ถึงแม้เรื่องนี้คือความจริงที่แสนเจ็บปวด แต่ต้องขอเรียนตามตรงว่า “นิ่วในถุงน้ำดี” คือหนึ่งในโรคระบบทางเดินอาหารที่สามารถเกิดได้กับทุกคน และอาจมีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้ด้วยหากรักษาไม่ทันการคนที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้ได้แก่
👉ผู้ที่มีภาวะอ้วน หรือกลุ่มคนที่มีไขมันในเลือดสูง
👉โรคเลือด
👉โรคเบาหวาน
👉หญิงตั้งครรภ์
👉ทานยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทน
👉ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
👉ชอบทานอาหารไขมันสูง
👉 ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี
👉ผู้สูงอายุในวัย 60 ปีขึ้นไป
โดยปกติกลุ่มเสี่ยงที่ว่ามา จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้ได้ราวๆ 10-15% และผู้หญิงในวัย 40 ปีขึ้นไป อันนี้จะยิ่งมีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มที่ว่ามาในข้างต้นสูงถึง 2-3 เท่าเลยทีเดียว
สาเหตุหลักๆ เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงเกินไป ทำให้ตับผลิตน้ำดีออกมาย่อยสลายไขมันไม่ทัน ไขมันที่เหลือตกค้างบางส่วนก็เกิดการตกตะกอนและจับตัวเป็นก้อนนิ่วอยู่ในถุงน้ำดีได้ซึ่งก้อนนิ่วที่เกิดขึ้นอาจเป็นก้อนเล็กๆรวมกันหลายก้อน หรือก้อนใหญ่ก้อนเดียวก็ได้
📌ที่สำคัญโรคนี้จะไม่มีอาการแสดงที่ชัดเจน บางครั้งก็มีการปวดที่ใต้ลิ้นปี่ฝั่งชายโครงขวา บางครั้งก็เกิดการคลื่นไส้อาเจียน มีปัสสาวะเป็นสีเข้มหรืออุจจาระสีซีดเทา ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติดั่งกล่าวต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน ซึ่งอาการพวกนี้อาจเป็นสัญญานบอกเหตุในระยะเริ่มต้นได้ แต่จะฟันธงว่าเป็นโรคนี้เลยไหม อันนี้ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนนัก วิธีเช็คที่ชัวร์ที่สุดก็ควรตรวจสุขภาพประจำทุกปีจะได้คำตอบที่ชัดเจนนะ ว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่
ซึ่งการรักษาปัจจุบันมีหลายวิธีด้วย แต่การผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกเป็นวิธีที่แก้ปัญหาได้ดีที่สุดโดยคนไข้สามารถเลือกการผ่าตัดได้ทั้งแบบเปิดหน้าท้องและการผ่าตัดผ่านกล้องซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่จะนิยมผ่าตัดผ่านกล้องแผลมากกว่า เพราะแผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็ก ก็เลยลดโอกาสการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี รวมถึงพอแผลเล็กก็ทำให้คนไข้ฟื้นตัวหลังผ่าตัดได้เร็วที่สุดอีกด้วย ฉะนั้นหยุดกังวลเรื่องระบมแผลผ่าตัดหลายวันได้เลย
📣 ย้ำอีกครั้งว่า..โรคนี้สังเกตอาการป่วยเบื้องต้นด้วยตนเองค่อนข้างยาก ทางที่ดีเพื่อป้องกันการเป็นโรคนี้ในระยะลุกลามแล้ว ควรหมั่นมาตรวจสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ เพราะหากตรวจพบความเสี่ยงที่จะเป็นโรคก่อนแต่เนิ่นๆ คนไข้ก็มีโอกาสรักษาให้หายดีโดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยเลยนั่นเอง