ขุนช้าง ขุนแผน ตอนที่ 12 นางศรีประจันยกนางวันทองให้ขุนช้าง จบตอน


 

ขุนช้าง ขุนแผน
เรียบเรียงจากเสภา เรื่อง ขุนช้าง ขุนแผน โดย ทักษภณ
ตอนที่   12  นางศรีประจัน ยกนางวันทองให้ขุนช้าง จบตอน

    กล่าวถึงขุนช้างผู้มีความรักต่อพิมพิลาไลยมิมีเสื่อมคลาย สั่งบ่าวไพร่ที่มีความชำนาญการปรุงเรือนหอ

    “เร็วเหวย รีบหน่อยให้ทันการ”
    ท่ามกลางเสียงของพวกช่างบ้างเลื่อย บ้างก็ถาก เสียงโปกปาก โผงผึง ดังลั่นบ้าน ขุนช้างสั่งต่อไปว่า

    “หอใหญ่ เก้าห้อง แผ่นกระดานเท่าวิหาร จึงจะสมใจกู”

    ส่วนพวกผู้หญิงพากันแช่แป้งทำขนมบ้าง บ้างไปซื้อกล้วย อ้อย ส้ม ชมพู่ มะพร้าว น้ำตาล หมากพลู ไก่ หมู กุ้ง ปลา มากมาย

    ขุนช้างนับวันไว้ เมื่อใกล้ถึงกำหนดนัด จึงชวนศรพระยา ผู้เป็นพี่ มาบ้านศรีประจันทันที แจ้งว่า

    “การเตรียมการนั้นเรียบร้อยแล้ว ลูกมาหารือ คุณแม่ จะขอรื้อหอเก่าของพลายแก้ว เอาไปถวายวัด จะได้แผ้วถางพื้นดินปลูกสร้างหอใหม่ อันหอของลูกนี้ใหญ่โต ราวกับวิมานของพระอินทร์ หาที่ไหนก็ไม่เหมือนของลูกทั้งสิ้น”

    ศรีประจันได้ยินหัวเราะงอหาย

    “ชะ หอห้องของลูกข้าช่างใหญ่โต ขอบใจจริงๆ เจ้า จะเอาอะไรบอกมา อย่ารั้งรอ ปลูกหอให้ดีเถิดลูกอา หอเก่าจะเอาไปปลูกที่วัด ก็ตามใจเถิด แม่ไม่ว่า หอใหม่ใหญ่โต สมหน้า สมตา รีบขนมาเถิด อย่าช้า ฮ่าๆๆ”

    ว่าแล้วยายศรีประจันลุกขึ้นมาหาลูกพลัน กล่าวปลอบประโลมให้วันทองพอใจ เพื่อมิให้รู้กลมารยาของนาง

    “ลูกเอ๋ย แม่คิดไม่ออกแล้ว รู้สึกสงสารออแก้วเป็นหนักหนา จะตายจริงฤา หรือจะรอดกลับมา มิรู้ว่าจะเป็นประการใด แม่คิดว่าห้องหอของเจ้านั้น ควรจะเอาไปทำบุญส่งไปให้พลายแก้ว

หากว่าผัวเจ้าไม่ตายกลับมา ก็ปลูกใหม่เถิดหนา เอาไปถวายวัดปลูกเป็นกุฎี บุญกุศลก็จะมีแก่พลายแก้ว ถ้าผัวกลับมาก็ปลูกใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิมเถิด ลูกแม่จะว่าประการใด”

    วันทองมิรู้กลอุบายอันแยบยลของมารดา หันหน้ามาตอบด้วยสีหน้าบ่งบอกถึงความพึงพอใจยิ่งนัก

    “เหมือนที่ลูกคิดไว้ทีเดียว จ๊ะแม่ เอาไปปลูกกุฎี หรือศาลา ลูกขออนุโมทนา ใจของลูกก็จะได้ไม่ว้าวุ่น สุดแต่กุศล ผลบุญ จะได้เป็นแรงช่วยให้พลายแก้วได้กลับมาไวๆ”

    ศรีประจันได้ฟังคำลูกรู้สึก สมใจ ถูกใจยิ่งนัก รีบลุกออกไปจากเรือนไปบอกขุนช้างทันที

    “แม่ลวงอีวันทอง มันหารู้กลอุบายของแม่ไม่ เจ้าจงรีบไปจากบ้านแม่ ให้ใช้แต่บ่าวกับพวกพ้อง พี่น้องชวนกันมาช่วยรื้อ”

    ขุนช้างได้ฟังก็ดีใจ รีบลุกออกไปเงียบๆ ถึงบ้านสั่งบ่าวไพร่ทันที
    “เร็วเข้าหวา อย่าชักช้า รีบรื้อหอไปถวายพระที่วัดกลาง”

    ฝ่ายยายศรีประจันไม่รอช้า จัดแจงของไปไว้ที่หอขวางทันที พี่น้องกับบ่าว ไพร่ของขุนช้าง มาถึง ก็เข้าไปรื้อหออย่างรีบแร่ง แบก ขนของ เอาออกไป ถวายพระที่วัดกลางอย่างรวดเร็ว กองไม้ทุกท่อน ทุกสิ่ง ไว้ที่วัดเรียบร้อยแล้ว ก็พากันกลับมาบ้าน

    กล่าวถึงนางทองประศรี อยู่กาญจนบุรีที่เขาชนไก่ รอคอยลูกมานานหลายวัน ไม่เห็นกลับมา

    “สงสาร ออพิมพิลาไลย คงจะคอยผัวอยู่นานหนักหนา เมื่อวันจะจากลา เศร้าโศกอาลัยไม่น้อย นี่จะเป็นเยี่ยงใดก็มิรู้ได้ จะดีอยู่ฤา หรือจะตรมตรอมใจจนเป็นไข้ วันพรุ่งนี้กูจะลงไปเยี่ยม ออพิมพิลาไลยดูสักที”

    คิดแล้วก็สั่งบ่าวไพร่
    “จัดแจงสิ่งของให้เรียบร้อย เร็วๆหวา เอ็งไปดูควายที่ฝีเท้าดีๆ เตรียมไว้สำหรับเทียมเกวียนในวันพรุ่งนี้ กูจะไปเยี่ยมลูกสะใภ้ มึงอย่าให้ช้านัก ถ้าอืดอาด สายนักกูจักเฆี่ยนมึง”

    แล้วสั่งอีทับกับทีเทียน ให้เฝ้าบ้าน
    “เฝ้าบ้านไว้ให้ดี อย่าให้มีของหาย”

    ว่าแล้วก็ไปเข้านอน เช้าตรู่ นางลุกขึ้นล้างหน้า หาหมากพลู แล้วตรวจดูผู้คนขนของขึ้น บรรทุกเรียบร้อยแล้ว จากนั้นนางขึ้นเกวียนพลัน แล้วออกเดินทางทางทันที พอถึงเวลาตะวันเที่ยงก็หยุดพัก

รอจนแดดอ่อนลงก็เดินทางต่อ ใช้เวลา สองคืนเข้าถึงเมืองสุพรรณ ถึงบ้านไม่เห็นหอลูกชาย นางทองประศรีรู้สึกใจหาย รีบขึ้นไปบนเรือนทันที ยายศรีประจันออกมาต้อนรับ บ่าวเอาเชี่ยนหมากออกมาตั้งรับรอง นางทองประศรีนั่งกระแทกลงปับ นางศรีประจันกล่าวว่า

    “คราวนี้แย่แน่ๆ ออแก้วที่ไปทัพ ได้สิ้นชีวิตเสียแล้วหนา”
    แกพูดพลาง ร้องไห้พลาง

    “มาทิ้งลูกสาวข้าให้เป็นหม้าย เคราะห์ร้ายทุกสิ่ง ล้วนเป็นจริงแท้นะแม่ทองประศรี ออพิม ก็เจียนตาย ไม่เป็นตัวของตัวเอง ละเมอเพ้อคลั่งมิได้หยุด ต้องผลัดชื่อให้มันว่าวันทองค่อยผุดผ่องขึ้นได้ เพราะท่านขรัวตาจูแนะนำการแก้ไข

    ครั้นวันทองหายพอฟื้นตัว ก็ได้ข่าวร้ายว่าผัวตาย ให้วันทองเศร้าโศกหนักหนา ร้องไห้อย่างหนัก ตลอดเวลา จวนเจียนจะเป็นบ้า

จึงได้นำทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพ่อพลายแก้ว ผ้าผ่อน สิ่งของสารพัด ตัดทำเป็นธงบ้าง ทำเป็นผ้าห่มองค์พระพุทธรูปบ้าง ทำเป็นผ้าห่อพระคัมภีร์บ้าง เงินทองก็ไปเอาหล่อพระ ส่วนห้องหอก็รื้อถวายวัดกลางไป”

    ยายทองประศรีได้ฟังคำบอกเล่า เกิดอาการหน้านิ่ว คิ้วขมวด เคืองจัด
    “นี่ใครมาบอกความ มันไม่มีความจริงสักสิ่ง ลูกข้าถ้าตายอยู่เมืองลาว ข่าวคราวคงจะมีมาบ้างนั่น พวกไพร่ที่ไปกับมัน เพลานี้ยังไม่ทันเห็นมีใครกลับลงมา”
    ศรีประจันว่า

    “ไพร่ที่ไม่ตาย ต้องติดคุกทั้งหมด ขุนช้างเข้าไปในเมือง ได้ข่าวเอามาเล่าให้ฟัง แต่กระนั้นวันทองยังไม่เชื่อ ลงเรือไปดูต้นโพธิ์ที่ได้อธิษฐานปลูกไว้ ใบก็ร่วงหล่น ได้เห็นมากับตา”

    วันทองที่ยังเศร้าสร้อย ทุกข์เศร้าโศกมิเคยผ่อนคลาย รู้ว่าแม่ผัวมาก็ดีใจ ผุดลุกออกจากห้องย่องออกมา นั่งไหว้แม่ยายน้ำตาไหลนอง

    “เดชะบุญมาแม่มาถึงไว เกือบจะไม่ได้เห็นใจของวันทอง ขุนช้างมันมาทำเรื่องวุ่นวายมากมาย ลูกแทบจะผูกคอตายอยู่ในห้อง หลายครั้ง หลายครา มันมาพูดสอพลอกับแม่ แม่ก็คล้อยตามเชื่อคำของมัน ยกย่องให้เป็นเมียมัน ขรัวตาวัดป่าเลไลย์ตรวจดูแล้วบอกว่า รบชนะศัตรูเป็นแม่นมั่น พลายแก้วไม่ตาย

    แต่แม่ศรีประจันไม่เชื่อฟัง กำหนดวัน งานแต่งให้ขุนช้างเป็นวันแรมสามค่ำ ลูกมิมีความหวังที่จะรอดพ้นความทุกข์ภัยครานี้ได้ ครั้นจะหลบหนีไปเพียงลำพัง แต่จนปัญหาด้วยไม่รู้หนทางที่จะไป เดชะบุญที่คุณแม่มา เสมือนว่าได้ชุบชีวิตลูกขึ้นมาใหม่ ได้โปรดช่วยลูกให้พ้นภัย ลูกขอไปอยู่บ้านกาญจนบุรีด้วยเถิด”

    นางศรีประจันฟังลูกพูดก็ไม่พอใจ
    “ดูมันช่างพูดได้น่าบัดสี อีจองหอง ฟ้องแม่ยาย แก้ตัว เอาตัวรอด ดูเอาเถิด กูมิตีให้อายก็ดีเท่าใดแล้ว น้อยฤาช่างพิไรใส่ความกู มึงไม่รู้บ้างฤา อ้ายมากฝากกระดูกมาให้เรา ขุนช้างจึงอาสาช่วยรับเอามาให้ บอกข่าวว่าพลายแก้วไปทัพ แล้วตาย

    กูนี้คิดสมเพชเวทนา เขาจะจิกหัวคร่าเก็บเอาไปเป็นหม้ายหลวงอยู่ในวัง ต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะถูกคุมขัง เช้า เย็นอยู่ไม่เป็นสุข

ขุนช้างเขามาช่วยแบ่งเบาภาระ เขาใช้เงินทองเจือจานไป คดีความมันถึงได้ค่อยคลายหายโทษทัณฑ์ กูจึงได้ผ่อนผันยอมยกให้ มึงจะไปอยู่เมืองกาญจนบุรีก็ดี มึงลองไปดู ถ้ากูมิใส่เอาด้วยไม้ ก็มิใช่กู”

    ทองประศรีได้ฟังก็รู้สึกขัดใจ
    “ชะช่างพูดได้ ฟังแล้วไม่เข้าหูเลย คนหนึ่งหูเบา อีกคนเฒ่าหัวงู ร่วมมือร่วมใจกัน ไม่สืบสาวเรื่องราวดูให้แน่นอนก่อน คนใจเบา พอเขาเอาเงินทองมาล่อก็ดีใจ ยกลูกสาวให้เสียง่ายๆ ถ้าออแก้วไม่ตายรอดชีวิตกลับมา นี่จะคิดแก้ไขประการใด”

    ศรีประจันร้องว่า
    “โอ แม่เจ้า คนตายเป็นผีแล้ว จะกลับมาได้เยี่ยงไร ถึงมันไปทัพ ได้ชัยชนะกลับมา กูจะพึ่งอะไรมันได้”

    ยายทองประศรีได้ฟังเจ็บใจ โกรธจนตัวสั่น
    “เป็นไรมี ดีแล้ว จะได้เห็นดีกัน ทำเกินไปแล้ว ข้าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”

    ว่าพลางนางก็ลงมาจากเรือนไปหานายพันบ้าน ปะตัวพันโชติกำนันแดง ชี้แจงเล่าความให้เขาฟัง

    “พลายแก้วลูกข้าอาสาไปทัพ ยังไม่ทันได้กลับมา แต่อีแม่เฒ่าทำเรื่องสุดที่จะทนได้ ไปเชื่อฟังคนยุยงว่ามันตาย ไม่ยอมสืบหาความเป็นจริง

กลับไปยกลูกสาวให้กับผู้อื่นเสียง่ายๆ  เกรงว่าจะเกิดความใหญ่ในภายหน้า ขอเชิญนายไปด้วยกัน ช่วยเป็นพยานเถิด”

    พันโชติกำนันแดง ฟังคำของนางทองประศรีเล่าเนื้อความ มีความคิดว่า

    “เขาอาสาไปราชการงานทัพ ต้องเป็นภาระธุระตัวเรา เห็นจะต้องไปว่ากล่าวเสียบ้าง ถ้าไม่ฟังก็แล้วแต่เขา จะได้พ้นผิด ความผิดจะไม่ติดถึงตัวเรา”

    จากนั้นก็รีบมา พอถึงบ้านศรีประจัน พากันขึ้นไปบนเรือน นั่งที่เตียงตั่งเรียบร้อย พันโชติจึงว่า

    “นี่แน่ยาย พลายแก้วเขาอาสากองทัพ มีรับสั่งตรัสใช้มากหลาย ยังมิได้รู้เห็นว่า เป็นหรือตายชัดเจน ไม่บังควรจะด่วนทำเรื่องวุ่นวาย ให้ลูกสาวมีผัวใหม่ ขอให้คิดดูให้ดีๆ หนา หากเกิดเรื่องขึ้นมา มันจะเดือดร้อนถึงตัวข้า”
    ยายศรีประจันกล่าวว่า

    “พ่อ เอ๋ยไม่ต้องมาทักดอก ลูกข้าจะให้มันมีผัวใหม่เป็นแน่แท้ จะเกิดเหตุเยี่ยงไรก็ไม่กลัว เมื่อมีเงินทองมากมาย ก็ใช้เงินทองรดหัวให้มันไป คนทุกวันนี้มิมีผู้ใดอยากให้ผู้อื่นได้ดี มีแต่แกล้งใส่ความกัน ถ้ามันไปทัพได้ชัยชนะกลับมา ก็จะพึ่งพาอะไรได้เล่า”

    ยายทองประศรีได้ฟังเจ็บใจจนตัวสั่น
    “เป็นไรเป็นกันคอยดูก็แล้วกัน ฉันขอบอกท่านทั้งสองเอาไว้ แน่เฮ้ยอียายศรีประจัน ถ้ากูพูดเท็จอย่าให้ทันตะวันบ่าย เพราะกูรักลูกชาย ออพลายแก้วกูห้ามแล้วก็ไม่ฟัง เพราะมันเพิ่งเป็นเด็กหนุ่ม ไม่รู้จักคิดหน้าหลัง ให้รอบคอบ เกิดความรักเอาจริงจัง

กูจึงได้ยอมตามใจมัน ถึงเอ็งจะพรากจากออพลายแก้ว กูหามีความเสียดายสักนิดไม่ ด้วยพืชพันธุ์มันไม่น่าจะอาลัย จากนี้ไปจนตาย ขอให้สิ้นสุดกันเพียงเท่านี้”

    ว่าแล้วก็ลงจากเรือนไป วันทองวิ่งถลันตามทองประศรี ศรีประจันเอาไม้ไล่ตี ฉุดลากวันทองกลับขึ้นเรือน นางทองประศรีต้องการวันทองกลับไปด้วย ฝ่ายนางศรีประจันไม่ยินยอม

ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยินยอมกันและกัน ทั้งสองฝ่ายจึงยื้อยุด ฉุดกระชาก ลากดึง ช่วงชิงวันทอง ฝ่ายศรีประจันเกรงว่าจะสู้ไม่ได้ร้องเรียกข้าไท ให้มาช่วย มากมาย เกลื่อนกล่น

ฝ่ายนางศรีประจันพวกเยอะกว่า ลากวันทองไปขึ้นเรือน ทองประศรีพวกน้อยกว่าสู้ไม่ได้ หน้าเฝื่อนโกรธกลับไป

    ขุนช้าง เมื่อถึงกำหนดวันงาน หาช้าไม่ รีบจัดแจงงาน สั่งบ่าวไพร่ ให้ขนเครื่องหอมาที่บ้านศรีประจัน พันศรราทยา ศรพระยา และพวกพ้องของขุนช้าง ดูพร้อมเพรียงกันหนักหนา

มาถึงก็เริ่มขุดดินตั้งเสาหมอ (เสาขนาดสั้นหรือตอม่อ) จากนั้นยกเครื่องเรือนต่อทันที ปรับพื้ืนติดฝาในเวลาไม่นาน แล้วก็มุงหลังคาเป็นที่เรียบร้อย

    ส่วนยายศรีประจัน จัดเตรียมของเลี้ยงไว้เต็มที่ กับข้าวของหวานล้วนแต่ของดีๆ เลี้ยงเต็มที่ อิ่มหนำกันทุกคน วันทองมองเห็นหอของขุนช้าง ใจนางเจียนคลั่ง ได้แต่นั่งร้องไห้ บ่นเพ้อพร่ำ ด่างึมงำเหมือนคนบ้า บางครั้งแช่งส่งไปอย่างไม่ไยดี


    ขุนช้างปลูกหอเสร็จในเวลาไม่นาน จากนั้นก็ลานางศรีประจันกลับบ้าน จากนั้นก็เตรียมขันหมากวุ่นวายไป

    ฝ่ายยายศรีประจัน พร้อมบ่าวไพร่ ไปวัดป่าเลไลย์ทันที เมื่อถึงก็ขึ้นไปหาท่านสมภาร แล้วเอาหมากพลูเข้าประเคน

    “วันนี้ขอนิมนต์สวดมนต์ฉันจังหันที่บ้าน ทำบุญอุทิศไปให้ออแก้วที่ได้ตายไปแล้ว และจัดงานแต่ง วันทองกับขุนช้างด้วย”

    ครานั้นท่านขรัวตาจู ฟังคำแล้วรู้สึกเห็นว่าวิปริตผิดอย่างแรง

    “เดี๋ยว ออแก้วยังไม่ตายหนา ขอให้งดการนี้ไว้ก่อน สีกาฟังอาตมาก่อนเป็นไร รู้แแน่แล้วฤาว่ามันตาย ลางทีต่อไปจะเกิดเรื่องใหญ่ อย่าใจเบา ขอให้หนักแน่นเข้าไว้ จะได้ไม่เรื่องยุ่งยากในภายหลัง”

    ศรีประจันฟังคำขรัวตาก็รู้สึกขัดใจ
    “พระคุณเจ้าเป็นบ้าอะไรไปฤา ถึงได้พูดเพ้อเจ้อ เรื่องไม่จริง เชื่อถือไม่ได้ ไม่น่าฟัง”

    ขรัวตาว่า
    “ดูเถิดศรีประจัน มางกงันเจรจาไปไย อาตมาก็รู้ว่าการควร หรือมิควรหนา ด้วยออแก้ว มันเป็นหลานที่อาตมาเลี้ยงมา

เมื่อไม่ฟังคำห้ามของอาตมาก็ตามใจ ไปนิมนต์พระสงฆ์อื่นเถิดจะดีกว่า อาตมากลัวว่าออแก้วกลับมา มันจะว่าได้ ว่ารู้เห็นเป็นใจ”

    ศรีประจันลาแล้วลุกขึ้นเก้ๆกังๆ ไปยังวัดกลางทันที ต่อด้วยวัดพลับเป็นลำดับไป นิมนต์ให้สวดมนต์เย็น ฉันเช้า

    ส่วนยายเทพทอง จัดขบวนขันหมาก อย่างขะมักเขม้น สั่งการข้าไท บ่าวไพร่ ด่าทอ จนคอเป็นเอ็น

    “ช่วยกัน วิ่งเต้นบ้างหน่อยเป็นไรหวา เฮ้ยช่วยไปบอกยายกลอย ยายสาย ทำไมจวนบ่ายแล้วยังแต่งตัวไม่แล้วเสร็จ ทำไมถึงได้แต่งตัวช้านัก ตะวันสายแล้วจะได้ไป”

    ยายกลอย ยายสาย ผลัดผ้าวุ่นวาย แล้วหวีผม พวกแต่งตัวเด็กก็จัดแจงวุ่นวายไป เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ขันหมากก็พร้อมเคลื่อนขบวน ขันหมากเอก ทั้งสี่ขัน เลือกสรรผู้ที่มีเชื้อผู้ดี มีหน้า มีตา ล้วนเป็นรุ่นสาวสวยสะอาดตา แต่งตัวสวยงามเต็มที่  

    ใช้ขบวนมโหรีที่ดีที่สุด ระนาด ฆ้อง เสียงเสนาะ ดังสนั่น พอได้ฤกษ์ขบวนขันหมาก็เคลื่อนที่ทันที ด้วยเสียงดังสนั่นอื้ออึง พอมาถึงบ้านศรีประจัน เสียงโห่ร้อง เสียงฆ้องดังลั่น สนั่นหวั่นไหว

ตาผลหัวล้าน รีบออกไป ปิดประตูมิให้ผู้ใดเข้ามาทันที เฒ่าแก่ก็เงินยื่นให้ แกจึงเปิดประตูให้ขึ้นบ้าน ขบวนขันหมากทยอยขึ้นไป เฒ่าแก่นำหน้าไปนั่งที่พรม เฒ่าแก่ที่เรือนออกต้อนรับ

    จัดโต๊ะใหญ่มาวางสิ่งของ ขนม ทั้งหมู ไก่ เหล้าเต็มขวดกลม กล้วย ส้ม ของร้อยสิ่งตามที่สัญญากันไว้ สินสอด เงินตรา ผ้าไหว้ เอาออกมานับ จัดวางไว้ที่โต๊ะสามขา เฒ่าแก่สองฝ่าย ต่างพูดคุยเจรจากัน

จากนั้นขนของเข้าเรือน แล้วมอบของ ตอบแทน กันและกัน ตามธรรมเนียม จากนั้นนำเอาอาหารคาวหวานออกมาตั้ง เลี้ยงดูให้อิ่มหนำ กันถ้วนหน้า เฒ่าแก่ก็ลากลับไป

    เวลาเย็น แดดอ่อนแล้ว ขุนช้างอาบน้ำ แต่งตัวอย่างขมีขมัน คิดจะทาแป้งกระแจะจันทร์  แต่งตัวให้เต็มที่ หยิบกระจกออกมาตั้ง นั่งส่องตัวเองวนไปมา รู้สึกรำคาญขนอกที่พอกพันกัน ยุ่งเหยิง รุงรังของตนเองเหลือเกิน

    “ขี้ผึ้งอะไรเหนียวเหมือนตังเม กูแค้นใจกับอ้ายหนวดเครานี่ ยวดยิ่ง ไยไม่ไปเกิดอยู่บนหัวเล่า กลับมาขึ้นที่คาง ยุ่งเหยิง รุงรัง ยิ่งโกนมันก็ยิ่งขึ้นหนัก ส่วนผมบนกระบาลสิ ยิ่งถนุถนอม กลับหายหัวล้านเกลี้ยง มันทำให้ข้าขายหน้านัก”

    แล้วนุ่งผ้ายกอย่างดีราคาแพง ที่พึ่งซื้อหามาได้จากในวัง ห่มส่านอย่างดี สีสะอาด คาดเข็มขัดราคาสิบกว่าชั่ง เสร็จแล้ว ลงมาจากเรือน เดินมาเก้ๆกังๆ บ่าวไพร่เดินสะพรั่งตามหลังมาพร้อมกับเพื่อน และชาวบ้าน แต่งตัวกันสวยงามอย่างเต็มที่ บ้างก็ขยิบตา ซุบซิบสะกิด หยอกล้อ หัวเราะร่า ไม่นานก็ถึงบ้านยายศรีประจัน ตาผลปิดประตูทันที ขุนช้างไม่พอใจ

    “ไอ้โกง อ้ายล้านตายโหง มึงมาแกล้งผู้ใด”
    ตาผลกล่าวว่า
    “เจ้าประคุณขุนช้างขา ลูกหัวล้านมาตั้่งแต่เกิดหาได้แกล้งไม่ พ่อเศรษฐีมั่งมี เงินทองมากมาย เอาเงินให้ลูกบ้างเถิด จะได้เปิดประตูรับ”

    ขุนช้างส่งเงินให้ตาผล ประตูก็เปิด ทั้่งหมดขึ้นไปบนหอ นั่งที่ระเบียงเรียงเป็นลำดับไป ได้เวลาพระมาครบ ทั้งวัดพลับ และวัดกลางที่ได้นิมนต์มา พระเข้าไปในหอนั่ง จัดมงคลทั้งคู่ไว้รอ

    ฝ่ายยายศรีประจันผู้มารดา รีบให้ลูกนุ่งขาว ห่มขาว วันทองขัดใจไม่ยอมนุ่ง แกตีเข้าที่หลังดังสนั่น
    “อีว่ายาก ปากดี”

    จากนั้นแกก็จับวันทองเปลี่ยนผ้า ฉุดปล้ำกันอุตลุด วันทองเหนี่ยวสายยูประตูแน่น แกเอาตีนยันฝา ฉุดแขนวันทองตัวสั่น มือหลุดล้มไถลไปกับพื้น สร้างความเดือดดาลให้กับแกยิ่งนัก รีบลุกขึ้นออกไปยืนร้องตะโกนว่า

    “ชีต้นเจ้าขา สวดมนต์เถิดเจ้าคะ เจ้าสาวเจ็บจุกครางอยู่ข้างใน มาซัดน้ำไม่ได้แล้วเจ้าคะ สวดจบขอน้ำมนต์ไว้เถิด รดเอาข้างในได้ดอกนะ”

    ขุนช้างคอยดูเหตุการณ์อยู่ด้วยใจเต้นระทึก จากนั้นก็อาราธนาศีล พระเริ่มสวดมนต์ ซัดน้ำเสร็จเรียบร้อย หลังจากพระกลับไปแล้ว มีการยกสำรับมาเลี้ยงแขกที่่มาร่วมงานวุ่นวายไป เพื่อนเจ้าบ่าวและคนอื่นๆ ที่เปียกเพราะซัดน้ำ ไปผลัดผ้ามา แล้วร่วมนั่งกินเลี้ยง พอกินอิ่มหนำสำราญ ต่างกลับไปบ้านด้วยความเบิกบานสำราญใจ


    ขุนช้างเพลานี้ใจเต้น กรุ้มกริ่ม หาเสภามาขับ รับกับมโหรี
    รุ่งเช้าสมภารและพระสงฆ์ ครองผ้ามาจากกุฎี พร้อมกับบาตร ตะลุ่ม สำรับ มาถึงหอใหม่ขึ้นไปนั่งเรียงลำดับ แม่ครัวเตรียมสำรับไว้รอ เณรยกบาตรมาตั้ง พระสงฆ์เริ่มสวดมนต์ ขุนช้างเอื้อมมือหยิบขันข้าว จับทัพพีเตรียมพร้อม แล้วร้องว่า

    “คุณแม่ศรีประจัน ขอจงเอ็นดูฉัน ให้แม่พิมออกมา ใส่บาตรร่วมขันด้วยกันเถิดหนา หล่อนเป็นเมียฉันแล้วนะคุณแม่ขา”

    ศรีประจันได้ฟังคำขุนช้างร้องไปว่า
    “เป็นไรหวา ออพิมไม่ออกไป”
    พิมพิลาไลย รู้สึกขัดเคืองใจ ร้องตวาดไปว่า

    “ข้าหาปรารถนาไปใส่ไม่ อายหมู หมา พวกข้าไท”
    ว่าแล้วร่ำไห้ตัวงอ ศรีประจันบ่นพลาง ครางในลำคอฮื่อๆ
    “ขุนช้างเจ้าอย่าถือสาเลย ตั้งแต่เจ็บเต็มที่เมื่อปีจอ ทำให้ใจคอมันให้เกิดคลุ้มคลั่งเรื่อยมา”

    ขุนช้างว่า
    “ลูกก็เห็นเช่นนั้น แม่พิมหล่อนเป็นสันนิบาตไข้ ถึงจะด่าขุดโคตรสักเท่าใด ลูุกก็ไม่ถือสาหล่อน แม่ไม่ต้องร้อนใจไป”

    ครั้นพระสงฆ์สวดมนต์จบ ยกสำรับมาวุ่นวาย เป็นต้นว่า ขนมจีนน้ำยา ห้าคะนน (หม้อดินขนาดใหญ่) มีเสียงกล่าวว่า
    “ชีต้นฉันได้เต็มที่นะเจ้าคะ”

    จากนั้นจัดแจง ให้คนขนของหวาน  ทองหยิบ ฝอยทอง อย่างดี ใส่จานเชิงเทียบเป็นที่ๆ แล้วก็ส่งมา ประเคนพระ

ท่านฉันเสร็จเรียบร้อย ยกสำรับถอยออกมาเพื่อมิให้เกะกะ พระสวดยถาให้พร ต่างช่วยกันขนกระจาด และของอื่นๆ ออกไป ไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย พระสงฆ์ลากลับวัด

    พอพลบค่ำ ขุนช้างนอนอยู่ในหอใหญ่ ได้แต่รู้สึกคุ้มคลั่ง ปนกระหยิ่มใจ จิตใจผูกพันถึงแต่วันทองเป็นเช่นนี้อยู่สามวัน ได้แต่ลองซ้อม นอนกอดหมอนข้างนึกคิด จินตนาการ

เพลาดึกนั่งพร่่ำเพ้อไหลหลง เกิดความรุ่มร้อนภายในทรวง จนเหงื่อเปียกปอนที่นอน ครั้นถึงเวลาหลับก็ละเมอเพ้อถึงแต่พิม ทำได้แค่ลุกขึ้นตีกรับขับเสภา

    “โอว่า เจ้าสาวแท้ อีแม่พิม เมื่อใดหนอจะได้มาเชยชิม
    เจ้าขนมปลากริมของพี่อา แม้นปะแล้วจะซดให้หมดหม้อ

    แม่ปลาหมอต้มเต็มที่เต็มหา อยากจะใคร่กินเหล้ากับเต่านา
    คุณแม่ส่งตัวมาให้ข้าเอย”
    ศรีประจันได้ฟังชมเปาะ

    “เหมือนเจ้าเงาะขับเสภา เจ้าข้าเอ้ย”
    แล้วปลอบใจไปว่า
    “ลูกยา อย่าช้าเลย เจ้าก็เคยเข้าหอมาก่อน อย่าหวั่นใจไปเลย”

    วันทองอยู่ในห้องได้ยินเสียงสนทนา รู้สึกคลั่งแค้นสุดที่จะทนได้ กระทุ้งห้องเสียงดังสนั่น

    “ชังน้ำหน้าอ้ายหัวล้าน แม่อยากจะได้เขาก็เอาเองเถิด”
    แกได้ยินลูกสาวว่าประชด ทนไม่ได้ถกชายกระเบนขึ้นเต้นเร่า

    “ดูอีพิมพูดออกมาได้ ช่างไม่ยำเกรงกันบ้าง”
    แกฉวยไม้ได้ตีไปหลายที วันทองร้องเสียงดัง

    “พ่อเอ้ย แม่เอ้ย ข้ามิเคยพบ มิเคยเห็นคนเยี่ยงนี้ คนเขาไม่รัก ไม่ชอบอ้ายหัวล้านก็พาลมาตี ช่างไม่อายคน ก็อายผีบ้างเถิดรา”

    คำพูดของวันทองสร้างความไม่พอใจ ให้กับนางศรีประจันยิ่งนัก
    “ยังเถียงคำไม่ตกฟากอีก”
    แกฉวยกระชากเชือกได้จากข้างฝา มัดมือยื้อโยงขึ้นไปกับหลังคา เอาไม้มาตีไม่ยั้ง

    “จะเข้าหอฤาไม่ รีบบอกมา ถ้าไม่ยอมบอกแม่จะไม่แก้เชือก”
    วันทองร้องดิ้นแทบสิ้นใจ
    “พี่สายทองไปไหน ไม่เข้ามาช่วยน้อง ช่วยน้องด้วยเถิด เพลานี้น้องจะตายแล้ว ช่วยน้องทีเถิดพี่ขา”

    สายทอง เมื่อได้ฟังคำขอร้องของน้อง ทั้งที่น้ำตายังนองหน้าวิ่งปรี่เข้ามาชิงไม้ไป มิให้แม่ตีน้องได้อีก

    “แม่จ๋า อย่าหักด้ามพร้า ด้วยหัวเข่าเลย เรื่องจะเลวร้ายไปกว่านี้ ฉันจะช่วยปลอบให้น้องอ่อนยอมโดยดี เรื่องเข้าหออย่าเพิ่งร้อนใจไป”

    ว่าแล้วก็แก้มัดมือน้อง พาเข้าไปในห้องทั้งที่ยังร้องไห้ จากนั้นสายทองรีบไปฝนไพล ทาหลังไหล่ลูบแนวถูกตี วันทองบ่นไปถึงพลายแก้ว

    “จะตาย จะอยู่ มิมีผู้ใดรู้ได้ ถ้าพ่อตายลางร้ายน่าจะมี เหตุครั้งนี้สุดที่น้องจะทนได้ ครั้นจะไปสืบข่าวให้รู้แจ้ง ก็มิรู้ว่ากรุงศรีอยู่แห่งไหน

เป็นหญิงหรือจะไปได้ง่ายๆ ในป่าเขามีอันตายสารพัดสิ่ง ครั้นจะนิ่งเฉยอยู่ ภัยก็อยูุ่ใกล้ตัวแค่นี้ น้องนี้คงจะตายเป็นแน่แท้ หรือว่านี้เป็นผลกรรมที่ตามมาทัน”

    วันทองพร่ำเพ้อ รำพึง รำพันจนกระทั่งหลับไหลไป

จบตอนที่ 12



Create Date : 02 ตุลาคม 2563
Last Update : 2 ตุลาคม 2563 6:35:25 น.
Counter : 4534 Pageviews.

1 comments
: รูปแบบของการตระหนักในการรับรู้ : กะว่าก๋า
(15 เม.ย. 2567 05:37:45 น.)
15 เมษายน 2567 คุกกี้คามุอิ
(15 เม.ย. 2567 04:15:53 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 33 : กะว่าก๋า
(11 เม.ย. 2567 05:15:42 น.)
lead to better decision-making พุดดิ้งรสกาแฟ
(11 เม.ย. 2567 21:19:04 น.)

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณหอมกร, คุณnewyorknurse

  
โดย: หอมกร วันที่: 2 ตุลาคม 2563 เวลา:10:29:03 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Sut0000.BlogGang.com

0000
Location :
สุรินทร์  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด