Shang Hai - Hang Zhou - Wu Xi - Su Zhou เสร็จสิ้นจากภารกิจท่องยุทธจักรแล้ว ถึงเวลาต้องกลับมาเขียนบันทึกเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำกันอีกรอบ แต่จะบอกว่ารายละเอียดเริ่มค่อยๆ สูญหายไประหว่างทางจากเซี่ยงไฮ้ ถึง กรุงเทพฯ ฉะนั้นอย่าได้เชื่อถือข้อมูลที่จะเขียนต่อไปนี้ให้มากนัก..555 เราเคยไปปักกิ่ง เมืองหลวงและเมืองวัฒนธรรมของจีน เมื่อสองปีที่แล้ว หลังจากกลับมาก็วางแผนไว้ว่าที่ที่จะไปอีกเป็นแห่งที่สองในจีนก็คือเซี่ยงไฮ้ ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะไปภายในปีนี้เลย แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้เราได้ไปเซี่ยงไฮ้โดยไม่ได้แพลนล่วงหน้า เรื่องของเรื่องคือแม่อยากจะไปกับเพื่อนๆ ของเขา เราเลยต้องตามไปอารักขา เอ้ย ดูแล คนแก่แล้ว สายตาไม่ดี ทำอะไรก็ช้าไปเสียหมด แม่เลยบอกว่าถ้าเราไปก็จะได้เป็นหูเป็นตาให้ เราไปกับบริษัททัวร์ เพราะฉะนั้นเลยมีผู้ร่วมเดินทางเป็นจำนวนมาก ซึ่งเราว่ามันมากเกินไปด้วยซ้ำ แต่ทำไงได้ บริษัทอยากได้กำไร คนอยากเที่ยวเยอะ เมื่อ demand และ supply มาชนกัน ก็เลยทำให้กรุ๊ปเรามีผู้ร่วมเดินทางไปด้วยทั้งหมด 32 ชีวิต 20 พฤศจิกายน 2548 เราออกเดินทางด้วยสายการบินแอร์อินเดีย AI348 อะฮ้า..ฟังชื่อแล้วคงเกิดคำถามขึ้นในใจหล่ะสิว่าไอ่สายการบินยี่ห้อนี้มันเป็นอย่างไร ก่อนจะไป ได้อ่านความคิดเห็นของหลายๆ ท่าน ก็ได้คำตอบประมาณว่า เครื่องเก่า แอร์แก่ บริการไม่ดี บ้างก็ว่าไม่มีกลิ่นแขกอย่างที่คิดกันไว้ ถึงคราวเราไปสัมผัสเองบ้างก็ได้คำตอบมาว่า ไฟล์ทดีเลย์ทั้งขาไปและขากลับ ผู้โดยสารที่เป็นแขกมีประมาณ 10% ของทั้งหมด ไม่มีกลิ่นแขกอย่างที่เราเป็นกังวล ผู้โดยสารส่วนใหญ่คือคนไทยและคนจีนจากแผ่นดินใหญ่ แอร์โฮสเตสไม่ดุ ไม่แก่ บริการก็ดีนะ อาหารก็ไม่ได้มีแต่อาหารแขก แต่ว่าเครื่องบินอ่ะเก่าจริงๆ สังเกตจากเสียงเครื่องบินเวลาบิน ก็สรุปว่าถ้าจะใช้สายการบินราคาถูก สายการบินนี้ก็ไม่เลวร้ายจนเกินไป นอกจากจะไปเจอแจ็คพอตเจอแขกเต็มลำ 555 (จะว่าไปเคยนั่งสายการบิน cathay pacific ไปฮ่องกง ส่วนที่เรานั่งเจอแขกทั้งน้าน.. แทบอ้วกเลย) ลำนี้แหล่ะที่พาเราไป ส่วนนี่คือหน้าตาของอาหารที่เสริ์ฟ ข้าวราดไก่ผัดผักมั้ง ตามกำหนดเดิมไฟล์ทของเราจะออกเดินทางประมาณ 15.10 น. แต่ดีเลย์ไปเป็น 15.40 น. ไปถึงสนามบินผู่ตงของเซี่ยงไฮ้ประมาณสองทุ่มครึ่งได้มั้ง (ไม่แน่ใจเรื่องเวลาเลย จำไม่ได้) พอไปถึงไกด์ก็อธิบายว่าต้องผ่านด่านอะไรบ้างต้องยื่นเอกสารอะไรบ้าง ตอนแรกกลัวด่านตรวจร่างกายมาก เพราะได้ยินมาว่าจะวัดอุณหภูมิและฉีดคลอรีน สืบเนื่องจากไข้หวัดนก แล้วช่วงนี้ร่างกายเราไม่ค่อยจะสู้ดี ชอบมีไข้ตอนกลางคืน แต่พอไปถึงจริงๆ เจอจนท. สามคนนั่งหง่าวอยู่ที่โต๊ะ ไม่เห็นเรียกใครตรวจ ปล่อยผ่านกันไปเฉยๆ (จริงๆ เห็นเขาว่าจะสุ่มตรวจ) เราออกจากสนามบินมาได้ก็สัมผัสถึงความหนาวเย็น อุณหภูมิน่าจะประมาณ 10 องศา เสร็จจากสนามบินก็ไปกินข้าวเย็นมื้อแรกในเซี่ยงไฮ้ อาหารหน้าตาเหมือนเดิมกับที่เคยกินที่ปักกิ่งเลย นั่นคือ ผัก มัน เลี่ยน ใครที่เคยไปทัวร์จีนคงรู้ดี จะมีพวกเนื้อไก่ หมู ปลา บ้างแล้วเขาก็จะเอามาทำเป็นแนวๆ ผัดเปรี้ยวหวาน มื้อแรก ทุกคนจะกินกันเรียบ แต่มื้อต่อๆ ไปจะเริ่มเหลือแล้ว เพราะว่ามันจะเป็นเมนูนี้ซ้ำๆ กันไปตลอดทุกมื้อทุกวันที่ท่านอยู่ที่นั่น อาจจะมีบางจานที่แตกต่างออกไปเช่นกุ้งทอดกระเทียม อย่างมื้อสุดท้ายมีกุ้งมังกรด้วย บางมื้อก็มีปูขน ไกด์ไทยเอาพริกน้ำปลาไปให้กินด้วยเช่นเคย แต่พอวันสุดท้ายไกด์ลืมกระเป๋าที่บรรจุพริกน้ำปลาไว้ที่โรงแรม สองมื้อสุดท้ายเลยกินข้าวแบบไม่มีพริกน้ำปลา น้ำเปล่าไม่ค่อยมีให้กิน มีแต่น้ำชา จริงๆ จะขอก็ได้ แต่จะเสียเวลาสักนิด กว่าเด็กจะยกมาเสิร์ฟ น้ำแข็งไม่ต้องพูดถึง เพราะอากาศเย็น เลยไม่มีบริการ มีแต่น้ำอัดลมที่ตั้งไว้พร้อมเบียร์สองขวด เสร็จจากมื้อค่ำ ก็ตรงไปโรงแรมทันที กว่าจะได้คีย์การ์ด ได้กระเป๋า ก็ดึกอยู่กว่าจะได้นอนอีก แถมวันต่อไปยังมีโปรแกรมต้องออกจากเซี่ยงไฮ้ นั่งรถไปเมืองหังโจว ต้องตื่นแต่เช้า (ความจริงก็เช้าทุกวัน) พอหัวถึงหมอนก็สลบเหมือดเลย 21 พฤศจิกายน 2548 วันนี้ลงมากินอาหารเช้าที่โรงแรม จากนั้นรวมพลขึ้นรถบัสออกเดินทางสู่เมืองหังโจว จากเซี่ยงไฮ้ไปหังโจวใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง อากาศตอนเช้าเย็นยะเยือก เราออกไปเดินเล่นรอบๆ โรงแรมเจอแผงหนังสือเลยปรี่เข้าไป หยิบได้ magazine มาสองเล่ม แต่ไม่มีหน้าปกเจี๋ยหลุนแฮะ แต่ตรูก็เอาเพราะคิดว่าข้างในต้องมี 555 ระหว่างทางที่ผ่านถนนในเมืองเซี่ยงไฮ้ เห็นตึกสูงและสวยหลายๆ ที่ ถนนหนทางกว้างใหญ่มากๆๆ (จริงๆ ที่ปักกิ่งก็ใหญ่) ไกด์บอกว่าคนขี่จักรยานเมืองนี้ยังมีจำนวนน้อยถ้าเทียบกับที่ปักกิ่ง และเดี๋ยวนี้นิยมจักรยานไฟฟ้าสนนราคาตั้งแต่ 1000 -5000 หยวนขึ้นไป เราชอบประเทศจีนตรงที่มีเลนส์ให้จักรยานวิ่งโดยเฉพาะ ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนรถทับเหมือนบ้านเรา แต่คนที่นี่ขับรถน่ากลัวมากๆๆ ไม่มีใครกลัวใคร ทั้งคนข้ามถนนและคนขับ เห็นไกด์บอกว่าถ้าชนคนตาย คนที่ขับชนต้องรับผิดชอบครอบครัวของผู้ตายไปตลอดชีวิต ไม่ใช่จ่ายแค่สี่ห้าแสนแล้วจบกัน อืมมม หรือเป็นเพราะเหตุนี้ที่ยังไงเสียเขาก็ไม่ชนคน?? แต่เท่าที่ดูๆ มันน่าจะชนกันวันละหลายรายนะเนี่ย รถวิ่งออกนอกตัวเมือง เราก็หลับไปเพราะความง่วง ตื่นอีกทีเขาแวะปั๊มให้ ไกด์บอกว่าระหว่างทางจากเซี่ยงไฮ้ไปหังโจวจะมีห้องน้ำให้เข้าแค่ที่เดียวที่สะอาดและเข้าได้ฟรีไม่เสียตังค์ ส้วมเป็นปัญหาที่จีนแก้ไม่ตกสักที ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม มีเงินสร้างตึกสูงใหญ่แต่ไม่คิดพัฒนาห้องน้ำ ส้วมแรกที่เข้าก็พอทน ไม่ถึงกับสะอาดแต่ก็ไม่เลวร้ายจนเกินไป รถอะไรไม่รู้จอดอยู่หน้าส้วม ผลไม้ที่วางขายในปั๊มที่แวะห้องน้ำ จากนั้นก็นั่งรถต่อไป เราเข้าเมืองหังโจว ไปเยี่ยมชมศาลเจ้าและสุสานของงักฮุย วีรบุรุษของชาติจีนเขา ท่านงักฮุย กังฉินและเมีย..โดนลงโทษมานานหลายร้อยปีและ คงเมื่อยแย่ เจอเด็กน้อยน่ารักมากเลย อายุ 4 เดือนเองตัวใหญ่เชียว พอเที่ยง ก็แวะกินข้าวที่ภัตตาคาร อาหารก็เหมือนเดิมอย่างที่บอก พอกินกันเสร็จแล้ว ก็ไปต่อกันที่ทะเลสาบซีหู ระหว่างทาง รูปปั้นศิลปินจีนที่บุกเบิกวาดรูปแบบตะวันตก ดูจิ อาแปะตั้งวงจั่วไพ่กัน ไม่ยี่หระต่อสายตานักท่องเที่ยว เราขึ้นล่องเรือชมความงามของทะเลสาบ แต่บนเรือไม่ได้มีแค่กรุ๊ปเรากรุ๊ปเดียวแต่มีทัวร์จีนมาลงด้วย ยังผลให้เกิดการแย่งที่นั่งกันสนุกสนาน ส่วนเราขอตัวไปถ่ายรูปตรงหัวเรือ แต่ก็ยังไม่วายโดยทัวร์จีนมาบดบังทัศนียภาพ ดีนะที่กล้องตรูซูมได้เยอะ ไม่งั้นคงจะเซ็ง วันนี้อากาศเย็นมีหมอกเหมือนเคย บนฝั่งก็จะมีต้นไม้ใหญ่ หลากสี ผ่านอะไรบ้างก็ไม่รู้เพราะไม่ได้อยู่ฟังไกด์พูด แต่ดันมีไกด์จีนมายืนพูดอยู่ใกล้ๆ เฮ่อ ฟังออกแค่ wo กะ ni นี่หล่ะ เสร็จจากล่องเรือที่ทะเลสาบซีหูแล้ว ไกด์พาเราไปไหว้พระต่อที่วัด Yin Lin (ลืมไปแล้วว่ามีความสำคัญยังไง แป่ว) ระหว่างทางเดินไปขึ้นรถ เห็นร้านฝั่งตรงข้าม มีรูปเจี๋ยแปะเลยซูมเข้าไป ได้มาแค่นี้ จบจากวัด Yin Lin เราก็ไปที่หมู่บ้านชา ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งหมู่บ้านเปิดร้านขายชาหมดเลย มีไร่ชาด้วยนะ เพิ่งจะเคยเห็น เห็นแล้วนึกถึงเรื่อง Summer Scent (คิดว่าคงจำไม่ผิดนะว่าบ้านของอดีตคนรักพระเอกปลูกชา) ที่นี่เขาแนะนำให้เรารู้จักกับหลงจิ่งฉา หรือ ชาหลงจิ่ง ว่ากันว่าเป็นชาที่ดีที่สุดในโลก เขามีให้เราชิมด้วยแต่เรากินแล้วรู้สึกเหม็นเขียวมากก กลิ่นเหมือนถั่วเขียว ซึ่งคนขายบอกว่า ที่มีกลิ่นอย่างนั้นก็เพราะใช้เปลือกถั่วเป็นปุ๋ย อ่อมันเป็นอย่างนี้นี่เอง พอเขาให้ชิมและอธิบายสรรพคุณต่างๆ เสร็จสิ้นแล้วก็ถึงเวลาขายของ รู้สึกจะกระป๋องละ 200 หยวนนะ แต่เรากับแม่ไม่สนใจ เพราะคราวที่ไปปักกิ่งก็ซื้อชาไว้ ณ บัดนี้ยังกินไม่หมดเลยค่า ไม่รู้จะซื้อมาอีกทำไม พอเสร็จจากร้านชา กำหนดการถัดไปคือการดูโชว์ที่โรงละครอะไรสักอย่างของเมืองจำลองซ่ง บอกตามตรงว่าตอนนั้นหิวมาก และรู้สึกเป็นไข้ ปวดหัวด้วย อยากไปกินข้าวมากกว่าไปดูโชว์ พอเราไปถึงเมืองจำลองซ่ง ไกด์บอกให้ไปเดินเที่ยวก่อนที่จะมารวมตัวกันไปดูโชว์ พวกเราเลยเดินเข้าไปเที่ยวในเมืองจำลองกัน ที่นี่ก็จะจำลองสภาพบ้านเมืองจีนโบราณ ท่านสามารถพบปะเหล่าจอมยุทธได้ แกจะเดินกันให้ควั่ก แล้วก็มีโชว์ประเพณีในสมัยโบราณต่างๆ ด้วย เราเดินเข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนเป็นจิฮิโระที่หลุดเข้าไปในเมืองโบราณ ในเรื่อง Spirited Away เลยยย มีร้านโบราณ มีคนแต่งตัวเป็นชาวบ้านโบราณ มีร้านเนื้อแพะด้วย เหม็นมากกก เห็นอันนี้เลยรีบถ่ายเก็บไว้ เห็นแล้วนึกถึงเจี๋ยหลุน จำได้มั้ยเอ่ยเคยเห็นอีแบบนี้ในเอ็มวีเพลงอาไร?? เพลง Yuan You Hui นั่นเอง อันนี้เป็นร้านขายของที่ระลึก ท่านสามารถเลือกตัวจีนมาเรียงร้อยเป็นชื่อแซ่ของท่านได้ มีหลายราคา เราเลือกแบบถูกที่สุด 6 หยวน อิอิ พอถึงเวลาที่นัดหมาย เราก็เดินไปรับบัตรดูโชว์ ได้แถวสุดท้ายของโรงละคร โฮะๆ โชคดีจริงๆ เลย เราดูได้แค่ไม่กี่โชว์แล้วก็หลับ รู้สึกว่าปวดหัวจัง โชว์เขาทำได้ดีนะ เป็นเรื่องราวในตำนานของจีน แสงสีเสียงอลังการ สวยงามดีทีเดียว พอโชว์จบถึงได้กินข้าว ตอนนั้นก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่มแล้วหล่ะมั้ง ตอนนั้นโมโหหิวสุดๆ เลยหล่ะ โมโหมากขึ้นเมื่อพบว่าอาหารบนโต๊ะอุดมไปด้วยผักเช่นเคย อยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ ว่าเอาเนื้อมาให้ฉันกินเดี๋ยวนี้นะ พอกินเสร็จนั่งรถไปโรงแรม ระหว่างทาง ผ่านร้าน Metersbonwe ร้านหย่ายมากที่หัวมุมถนน มีเจี๋ยหลุนเบ้อเร่อเท่อปะอยู่บนตึก แบบว่ากรี๊ดๆ แต่ถ่ายรูปมะได้ ไม่ได้ตั้งกล้อง อันนี้หายปวดหัวชั่วคราว พอถึงโรงแรมเปิดๆ ทีวีดู (อันนี้เป็นกิจวัตรที่ทำประจำในทุกโรงแรม) หาช่องเพลง ช่องบันเทิง เปิดไปมาเจอเสี่ยวจู เปิดไปมาเจอเพลงไทยซะงั้นช่อง tvb8 แต่มันฉายตอนเที่ยงคืนก่าๆ อ่ะนะ คงมีคนดูหรอก ดูไปมา ง่วงแล้วขอนอนดีกว่า 22 พฤศจิกายน 2548 วันนี้นั่งรถไปเมืองอู๋ซี จำไม่ได้ว่าใช้เวลาเท่าไรบนรถบัส สถานที่แรกที่ไปวันนี้ก็คือวัดพระใหญ่หลิงซาน ที่นี่มีพระพุทธรูปองค์หย่ายประดิษฐานอยู่ รัฐบาลจีนเพิ่งสร้างพระองค์นี้ได้ไม่นาน จำไม่ได้แน่ชัดแต่ราวๆ ปี 1996 หรือไงนี่หล่ะ ถ้าผิดก็ขออภัย อันนี้คือมือจำลองจากองค์พระพุทธรูป เชื่อกันว่าถ้าไปลูบสักหนึ่งรอบจะทำให้เงินไหลมาเทมา บางคนลูบวนไปหลายรอบบอกว่าจะได้รวยซ้ำรวยซ้อน 555 เออจริง ระหว่างทางเดินไปขึ้นรถ จะมีเหล่าขอทานมารอขอเงินท่านๆ อยู่ ไกด์บอกว่าอย่าให้เชียวนะ เพราะถ้าให้หนึ่งคน ที่เหลือจะตามมารุม นอกจากขอทานก็จะมีคนขายของที่ระลึกอยู่ตามรายทาง ไกด์บอกว่าพวกอาม่าพวกนี้ถูกไล่มาจากด้านหน้าประตู เลยมาขายแถวนี้แทน อันนี้เป็นทิวทัศน์ระหว่างทางไปขึ้นรถ เมื่อสมาชิกเสร็จจากการตบตี เอ้ย ต่อราคากับคนขายของแล้ว ก็ขึ้นรถเพื่อไปเมืองจำลองสามก๊ก เป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่องสามก๊ก ของทาง CCTV ที่นี่จะมีรถพานำเที่ยวไปยังจุดต่างๆ เราไปถึงประมาณห้าโมงเย็นได้มั้ง หมอกลงเยอะเลย อากาศหนาวดีแท้ๆ เจ้า.. ที่นี่มีโชว์จำลองฉากใครไม่รู้จำไม่ได้ง่ะไปสู้รบกับเตียวหุยด้วย ขี่ม้าสู้กันมันส์จริงๆ แต่เหม็นขี้ม้ามากขอบอก ใครอยากขี่ม้าศึกก็ได้นะ เขาคิด 20 หยวน ขี่วนรอบเดียวเองง่ะ แพงจัง รถที่พาเราทัวร์รอบบริเวณ เหล่าจอมยุทธพักรบ ตอนแรกงงว่าไอ่นี่ไว้ทำไร แต่พอเห็นรูปนี้ เลยถึงบางอ้อ พอดูจบแล้ว เราก็ไปกินข้าวกัน วันนี้โรงแรมที่พัก อยู่ใกล้ๆ กับแหล่งช้อปปิ้ง ไกด์เลยบอกว่าเดี๋ยวกินข้าวเสร็จ เช็คอินแล้ว ก็ออกไปเดินเล่นกันได้ รู้สึกดีใจมาก งงตัวเองอยู่ว่าตกลงมาเที่ยวหรือมาเข้าค่ายทหารกันแน่ฟระ ทำไมต้องดีใจเวลาที่เขาบอกให้ไปเดินเที่ยวเองได้ เรากับแม่เลยเดินไปเรื่อยๆ ไปเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต ซื้อซี่โครงหมูเมืองอู๋ซีมาสองกล่อง แม่บอกว่าเอามาทำให้ป๊ากิน ซี่โครงหมูเมืองอู๋ซีเป็นอาหารขึ้นชื่อ เรากินแล้ว ก็อร่อยดีนะ มีรสชาติดี แต่ไม่รู้ว่ามาทำเองแล้วจะเป็นอย่างไร เห็นบะหมี่ tong yi ของเจี๋ยหลุน จึงหยิบมาหลายถ้วย คนขายคงงงว่ากินแต่บะหมี่ถ้วยเหรอ น่าสงสารจัง 555 จากนั้นก็ออกเดินๆ ไปเรื่อยๆ ก็เจอร้าน Metersbonwe เดินเข้าไปเหล่ๆ ดู ถ่ายรูปไปหนึ่งแชะด้วยกล้องฟิล์ม (ขี้เกียจแบกกล้องดิจิตัลออกไปเพราะหนัก) คนขายก็เดินมาเลย แต่เราทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แกล้งดูเสื้อผ้า ได้ยินแว่วๆ ว่าโจวเจี๋ยหลุน เข้าใจว่ามันคงไม่ให้ถ่ายรูปในร้านแต่อีกคนบอกว่าอีนี่มันบ้าดาราปล่อยมันไปเถอะ 555 ร้าน Metersbonwe มีอยู่สองฝั่งถนนเลยแต่ไม่ได้ข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง เสื้อผ้าตอนนี้มีแต่เสื้อหนาวไม่รู้จะซื้อมาทำไม บ้านเราไม่หนาว เดินไปมา กลับโรงแรมนอนดีกว่า แต่ก่อนกลับแวะไปร้าน Ke Di (เข่อ ตี) ซื่งเป็นร้านสะดวกซื้อเปิด 24 ชม. แบบ 7-11 แต่อันนี้เป็นเวอร์ชันจีน เราเข้าไปหาซื้อขนมขบเขี้ยวและน้ำเย็นๆ มากิน เห็นโปสเตอร์อัลบั้มใหม่อีเจี๋ยแปะอยู่หน้าร้านด้วย (หลังๆ เห็นแปะอยู่ทุกร้านเลย) ซื้อหนมเสร็จเลยกลับเข้าโรงแรมอาบน้ำ กินหนม ดูทีวี วันนี้เปลี่ยนไปมาเจอ แดจังกึม ด้วย แต่เป็นตอนไก่ทอง ที่เราดูกันไปแล้ว แต่ก็ดูอีกเพราะไม่มีไรจะดู 555 ดูจบก็นอน 23 พฤศจิกายน 2548 วันนี้เราไปเมืองซูโจว ไปสวนหลิวหยวน ซึ่งเป็นบ้านเศรษฐีคนหนึ่งในสมัยราชวงศ์ชิง เห็นบอกว่าถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลก ภายในบ้าน สลับซับซ้อนน่าดู กว้างและลึก เหมือนบ้านของท่านขุนนางทั้งหลายที่เราเห็นในหนังจีน มีห้องหับเยอะดีทีเดียว ต้นไม้เปลี่ยนสี สวยร่มรื่น เสียแต่คนเยอะไปหน่อย และมีเวลาให้เราได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติน้อยเกินไป เสร็จจากนั้นเราไปกันที่วัดพระหยกขาว ลืมไปอีกเช่นกันว่าพระองค์นี้มีที่มายังไง (เวงกรำ จำอะไรไม่ได้สักอย่าง) เขาห้ามถ่ายรูปพระหยกขาว เลยถ่ายได้เฉพาะบริเวณด้านนอก วันนั้นที่วัดมีงานพอดี คนเลยแน่นมากเลย เทียนที่ทำเป็นรูปดอกบัว.. ถึงเวลากินข้าวเที่ยง พอกินเสร็จก็เดินทางเข้าเมืองเซี่ยงไฮ้ ระหว่างทางด่วน เอ๊ะ เจอป้ายโฆษณาใครก็ไม่รู้ อิอิ โชคดีเปิดหน้ากล้องไว้แล้วเลยถ่ายเก็บมาเสียเลย ภาพถ่ายผ่านกระจกรถ พอถึงเซี่ยงไฮ้ ไกด์พาเราไปที่หนานจิง ลู่ หรือ ถนนหนานจิง ถนนที่มีความยาว 5 กิโลเมตร เหมือนถนน Orchard ที่สิงคโปร์ เพราะเต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าล้วนๆ เราชอบบรรยากาศที่นี่นะ เพราะสถานที่มันกว้างใหญ่ดี ตอนที่เราไปถึง คนยังไม่เยอะเท่าไร เพราะเป็นวันธรรมดาและคนยังไม่เลิกงาน ไกด์ให้เวลาเราแค่ 1 ชั่วโมง เราก็เดินเรื่อยเปื่อยไม่ได้แวะห้างไหนเป็นพิเศษ ป้ายจูงน้องข้ามถนน เดินๆไปเจอ Metersbonwe อีกแล้วครับท่าน เราเดินเข้าไป คราวนี้ร้านใหญ่มีสี่ชั้น มีรูปเจี๋ยแปะอยู่ประปราย ไม่รอดพ้นมือดิฉัน 555 เสื้อผ้าก็มีแต่เสื้อหนาวเช่นเคย ถ้ามีเสื้อยืด อาจจะสอยมาสักตัว (ว่าไปนั่น) อันนี้เป็นวิดีโอที่เจี๋ยถ่ายแฟชั่นให้ ไปยืนเล็งอยู่นาน อยากได้ อยากได้ ขอโหลดได้มั้ยพี่ 55 หน้าร้าน metersbonwe อีกหนึ่งร้านบนถนนสายเดียวกัน เด็กน้อยน่ารัก คล้ายๆ ชินจัง คิวถัดไปคือมื้อเย็น จากนั้นไปล่องเรือที่แม่น้ำหวงผู่ ชมวิวตอนค่ำคืนของมหานครเซี่ยงไฮ้ ที่ร่ำลือติดอันดับโลก ตอนก่อนขึ้น คิดว่าคงจะหนาวแน่ๆ แต่ปรากฏว่าบนเรือไม่หนาวอย่างที่คิด คงเพราะไม่ค่อยมีลม วิวสวยจริงๆ ค่ะ สถาปัตยกรรมยุโรปติดไฟประดับ ที่จีนเคยถือว่าเป็นความอุบาทว์ทางวัฒนธรรม เพราะถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการรุกรานของพวกตะวันตก เราดื่มด่ำชมวิว ถ่ายรูปอยู่บนเรือประมาณ 45 นาที ก็กลับโรงแรมนอน หอไข่มุก 24 พฤศจิกายน 2548 วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเราในเซี่ยงไฮ้และจีน เปิดโปรแกรมวันนี้ด้วยโรงงานผลิตบัวหิมะ เป็นสูตรสำเร็จของทัวร์จีนทั่วไป โรงงานตั้งอยู่ในสวนสาธารณะ เป็นสาขาย่อยของที่ปักกิ่ง ชอบร้านที่ปักกิ่งมากกว่า แต่ที่นี่ก็บรรยากาศดี ภายนอกมีคุณลุงคุณป้า คุณตาคุณยายเต้นลีลาศกันอยู่ แล้วก็มีพวกเด็กนักเรียนตัวน้อยๆ มาทัศนศึกษากัน ต้นไม้เปลี่ยนสีสวยดี พอซื้อบัวหิมะกันแล้ว ก็ไปกินข้าว แล้วถึงไปช็อปปิ้งกันที่ตลาดเซียงหยาง พวกเจ้ๆ ทั้งหลายในกรุ๊ปทัวร์อยากช้อปปิ้งกันมาก ไกด์เลยให้เวลาถึงสามชม. ที่นี่ แต่เราเดินๆ ดูแล้วมีแต่เสื้อหนาว ของที่ระลึกก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ ประกอบกับตั้งราคากันไว้เวอร์มากๆ เช่นราคา 300 หยวน สามารถต่อกันได้ถึง 30 หยวน สถานที่นี้จึงเป็นที่ประลองยุทธ์สำหรับเหล่าพวกช้อปต่อราคา เราเดินได้ไม่ถึงชั่วโมงเลยออกมา เพราะไกด์บอกว่าแถวนั้นมีห้าง เรากับแม่เลยคิดว่าไปเดินห้างจะดีกว่า ระหว่างทางเดิน เจอ kfc เวอร์ชันจีน.. พอดีว่าห้างนี้มี supermarket ด้วย เลยเดินลงไปดู คือแบบว่าชอบซื้อของกินมากกว่าเสื้อผ้า ซูเปอร์ที่นี่ใหญ่และดีกว่าซูเปอร์ที่เมืองอู๋ซี มีขนมหลายอย่างน่าสนใจให้ซื้อหา พอดีเจอแอปเปิ้ลกรอบ ที่น้องคนนึงฝากซื้อเลยสอยมาหลายกระป๋อง เสียดายน่าจะลองชิมก่อน ไม่งั้นคงได้ซื้อยกโหลเพราะมันซื้อ 1 แถม 1 รสชาติอร่อยดี ที่หน้าห้าง Parkson ที่เราเข้าไปมีซุ้มโฆษณา Pepsi ตั้งอยู่ด้วย มีเจี๋ยอีกเช่นเคย เสร็จจากซูเปอร์เลยรีบเดินกลับไปที่จุดนัดพบตรงตลาดเซียงหยางตามที่นัดหมายไว้ ด้านหน้าทางเข้าตลาดมีซุ้มโฆษณาโค้กตั้งอยู่ อืม จริงๆ เป็นบ้านจำลองมากกว่า มีดาราที่เรารู้จักคือเว่ยป๋อ ชอว์นแล้วก็พวก S.H.E อีกคนเป็นใครไม่รู้แฮะ เรานั่งรอพลพรรคในกรุ๊ปทัวร์ที่ยังซื้อของกันไม่เสร็จ มีแม่ๆ พาลูกๆ มาเดินเล่นกันเยอะเหมือนกัน เลยเก็บภาพมาด้วย เด็กๆ น่ารักดี แก้มแดง สังเกตดูว่าชุดของเขาทุกชุดจะผ่ากลางไว้เลยให้เด็กๆ ฉี่ได้ง่าย 55 พอจบจากตลาดเซียงหยาง ก็ไปต่อกันที่ตลาดเฉินหวังเมี่ยว หรือ ตลาด 100 ปี เป็นตลาดที่มีสถาปัตยกรรมงดงามมากทำขึ้นมาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ เสียดายที่ให้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง แค่ถ่ายรูปก็หมดไป 15 นาทีแล้ว เลยไม่ได้สำรวจร้านรวงต่างๆ มากนัก มีร้านขายขนมเยอะดีเหมือนกันนะที่นี่ บางส่วนเดินๆ ไปคล้ายสยามผสมกับถนนสีลมที่ขายของที่ระลึกสำหรับชาวต่างชาติ สตาร์บัคส์สาขาเฉินหวังเมี่ยว เมื่อชมตลาดกันเสร็จแล้วก็รีบไปต่อกันที่หาดไว่ทาน เพื่อไปขึ้นรถรางในอุโมงค์ไฮเทค เพื่อไปขึ้นหอไข่มุกชมวิวทิวทัศน์ของเมืองเซี่ยงไฮ้อีกครั้ง คนต่อแถวเพื่อขึ้นรถราง โฉมหน้ารถไฟฟ้าที่จะพาเราไปหอไข่มุก.. อุโมงค์นี้จะมีแสงเลเซอร์สีสวยสดมากมาย ทำขึ้นมาเพื่อขายนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ เห็นว่าไปกลับราคา 50 หยวน แพงโค่ด ไปเที่ยวเดียว 30 หยวน รถรางหนึ่งคันรับได้ประมาณ 20 คน พอขึ้นไปถึง เราก็นึกว่าจะขึ้นหอไข่มุกได้เลย เปล่า ต้องเดินไปอีกไกลเช่นกัน พอไปถึงก็ต้องไปต่อคิวเพื่อขึ้นลิฟต์ไปชมวิวอีก เราขึ้นลิฟต์ไปชั้นที่ 200 ก่าๆ เห็นจะได้ หูอื้อเลย ลิฟต์เร็วดี อยากให้ลิฟต์ที่ตึกบริษัทเป็นแบบนี้บ้างจัง ขึ้นไปก็เดินวนไปสองรอบ วิวก็สวยดี เหมือนกับที่เห็นจากการล่องเรือ ถ้าอยากส่องกล้องต้องหยอดเหรียญ แต่งก เลยไม่หยอด ที่หอไข่มุกจะมีสามส่วน ส่วนแรกเป็นโรงแรม ส่วนที่สองคือจุดชมวิว ส่วนที่สามเป็นสถานีโทรทัศน์ CCTV ผู้ไม่มีกิจห้ามเข้า ส่วนชมวิวมีของที่ระลึกขายเยอะเหมือนกัน แต่ก็อีกนั่นหล่ะ ต้องรีบทำเวลาเพื่อไปสนามบินให้ทัน เลยไม่ได้แวะร้านใดร้านหนึ่งเลย เฮ่อ.. เสร็จจากหอไข่มุก รีบตรงไปกินข้าวและไปสนามบิน รอเช็คอินโหลดกระเป๋ากันนานพอควร มีผู้ร่วมทัวร์ซื้อเนื้อหมูตุนไว้ในกระเป๋ามั้ง พอไปสแกนปุ๊ปดังปั๊บเลย เพราะเราไป Air India เขาไม่ให้เอาหมูขึ้นเครื่อง อืม ก็เพิ่งจะรู้วันนี้เอง เป็นความรู้ใหม่ ว่าแต่อินเดียไม่กินเนื้อวัวไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงห้ามเนื้อหมูง่ะ? กว่าเราจะหลุดเข้าไปในเกตได้ก็เกือบสามทุ่มครึ่งแล้วหล่ะ เครื่องดีเลย์เป็นสี่ทุ่ม กว่าเครื่องจะขึ้นก็คงสี่ทุ่มครึ่งได้มั้ง นึกว่าไม่มีอาหารเสิร์ฟแล้ว เพราะเป็นไฟล์ทดึก ปรากฏมีข้าวรอบดึกให้กินตอนเที่ยงคืน สรุปว่ากินข้าวสี่มื้อเลยวันนี้ ถึงดอนเมืองประมาณตีสองเห็นจะได้นะ ล่ำลาแยกย้ายกันกลับบ้าน สรุปว่าเป็นทริปที่ค่อนข้างเหนื่อยเพราะต้องย้ายโรงแรมนอนทุกคืน ต้องแบกกระเป๋าขึ้นลงเกือบทุกวัน เพราะบางโรงแรมมีเด็กยกกระเป๋าไม่กี่คน ยกเองจะเร็วกว่า และเนื่องจากโปรแกรมแน่นเอี้ยดทำให้เราไม่ได้เดินดูของอย่างสบายใจอย่างที่ควรจะเป็น ซื้อของกลับมาได้น้อยมากๆ แต่ชอบอากาศ เย็นดี ประมาณ 8-15 องศาเห็นจะได้ พูดออกมามีไอด้วย ว้าว ว้าว เหมือนในหนังเลย 55 (ยังดีหิมะไม่ตก) แต่ถ้าเทียบกันระหว่างทริปนี้กะปักกิ่ง เราชอบปักกิ่งมากกว่านะ รู้สึกว่ามีอะไรที่น่าสนใจมากกว่า ช่วงเวลาแห่งความฝันจบลงไปแล้ว กลับมาทำงานหาเงินกันต่อไป เก็บตก.. ร้านหนังสือในจีนจะเป็นแผงแบบนี้ทุกแผง เหล่าบรรดาขอทานตามสถานที่ท่องเที่ยว ร้านกาแฟชื่อดังริมทาง พ่อค้าแม่ค้าผลไม้ แท็กซี่ที่โน่น รถสามล้อในเมืองซูโจว จบการรายงานแต่เพียงเท่านี้... ไปตอนหน้าหนาวก็ได้บรรยากาศที่ดีอีกแบบนะครับ ผมไปตอนสิงหา ที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของปีทีเดียว
โดย: ตงเหลงฉ่า วันที่: 25 พฤศจิกายน 2548 เวลา:23:26:57 น.
รูปสวยมากค่ะ
อยากไปบ้างจัง โดย: โอน้อยออก IP: 61.91.247.85 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2548 เวลา:23:31:56 น.
อยากไปง่า รอแอปเปิ้ลนะ อิอิ วันศุกร์จะเข้าบริษัท
โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 25 พฤศจิกายน 2548 เวลา:23:51:27 น.
เข้ามาดู
โดย: เหน่ง IP: 58.10.31.164 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2548 เวลา:17:35:16 น.
โอ้โหพี่แชถึงกับลงทุนเปิด blog เพื่อการนี้เลยเหรอเนี่ย?
ชอบร้าน Starbucks จังอ่ะ น่ารักดี โดย: เจ IP: 61.90.80.8 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2548 เวลา:21:08:18 น.
^
^ ใช่แล้วเจ..เพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพราะไม่รู้จะไปแปะที่ไหน แปะในทู้เดี๋ยวก็หล่น ไว้แบบนี้จะได้ส่งให้เพื่อนๆ อ่าน โดย: qingqing IP: 58.9.240.156 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2548 เวลา:22:13:58 น.
ตามมาชมแว้ววว สวยดีเหมือนกันเนอะ
เห็นว่าไม่ค่อยได้มีเวลาเดินเล่นแบบชิลๆ เหรอ ไว้ไปอีกรอบมั้ย คราวนี้ให้เจ๊โบเป็นไกด์ให้ อิอิ โดย: Nungkwak IP: 203.107.217.194 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2548 เวลา:9:04:57 น.
ตามเข้ามาอ่านแล้วนะจ๊ะ รูปสวยดีจ้า แต่ท่าทางจะเหนื่อยจริงๆนะเท่าที่อ่าน ให้เวลาเที่ยวน้อยจัง
โดย: ฟ้าใส IP: 202.5.88.159 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2548 เวลา:12:38:43 น.
ฟ้าใส..ไปกับทัวร์มันก็ยังงี้แหล่ะ ต้องทำใจ (ขนาดทำใจไว้ก่อนแล้ว 55) ไปเองสนุกกว่าและละเอียดกว่าแน่นอน แต่บรรดาผู้ใหญ่คงไม่เอากับเราด้วย
โดย: qingqing IP: 58.9.241.212 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2548 เวลา:21:46:33 น.
คุณชิงชิงไปกับทัวร์ไหนครับ พอจะบอกได้ละเปล่าครับกำลังหาทัวร์ไปเที่ยวอยู่ ขอเบอร์ติดต่อทัวร์ได้ก็ดีครับ ขอบคุณครับ
My.ancestry@hotmail.com โดย: Ancestor IP: 210.4.139.129 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2548 เวลา:8:05:54 น.
ดูท่าจะเหนื่อยเน๊าะพี่แช ....
ไปกะทัวร์ก้อแบบนี้แหละ โดย: นู๋นา (BBwindy ) วันที่: 29 พฤศจิกายน 2548 เวลา:11:03:31 น.
แวะมามาอ่านจ้า.. สุดยอด.........ตั้งราคา 300 หยวน เราสามาดต่อได้ 30 หยวน แปลว่าทุนเท่าไรหนอ!!! น้องแช.......ท่าทางจะเหนื่อย เพราะต้องเดินทางตลอด แต่รูปถ่ายออกมาได้บรรยายกาศมาก หนาวนิดๆๆ ต้นไม้สามสี กับพ่อแม่ และเด็กๆๆน่ารักดี โดย: จูบู baabuu IP: 203.147.55.211 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2548 เวลา:16:39:26 น.
ไปกับทัวร์ที่ไหนมาเหรอคะ ราคาเท่าไหร่ สนใจอยากไปบ้างค่ะ
โดย: กบเขียว IP: 192.193.164.11 วันที่: 2 ธันวาคม 2548 เวลา:13:33:19 น.
คุณ กบเขียว เขียนมาหาเราที่ supawanc@yahoo.com ได้มั้ยคะ ไม่อยากเขียนชื่อทัวร์ เดี๋ยวเขาจะหาว่าโฆษณา
โดย: Qingqing IP: 58.9.240.15 วันที่: 2 ธันวาคม 2548 เวลา:23:08:52 น.
ลืมทักทายพี่จูบู เหนื่อยเป็นธรรมดาของการไปตะลอน ตะลอน โชคดีได้กระทิงแดง เฮ่ย..ไม่ใช่ โชคดีที่มันไม่ร้อนต่างหาก ถ้าร้อนคงโทรมไปเรย แบบว่าชอบอากาศเย็นๆ อิอิ
โดย: Qingqing IP: 58.9.240.15 วันที่: 2 ธันวาคม 2548 เวลา:23:14:19 น.
แวะมาเยี่ยมค่า จิ้มอมยิ้มจากที่บล็อคมา
แต่น่าเสียดายจังดูรูปไม่ได้ รูปไม่ขึ้น สงสัยเวบที่ Qingqing ไปฝากรูปไว้จะไม่ซัพพอร์ตจีน แต่ไม่เป็นไรค่า พอจินตนาการออก เพราะไปเที่ยวมาแล้วเหมือนกัน อ่านแล้วอยากไปเที่ยวเซี่ยงไฮ้อีกจัง ปล.ยินดีที่ได้รู้จักน้า โดย: tokei/tookei วันที่: 5 ธันวาคม 2548 เวลา:22:43:39 น.
หวัดดีคะคุณ tokei เอ๋..รูปไม่ขึ้นหรือคะ? ตอนนี้ก็ยังขึ้นอยู่นะคะ สงสัย photobucket จะติงต็องส์
โดย: Qingqing IP: 203.170.164.62 วันที่: 6 ธันวาคม 2548 เวลา:17:04:16 น.
ชอบมากครับกำลังวางแผนว่าจะไปด้วยตัวเองแต่ก็กล้าๆกลัวๆ...อยู่เหมือนกัน
โดย: บุญทรง IP: 203.113.76.72 วันที่: 12 ธันวาคม 2548 เวลา:12:00:32 น.
อยากรู้วิธีสร้างพระ หรืออนุสาววรีย์ใหญ่ๆ ใครรู้บ้าง เขาปั้น เขาหล่อกันอย่างไร? หรือ ชข้างในตันหรือกลวง จะอยู่ได้นานกีปีชาติ
โดย: oooพระเจ้า IP: 58.64.113.162 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2553 เวลา:21:59:28 น.
|
บทความทั้งหมด
|