นอกจากติดตามตัวผมในบล็อกนี้แล้ว ก็ขอชวนไปสนุกกันในอีกช่องทางกับ "Facebook" และ "Twitter" ด้วยครับ Like Me @ //www.facebook.com/Onc3.UPoN.a.MaN และ Follow Me @ //twitter.com/once_upon_a_manรีวิวนี้ ถูกเผยแพร่ไปแล้วก่อนหน้า ทาง //www.chicministry.com ลิงค์ถ้าว่ากันตามตรงแบบไม่มีอ้อมค้อม ..เมื่อพูดถึงเพลงลูกทุ่งสำหรับคนบ้านเรา หลายคนคงจะนึกถึงคำว่า เชย ล้าสมัย ใช้ภาษาและทำนองที่เน้นเอาใจชาวทุ่งจริงๆ ซึ่งแม้ปัจจุบันจะมีการดัดแปลงใส่ลูกเล่นทางดนตรีที่แพรวพราวเข้าสมัยลงไปบ้าง แต่กลายเป็นว่าฟังแล้วก็ดูไม่ค่อยลงตัวอยู่ดี ที่พูดไปอย่างนั้น แม้ตัวผู้เขียนเองจะไม่ใช่คนที่ฟังเพลงลูกทุ่งอย่างแน่แท้ ...แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ลูกทุ่งไทย เรามี และทำให้มันยังคงความคลาสสิคได้ในความรู้สึก กับเวลาที่เราได้ยิน (แม้จะเป็นยุคนี้ ที่สตริงครองตลาดไปทุกหย่อมหญ้า) คือ ความจริงใจ อยากจะพูดอะไรก็สื่อออกมาตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อม ถึงจะเป็นภาษาง่ายๆ ทำนองเดิมๆ แต่อย่างน้อยๆ มันก็กลั่นกรองออกมาจากหัวใจโดยตรง ...เป็นอะไรที่ยังไงก็เชย แต่จะว่ากันไม่ได้เลยหากพูดถึงหัวใจแบบคนลูกทุ่ง ของเขาแน่จริงอะไรจริง! เพลงแนวลูกทุ่งนี้ไม่ได้มีในเฉพาะบ้านเราเท่านั้น อย่างที่ผมเคยเข้าใจเมื่อก่อน ..เพราะถ้าหากเรามาศึกษาถึงรากเหง้าความเป็นลูกทุ่งจริงๆ อารมณ์ที่ตรงไปตรงมาแบบนี้ยังไปปรากฏที่หย่อมหญ้าอื่นๆ ในโลกใบนี้ แล้วก็ไม่เว้นอีกที่หนึ่งซึ่งทุกคนได้มองว่าเป็นสีสันแห่งวงการเพลงของโลกใบนี้ อย่าง อเมริกาอเมริกาได้เรียกเพลงลูกทุ่งของเขาเป็นภาษาบ้านเขาว่าเพลงคันทรี่ ..และเพลงคันทรี่นี้ ก็คือหนึ่งในแนวเพลงที่พูดได้เลยว่าอยู่ในสมัยตลอด ไม่มีตกยุค สำหรับเขา ซึ่งคนที่รับประกันได้ว่า มันร่วมสมัย อย่างแน่แท้ ..ก็ขอได้ยกตัวอย่างชื่อๆ หนึ่งขึ้นมา ที่เชื่อว่าชาว Blog ทุกคนคงจะรู้จักถึงความโด่งดังในเวลานี้ คือ สาวน้อย Taylor Swift นั่งเอง แต่ถ้าหากจะให้เห็นความชัดเจนที่เป็นความร่วมสมัยอย่างแท้จริง ก็ขอยกตัวอย่างอีกศิลปิน ซึ่งคราวนี้มาเป็นกลุ่ม เป็นวง ที่กำลังรุ่งให้ได้รู้จักกัน กับ Lady Antebellum สำหรับ Lady Antebellum นี้ ได้ประกอบไปด้วยสมาชิกในวงจำนวน 3 คน ชาย 2 หญิง 1 คือ Charles Kelley, Dave Haywood และ Hillary Scott ..พวกเขาได้ทำการรวมตัวสร้างวงแรกเริ่มเมื่อในปี 2006 โดยมีที่มาจากการที่ 1 ชายอย่างชาร์ลส์ กำลังมองหาเส้นทางการก้าวเข้าสู่วงการดนตรี แล้วได้มาคิดถึง 1 เพื่อนชายครั้งมัธยมอย่างเดฟ ซึ่งเก่งการแต่งเพลง อีกทั้งได้มารู้จักกับ 1 สาวทางโลกไซเบอร์อย่าง ฮิลลารี่ ที่ชื่นชอบการร้องเพลง จนถึงที่สุดก็เกิดมาเป็น Lady Antebellum ให้เราได้รู้จัก Lady Antebellum ได้ออกอัลบั้มแรกมาแล้วในนามที่เป็นชื่อวงของพวกเขา ในปี 2008 ซึ่งผลตอบรับในครั้งนั้นก็ได้แจ้งเกิดสมาชิกทั้ง 3 อย่างสวยงาม ..โดยเพลงของพวกเขาได้ขึ้นชาร์ต Billboard ซึ่งแสดงออกถึงความฮิต และต่อมาก็เป็นที่ถูกใจของนักฟังเพลงจนถึงขั้นได้เข้าชิงรางวัลสำคัญต่างๆ ไม่เว้นกับ Grammy Awards ที่ให้มีชื่อของพวกเขาอยู่ในการชิงตำแหน่ง ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม ในเมื่อครั้งแรกก็เปิดตัวให้ได้รู้จักกันไปได้ทั่วอเมริกาอย่างนี้แล้ว มันก็ถึงทีที่พวกเขาจะได้กลายเป็นที่รู้จักของคนอีกทั่วทั้งโลกกันจริงๆ เสียที โดยใช้อัลบั้มที่ 2 ในปี 2010 อย่าง Need You Now เป็น passport ช่วยนำพาเปิดตัวเพลงแรกของอัลบั้มใหม่มาด้วย Need You Now ..โดยซิงเกิ้ลนี้ ก็เป็นโชว์แห่งการสอดประสานทางเสียงระหว่างสมาชิกทั้งสาม ที่สร้างความลงตัวให้กับเพลงจังหวะกลางๆ ซึ่งมีไลน์ของดนตรีที่เร้าอารมณ์ ...ช่างเหมาะกับการสร้างอารมณ์ ให้คนที่ต้องการความรักอย่างปัจจุบันทันด่วน ผู้ขี้เกียจจะรอคอยอีกต่อไป Our Kind of Love ..คึกคักขึ้นมาอีก ด้วยดนตรีที่เร่งเร้ากว่า กับเพลงที่พูดถึงความรัก ซึ่งในความเป็นจริงก็มีอยู่มากมายหลายหลากชนิด แต่ให้เอาเข้าจริงสำหรับคนสองคนแล้ว ก็มีอยู่เพียงชนิดเดียว ที่พวกเขาเห็นดีเห็นงามด้วยกัน คือความรักที่เข้าใจกันเพียงแค่สองเรา ... American Honey ..ใครว่าคนมะกันทุกคน ชอบใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ เอาแต่ลุย ลุย ลุย เสมอไป คงไม่ใช่อย่างนั้นทั้งหมด ซึ่งเพลงนี้ก็เหมือนเป็นการพามะกันทุกคนกลับไปลองคิดถึงการใช้ชีวิตแบบช้าๆ เชื่องๆ ครั้งเยาว์วัย ดูบ้าง ที่ไม่ต้องการอะไรมาก นอกจากได้รับความสุขแบบเรียบง่าย ที่หาได้จากความใจเย็น ก็เท่านั้น ... Hello World ..ชีวิตคนเรา นอกจากจะต้องการความสุขที่เรียบง่ายแล้ว ก็ยังต้องการพบสิ่งที่ไม่ใช่ความยุ่งยากในชีวิตใดๆ อย่างเช่นที่เพลงนี้ บอกให้รู้ว่า บ้าน คือ สถานที่เดียวที่ทำให้เราหายเหนื่อยกับชีวิตที่เร่งรีบในทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเองแต่อยู่บ้านทุกวันก็คงไม่ไหวอยู่ดีกระมัง เพลงต่อมาอย่าง Perfect Day จึงได้ชวนให้เราออกจากบ้านดูบ้าง ซึ่งอาจจะได้ออกมาเผชิญหน้ากับวันที่สุดแสนสมบูรณ์แบบแห่งความสุข โดยไม่ต้องคิดถึงวันวานที่ผ่านพ้นซึ่งความทุกข์ หรือวันพรุ่งนี้ จะต้องกลับไปพบกับเรื่องเดิมๆ ที่ไม่น่ายิ้มให้ ... Love This Pain ..ใครว่าความเจ็บปวด จะเอามาแต่งเป็นเพลงมีจังหวะสนุกๆ ไม่ได้ วงนี้ขอแย้ง ด้วยเพลงนี้ ที่ยังตอกและย้ำอีกหลายๆ เพลงในโลกนี้ว่า ถึงเราจะเจ็บที่ต้องพบรักช้ำๆ แต่จะหาทางหลุดจากรักเหล่านี้ไปได้ มันช่างยากยิ่งจริงๆ ... When You Got a Good Thing ..เหมาะเหลือเกินกับการเอาไปใช้เป็นเพลงคู่ในงานแต่ง เพราะเนื้อเพลงจงใจจะพูดถึง รักแท้ อย่างชัดเจน สำหรับคนสองคนที่ได้หากันจนเจอ แล้วได้มามอบสิ่งที่ดีๆ เป็นการเติมเต็มให้แก่กันและกัน จนรู้แล้วว่าชีวิตขาดเธอไม่ได้ ... Stars Tonight ..บ่งบอกความรักในเสียงเพลงของวงนี้ ได้ด้วยเพลงนี้ที่พวกเขาได้สนุกไปกับการสร้างความสุขให้คนฟังเพลงของเขา โดยขอให้พวกเขาเป็น ดาราคนสำคัญ ในคืนนี้ และแท้จริงไปกว่านั้น พวกเขาคงจะหวังให้เป็นทุกๆ คืนแน่นอน ... If I Knew Then ..ซึมๆ เศร้าๆ กันดูบ้าง กับเพลงรักที่ไม่สมหวัง เมื่อทำได้แต่แอบสนใจใครบางคนเท่านั้น หากได้มารู้ช้าไปว่าตกหลุมรัก ก็เมื่อมันสายไปเสียแล้ว ซึ่งเพลงนี้คงหวังจะทำให้ใครหลายๆ คน กล้าจะพูดบอกคำว่ารักกันมากขึ้น ... Something Bout a Woman ..สื่อความหมายตรงตามชื่อเพลงทุกประการ กับการพูดถึงผู้หญิง กับบางสิ่งที่ทำให้ผู้ชายหลงรักเธอได้อย่างง่ายดาย อย่างหนึ่งที่เด่นในแง่ของดนตรีก็คือ การย้อนไปรำลึกเพลงลูกทุ่งในสมัยยุค 60-70 ที่เป็นเอกลักษณ์ภาพจำของเพลงแนวนี้ ...สุดท้าย ปิดด้วย Ready to Love Again ..ที่แสดงออกถึงความแข็งแรงขั้นสุด ของคนที่พอแล้วกับชีวิตอันโดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงา ขอได้รักใครอีกสักใครเป็นจริงเป็นจังเสียทีทั้ง 11 เพลงของอัลบั้มนี้ แม้จะคงความป็อบเอาไว้อยู่ในตัวของมันเองกันถ้วนๆ อาจด้วยความฟังง่าย มีเนื้อหาที่ไม่เรียกร้องการตีความให้มากมาย แต่หากเราอยากเข้าใจถึงจิตวิญญาณของเพลงลูกทุ่ง แบบมะกันแล้วละก็ ... ในเวลาปัจจุบันนี้ Lady Antebellum สามารถทำให้คุณได้สัมผัส ไม่ว่าจะด้วยภาษา ทำนอง หรือว่าที่สำคัญที่สุด ที่เป็นแนวทางของลูกทุ่งทั่วทั้งโลก คือ ความจริงใจ ซึ่งไม่มีวันเชยขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ