นอกจากติดตามตัวผมในบล็อกนี้แล้ว ก็ขอชวนไปสนุกกันในอีกช่องทางกับ "Facebook" และ "Twitter" ด้วยครับ

Like Me @ //www.facebook.com/Onc3.UPoN.a.MaN

และ Follow Me @ //twitter.com/once_upon_a_man

---

รีวิวนี้ ถูกเผยแพร่ไปแล้วก่อนหน้า ทาง //www.chicministry.com ลิงค์





ให้นึกถึง นักร้องสาวจอมพ่นไฟแล้ว ..หลายๆคน คงนึกออกในชื่อของ “Whitney Houston”, “Beyonce” หรือ “Jennifer Hudson” เพราะบุคคลเหล่านี้ ขึ้นชื่อแน่นอนอยู่แล้วในเรื่องของการโชว์พลังเสียงที่ไปถึงจุดสูงสุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะไปได้ถึง

แต่ตอนนี้ผมจะขอเพิ่มอีกคนเข้าไปในลิสต์จอมพ่นไฟนี้ ด้วยชื่อของดาวรุ่งพุ่งแรงดวงล่าสุดที่ยากจะหยุดความแรงในเรื่องของพลังได้ อย่าง “Charice Pempengco” ..นักร้องสาวหน้าใหม่ที่อายุอาจยังน้อยนัก แค่ 16 ปี แต่กับใครก็ตามแล้ว ที่ได้ฟังเสียงเธอ คงต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไฟแรงสูงมากกกกกกกก!!”

ชีวิตของ ชารีซ คนนี้ ถือว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับการที่ได้รู้ว่ารากเหง้าบ้านเกิดที่แท้จริง ก็คือ คนฟิลิปปินส์แท้ๆ ชาติซึ่งเป็นหมู่เกาะเล็กๆ ในทวีปเอเชียของเรานี่เอง ..มันเป็นอะไรที่ดูไม่น่าเชื่อเลยว่า ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ขวบปีที่ผ่านพ้นของเธอร่วม 3 ปีเท่านั้น จะสามารถพาเธอข้ามน้ำข้ามทะเลไปดังไกลได้ถึงอเมริกา และกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกในทันทีที่เธอออกอัลบั้ม!

ว่ากันที่จุดเริ่มต้นของเธอก็คือ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่รักการร้องเพลง และคุณแม่ของเธอ ก็ได้พบแววการเป็นนักร้อง ผ่านการร้องเพลง Happy Birthday (ด้วยเสียงที่สูง และยาวเกินวัย) ในวันที่อายุแค่ 3 ขวบ! ..จากนั้นเป็นต้นมา เธอก็ได้รับการผลักดันจากคุณแม่ให้ร้องเพลง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ หรือว่าการเดินสายประกวดตามเวทีเล็กใหญ่ต่างๆ ในฟิลิปปินส์



ย้อนมาดู 3 ปีที่ผ่านมากันบ้างว่า เกิดอะไรขึ้นกับ ชารีซ ...เริ่มจากเมื่อปี 2007 เธอได้รับโอกาสจากทางรายการทีวีชื่อดังของเกาหลี อย่าง “Star King” ที่รู้สึกชื่นชมกับคลิปของเธอ จนต้องเชิญนั่งเครื่องบินมาโชว์พลังในรายการ ต่อหน้าต่อตาบอยแบนด์สุดฮอตแห่งแดนกิมจิ “Super Junior” เอาให้อึ้ง ทึ่ง ตะลึงกันไปทั้งแบนด์ ..แล้วก็ด้วยความที่โลกเรามันเล็กลงเหลือเกิน เพราะมี Youtube ก็ไปบังเอิญว่า คลิปการร้องเพลง “I’m telling you (I’m not going)” ใน Star King ของชารีซ ได้ไปเตะตาทีมงานรายการทอล์กโชว์ ของ “Oprah Winfrey” เข้าจังๆ จนต้องบอกต่อให้ พิธีกรสาวเจ้าของหนึ่งในรายการที่เรตติ้งสูงที่สุดในอเมริกา เชิญมาออก ..แล้วโอปราห์ ก็มิได้พบความผิดหวังแต่อย่างใด เพราะเมื่อได้ชมโชว์ของชารีซ แบบสดๆ เจ้าตัวพิธีกรก็ถึงกับน้ำตาไหล เพราะปลาบปลื้มอย่างแรง!

แล้วเพราะความปลื้มของเจ๊ดันตัวแม่นี่แหละ ที่นำพาผลักดันให้เธอได้เจิดต่อไปบนแผ่นดินอเมริกา ..เมื่อ โอปราห์ ได้ทำความฝันของ ชารีซ ให้เป็นจริง ด้วยการพาไปเจอหนึ่งในขวัญใจตัวแม่เช่น “Celine Dion” ในคอนเสิร์ต พร้อมๆ กับที่เธอได้รับโอกาสร่วมฟีเจอริ่งในหนึ่งเพลง ที่ทำให้คนดูทั่วทั้งฮอลล์ต้องทึ่ง เพราะ ชารีซ ไม่ได้โชว์ความเขินอายตื่นเวที แต่เต็มที่ไปพร้อมๆ กับ ซีลิน จนกลายเป็นโชว์ที่น่าประทับใจ





และสุดท้าย ด้วยความที่ ซีลิน ทำงานอยู่กับโปรดิวเซอร์คู่ใจ ที่เป็นตัวพ่อคนหนึ่งในแวดวงเพลงของอเมริกา อย่าง “David Foster” ..ความน่าประทับใจที่ ชารีซ แสดงออกมา ก็ยังไปเข้าตา เดวิด ด้วย จนต้องจับเด็กสาวมหัศจรรย์ผู้นี้ มาปั้นเป็นจริงเป็นจัง แล้วก็ทำอัลบั้มเดี่ยวให้เธอออกมาปรากฏตัวอย่าง เป็นทางการในที่สุด อัลบั้มเดี่ยว อัลบั้ม Debut นี้ ได้ใช้ชื่อบ่งบอกความเป็นตัวของ ชารีซ ที่ชัดเจนที่สุดว่า “CHARICE” ..ซึ่งมาพร้อมกับ 12 เพลงที่ให้อรรถรสกับหู และใจอย่างแตกต่าง



โดยเริ่มแรก เป็นปฐมฤกษ์ ก็เปิดตัวมาด้วย “Pyramid” ที่มีการฟีเจอริ่งกับศิลปินผิวหมึก ที่กำลังเป็นดาวรุ่งอยู่เช่นกันในขณะนี้อย่าง “Iyaz” (เจ้าของเพลงดัง Replay) ..ดูจากชื่อเพลงก็ยิ่งใหญ่เป็นสง่า ที่คงต้องการแสดงความอลังการในพลังเสียงของสาว ชารีซ อย่างเต็มที่ ซึ่งเพลงนี้ ก็ทำได้อย่างสมชื่อ ...โชว์ตัวตนกับการเป็นคนที่แข็งแรง ยากจะต่อต้าน เช่นเดียวกับ ปิรามิด ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นมาเป็นพันปี ก็ไม่เคยหวั่นในสิ่งใด อะไรก็มาทำลายโค่นลงไม่ได้

“Reset” ..เพลงที่เหมาะสำหรับคู่รักที่ความสัมพันธ์กำลังง่อนแง่นเต็มที จนอาจจะต้องการการเยียวยาด้วยการถอยไปคนละก้าว และกดปุ่มรีเซทตัวเอง เพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเริ่มต้นใหม่ อีกครั้ง ..นี่เป็นเพลงที่เปิดโอกาสให้ ชารีซ ได้โชว์ความรักบ้านเกิดตัวเอง ด้วยการใส่ท่อนแร๊พเป็นภาษาตากาล็อก (ภาษาถิ่นของคนฟิลิปปินส์) อีกด้วย ... “In This Song” ..คือ บทเพลงที่อาจเป็นเหมือนทั้งการให้กำลังใจตัวของชารีซ ที่จงอย่าท้อหากได้ทำในสิ่งที่รักอย่างการร้องเพลงแล้ว แต่ขณะเดียวกันกับคนฟัง ก็อย่าท้อหากต้องอยู่ตัวคนเดียว ไม่เหลือใครเคียงข้าง เพราะทุกสิ่งอย่าง มันกำหนดขึ้นได้ด้วยตัวเรา ไม่ใช่กงการของคนอื่น

“Nobody’s Singing to Me” ..ยังคงบ่งบอกความรักในเสียงเพลงของ ชารีซ ด้วยเพลงนี้อีกเพลง ที่มาด้วยอารมณ์ร้าวราน กับการจากไปของคนเคยรัก ที่ทำให้คนๆ หนึ่งแทบเป็นบ้า พอจะเปิดวิทยุฟังเพลงที่ช่วยหาทางออกให้ตัวเอง ก็ไม่มีใครร้องเพลงที่สื่อตรงเพื่อจะมาช่วย ‘ฉัน’ คนนี้ได้เลย ... “Thank You” ..อย่าเผลอเรียกชื่อเพลงนี้ว่า “แต้งค์ กิ้ว” เชียว เพราะ ชารีซ เธอร้องออกมาอย่างชัดเจนว่า “แต้งค์ ยู” ซึ่งคือการขอบคุณแบบเจาะจงไปยัง คนที่รักเธอ และทำให้เธอกลายเป็นคนที่เข้มแข็ง เปี่ยมไปด้วยพลังใจเช่นนี้ ..โดยสรุปแล้ว คงจะหมายถึงใครอื่นไม่ได้ หากไม่ใช่แฟนเพลงกระมัง ... “I Love You” ..มาแบบมีจังหวะพอโยกได้นิดๆ ที่ทำให้เห็นว่า ชารีซ ไม่ได้เป็นแต่เพลงช้าชวนเศร้าซึ้งเท่านั้น เพราะกับเพลงนี้ก็ทำให้เรารับรู้ได้ถึงความน่ารักของผู้หญิงคน หนึ่งที่เผลอหลุดปากพูดว่า รัก แต่ก็เอาคืนไม่ได้แล้วเพราะใจมันสั่งมา





“In Love So Deep” ..เมื่อรักไปแล้วในเพลงก่อน ในเพลงนี้ก็ยิ่งตอกย้ำว่าผู้หญิงคนนี้จริงจังกับความรักมากแค่ไหน เพราะถึงขนาดว่าความลึกของความรักที่ฝังในใจ ยังประเมินไม่ได้ว่าลึกขนาดไหน (อารมณ์เดียวกับคนที่ชอบพูดว่า รักคุณเท่าฟ้า นั่นแหละ!) ... “All That I Need to Survive” ..ยิ่งรักลึกขนาดไหน ยิ่งรู้สึกขาดเธอไม่ได้มากไปเท่านั้น เพลงนี้คงมีความหมายที่จงใจจะบอกว่า อย่าจากกันไป เพราะถ้าไม่มีเธอ เมื่อไหร่ ชีวิตฉันคงจะต้องตายลงตรงนั้น ..สำหรับบางคนอาจจะคิดว่า เพลงนี้ดูเว่อร์ แต่กับบางคน หากกำลังมีชีวิตจริงที่เป็นอย่างนี้อยู่ คงฟังแล้วทรมานใจเป็นที่ยิ่ง ...

“Nothing” ..ยังคงต่อเนื่องในเรื่องราวต่อไป หากว่าสุดท้ายคนที่รักกลับคืนมาสู่อ้อมอกเหมือนเก่า ย่อมแน่นอนว่า ที่ผ่านมา คงจะไม่มีความหมายอะไร แล้วพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ..จังหวะเพลงอาจกลับมาดูคึกๆ อีกรอบ พอเร้าใจน้อยๆ ... “The Truth Is” กลับมาสู่โหมดเศร้าอย่างรวดเร็ว กับเพลงที่คงจะสร้างความกระอักกระอ่วนใจกับคนที่กำลังมีความคิดจะ บอกเลิกรากับใครสักคน เพราะก็กลัวอีกคนจะรับไม่ได้ ..แต่ถ้าพูดออกมาด้วยความจริงจากใจ มันก็ควรจะจบ จริงมั้ย? ... “Did It For You” ..เมื่อจะถึงจุดจบกันจริงๆ แล้วต้องจากลา แทนที่คนบอกเลิกจะเดินจากไป เพลงนี้ทำให้เห็นว่า บางทีคนที่ขอเดินจากก่อนก็ควรจะเป็นคนที่โดนบอก เลิก เพราะแสดงออกถึงความจริงใจว่า ฉันย่อมเจ็บปวด แต่ยอมจะทำเพื่อเธอ ... เพลงสุดท้าย “Note to God” มาแบบอลังกันเต็มที่กับการโชว์พลังเสียงขั้นสุดส่งท้าย ..ในเพลงที่ว่าด้วย การเขียนข้อความไตร่ถามไปถึงคนบนฟ้า ว่าจะสามารถช่วยทำให้โลกของเรา กลับคืนมาเป็นดินแดนแห่งความรัก ไม่มีสงคราม ไม่มีความขัดแย้งใดๆ ได้หรือไม่? ..แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะความจริง เราไม่อาจส่งโน้ตไปหาคนบนฟ้าได้ (และความจริงก็เป็นอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน)



ฟังครบถ้วนทั้ง 12 เพลง ก็พิสูจน์และเชื่อได้เลยว่า เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาๆ แต่อาจเป็นคนที่บนฟ้าประธานให้เกิดมามีพรสวรรค์ที่มีไม่กี่คน ในบรรดานักร้องผู้หญิงด้วยกันจะทำได้ ..เพราะฉะนั้น หากคุณยังไม่ได้พิสูจน์ในสิ่งที่ผมเชื่อไปแล้ว คุณอาจจะเป็น Chicster นักฟังเพลง ที่ตกเทรนด์เอาง่ายๆ เพราะยังไม่ได้รู้จัก (และรับฟัง) เด็กผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในแวดวงดนตรีโลก ในนาทีนี้ ที่ชื่อ “ชารีซ เพมเพงโค” คนนี้

---

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ

ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ