้างย่างเข้ามา ตะโกนโพนทะนาเสียงดังว่า

    “โทษของมึงนั้น คงมิต้องเจรจากัน มึงทรยศทุกอย่าง วางยาพิษ พ่อลูกคบคิดกันวางแผน มึงเป็นพ่อตา ถ้าซื่อสัตย์ กูก็ซื่อตอบต่อกัน แต่เพราะมึงคิดคดต่อกูก่อน จึงได้ฆ่าลูกมึงตาย อย่าได้ดื้อดึงถือว่ามีฤทธิ์ แล้วคิดจะรอดชีวิตกลับไปหาได้ไม่ พวกมึงหัวจะขาดทั้งบ่าวและนาย”

    ว่าพลางร่ายกริชเดินเข้ามา หมื่นหาญย่างเท้าเงื้อง้าวฟาดลงไป แต่ก็แคล้วคลาดมิได้ถูกต้องแม้แต่ปลายเส้นขน พลายแก้วเอากริช แทงปั๋งสวนไป แผ่นผิวหนังหมื่นหาญย่นยุบไป แต่ไม่เข้า หมื่นหาญฟันผับกลับมา ขุนแผนเอากริชรับไว้ แทงฉัวะแล้วหันไหล่ปิดป้อง อย่างคล่องแคล่ว พัลวัน ทั้งสองต่อสู้กันพักใหญ่ ไม่มีใครเสียที

    หมื่นหาญถือง้าวยาวกว่ากริช ขุนแผนชิดเข้าขยับโยกหนี กริชแทง ง้าวฟาดมาพลาดทุกที หมื่นหาญฟาดมา ขุนแผนแทงด้วยกริช หมื่นหาญฟันขุนแผนรับไปทุกครา ขุนแผนเอากริชแทงเข้าไป หมื่นหาญเซ ขุนแผนซ้ำหมื่นหาญล้มคว่ำ ขุนแผนกระโดดขึ้นเหยียบคอหมื่นหาญไว้

พวกทหารบางคนโหมเข้ามาหวังจะช่วยนาย บางคนกลัวตายก็แอบตามต้นไม้ ส่วนพวกที่ขี้ขลาดทิ้งศาสตราวุธ วิ่งหนี คนที่ไม่กลัวเข้ามาก็ย่อยยับปี้ป่นไม่เหลือหลอ

    หมื่นหาญ ใช้แรงดิ้นรนกระเสือกกระสน แต่ไม่อาจหลุดไปได้ ส่วนทหาร และไพร่ ไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ได้ขุนแผนเงื้อกริชง่าแล้วกล่าวว่า

    “มึงเห็นฤทธิ์กูฤาไม่ อ้ายทมิฬ อย่าถือว่าอยู่ยงคงกระพัน หอก ดาบ แทงฟันไม่เข้าทั้งสิ้น กูจะเอากริช กรอกปากลากเอาลิ้นมึงออกมา เฮ้ย ถ้ามึงดีจริง ก็ดิ้นให้รอดตัว”

    หมื่นหาญดิ้นสุดกำลัง จนกระทั่งหลังไหล่ถลอกไปทั่ว เพลานี้หมื่นหาญให้ครั่นคร้ามต่อความตายยิ่งนัก จึงร้องว่า

    “กลัวแล้วพ่อ ขอชีวิตเถิด ความจริงเป็นเพราะยิงพ่อไม่ถูก จึงได้ผูกใจโกรธแล้วตรองการล้างผลาญชีวิต ด้วยการวางยาพิษ ข้อนี้ผิดจริงพ่อขอโทษเถิด”

    ขุนแผน เห็นหมื่นหาญกลัวตาย จึงกล่าวคำสำทับไปทันทีว่า
    “โทษของมึงต้องตาย หากกูคิดนิดหนึ่งว่ามึงเคยมีคุณ ได้เกื้อหนุนเลี้ยงดูให้อยู่ในบ้าน เจือจาน ข้าวแกง พริกเกลือ จะไม่ฆ่าเสียในวันนี้เพราะคิดถึงคุณที่เคยทำมา ทั้งท่านผู้หญิงสีจันทร์ ผู้เป็นภรรยา เคยให้เงินตรา เสื้อผ้า

ถ้ามิได้คิดถึงข้อนี้ ชีวิตของมึงจะต้องป่นปี้เป็นจุณ ครั้งนี้เป็นเพราะบุญของมึงยังมี จึงได้ไม่ตาย มึงอยู่เถิด กูจะไปบ้าน”

    จากนั้นขุนแผนก็เรียกกุมารทอง ผีโขมด โหงพรายรวมทั้งผีอื่นๆ ทั้งสิ้น มาอยู่ข้างกาย ขุนแผนขึ้นคอกุมารทอง วิ่งปร๋อหายไปในบัดดล ข้ามคลองหนองน้ำและลำธาร พาผ่านเข้าป่า รวดเร็วมองเห็นเหมือนควันปลิว จนกระทั่งเข้าบ้านกาญจนบุรี

หนทางพันกว่าใช้เวลาเพียงครู่เดียว ฤทธิ์ของกุมาทองนั้นปราดเปรียวเรี่ยวแรงดียิ่งนัก จากนั้นขึ้นไปบนเรือนทันที ด้วยความดีใจยิ่งกว่าได้เพชรนิลจินดาใดๆ

    ฝ่ายหมื่นรู้สึกสะท้านใจ เมื่อได้เห็นฤทธิ์ของพลายแก้ว แสนประเสร็ฐเลิศดีมีศักดานุภาพ ทั้งกำลังวังชาก็เหลือล้น

    “กูก็คนเรืองฤทธิ์ผู้หนึ่ง จะเปรียบสักเสี้ยวซีกของมันก็หาได้ไม่ หากยังจะคิดต่อกรกับมัน อ้ายพวกบ่าวไพร่ที่ยังอยู่จะตำหนิติเตียนได้ ถึงจะรอดชีวิตมาได้ แต่ก็อายอย่างเป็นที่สุด

หากว่าเรื่องนี้แพร่กระจายไปถึงที่ใด คงได้อับอายถึงนั้น เสียแรงเป็นคนเลื่องชื่อลือชา จะเสื่อมเสียชื่อเสียงไปอีกนาน ยิ่งคิดยิ่งแค้นให้อึดอัดใจ”

    คิดได้ดังนี้แล้วก็ได้ร้องเรียกบ่าว ไพร่ ให้ไปบ้าน ให้คนต่อโลงใส่บัวคลี่ จากนั้นให้ทหารเอาไปฝังเสียหลังวัด หมื่นหาญยังคงเดือดดาล ไม่หาย ด้วยวิชาของขุนแผนประเสริฐกว่าสารพัด ให้ตรมตรอมกลัดกลุ้มใจไม่วายวาง

    ส่วนขุนแผน เป็นหนึ่งในเรื่องเรืองเวทย์ ได้ลูกชายเก่งกาจเป็นกุมารทอง ก็สมความตั้งใจที่คิดไว้แต่ก่อนมา จึงคิดตีดาบไว้ออกศึก ตรึกตรองเกี่ียวกับการหาเหล็กไว้มานาน เมื่อได้ครบเรียบร้อยตามตำรา ที่ท่านวางไว้ในมหาคมศาสตรา

    ใช้เหล็กยอดเจดีย์มหาธาตุ เหล็กยอดปราสาท เหล็กขนันผีพรายที่ตายทั้งกลม เหล็กตรึงโลง ตรึงปั้นลม สลักเพชร หอกสัมฤทธิ์ กริชทองแดง พระแสงหัก เหล็กปฏัก สลักประตู ตะปูเห็ด พร้อมด้วยเหล็กเบญจพรรณ กัลเม็ด (แหวนมีหัวเป็นเกลียวถอดได้) เหล็กบ้าน พร้อมครบครัน ทุกสิ่ง

    เอาเหล็กไหลไปหลอมที่บ่อพระแสง เหล็กกำแพง เหล็กน้ำพี้ เหล็กแร่ ทองคำ สัมฤทธิ์ นาก เงิน ทองแดง เอามาสุมคุมควบเข้าเป็นแท่ง เผาให้แดงตีแผ่ แล้วแช่ยาผง เก็บไว้สามวันซัดเหล็กนั้นให้เล็กลง ให้ยังคงพองามตามตำรา ซัดเหล็กเสร็จครบเจ็ดครั้ง

จนกระทั่งฤกษ์เข้าเสาร์สิบห้า ก็ตัดไม้ปลูกศาลเพียงตา แล้วจัดหาเครื่องบัตรพลีต่างๆ ติดตั้งเทียนทองคู่ หัวหมู เป็ด ไก่ บายศรี เอาสูบลม และทั่ง (ทั่ง แท่งเหล็กสำหรับรองตีโลหะ) ตั้งไว้ในพิธี ถ่านที่ถูกต้องตามตำราวางไว้เช่นกัน ช่างเหล็กฝีมือดี มีชื่อเสียง นุ่ง ห่มผ้าขาว วางสายสิญจน์เสกลงเลขยันต์ มีคนคอยดูฤกษ์ดี

    พอได้พิชัยฤกษ์ราชฤทธิ์ พระอาทิตย์เที่ยงตรง ฤกษ์ราชสีห์ ขุนแผนสูบเหล็กให้แดงดี นายช่างตีเหล็กรีดให้ได้รูปปลายเรียว ที่ตรงกลางกว้างสามนิ้วกึ่ง ยาวถึงศอกกำมาถึงหน้าลูกไก่ เผาชุบสามแดง แล้วแทงตะไบ

    อาน (ลับมีด) ไม่นานก็เกลี้ยงดีเป็นมันวับ มิได้มีแม้แต่รอยขนแมว เลื่อมปราดเนื้อเป็นสีเขียวดูคมกริบ เลื่อมพรายคล้ายแสงแมลงทับ เปล่งปลั่ง แสงวาววับยามต้องแสงตะวัน ด้ามนั้นทำด้วยไม้ชัยพฤษ์ จารึกยันต์พุทธจักรที่เหล็กกั่น เอาเส้นผมพรายดุร้ายประจุลง แล้วเอาชันกรอกด้ามทันที

    ครั้นเสร็จสรรพ ลองจับกวัดแกว่ง แสงเงาวะวับ เกิดท้องฟ้าโกลาหลมืดครึั้ม เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ อื้ออึงดังเอิกเกริก ฟ้าคำรน ฝนตกอยู่ครั่นครื้น ขุนแผนได้ฟังเสียงให้เกิดจิตใจเฟื่องฟู แช่มชื่น ที่ได้นิมิตฟ้าเปรี้ยงดังเสียงปืน จึงให้ชื่ออันเกรียงไกรว่า ดาบฟ้าฟื้น

    จากนั้นยกขึ้นกลางศาลอ่านพระเวทย์ โดยเดช ดาบไหวดิ้น เห็นด้วยตาว่าอิทฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ดีใจยิ่งนักที่ได้ในสิ่งที่หมายใจไว้ เอาไม้ระงับสรรพยา มาทำเป็นฝัก ลงรักให้สวยงาม กาบหุ้มต้นและปลายฝัก ทำเป็นลายจำลอง ด้วยทองบางตะพาน จำนวนถ้วนบาท จากนั้นขุนแผนเทเงินออกสิบห้า ส่งให้นายช่างแล้วว่า

    “ฝีมือดีล้นเกินที่คาดคิดไว้ ขอปูนบำเหน็จให้ท่าน”
    ขุนแผนเห็นต้นรังขนาดสามกำกึ่ง ลองหวดก็ขาดพับลงในกับที่ รู้สึกเบาไหล่คล้ายกับหวดหยวกกล้วย จากนั้นเดินทางกลับทันที

    ได้ดาบดังเทพศาสตรา ต้องตามตำรา ฤทธิแรงกล้า ครั้นมาถึงเรือน ตั้งไว้ในที่เคารพบูชา แล้วคิดอ่านจะไปหาม้าสำคัญ จึงเอาเงินห้าชั่ง มาใส่ไถ้ เดินทางไปทั่วประเทศเขตขัณฑ์ ยังไม่พบม้าที่ถูกใจ ก็หาต่อไปทุกวี่วัน ทั้งราชบุรี สุพรรณ เพชรบุรี

    กล่าวถึงหลวงทรงพลกับพัณภาณ มีพระโองการตรัสใช้ไปตะนาวศรี ไปมะริดกับไพร่ที่ตามไปสามสิบสี่คน อยู่ได้ครึ่งปี ด้วยหลวงศรีวรข่านไปซื้อม้า ถึงเมืองเทศเป็นเวลาช้านาน แต่ยังไม่กลับมา ต้องรออยู่จนฤดูฝนมีลมแล่นใบ เรือที่ไปเมืองเทศจึงกลับมาได้

    หลวงศรีได้ม้ามามอบให้ ทั้งม้าเทศ ม้าไทย ทั้งหมดหกสิบห้าตัว มีม้าเหลืองเมืองมะริดพลอยติดมาด้วย เขาว่าเห็นม้าหลวงข้ามน้ำก็ตามมา ตัวผู้เป็นม้าน้ำ มีลูกหนึ่งตัวชื่อสีหมอก มันออกวันเสาร์ขึ้นเก้าค่ำ นัยน์ตาดำร้ายกาจหนักหนา ถึงด่านสิงขรก็หยุดพัก ปล่อยม้าให้กินหญ้า

กรมการกุยบุรีส่งต่อเนื่องมา ผ่านชะอำ ถึงท่าเมืองเพชรบุรี เลี้ยงม้าอยู่ศาลาบ้านแตงแง บันไดอิฐติดกับคิรีศรี สีหมอกลองเชิง เริงฤทธิ์ เข้ากัดฟัดขยี้ม้าเทศ

    หลวงทรงพลแกขัดใจ ให้ไพร่ไล่ตีม้าผีเปรต นิสัยมันดุร้าย ซุกซน เป็นม้าพันธ์ุเทศ เข้าไปที่ใด ก็ถูกไล่ออกไป ม้าสีหมอกจะเข้าไปหาแม่ ถูกเขาไล่ต้องวิ่งออกมา พอคนเผลอมันก็วิ่งเข้าไป คนต้องคอยวิ่งไล่ รำคาญเบื่อหน่ายกันทั้งกอง

    ขุนแผนเห็นม้าสีหมอก ลำพอง ท่วงทีแคล่วคล่องว่องไว ลักษณะถูกต้องตามตำราทั้งสิ้น ดังองค์อินทร์ประทานมาให้ ก็สมตามที่คิดปรารถนาไว้ ก็เข้าไปหาหลวงทรงพลพลัน

    “อาชาตัวน้อยของท่านฤา จะซื้อขาย หรือเก็บเอาไว้อย่างไรนั่น หากกระไรจงเมตตากัน จะขอปันซื้อม้าสีหมอกไป”
    หลวงทรงพลเล่าเรื่องขยายความว่า

    “อันม้าสีหมอกน้ันไซร้ มิใช่เป็นม้าหลวงที่หวงห้ามดอก มันเป็นลูกม้าเมืองมะริด ติดแม่มาแต่เมืองมะริดนั่น รูปร่างท่าทีก็ดูดี แต่ว่ามันซุกซนจนรู้สึกระอา เผลอมิได้ มันต้องไปไล่กัดเอาม้าหลวง ต้องคอยเป็นห่วงอยู่หนักหนา หากท่านซื้อเราจะหย่อนผ่อนราคาให้ เอาแค่สิบห้าตำลึง”

    ขุนแผนได้ฟังคำที่เจ้าของว่า รู้สึกถูกใจนัก แก้ถุงเงินนับให้ในทันที แล้วเดินมาที่ม้าสีหมอก เสกหญ้าด้วยมหาละลวยใหญ่ เข้าใกล้ม้าสีหมอกแล้วบอกว่า

    “จะไปกับเราก็เข้ามา”
    แล้วยื่นหญ้าให้ทันที สีหมอกเข้ามารับหญ้าเคี้ยวกลืนกิน เกิดความชื่นชม มีใจรักภักดี เดินติดตาม ขุนแผนลูบหลังม้าสีหมอก ผูกอานเสร็จ เดินไปด้านหน้าใส่บังเหียน ซองหางขลิบทองเป็นของใหม่ แล้วดูสวยงามยิ่งนัก

    ขุนแผนเหยียบโกลน ขึ้นขี่ ม้ายกหน้าพาโผนโจนทะยาน ควบมา พร้อมกับบ่าวไพร่ตามหลังสะพรั่งไป เดินทางกลางป่าเป็นเวลา 3 วัน ถึงบ้านเขาชนไก่ในเวลาเย็น จากนั้นสั่งบ่าวไพร่ทำโรงให้ม้า ขุนแผนเข้าไปในบ้าน บอกเล่าเรื่องกับมารดาจนครบถ้วน เกี่ยวกับการได้กุมาร ม้า และศาสตราดี

    นางทองประศรีเห็นลูกชายสบายใจ จึงชวนกันกินข้าว อิ่มแล้วลุกไปหอนั่งสั่งอ้ายจัน
    “ผลัดกันกับอ้ายเกลี้ยงเลี้ยงม้ากู”

    อ้ายเกลี้ยงกับอ้ายจันได้ฟังคำของนาย ช่วยกันจัดแจงตกแต่งคอกม้า วางหญ้า ก่อกองไฟไว้ที่ใกล้ประตู เลี้ยงดูม้าตามคำสั่งของผู้เป็นนาย

จบตอนที่ 16



Create Date : 10 มิถุนายน 2564
Last Update : 26 มิถุนายน 2564 21:10:37 น.
Counter : 3223 Pageviews.

2 comments
เวลวที่หายไป - บทที่ 26 ดอยสะเก็ด
(11 เม.ย. 2567 11:44:44 น.)
ใครบ้าง ตอบได้ ว่าทำไมรถไฟฟ้าสายสีเหลือง 28มี.ค ถึงวันนี้9เม.ย.67ยังจอดคา ไว้กลางทางอยู่ jiab bangkok
(9 เม.ย. 2567 11:52:33 น.)
โจทย์ตะพาบ ... วันใดที่เธอรู้สึกเหมือนไม่มีใคร โปรดมองมาทางนี้ เธอจะเห็นใครคนหนึ่งที่รอเธอ ... tanjira
(9 เม.ย. 2567 14:13:50 น.)
Pecchè? By Gaetano Errico Pennino ปรศุราม
(8 เม.ย. 2567 11:54:21 น.)

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณหอมกร, คุณ**mp5**

  
ขอบคุณที่นำมาฝากกันจ้า

โดย: หอมกร วันที่: 11 มิถุนายน 2564 เวลา:7:44:42 น.
  
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 13 มิถุนายน 2564 เวลา:16:00:18 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Sut0000.BlogGang.com

0000
Location :
สุรินทร์  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด