ศึกเจ้าอนุเวียงจันทน์

ธาตุหลวง



..........................................................................................................................................................


ศึกเวียงจันทน์


การสงครามซึ่งมีในรัชกาลนั้น เริ่มตันตั้งแต่เมื่อปีระกาสัปตศก จ.ศ. ๑๑๘๗ อนุเจ้าเมืองเวียงจันทน์ลงมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในการพระบรมศพพระบาทสมเด็พระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีข้อบาดหมางด้วยโลภเจตนา ครั้นเมื่อกลับขึ้นไปเมืองเวียงจันทน์แล้ว จึ่งปรึกษาพร้อมด้วยบุตรหลานแสนท้าวพระยาลาว ว่าในกรุงพระมหานครเวลานี้ เจ้านายที่มีพระชนม์พรรษามากเป็นผู้ใหญ่ก็ล่วงไปเสียโดยมาก ยังมีแต่เจ้านายซึ่งมีพระชนม์พรรษาน้อย ไม่คล่องแคล่วชำนิชำนาญในการสงคราม ฝ่ายอังกฤษก็มารบกวนอยู่ เห็นว่าจะหักหาญเอาพระนครได้โดยง่าย จึ่งได้คิดอ่านเกลี้ยกล่อมและกดขี่หัวเมืองลาวซึ่งยังมิได้อยู่ในอำนาจ ให้ยินยอมเข้าเป็นพวกตัวได้ตลอดลงมาจนจดแดนเขมรป่าดง แล้วจัดกองทัพตระเตรียมไว้พรักพร้อม

ครั้นเดือนยี่ ปีจออัฐศก จ.ศ.๑๑๘๘ จึ่งให้ราชวงศ์ผู้บุตรเป็นทัพหน้า คุมคนสามพันคนลงมาโดยทางเมืองนครราชสีมา ลวงเบิกเสบียงอาหารที่เมืองนครราชสีมาได้แล้ว ลงมาตั้งอยู่ ณ ตำบลขอนขวางใกล้เมืองสระบุรี ให้ลงมาเกลี้ยกล่อมพระยาสระบุรี ซึ่งเป็นลาวพุงดำและนายครัวลาวพุงขาวเข้าด้วย กวาดครอบครัวอพยพไทยจีนลาวซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองสระบุรีได้เป็นอันมาก

ฝ่ายอนุกับสุทธิสารผู้บุตรก็ยกกองทัพใหญ่ตามลงมาตั้งค่ายตำบลทะเลหญ้า ใกล้เมืองนครราชสีมา ในขณะนั้นเจ้าพระยานครราชสีมาและพระยาปลัดไปราชการเมืองเขมรป่าดง จึ่งให้หาตัวพระยายกกระบัตรและกรมการออกไปบังคับ ให้กวาดต้อนครอบครัวเมืองนครราชสีมาขึ้นไปเมืองเวียงจันทน์ กรมการทั้งนั้นมิอาที่จะขัดขวางได้ พวกลาวก็ควบคุมครอบครัวอพยพเดินไปโดยระยะมทาง

ในขณะนั้นพระยาปลัดทราบเหตุการณ์ จึ่งรีบกลับมาทำเป็นขอสวามิภักดิ์ยินยอมจะไปเมืองเวียงจันทน์ด้วย แล้วจึ่งขอเครื่องศัสตราวุธซึ่งอนุให้เก็บเสียแต่ชั้นพร้าก็มิได้เหลือนั้น พอไปหาเสบียงตามทางได้บ้างเล็กน้อย ครั้นเมื่อเดินครัวไปถึงทุ่งสำริดหยุดพักอยู่ เวลากลางคืนพวกครัวกลับต่อสู้ลาว แย่งชิงศัสตราวุธได้ฆ่าลาวตายเป็นอันมาก พวกลาวก็พากันแตกตื่นลงมายังเมืองนครราชสีมา ฝ่ายพระยาปลัดก็ตั้งค่ายมั่นอยู่ ณ ทุ่งสำริดคอยต่อสู้

ครั้นอนุได้ทราบความแล้ว แต่งให้ขุนนางลาวขึ้นไปปราบปราม พวกเมืองนครราชสีมาก็ต่อสู้พวกลาวแพ้พ่ายมา ฝ่ายราชวงศ์ซึ่งลงมากวาดต้อนครัวอยู่ ณ เมืองสระบุรี ทราบข่าวว่ากองทัพกรุงเทพมหานครจะขึ้นไปเป็นหลายทัพหลายทาง ก็เร่งรีบเดินครัวขึ้นไปยังเมืองนครราชสีมา อนุก็ให้เกิดหวาดหวั่นครั่นคร้าม มิอาจจะยกรุกรีบลงมา ด้วยสำคัญว่าครัวเมืองนครราชสีมาต่อสู้แข็งแรงนั้น จะเป็นกองทัพใหญ่ของเจ้าพระยานครราชสีมา จึ่งคิดว่าจะรับกองทัพกรุงเทพฯที่เมืองนครราชสีมามิได้ ด้วยกลัวจะเป็นศึกขนาบ

ครั้น ณ เดือน ๔ แรม ๑๑ ค่ำก็เลิกทัพกลับขึ้นไป ให้ราชวงศ์แยกทางไปกดขี่เมืองหล่มศักดิ์ให้อยู่ในอำนาจ แล้วตั้งมั่นอยู่ในที่นั้น ส่วนตัวอนุถอยขึ้นไปตั้งค่ายที่หนองบัวลำพู ให้พระยานรินทร์คุมพลสามพันอยู่รักษา แล้วยกขึ้นไปตั้งค่ายช่องเขาสารเป็นทางแยก ให้พระยาสุโพเพี้ยชานนคุมพลสองหมื่นเป็นทัพใหญ่ตั้งอย่สกัดต้นทาง ตัวอนุยกขึ้นไปตั้งค่ายอยู่บนเขาสาร แล้วให้พระยาเชียงสาตั้งค่ายตำบลสนมแห่ง ๑ กองคำตั้งค่ายตำบลช่องรั้วแตกตำบล ๑ แต่ส่วนเจ้าอุปราชซึ่งให้ไปกวาดต้อนผู้คนตามหัวเมืองลาวนั้นตั้งอยู่เมืองสุวรรณภูมิ

ฝ่ายข้างกรุงเทพฯมหานครได้ทรงทราบข่าวศึก ก็ทรงพระวิตกเป็นอันมาก ด้วยต้องกับคำซึ่งมีผู้ทำนายไว้แต่ก่อนมา และประจวบกับเวลาซึ่งมีสบประมาทคาดหมายอายุแผ่นดินไว้ด้วย จึ่งดำรัสให้เสนาบดีข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยเกณฑ์กันตั้งค่ายรายทางตามท้องทุ่งหลังพระนคร ตั้งแต่ทุ่งวัวลำพองไปจนทุ่งบางกะปิจนตกลำน้ำป้องกันนครเป็นสามารถ แล้วโปรดฯให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นแม่ทัพใหญ่ เสด็จยกยาตราจากกรุงเทพมหานคร ในเดือน ๔ ขึ้น ๖ ค่ำ เสด็จไปประชุมทัพที่ท่าเรือพระบาท จึ่งโปรดฯให้พระยาจ่าแสนยากร พระยากลาโหมราชเสนา พระยาพิไชยบุรินทรา พระยาณรงค์วิไชย สี่นายเป็นทัพหน้าที่ ๑ กรมหมื่นนเรศรโยธี กรมหมื่นเสนีบริรักษ์ เป็นทัพหน้าที่ ๒ กรมหมื่นเสนีเทพเป็นทัพหน้าที่วังหลวง กรมหมื่นนรานุชิต กรมหมื่นสวัสดิวิไชย เป็นปีกซ้ายปีกขวา กรมหมื่นรามอิศเรศเป็นยกกระบัตร กรมหมื่นธิเบศบวรเป็นจเรทัพ กรมหมื่นเทพพลภักดิ์เป็นเกียกกาย พระนเรนทรราชารเป็นทัพหลัง ทัพหลวงยกขึ้นทางดงพระยากลางทัพ ๑

เจ้าพระยาอภัยภูธรคุมทัพหัวเมืองเหนือห้าพันขึ้นทางเมืองเพชรบูรณ์ทัพ ๑ พระยาไกรโกษาคุมทัพหัวเมืองสามพันขึ้นทางเมืองพิษณุโลก เมืองนครไทยทัพ ๑ กองทัพทั้งสองนี้ให้พร้อมกันยกขึ้นไปตีทัพราชวงศ์ที่เมืองหล่มศักดิ์เป็นศึกขนาบ แล้วโปรดฯให้พระยาราชวรานุกุล พระยารามกำแหง พระยาราชรองเมือง พระยาจันทบุรี กุมกองทัพออกไปทางเมืองพระตะบองขึ้นไปเกณฑ์คนเมืองสุรินทร์ เมืองสังขะเขมรป่าดง ตีขึ้นไปทางเมืองนครจำปาศักดิอีกทัพ ๑ แล้วโปรดฯให้มีกองทัพอีกสี่กองออกทางเมืองปราจีนบุรี ยกขึ้นทางชองเรือแตก ทัพที่ ๑ พระยาราชสุภาวดี ทัพที่ ๒ เจ้าพระยาพระคลัง ทัพที่ ๓ กรมหมื่นพิพิธภูเบนทร์ กรมหมื่นพิทักษ์เทเวศร ทัพที่ ๔ กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ ให้มีอำนาจบังคับได้สิทธิ์ขาดทั้ง ๔ ทัพ

แต่ครั้นเมื่อเจ้าพระยานครศรีธรรมราชได้ทราบท้องตราให้หาแล้ว มีใบบอกมาว่า อังกฤษมีเรือรบมาทอดอยู่ที่แหลมมลายูสี่ลำไม่ทราบว่าจะไปแห่งใด เจ้าพระยานครศรีธรรมราชอยู่รักษาเมือง จัดให้พระยาพัทลุงกับพระเสน่หามนตรีคุมคนเมืองตะวันตกสองพันเข้ามาช่วยราชการ ก็โปรดฯให้มีตราให้หากองทัพที่ ๒ ที่ ๓ที่ ๔ กลับ ให้ลงไปรักษาปากน้ำเจ้าพระยา คงแต่กองทัพพระยาราชสุภาวดียกขึ้นไปบรรจบทัพหลวงที่นครราชสีมา

กรมพระราชวังจึ่งโปรดฯให้พระยาราชสุภาวดียกแยกไปตีเมืองนครจำปาศักดิ์ เมื่อไปถึงเมืองพิมายพบกองทัพเจ้าโถง กองทัพไทยตีแตกแล้วยกไปตีเวียงคุกที่เมืองยโสธรแตกพ่ายอีกกอง ๑ ฝ่ายทัพหน้าที่ ๑ กับกองโจรพระองค์เจ้าขุนเนน ยกขึ้นไปตีค่ายหนองบัวลำพูแตก กองทัพหลวงก็ยกตามขึ้นไป

ข้างกองทัพเจ้าพระยาอภัยภูธรและพระยาไกรโกษา เข้าระดมตีกองทัพราชวงศ์เมืองหล่มศักดิ์แตกหนีขึ้นไปหาอนุที่เขาสาร อนุได้ทราบความกองทัพใหญ่แตกถึง ๒ ตำบล ก็ยิ่งมีความหวาดหวั่นย่อท้อต่อพระบารมี จึ่งได้คุมไพร่พลรีบหนีขึ้นไป แกล้งทำอุบายให้ปรากฏว่า จะไปตกแต่งเมืองเวียงจันทน์ไว้คอยรับกองทัพ แต่ครั้นเมื่อไปถึงเมืองเวียงจันทน์แล้ว ก็รีบเก็บทรัพย์สมบัติและครอบครัวยกหนีไปอาศัยอยู่ในแขวงเมืองญวนที่เมืองล่าน้ำ ซึ่งญวนเรียกว่าเมืองแง่อาน

ฝ่ายกองทัพไทยยกขึ้นไปตั้งอยู่ ณ ทุ่งส้มป่อย พระยาสุโพแม่ทัพที่ช่องเขาสารยกพลลาวมาล้อมค่ายทัพหน้าที่ ๑ ไว้ถึง ๗วัน ได้ต่อสู้กันเป็นสามารถ จะหักเอาค่ายยังมิได้ ฝ่ายกรมหมื่นนเรศรโยธีทัพหน้าที่ ๒ ทราบ ก็รีบยกพลลำลองร้อยเศษยกขึ้นไปช่วย พลลาวมากตกอยู่ในที่ล้อมจวนจะเสียที พอกรมหมื่นเสนีบริรักษ์ยกตามมาทัน เข้าแก้กรมหมื่นนเรศรโยธีออกมาจากที่ล้อมได้ แล้วระดมตีกองทัพลาวทั้งสองทัพเป็นศึกขนาบ ทัพลาวแตกกระจัดกระจายคุมกันไม่ติด ทัพหน้าก็ยกขึ้นไปตั้งอยู่ในเมืองเวียงจันทน์ ทัพหลวงไปตั้งอยู่ ณ เมืองพานพร้าว ตรงเมืองเวียงจันทน์ข้าม ฝ่ายอุปราชซึ่งเป็นน้องมิได้ปลงใจเป็นขบถด้วยอนุมาแต่เดิมมานั้น ก็เข้าอ่อนน้อมต่อกรมพระราชวังบวรสถานมงคล

ในขณะนั้นพอกองทัพเมืองเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง เมืองลำพูน เมืองหลวงพระบาง เมืองน่าน เมืองแพร่ มาถึงพร้อมกันที่พานพร้าว จึ่งดำรัสให้หัวเมืองลาวทั้งหกกองเที่ยวตีต้อนกวาดครัวที่กระจัดกระจายไปซุ่มซ่อนอยู่ในที่ทั้งปวง

ฝ่ายพระยาราชสุภาวดียกเข้าตีทัพเจ้าปานสุวรรณบุตรอนุ ซึ่งคุมกองทัพเมืองนครจำปาศักดิ์มาตั้งรับที่เมืองยโสธรแตกอีกทัพ ๑ แล้วยกลงไปตีกองราชบุตรบุตรอนุซึ่งเป็นเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ ฝ่ายคนครัวซึ่งกวาดต้อนเข้าไปไว้ในเมืองนครจำปาศักดิ์เห็นได้ที ก็คุมกันลุกขึ้นต่อสู้พวกราชบุตรแตกหนีข้ามฟากมาฝั่งโขงตะวันออก กองทัพไทยก็ได้เมืองนครจำปาศักดิ์ พระยาราชสุภาวดีก็ให้ติดตามจับได้ตัวราชบุตรและเจ้าปานสุวรรณส่งลงมากรุงเทพฯ

ครั้นเมื่อเสร็จราชการแล้ว พระยาราชสุภาวดีก็รีบยกขึ้นเฝ้ากรมพระราชวัง ณ เมืองพานพร้าว ในครั้งนั้น กรมพระราชวังหาได้เสด็จข้ามไปเมืองเวียงจันทน์ไม่ ดำรัสให้ทำลายเมืองเสีย ด้วยเห็นว่าจะเป็นที่หล่อแหลมต่อไปภายหน้า แล้วจึ่งโปรดฯให้สร้างพระเจดีย์องค์ ถวายนามว่า พระเจดีย์ปราบเวียง ทรงมอบราชการให้พระยาราชสุภาวดีจัดการต่อไป แล้วเลิกทัพหลวงเสด็จกลับยังกรุงเทพฯ

ในราชการเวียงจันทน์ครั้งนี้ พระราชสุภาวดีได้ทำการศึกเข้มแข็งมากอยู่ผู้เดียว จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีตราขึ้นไป ให้เป็นเจ้าพระยาราชสุภาวดีว่าที่สมุหนายก ด้วยเจ้าพระยาอภัยภูธรป่วยถึงอสัญกรรมที่เมืองเวียงจันทน์ในขณะไปราชการทัพนั้นแล้ว ครั้นเจ้าพระยาราชสุภาวดีจัดการเรียบร้อยลงได้แล้ว ก็กลับลงมาแจ้งราชการ ณ กรุงเทพฯ ในครั้งนั้นยังมิได้โปรดฯให้เจ้าพระยาราชสุภาวดีรับยศบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาจักรีเต็มตำแหน่ง ด้วยทรงขัดเคืองว่าไม่ทำลายเมืองเวียงจันทน์ให้สิ้นสูย ยังซ้ำตั้งนายหมวดนายกองให้อยู่เกลี้ยกล่อมรวบรวมผู้คนจะตั้งเป็นบ้านเมืองต่อไป เห็นว่าตัวอนุและราชวงศ์ก็ยังอยู่ ฝ่ายญวนก็เอาเป็นธุระเกี่ยวข้อง ถ้าอนุกลับมาตั้งเมืองเวียงจันทน์อีกก็จะได้ยากแก่ไพร่พลทหาร

จึ่งโปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาราชสุภาวดียกทัพขึ้นไปอีกในปีชวดสัมฤทธิศก จ.ศ. ๑๑๙๐ นั้น ไปตั้งอยู่ที่หนองบัวลำพู แต่งให้พระยาราชรองเมือง พระยาพิไชยสงคราม คุมกองทัพล่วงหน้าขึ้นไปถึงเมืองพานพร้าว จึ่งสั่งให้หาตัวเพี้ยเมืองจันทน์มาจะไตร่ถามด้วยราชการ ผู้ซึ่งไปเห็นลาวตระเตรียมอาวุธสับสนอยู่ และลาวยึดเอาตัวคนไทยไว้ ๗ คน จึงเอาความมาแจ้งต่อพระยาพิไชยสงคราม พระยาพิไชยสงครามให้บอกข่าวลงมายังเจ้าพระยาราชสุภาวดี แล้วก็แบ่งคนนายไพร่ ๓๐๐ คน พระยาพิไชยสงครามคุมข้ามฟากไปเมืองเวียงจันทน์ ตั้งพักอยู่ ณ วัดกลาง

ในขณะนั้นญวนก็พาอนุและราชวงศ์มาถึงเมืองเวียงจันทน์ มีญวน ๘๐ คนกับไพร่พลลาวประมาณ ๑๐๐๐ ครั้นรุ่งขึ้นวันที่แรม ๗ ค่ำ เดือน ๘ ญวนพาอนุมาพร้อมด้วยพระยาพิไชยสงครามที่ศาลาลูกขุน ญวนแจ้งความว่า เจ้าเวียดนามให้พาตัวอนุมาอ่อนน้อมขอพระราชทานโทษ ที่ได้ทำผิดล่วงไปแล้วแต่หลัง ขอให้ได้ตั้งเมืองเวียงจันทน์ทำราชการฉลองพระเดชพระคุณต่อไป ฝ่ายอนุกับราชวงศ์ก็อ่อนน้อมโดยดี นายทัพฝ่ายไทยมิได้มีความสงสัย

ครั้นเวลาเย็นลงอนุกลับใช้ให้ไพร่พลฝ่ายลาวมาระดมยิงนายทัพและไพร่พลตายสิ้นทั้งนั้น เหลือข้ามน้ำมาได้สักสี่สิบห้าสิบคน ฝ่ายเจ้าพระยาราชสุภาวดีได้ทราบข่าวกองหน้าบอกลงมา ก็รีบยกขึ้นไปถึงเมืองพานพร้าวในขณะเมื่อลาวกำลังยิงไทยอยู่นั้น เห็นที่หาดหน้าเมืองเวียงจันทน์ชุลมุนกันอยู่ ก็รู้ว่ากองทัพไทยเห็นจะเสียที จะข้ามไปก็ไม่มีเรือ ครั้นคนที่ว่ายน้ำกลับมาแจ้งความทราบแล้ว ตรวจดูคนในกองทัพ พวกที่เป็นคนในพื้นเมืองก็ตื่นหนีไปโดยมาก จะตั้งรับอยู่ที่พานพร้าวเห็นไม่เป็นที่ไว้ใจเกรงจะเสียที ด้วยไม่ทราบว่าจะเป็นกลอุบายลาวหรือญวนคิดอ่านประการใด จึ่งได้ยกกองทัพถอยลงมาตั้งมั่นอยู่เมืองยโสธร ให้กะเกณฑ์ไพร่พลและสะสมเสบียงอาหารจะกลับขึ้นไปตีเมืองเวียงจันทน์อีก ฝ่ายญวนซึ่งพาอนุเข้ามาเมืองเวียงจันทน์ เห็นว่าลาวทำวุ่นวายขึ้นเป็นข้อวิวาทกับไทยต่อไปอีก ผิดกับคำสั่งได้รับมาก็ทิ้งอนุเสียยกกลับไปเมืองแง่อาน

อนุตั้งอยู่ในเมืองเวียงจันทน์รวบรวมผู้คนได้แล้ว ยกข้ามฟากมาเมืองพานพร้าว รื้อเจดีย์ซึ่งกรมพระราชวังบวรฯทรงสร้างไว้นั้นเสีย แล้วให้ราชวงศ์ยกกองทัพติดตามไปตีทัพเจ้าพระยาราชสุภาวดีที่เมืองยโสธร ฝ่ายเจ้าพระยาราชสุภาวดีเกณฑ์กำลังได้แล้วก็ยกกลับขึ้นไป ไปพบกองทัพราชวงศ์ที่บ้านบกหวาน แขวงเมืองหนองคาย ได้คุมพลทหารออกต่อรบกันเป็นสามารถ จนถึงรบกันตัวต่อตัวกับราชวงศ์ ราชวงศ์แทงเจ้าพระยาราชสภาวดีด้วยหอกถูกตั้งแต่อกแฉลบลงไปจนถึงท้องน้อยล้มลง หลวงพิพิธน้องชายจะเข้าแก้ ราชวงศ์ฟันหลวงพิพิธตาย พอทนายเจ้าพระยาราชสุภาวดียิงปืนถูกเข่าขวาราชวงศ์ล้มลง บ่าวไพร่สำคัญว่าตาย ก็อุ้มขึ้นแคร่พาหนีไป เจ้าพระยาราชสุภาวดีคลำดูแผลเห็นว่าไม่ทะลุภายใน ตกแต่งแผลเสร็จแล้วขึ้นแคร่ขับไล่ตามไป ฝ่ายราชวงศ์ไปถึงเมืองพานพร้าวข้ามฟากไปแจ้งการแก่อนุ ว่าแม่ทัพและไพร่พลไทยต่อสู้เข้มแข็งนัก เห็นจะรับมิอยู่ อนุตกใจรีบพาบุตรภรรยาได้บ้าง แล้วลอบหนีไป พอรุ่งขึ้นกองทัพไทยถึงเมืองเวียงจันทน์ อนุหนีไปเสียก่อนวันหนึ่งแล้ว จับได้แต่สุทธิสารบุตรภรรยาบ่าวไพร่หลายคน เจ้าพระยาราชสุภาวดีก็แต่งกองทัพให้ไปติดตามอนุ ซึ่งหนีเข้าไปในเมืองพวนยังหาได้ตัวไม่

ฝ่ายพระวิชิตสงครามซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองนครพนม มีหนังสือบอกข้อราชการมาว่า ญวนแต่งให้นายไพร่ห้าสิบคนถึงหนังสือเข้ามาว่าด้วยเรื่องเมืองเวียงจันทน์และขอโทษอนุ ไม่พบตัวอนุจึงนำหนังสือมาส่งที่พระวิชิตสงคราม จะโปรดประการใด เจ้าพระยาราชสุภาวดีตอบไปว่า ครั้งก่อนซึ่งเสียท่วงทีแก่อนุ ก็เพราะญวนเข้ามาเป็นนายหน้า ครั้งนี้จะล่อลวงอีกประการใดก็ไม่รู้ ให้จับฆ่าเสียให้สิ้น พระวิชิตสงครามจึงให้จับญวนมาฆ่าเสีย เหลือแต่สามคนส่งมายังกองทัพใหญ่ การที่ทำนั้นจึ่งเป็นเหตุสำคัญซึ่งให้เกิดหมองหมางทางพระราชไมตรีในระหว่างกรุงสยามกับกรุงเวียดนามสืบไปภายหน้า

ฝ่ายกองทัพไทยซึ่งไปติดามตัวอนุถึงเขตแดนเมืองพวน ได้รับหนังสือเจ้าน้อยเมืองพวนมีมาห้าม ขออย่าให้กองทัพเข้าไปในเขตแดนจะจับตัวอนุส่ง ภายหลังพระลับแล และพวกเมืองหลวงพระบาง เมืองน่าน จับตัวอนุได้ที่น้ำไฮ้เชิงเขาไก่ เจ้าพระยาราชสุภาวดีก็ให้คุมตัวส่งลงมาทำโทษประจานที่ท้องสนามไชยในกรุงเทพมหานคร จนอนุป่วยถึงแก่ความตาย บุตรภรรยาญาติวงศ์อนุนั้นหาได้ลงพระราชอาญาแก่ผู้หนึ่งผู้ใดถึงสิ้นชีวิตไม่ ฝ่ายเมืองเวียงจันทน์นั้นเจ้าพระยาราชสุภาวดีก็ให้รื้อทำลายป้อมและกำแพงและที่สำคัญทั้งปวงเสีย เว้นไว้แต่พระอาราม แล้วก็ยกกองทัพกลับลงมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ กรุงเทพฯ จึ่งทรงพระกรุณาโปรดฯเกล้าฯให้เจ้าพระยาราชสุภาวดีเป็นที่ เจ้าพระยาบดินทรเดชา ที่สมุหนายก ตามสมควรแก่ความชอบซึ่งได้ฉลองพระเดชพระคุณในราชการแผ่นดินนั้น


..........................................................................................................................................................


ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๓
รายการบำเพ็ญพระราชกุศล
เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อปีชวดยังเป็นนพศก พ.ศ. ๒๔๓๑
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว



Create Date : 27 มีนาคม 2550
Last Update : 27 มีนาคม 2550 15:19:48 น.
Counter : 2554 Pageviews.

0 comments
พบเจอภาพอะไร? ส่วนหนึ่งของภาพน่าสนใจจึงตัดมาใช้ คุกกี้คามุอิ
(1 ม.ค. 2567 03:56:23 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
No. 1259 สาระเกือบมี (ตอนทำงานที่ใหม่ ถูกลองดี) ไวน์กับสายน้ำ
(1 ม.ค. 2567 05:58:05 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Rattanakosin225.BlogGang.com

กัมม์
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]

บทความทั้งหมด