ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
2425262728 
 
23 กุมภาพันธ์ 2556
 
All Blogs
 
คนเฝ้าหนังสือ ตอนที่ 19

เสียงประตูร้านที่ถูกเปิดออกดังขึ้น โลกแห่งความเป็นจริงซึ่งมีเพียงหนังสือของคนเฝ้าหนังสือ ถูกแทรกแซงด้วยมายาที่ฟูลเรียกว่า ลูกค้า เหล่าผู้คนซึ่งเข้าใจว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกายข้างนอกนั้นคือโลกแห่ง ความเป็นจริง

'แต่ชีวิตแบบนั้นก็น่าสนใจไม่ใช่หรือ'

มันคือสิ่งที่เขาได้แค่เพียงอ่านจากในหนังสือที่มีอยู่มากมาย รับรู้จากผู้ที่เขียนมันขึ้นมาอีกที มองผ่านสายตา คิดผ่านความคิด และรับฟังผ่านหูของผู้ที่เป็นเจ้าของตัวอักษรเหล่านั้น

ความรัก ความเศร้า สุข ทุกข์ โกรธ เกลียด สมหวัง ผิดหวัง ดีใจ เสียใจ ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ และอื่นๆ อีกนับร้อยแปด ความหมายของชีวิต ความลับของความตาย ทุกสิ่งช่างแปลกประหลาดเสียเหลือเกิน

จะเป็นเช่นไรหากเขาได้ใช้ชีวิต ได้แหวกว่าย ได้รับรู้ในสิ่งเหล่านั้น

'ไม่' ร้านหนังสือแห่งนี้เท่านั้นที่เป็นทุกสิ่ง เป็นความจริงที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียว

เขาหันไปมองที่ประตู พร้อมกับเกิดความคาดหวังที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ ภาพของหญิงสาวสวมใส่เสื้อคลุมสีแดงซึ่งเคยพบกันครั้งหนึ่ง เมื่อสถานที่แห่งนี้มีสภาพเป็นร้านเช่าหนังสือเล็กๆ ณ ห้วงเวลาภายหลังสงครามครั้งใหญ่พึ่งสงบลง ภายใต้กระแสเวลาที่ไหลวกไปเวียนมาของห้องหนังสือแห่งนี้

“สวัสดี เจอกันอีกแล้วนะ” คุณยายส่งเสียงทักทาย

คำว่า 'เจอกันอีกแล้วนะ' ให้ความหมายที่ ขมติดปลายลิ้น พร้อมกับรสหวานนิดๆ กับเขาในเวลาเดียวกัน มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

“...ครับ...” เขาตอบได้เพียงแค่นั้น ภาพของผู้หญิงสองคนซ้อนอยู่ในตำแหน่งนั้น ซ้อนทับกันจนแทบจะกลายเป็นหนึ่งเดียว

'ใช่ หรือ ไม่ใช่เธอ แล้วจะเป็นอะไรไป' เขาพยายามเตือนตัวเอง

“สวัสดี หนังสือยังเยอะแยะเหมือนเดิมเลยนะ” เสียงคุณตาที่เดินตามเข้ามาทักทายบ้าง

หลังจากงานเลี้ยงน้ำชายามบ่ายจบลง ทั้งสองจึงตัดสินใจพากันเดินมายังร้านหนังสือแห่งนี้ เมื่อได้พูดคุยกับใครสักคน ยายก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม และคิดว่าหากได้หนังสือที่มีเนื้อหาเหมาะสมมาอ่านสักเล่ม สองเล่ม ก็อาจจะยิ่งช่วยได้มากขึ้น

ยายยังดีใจที่สามารถกล่อมให้ตาทิ้งหมวกตลกๆ ใบนั้นไว้ที่บ้านจนสำเร็จด้วย

“คุณมีหนังสือศาสนาอยู่บ้างไหม” ยายถามไม่รอช้า

เขาหยุดคิดครู่หนึ่ง

“ถ้าเป็นหนังสือเกี่ยวกับเรื่องของความเชื่อ ก็ลองค้นตู้ทางด้านโน้นดูนะครับ” เขาชี้มือบอก ไม่อาจละสายตาจากใบหน้าของเธอได้

'ความเชื่อ' ยายแปลกใจกับคำที่เขาใช้ แต่ก็เดินไปตามที่ชี้บอก ตาเองก็ตามไปด้วย

เขายังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน 'มันยังจ้องมองอยู่' เขาหมายถึงหนังสือแท้เล่มนั้น เขารู้สึกได้ว่ามันกำลังเฝ้าดูอย่างสนใจ แต่ทั้งสองต่างเคยเข้ามาในร้านก่อนหน้านี้ และมันก็ไม่ได้เลือกใครทั้งสิ้น

'มันยังจะรออะไรอีก' เขาไม่เข้าใจ

ถึงตอนนี้ เขาเพียงต้องการให้หนังสือนิทานเล่มนั้นจบลงเสียที 'น่าจะใกล้แล้ว' แม้จะรู้สึกเป็นห่วงเด็กคนนั้นมากขึ้นกว่าเดิมด้วยก็ตาม 'ฉันจะได้ไปจากที่นี่เสียที' ไปจากช่วงเวลาที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกสับสนวุ่นวายขึ้นภายในจิตใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

'ฉันไม่เคยเป็น หรือจะกลายเป็นอะไรทั้งนั้น นอกจากคนเฝ้าหนังสือ'

มันคือความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่เขามี ไม่ว่าในแต่ละช่วงเวลานั้น มันจะแตกต่าง มันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่มันจะยังคงเป็นห้องหนังสือ หนังสือ กับหนังสือแท้พวกนั้นเสมอ

'ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม'

เป็นหนังสือเล่มที่ผลิตขึ้นมาจากสารพัดวัสดุ ม้วนผ้าแพร ผืนหนัง แผ่นไม้ เปลือกไม้ ก้อนหิน ดิน ทราย เป็นกลุ่มข้อมูลดิจิตอล หรือแม้กระทั่งเป็นความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด ห้องหนังสือแห่งนี้คือทุกสิ่ง เป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง มันมีมาก่อนทุกสิ่ง และจะคงอยู่แม้เมื่อทุกอย่างจากไปแล้ว

และเขาอยู่กับมันตลอดมา

มันฟังดูไม่น่าเป็นไปได้ แต่มันคือความจริง เป็นจริงเหมือนกับการที่มีตัว 'เขา' อยู่ในตอนนี้นั่นเอง

ความเงียบที่ไม่ใช่ความเงียบอ้อยอิ่งอยู่ภายในร้าน ไม่มีใครพูดอะไร แต่มันก็ยังมีเสียงอื่นๆ เสียงที่จะได้ยินเมื่อตั้งใจฟังเท่านั้น เสียงของความเคลื่อนไหว เสียงพลิกเปิดหน้ากระดาษ เสียงหายใจ เสียงหัวใจเต้น เสียงการขยับตัวเปลี่ยนท่า เสียงของเสื้อผ้าเสียดสีกัน มันมีแม้กระทั่งเสียงเส้นเลือดที่บีบตัวไปตามจังหวะ เสียงของการกลืนน้ำลาย แม้กระทั่งการกระพริบตา มันคือเสียงของการมีชีวิตอยู่

เสียงที่แตกต่างไปจากทุกสิ่งที่เป็นห้องหนังสือแห่งนี้ และมันไม่เคยดึงดูดใจเขาได้มากมายถึงเพียงนี้มาก่อน

เวลาผ่านไป เฉพาะเมื่อมีลูกค้าอยู่ภายในร้านเท่านั้น ที่เขาจะสามารถบอกได้อย่างเต็มปากว่าเวลาผ่านไป เพราะในยามที่เขาอยู่เพียงลำพัง แม้แต่เวลาก็ยังไม่อยากเหยียบย่างเข้ามาภายในห้องหนังสือแห่งนี้

'เวลา ก็เป็นเพียงมายาเหมือนกับทุกสิ่ง'

ยายหยิบหนังสือถือติดมือมาด้วยหลายเล่ม ก่อนนำมาวางลงที่โต๊ะทำงานของเขา

“...ผมจะคิดราคาพิเศษให้นะครับ” เขาบอกออกไปโดยไม่ทันรู้ตัว

“ขอบใจนะ” ยายยิ้มน้อยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นราวกับจะทำให้ห้องที่ทึบทึมแห่งนี้สว่างขึ้นเล็กน้อย และริมฝีปากของเขาก็ขยับแย้มยิ้มไปด้วยเช่นกัน

“ฉันซื้อด้วยเล่มหนึ่ง คิดราคาพิเศษให้เหมือนกันใช่ไหม” ตาแทรกเข้ามา เขาพยักหน้า รอยยิ้มยังคงค้างอยู่ แต่ในดวงตานั้นไม่ได้ยิ้มเหมือนก่อนหน้าแล้ว

เขารับหนังสือเล่มนั้นมาพลิกดูราคาที่เขียนไว้ภายใน ยายจึงมีโอกาสได้เห็นหน้าปก มันเป็นรูปหน้าไพ่ ดอกจิก ข้าวหลามตัด โพธิ์ดำ หัวใจ มีทั้ง สีแดง สีดำ ตัดกัน เรียงสลับไปมา แต่ภาพที่โดดเด่นสะดุดตาอย่างที่สุดย่อมต้องเป็น 'ราชินีแห่งหัวใจ' ไพ่ที่บางคนเรียกว่าแหม่มหัวใจใบนั้น อย่างไม่ต้องสงสัย

ด้วยเหตุผลบางประการ มันทำให้ยายหวนนึกถึงงานเลี้ยงน้ำชาที่พึ่งผ่านไป การพูดคุยที่เป็นเหมือนกับการเต้นระบำไปรอบๆ คำถาม พวกมันดูวุ่นวายอย่างมีเหตุผล มีผู้คนที่อยากรู้คำตอบ แต่กลับไม่อยากพูดถึงมันตรงๆ เราจึงคิดสร้างคำแปลกๆ ขึ้นมาเพื่ออธิบายพวกมัน และยิ่งทำให้คำถามเหล่านั้นซับซ้อนขึ้นโดยไม่ตั้งใจ

จนสุดท้ายทุกคนพากันเลิกสนใจที่จะหาคำตอบที่แท้จริง และเอาแต่ถกเถียงกันถึงเรื่องคำถามที่ถูกต้องแทน

ในสวนนั้นเต็มไปด้วยชีวิตต่างๆ มากมาย 'มีคำถามที่ว่าชัดเจนอยู่ในทุกที่' รวมถึง 'เจ้าหนอนอ้วนตัวนั้น' ด้วย ยายนึกถึงมันเป็นพิเศษ หนอนตัวโตสีเขียวจัดที่มีดวงตาหลอกขนาดใหญ่อยู่ทางส่วนท้ายของลำตัว เพื่อใช้หลอกล่อให้เหล่าผู้ล่างงงวย ถึงขนาดที่แท้จริง ด้านไหนกันแน่ที่เป็นส่วนหัว หรือแม้กระทั่งว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่

'หมอนมีชีวิตอยู่ได้กี่วัน และพวกมันเคยสงสัยอะไรเกี่ยวกับความหมายของชีวิต คุณค่า เป้าหมายที่มันต้องไขว่คว้าไปให้ถึงบ้างหรือไม่'

มันเกาะอยู่บนเห็ดดอกใหญ่ที่ขึ้นอยู่บนตอไม้เก่าๆ ท่อนหนึ่ง ราวกับกำลังอยู่ในโลกแห่งเทพนิยาย มันนั่งนิ่งคอยรับฟังการเต้นรำไปรอบๆ ปัญหาที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่

'มันร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ แล้วการรักษาล่ะ'

'หมอเองก็ยังไม่รู้ ว่าจะได้ผลหรือไม่ ต้องลองดูก่อนแล้วถึงจะบอกได้'

'ค่ารักษาแพงเอาเรื่องทีเดียวนะ'

'นั่นแค่ครั้งแรกเท่านั้น และยังไม่รู้ว่าต้องทำอีกกี่ครั้ง'

คำตอบของยายทำเอาตาพูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน

แต่ไม่มีใครพูดว่า 'ฉันกำลังจะตาย' ไม่มีใครถามว่า 'แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น' 'ลูกหลานฉันจะเป็นอย่างไรต่อไป' 'แล้วฉันควรสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ' 'ฉันควรให้ลูกเก็บเงินไว้ใช้ ดีกว่าเอามาเป็นค่ารักษา ที่ไม่แน่ว่าจะได้ผล' หรืออะไรที่ต้องการคำตอบอย่างแท้จริง

'มา ดื่มน้ำชาผสมเห็ดสูตรพิเศษของฉันดูดีกว่า' ตาเปลี่ยนเรื่อง

'เห็ด' แก้วน้ำชาของยายที่กำลังยกขึ้นมา ถูกหยุดเอาไว้ด้วยความไม่แน่ใจ เธอลองดมมัน และภายใต้กลิ่นหอมที่หลากหลาย ก็มีกลิ่นที่คล้ายเห็ดรวมอยู่ด้วย ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะไม่ได้ล้อเล่น

'อร่อยนะ ลองชิมดู แม้จะบอกไม่ถูก อธิบายไม่ได้ก็ตาม'

ยายจิบคำหนึ่ง อมไว้ในปากสักครู่ กลืนช้าๆ ก่อนจิบซ้ำอีกครั้ง มันอธิบายไม่ถูกอย่างที่ว่า แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดที่จินตนาการไว้ แถมยังชุ่มคอดีด้วย

การพูดคุยหลังจากนั้นค่อยๆ เปลี่ยนไป และถึงมันจะไม่มีคำถาม หรือคำตอบที่ยายต้องการ แต่มันกลับทำให้ยายรู้สึกดีขึ้นได้จริงๆ

ยายไม่รู้ว่าตนเองกำลังสงสัย คนส่วนใหญ่ทำแบบนี้ได้ พวกเขาสงสัย แต่กลับไม่รู้ตัว

'บางทีสิ่งที่ฉันต้องการอย่างแท้จริง อาจไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นอะไรบางอย่างที่ต่างออกไป'

ราชินีแห่งหัวใจ คือผู้ที่มีอำนาจควบคุมเหนือทุกสิ่ง เธออาจทำร้ายใครๆ ด้วยการตะโกนออกคำสั่ง 'เอาไปตัดหัว' หรือด่าว่าให้เจ็บใจอย่างไรก็ได้ เธอไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวผู้ใด เพราะเธอคือราชินีผู้มีอำนาจสูงสุดในโลกที่เธอมองทอดสายตาออกไปจากตัวเอง ยกเว้นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือดวงใจของนางเอง และมันทำให้การเป็นราชินีแห่งดวงใจกลายเป็นเพียงเรื่องตลกในสายตาของใครบางคน

ราชินีแห่งดวงใจที่เอาแต่กรีดมีดเชือดเฉือนหัวใจของตนโดยไม่รู้ตัว

เขาหยิบหนังสือของคุณตาใส่ถุงยื่นให้ก่อน พร้อมลดราคา แม้จะแค่เพียงเล็กน้อยก็ตาม ก่อนหันกลับมาสนใจหนังสือเล่มที่เหลือของยาย

“คุณเคยอ่านหนังสือพวกนี้มาก่อนบ้างไหม” ยายถามถึงหนังสือที่ตนเลือกมา

เขามองดูหน้าปกของพวกมัน

“เคยครับ” เขาตอบไปตามจริง เขามีเวลามากมาย เขาอ่านหนังสือมาแล้วมากมาย 'ทำไมจะไม่ล่ะ' แต่มันก็ไม่เคยหมด หนังสือเปลี่ยนไปอยู่เสมอ มีหนังสือเล่มใหม่ๆ เข้ามาในร้านตลอดเวลา เขาไม่เคยรู้ว่าพวกมันมาจากไหน อย่างไร แล้วเล่มเก่านอกจากที่เขาขายออกไปบ้าง พากันหายไปอยู่ที่ไหน

ในใจของเขาพลันเกิดความสงสัยบางอย่างขึ้น

“...ทำไมคุณถึงเรียกพวกมันว่าเป็นความเชื่อ” ยายตัดสินใจถามออกไป ตามปกติเธอคงไม่คิดจะถามใครแบบนี้ แต่ตอนนี้เธอไม่ค่อยปกติ เธอกำลังเผชิญหน้าอยู่กับความตาย สิ่งที่เธอรู้ตลอดมาว่าไม่อาจหลบหนี สิ่งที่เธอคิดว่าได้ทำความรู้จักกับมันมาบ้างแล้วในระหว่างการเดินทางที่เรียกว่า ชีวิต

แต่สุดท้ายแล้ว ทั้งคู่ต่างก็ยังคงเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเหมือนเช่นเดิม

“เพราะมันเป็นเรื่องของความเชื่อครับ” เขาตอบกำปั้นทุบดิน

“มันเป็นเรื่องศาสนา...เรื่องของคุณค่า ความหมายของชีวิต” ยายจ้องดวงตาคู่นั้น รู้สึกได้ถึงความเก่าแก่ที่มากเกินกว่าใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของ ในขณะเดียวกันมันก็ใสกระจ่างราวกับดวงตาของเด็กๆ

“...ผมพูดผิดเอง ขอโทษด้วยครับ” ไม่มีประโยชน์ที่จะโต้เถียง ในเมื่อความจริงของเขามีเพียงห้องหนังสือ กับหนังสือแท้พวกนี้เท่านั้น ดังนั้นศาสนาจึงเป็นเรื่องของความเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย

นั่นเป็นสิ่งที่เขาพบเจอจากสิ่งที่เขียนอยู่บนหน้ากระดาษในหนังสือเหล่านั้น ผู้คนข้างนอกนั่นมีชีวิตอยู่ในท่ามกลางความเชื่อ มันเป็นธรรมชาติจนพวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้ว่ามีมันอยู่ เหมือนกับอากาศ เหมือนกับการเต้นของหัวใจ การทำงานของสมอง และสิ่งจำเป็นอื่นๆ

พวกเขาไม่มีวันรู้ตัวจนกว่าจะต้องสูญเสียมันไป

'เพราะฉันคิด ฉันจึงมีอยู่' เพราะฉันรับรู้ ทุกสิ่งจึงเป็นอย่างที่มันเป็น พวกเขาสร้างจักรวาลทั้งหมดขึ้นมาจากความเชื่อของพวกตน จักรวาลที่แตกต่าง เปลี่ยนแปลงเรื่อยไปไม่สิ้นสุด

'พวกเขาต้องเชื่อในอะไรสักอย่าง'

มนุษย์ไม่อาจเป็นเหมือนกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น พวกเขาไม่อาจแค่ เกิด เติบโต หาอาหาร แพร่พันธุ์ ตาย มันเป็นธรรมชาติเกินไป มันไม่มีความเชื่อ ไม่มีจินตนาการ ไม่มีอะไรในชีวิตแบบนั้นสำหรับพวกเขา

'ฉันต้องหยุดเดี๋ยวนี้' เขาเตือนตัวเอง

“...ขอบคุณที่มาอุดหนุนนะครับ” เขากล่าวทิ้งท้ายก่อนทั้งหมดจะอำลาจากกัน

เขามองผู้สูงวัยทั้งสองเดินผ่านประตูกลับคืนสู่โลกของพวกเขา ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าคุณยายคนนี้ต้องเป็นคนเดียวกันกับหญิงสาว 'หรือที่ถูกก็คือ หญิงสาวคนนั้นได้กลายมาเป็นคุณยายคนนี้แล้ว'

เขานึกถึงรอยยิ้มของเธอเมื่อครั้งนั้น กับรอยยิ้มของเธอในเวลานี้ รอยยิ้มที่มีช่วงเวลาห่างกันหลายสิบปี มันยังคงทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ในใจเหมือนเดิม รอยยิ้มเดียวของหญิงสาวที่เคยพูดคุยกันเพียงแค่ไม่กี่คำ

เขายิ้มในที่สุด

#####

'มันน่าจะเป็นแมว'

หรือหัวของแมวที่เรียกว่า 'เชสเซอร์ แคท' จากเรื่อง อลิซในแดนมหัศจรรย์

หลังจากคัดกรองข้อมูลที่ซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งเกิดจากการ ตัด แปะ ข้อความเดียวกันของเหล่าตัวตนในอินเตอร์เน็ต อันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามปริมาณของข้อมูลขนาดมหาศาลที่ถูกบรรจุลงไปในแต่ละวัน แต่ละชั่วโมง ทุกนาที ทุกวินาที

จักรวาลของข้อมูลที่ขยายตัวออกไปเรื่อยๆ จากการเริ่มต้นของข้อมูลบิทแรกที่ถูกใส่ลงไปในอินเตอร์เน็ต 'บิทแบง'

ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่ตัวตนในอินเตอร์เน็ตเองก็ยังถูกตัดแปะด้วยเหมือนกัน บุคคลหนึ่งสวมรอยเป็นอีกบุคคลหนึ่ง บุคคลหนึ่งสวมรอยเป็นใครที่ไม่เคยมีตัวตนอย่างแท้จริง มีตัวตนปลอมๆ ถูกทิ้งไว้ราวเศษขยะเป็นจำนวนมากตกค้างอยู่ภายในนั้น และพวกมันก็ทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

มันเป็นข้อสรุปที่ พอ ได้จากการค้นหาในอินเตอร์เน็ตตลอดช่วงพักกลางวัน เขาเคยอ่านเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว แต่ไม่ได้ใส่ใจมากนัก

'เนื้อหาของมันช่างวกวนเหลือเกิน'

เหมือนกับนิทานอื่นๆ อีกหลายเรื่องที่เขาเคยได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เขาเคยรู้สึกว่าพวกมันเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน แต่เขาคิดผิด พวกมันจะเรียบง่าย หรือซับซ้อนนั้น ขึ้นอยู่กับตัวผู้อ่านเองต่างหาก

'รอยยิ้มที่ไม่มีแมว' คือหัวแมวหายไปเหลือทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มค้างอยู่กลางอากาศ 'มันจะหมายถึงอะไรกันแน่' แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ

'นิทานส่วนที่เหลือหายไปไหน'

การผจญภัยของอลิซไปเกิดขึ้นกับใคร แล้วมีอะไรร้ายแรงกับคนผู้นั้นด้วยหรือไม่ เขารู้สึกกังวลถึงพริมมากกว่าใคร แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอทั้งสิ้น แม่เป็นคนถัดไปที่ใกล้เคียงกับอลิซอีกคน เขาไม่ได้นึกถึงคุณยายแม้แต่น้อย

เด็กหญิงที่มุดตามกระต่ายขาว ผู้ถือนาฬิกา เข้าไปในโพรงซึ่งกลายเป็นหลุมลึกจนเธอต้องล่วงหล่นลงไปอย่างไร้การควบคุม ก่อนพบเจอกับการผจญภัยอันแสนแปลกประหลาด

มีหลายอย่างที่สะดุดใจเขา

เธอร้องไห้จนน้ำตาท่วม ต้องลอยคอไปในกระแสน้ำตา พร้อมกับสัตว์ต่างๆ อีกมากมาย นั่นเป็นเรื่องหนึ่ง เธอตัวหดเล็กลง และขยายใหญ่ขึ้นหลายครั้ง ซึ่งมันทั้งช่วย และสร้างปัญหาให้กับเธอไปพร้อมกัน ข้อความที่เธอบอกในทำนองว่า เธอต้องโตขึ้น และนั่นเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ กับสุดท้ายเมื่อเธอตื่นขึ้น และทั้งหมดนั้นเป็นเพียงความฝัน

ความฝันแสนประหลาด หรืออันที่จริงแล้ว ชีวิตจริงนั้นแปลกยิ่งกว่า

แต่เมื่อยังไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น 'บางที' ถ้าเขาจะปล่อยให้นิทานทั้งหมดนี้ผ่านไป 'แค่บางที' สุดท้ายอาจจบลงด้วยดีก็เป็นได้

#####

แม่ค้าสาวใหญ่คนหนึ่งยกกระจกส่องหน้าขึ้นดูเงาสะท้อนของตน มีบางครั้งที่เธอเกิดนึกสงสัยขึ้นมาเหมือนกันว่า ใบหน้าที่แท้จริงของเธอนั้นเคยเป็นเช่นใด

'กระจกวิเศษบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี' นั่นอาจเป็นข้อความที่ใครหลายคนคิดในใจเมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่สิ่งที่เธอคนนี้คิดอยู่อาจแตกต่างออกไป

'คุณหมอบอกฉันเถิด ถ้าจะให้งามเลิศต้องผ่าตัดอะไรอีกดี อ้อ แล้วต้องใช้เงินมากเท่าไรด้วย' ความสวย ได้กลายเป็น สินค้า อีกชิ้นหนึ่ง รวมถึงอีกหลายสิ่งเท่าที่ผู้คนจะสามารถจินตนาการไปถึงได้

ใครคิดขึ้นได้ก่อน คนนั้นก็รวยก่อน

รถวิ่งช้าๆ ไปตามถนนเงียบๆ ในหมู่บ้าน ตัวรถสะเทือนเป็นระยะๆ เมื่อเจอเข้ากับเนินลูกระนาดที่มีอยู่ กระบะท้ายรถที่ถูกดัดแปลงไว้บรรทุกสินค้าที่รอเปลี่ยนเป็นเงินสั่นสะเทือนไปตลอดทาง

มันเป็นสินค้าธรรมดาๆ ที่จะไม่ทำให้คนที่เคยอ่านนิทานต้องรู้สึกแปลกใจแน่นอน


Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2556 21:37:48 น. 2 comments
Counter : 673 Pageviews.

 
แวะมาทักทายคุณzoi ค่ะ
อ่านที่กระทู้แล้วยังจะมานี่อีก อิอิ


โดย: lovereason วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:22:55:44 น.  

 
มาลงชื่อ...อ่านแล้วครับ


โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:12:36:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.