ผู้เฒ่าเล่าอดีต (๒๓) คนหูตึง ผู้เฒ่าเล่าอดีต (๒๓) คนหูตึง ถึงปี พ.ศ.๒๕๕๔ ซึ่งเป็นปีที่เรามีอายุครบ ๘๐ ปี บริบูรณ์ เลยเกณฑ์ที่จะเป็นคนแก่มาแล้ว แต่เราก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม เว้นแต่อุปกรณ์ในการใช้ชีวิตได้เสื่อมลงหมดทุกอย่าง คือตาก็มีอาการระคายเคือง เพราะมีขนตาแยงลูกตาเป็นประจำ ต้องไปหาหมอให้ช่วยถอนสองสามเดือนหนหนึ่ง ส่วนสายตานั้นกลับไปใช้แว่นตาสมัยที่เกษียณอายุใหม่ ๆ อ่านหนังสือได้ดีพอควร ฟันก็ผุหมดทุกซี่ แต่จะค่อย ๆ ถอนออกไปเฉพาะที่มันโยก หรือมันโบ๋จนปวดประสาท ถ้ายังพอทนก็ใช้ไปก่อน จนเหลือไม่เกิน ๑๔ ซี่ และข้างบนข้างล่างไม่ตรงกัน จึงเคี้ยวอะไรไม่ขาด ต้องกินขนมปังปั่นกับนมเย็น เป็นมื้อเช้า โจ๊กซองใส่ไข่เองเป็นมื้อกลางวัน และข้าวต้มปลาหรือข้ามต้มซี่โครงหมู เป็นมื้อเย็น เป็นประจำจะเข้าปีที่สามแล้ว นอกจากจะไปงานเลี้ยงรุ่นเดือนละสองครั้ง ที่จะได้เครื่องดื่มที่ไม่ต้องเคี้ยว พอชุ่มชื่นใจหน่อย หูตึงมากประมาณเอาเองว่า การได้ยินลดลงกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เวลาคุยกันหรือดูทีวี ก็ได้ยินว่าเขาพูดแต่จับความไม่ได้ว่าเขาพูดเรื่องอะไร ไปให้หมอตรวจแล้วบอกว่าเป็นไปตามอายุขัย ถ้าต้องการให้ได้ยินชัดขึ้นก็ต้องใช้เครื่องช่วยฟัง ให้เข้าไปปรึกษากับบริษัทที่มาตั้งสาชาอยู่ในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่หญิงของบริษัทก็ทดลอง สอบสมรรถภาพการได้ยินด้วยวิธีต่าง ๆ แล้วก็จดบันทึกเป็น ตัวเลขต่าง ๆ แล้วก็บอกว่า หูข้างขวาเสื่อมมากกว่าหูข้างซ้าย ถ้าจะใส่เครื่องฟังควรจะใส่ข้างซ้าย เพื่อชะลอไว้ไม่ให้เสื่อมเร็ว สอบถามราคาเครื่องช่วยฟังก็ได้ความว่า มีตั้งแต่หลักหมื่นถึงแสน เราก็มีเงินก้อนสุดท้ายอยู่แค่สามหมื่น อยากจะได้ไว้ใช้บ้าง เขาก็หยิบมาให้ดูสองเครื่อง ราคา สี่หมื่นกว่า กับสองหมื่นกว่า เราจึงต้องเลือกเอาอย่างราคาต่ำ เพราะมีเงินแค่นั้นเอง เมื่อได้เครื่องมาเสียบหูฟังแล้ว ปรากฏว่าเสียงต่าง ๆ ที่ได้ยินก็ดังขึ้นกว่าเดิม เท่า ๆ กันหมด ทั้งเสียงคนพูดและเสียงรอบตัว แต่เสียงพูดนั้นก็ต้องตั้งใจฟังเหมือนเดิม เทียบกับการฟังข่าวทีวี เดิมต้องเปิดเสียงถึงเลข ๗ จึงจะพอรู้เรื่อง ใส่เครื่องแล้วเปิดแค่เลข ๔ ก็ดังเท่ากัน คือยังต้องตะแคงหูฟังเหมือนเดิม ไม่เหมือนที่คิดไว้ว่าใช้แล้วจะฟังเสียงพูดได้ชัดเจนขึ้น แต่ก็เป็นความรู้ว่าอวัยวะของคนนั้นเสื่อมแล้ว ไม่มีอะไหล่มาเปลี่ยนเหมือนเครื่องยนต์ เครื่องโทรทัศน์ หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อได้คุยกับเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายสิบ ที่มีอายุอ่อนกว่านิดหน่อย ซึ่งก็หูตึงเหมือนกัน ก็พอจะคุยกันได้เพราะต้องตะโกนพอ ๆกัน และก็คอยดูปากกันให้แน่ใจว่าพูดเรื่องอะไร ก็ได้ความรู้ว่า เขาก็ซื้อเครื่องช่วยฟังมาใช้เหมือนกัน แต่เป็นโรงพยาบาลของทหาร จึงเสียเงินเพียงครึ่งเดียว ในราคาที่ใกล้เคียงกับของเรา แต่ก็มีค่าเท่าเดิมเหมือนกัน เราก็เสริมว่า ถ้าจะให้ชัดเจนอย่างที่เราต้องการ ก็จะต้องใช้เครื่องที่มีราคาเป็นแสน เจ้าเพื่อนบอกว่า ไม่ใช่แสนเดียวแต่ราคาเครื่องละสามแสน ถ้าใส่ทั้งสองข้างก็หกแสน เราก็เลยยอมรับสภาพคนหูตึงแต่โดยดี เพราะการไม่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ก็น่าจะทำให้มีความสุขมากขึ้นก็ได้ พระท่านยังว่า สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบ..........ไม่มี. ######### เพราะฉะนั้น คนหูตึงจึงมีความสุขมากกว่าคนหูดี ครับ.
โดย: เจียวต้าย วันที่: 17 กันยายน 2555 เวลา:5:06:11 น.
|
บทความทั้งหมด
|
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ