ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
4 พฤศจิกายน 2555
 
All Blogs
 
คนเฝ้าหนังสือ ตอนที่ 9

เด็กหญิงคนหนึ่งกับครอบครัวซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง มันเป็นช่วงเวลาสงคราม ความขัดแย้งอันยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งเด็กอย่างเธอไม่เข้าใจ แม้แต่ผู้ใหญ่อีกเป็นจำนวนมากก็ไม่เคยเข้าใจ พวกเขารู้เพียงว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก เวลาแห่งความสับสนวุ่นวายเท่านั้น

แต่สำหรับเด็กๆ แล้ว ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าเมื่อไร พวกเขาจะค้นพบความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ได้เสมอ พวกเขายังคงวิ่งเล่น และยิ้มได้ ซึ่งน่าเสียดายที่มันเป็นสิ่งที่เกือบทุกคนจะหลงลืมไปจนหมดเมื่อเติบโตขึ้น

จากเด็กน้อยกลายเป็นหญิงสาว เธอได้พานพบกับสงครามอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันเป็นสงครามที่แตกต่างไปจากเดิม มันเป็นสงครามของคนภายในครอบครัวเดียวกัน ถูกแบ่งฝ่ายด้วยความคิดที่แตกต่าง จากความไม่เข้าใจ แต่ก็ยังเหมือนกับสงครามในอดีตที่เธอเคยผ่านมา มันยังคงยากลำบาก สับสน วุ่นวาย และสุดท้ายก็ไม่มีใครเข้าใจ มันเป็นความขัดแย้งอันยิ่งใหญ่ในโลกใบเล็กของเธอ

ชีวิตล้วนเต็มไปด้วยคำถาม และเป็นคำถามที่อาจไม่มีคำตอบ หรืออย่างน้อยก็ไม่มีคำตอบแบบถูกผิดอย่างที่ใครๆ ต้องการ

หญิงสาวไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบาย แต่ก็ไม่ได้เลวร้าย มันจะมีคนที่ดีกว่า และแย่กว่าเธออยู่เสมอ แต่จะมีตัวเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น และนั่นคือสิ่งที่เธอยึดมั่น ชีวิตที่ผิดพลาด การแต่งงานที่พลิกผัน คนรักที่กลายเป็นเพียงอดีต ครอบครัว บางส่วนที่เคยเป็นโลกของเธอต้องแตกสลาย

'แต่ทั้งหมดนั้นก็คือตัวฉัน' และนั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด

“...ขอโทษครับ ท่าทางคุณจะคิดอะไรเพลินอยู่”

“...คะ” หญิงสาวคนนั้นค่อยๆ กลับกลายมาเป็นคุณยายที่ยืนอยู่ท่ามกลางหนังสือจำนวนมากมายภายในร้านแห่งนี้

ในตอนแรกเธอเห็นเพียงดวงตาที่จ้องมองมา ส่วนอื่นๆ ของผู้ที่พูดกับเธอถูกซ่อนเอาไว้ในความมืด แต่หลังจากนั้นเธอก็รู้ว่าตัวเองกำลังเข้าใจผิด ชายคนนี้ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับร่างกายทั้งหมดที่เขามี

'ตัวเขาไม่มีขน จมูกก็ไม่ได้ยื่นยาว และไม่มีเขี้ยวโผล่ออกมาจากปากด้วย' นั่นเป็นความคิดแปลกๆ อีกอย่างที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีที่มาที่ไป

“เอ่อ...ขอโทษที ฉัน...ฉันมัวแต่คิดอะไรเพลินอยู่ก็ไม่รู้”

เขายิ้ม เป็นยิ้มที่เต็มไปด้วยฟันขาว

“ลูกค้าบางคนของผมก็เป็นแบบนี้เหมือนกันครับ เวลาที่พวกเขาได้พบเจอหนังสือบางเล่ม หนังสือที่ผูกพันกับอดีตที่ไม่อาจลืม มันจะนำพาพวกเขาให้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลานั้นอีกครั้ง”

“...ไม่ ฉันยังไม่แก่จนหลงถึงขนาดนั้น” คุณยายส่ายหน้า พยายามฝืนยิ้ม

“โอ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่จะชี้ให้เห็นว่าใครๆ ก็อาจจะเกิดอาการแบบนี้ขึ้นได้เท่านั้นเองครับ”

เธอมองไปรอบๆ 'บางทีอาจไม่ใช่เพราะหนังสือ' อย่างน้อยก็ไม่ใช่หนังสือเล่มใดเล่มหนึ่ง แต่เป็นร้านหนังสือทั้งหมดนี้ต่างหาก ที่อาจทำให้เธอหวนคิดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาอย่างที่เขาว่า

“...ที่นี่มีหนังสือเยอะดี” เธอพยายามเปลี่ยนเรื่อง “แต่ทำไมถึงมาเปิดร้านอยู่ในที่แบบนี้ มันจะขายได้หรือ”

เขายิ้มเศร้า “บางครั้ง เราก็ไม่มีทางเลือกครับ”

เธอพยักหน้าอย่างเข้าใจ 'ชีวิตก็เป็นแบบนี้' แต่รอยยิ้มเศร้าๆ ของเขานั้น ดูไม่น่าไว้ใจ

“คุณมีหนังสืออยู่สักกี่เล่มกัน” เธอหันไปหยิบหนังสือจากตู้ที่อยู่ใกล้มือออกมาเล่มหนึ่ง มันเป็นหนึ่งในนิยายรักที่เธอเคยอ่านเมื่อตอนสมัยยังสาว 'นิยายรักเศร้า' ตัวเล่มหนังสือนั้นให้ความรู้สึกคุ้นมืออย่างประหลาด เธอลองเปิดดูภายใน พลิกหาหน้าที่เธอยังคงไม่ลืม

“ผมไม่เคยรู้เลย ว่ามีอยู่กี่เล่มกันแน่” นั่นเป็นความจริง 'นอกจากหนังสือแท้พวกนั้น' แต่เขาก็รู้แค่ว่า มีพวกมันอยู่ในร้านตอนนี้กี่เล่มเท่านั้น

'เหลืออยู่แค่สอง' ไม่ใช่ 'ที่ยังอยู่ในร้านตอนนี้ มีเพียงเล่มเดียวเท่านั้น'

เธอพลิกจนเจอหน้าที่ต้องการ ก่อนลูบปลายนิ้วไล่ไปตามตัวอักษรในความทรงจำ รอยสะดุดเล็กๆ บนหน้ากระดาษ ใกล้กับข้อความสั้นๆ ที่เคยสะดุดหัวใจเธอ

'ฉันรักเธอ' เป็นคำพูดสุดท้ายของตัวละครตัวหนึ่งในนิยาย ก่อนที่เขาจะตายจากหนังสือเล่มนี้ไปพร้อมกับดวงใจของ 'เธอ' คนนั้น รอยคราบน้ำหยดเล็กๆ ที่เหือดแห้งไปเนิ่นนาน รอยคราบน้ำตาหยดเล็กๆ ที่ไม่เคยเหือดหายไปจากความทรงจำ

มันอาจจะมีหนังสือสองเล่มที่เหมือนกัน คนอ่านสองคนที่เหมือนกัน หยาดน้ำตาสองหยดที่เหมือนกัน 'หรือบางทีอาจจะมีมากกว่าแค่เพียงสอง' เธอปิดมัน รีบเก็บคืนไว้ในที่เดิม

ความเงียบเริ่มป้วนเปี้ยนไปมาระหว่างคนทั้งสอง

“...มองหาหนังสือตามสบายนะครับ ผมจะนั่งอยู่ที่โต๊ะ”

“เอ่อ ไม่ดีกว่า ฉันจะกลับบ้านแล้ว” 'ฉันไม่มีเงินติดตัวสักบาท' เธอนึกได้

“คุณอาจได้พบเจอกับสิ่งที่คาดไม่ถึงก็ได้นะครับ” เขายิ้ม ยิ้มแบบพ่อค้าที่ดี ซึ่งแตกต่างจากพ่อค้าที่ซื่อสัตย์อยู่บ้าง

“ไม่ล่ะ ฉันกลับดีกว่า”

“เอ่อ” เขามองหน้าเธออย่างครุ่นคิด “ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณรู้จักกับเด็กผู้ชายตัวผอมๆ สวมแว่นตา สูง...” เขายกมือขึ้นกะ “ประมาณนี้ ดูเหมือนเขาจะชื่อ...”

“พอ” เธอว่า พร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เขาเป็นหลานฉันเอง”

“บังเอิญจริง สักครู่นะครับ” เขารีบย้อนกลับไปที่โต๊ะทำงาน หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาใส่ถุง

“มีความสับสนเกิดขึ้นเล็กน้อยระหว่างผมกับหลานชายของคุณยาย”

เธอขมวดคิ้ว พร้อมกับถามด้วยสายตา

“เมื่อวันก่อน เขาต้องการซื้อหนังสือเล่มนี้ แต่พอดี...เกิดความผิดพลาดขึ้นเล็กน้อย เขาจึงได้อีกเล่มไปแทน” เขาพยายามทำหน้าซื่อ

คิ้วของเธอยิ่งขมวดมากขึ้น “แล้วจนป่านนี้ เขาก็ยังไม่รู้ตัวว่าได้หนังสือผิดเล่มไป”

“เรื่องนั้นผมก็ไม่แน่ใจ แต่เขายังไม่เคยแวะกลับมาที่ร้านนี้อีกเลย ดังนั้น มันก็อาจจะเป็นไปได้ แม้จะดูเหลือเชื่อก็ตาม” เขายื่นถุงในมือให้เธอ

“คุณต้องการให้ฉันเอาหนังสือเล่มนี้ไปให้เขา”

“มันเป็นของเขาอย่างถูกต้องแล้ว และผมจะขอบคุณอย่างมากด้วยครับ”

เธอยื่นมือออกมารับ “...แล้วหนังสืออีกเล่มที่อยู่กับเขาล่ะ”

“ถ้าเขาจะเอามาคืนผมเองได้ก็คงดี” เขาหยุดนิดหนึ่ง “แต่บอกเขาว่าไม่ต้องรีบร้อน เขาจะอ่านมันให้จบก่อนก็ได้ มันเป็นหนังสือนิทานที่น่าสนใจมาก”

“ใช่ เขาควรจะต้องอ่านมันให้จบเสียก่อน” นั่นเป็นคำพูดทิ้งท้ายของเขา และบนใบหน้า ภายใต้รอยยิ้มชวนอึดอัดนั้น 'นั่นคือความเศร้าหรือเปล่านะ' เธอจากไปด้วยความไม่แน่ใจ

เมื่อก้าวพ้นออกจากประตูร้าน ก็ราวกับว่าเธอได้ก้าวออกมาจากอีกโลกหนึ่งซึ่งแตกต่างออกไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เธอพยายามบังคับตัวเองไม่ให้หันหลังกลับไปมอง

'ขวา ฉันต้องเลี้ยวไปทางขวา' เธอย้ำ พร้อมกับรู้สึกแปลกใจ 'ทำไมฉันถึงรู้สึกเหนื่อยอย่างนี้นะ' เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน บางทีเมื่อกลับไปถึงบ้านของลูกสาวแล้ว เธออาจต้องล้มตัวลงนอนพักสักหน่อย

เธอเงยหน้าขึ้นมองดูบ้านที่คล้ายกันไปหมดทุกหลัง บ้านสำหรับทุกคนที่ทอดยาวไกลไปจนสุดสายตาทุกทิศทุกทาง

'คราวหน้า ฉันอาจต้องหาก้อนกรวดมาเตรียมไว้เพื่อใช้โรยบอกทางก็เป็นได้' ดูเหมือนวิธีการที่เธอพึ่งนึกขึ้นมา มันจะมีอยู่ในนิทานอะไรสักเรื่อง

'ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วสักหน่อย' คุณยายนึกขำตัวเอง

หากหนังสือหนึ่งเล่ม คือชีวิตหนึ่ง บทนำ บทแรก หรือบทเริ่มต้นแห่งชีวิต คงเป็นบทที่ไม่มีใครสามารถจดจำพวกมันได้มากนัก ส่วนในบทต่อๆ มา ตัวละครก็จะเริ่มโลดแล่นไปตามเรื่องราวจนกลายเป็นตัวตนที่เด่นชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ตัวดี ตัวร้าย ตัวอิจฉา ตัวตลก บทบาทอื่นใด หรือว่าเป็นทั้งหมดนั้น

ตัวละคร กับ เรื่องราว จึงนับเป็นสองสิ่งที่ไม่อาจแยกจากกันได้

การผจญภัยไปตามเส้นทางชีวิตที่ไม่มีผู้ใดคุ้นเคย ไม่ต่างจากการเดินอยู่ในเขาวงกตที่สลับซับซ้อน ไม่ว่ากำแพงของมันจะทำด้วย ก้อนอิฐ ต้นไม้ ตู้หนังสือ หรือแม้กระทั่ง สังคม ในแต่ละแยก แต่ละโค้ง อาจซุ่มซ่อนไว้ด้วยภัยอันตรายหลากหลายรูปแบบ บางครั้งเราอาจหัวเราะ บางครั้งเราอาจร้องไห้ บางครั้งเราอาจตัดสินใจถูก บางครั้งเราอาจตัดสินใจผิดพลาด แต่ส่วนใหญ่คือเราไม่มีทางรู้ได้

ไม่มีใครสามารถแน่ใจกับการตัดสินใจในแต่ละครั้ง มันอาจจะผิด ถูก หรือทั้งสองอย่าง และแม้มันจะผ่านไป จนเราได้เห็นผลที่เกิดตามมา เราก็ยังคงไม่แน่ใจอยู่เช่นเดิม

เหตุการณ์สำคัญมักเกิดขึ้นในช่วงกลางเล่ม เรื่องราวที่เข้มข้นจะชักนำทั้งตัวละคร และผู้อ่านไปอย่างลื่นไหล กว่าที่เราจะรู้ตัวอีกครั้ง หน้าหนังสือก็ถูกใช้มาจนถึงช่วงท้ายเล่มเสียแล้ว เราไม่อาจล่วงรู้ว่ายังหลงเหลืออยู่อีกกี่หน้า ไม่อาจรู้ว่าตอนจบจะเดินทางมาถึงเมื่อไร

แต่เราต่างรับรู้ได้ว่า มันใกล้เข้ามาแล้ว

ฟูล นั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะทำงาน

'อาจจะเป็นเธอคนนั้นก็ได้' ภาพของเด็กผู้หญิงในชุดเสื้อคลุมสีแดงยืนตาโตอยู่ท่ามกลางตู้สูงที่รายล้อม ราวกับพวกมันเป็นผืนป่า เป็นป่าแห่งหนังสือ นับเป็นภาพที่เขาไม่อาจลบเลือนไปจากความทรงจำได้โดยง่าย แต่เขาไม่แน่ใจ และไม่มีวันจะแน่ใจ โดยเฉพาะกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน ร้านหนังสือ แห่งนี้

เขามองไปที่ตู้ใบหนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกจับจ้อง สายตาของเขาเลื่อนไปหยุดอยู่ที่สันของหนังสือเล่มหนา มันอยู่นิ่ง สงบ แต่โดดเด่น มันคือ หนังสือแท้ อย่างไม่ต้องสงสัย มันเฝ้ามองด้วยความสนใจ ตั้งแต่ที่คุณยายก้าวเข้ามาภายในร้าน

แล้วมันก็หายไป จากไปเหมือนกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน ดูเหมือนว่า 'ที่นี่' จะไม่มี 'เป้าหมาย' สำหรับมัน นั่นก็หมายความว่า

'เหลือเพียงเด็กผู้ชาย กับหนังสือนิทานเท่านั้น'

#####

“ครูอ้อม เรียกฉันไปพบ” พอ ถามพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปที่หน้าอกของตนเองด้วยความประหลาดใจ

มิว เจ้าของร่างอวบพยักหน้า เอาแต่ก้มมองพื้น ทั้งคู่ไม่ค่อยสนิทกันนัก

“ให้ฉันไปหาที่ห้องพยาบาลเดี๋ยวนี้” เขาถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ

“ใช่” มิวตอบเพียงสั้นๆ มือทั้งสองขยับไปมา ราวกับไม่รู้ว่าจะเอาพวกมันไปไว้ที่ไหนดี

“มีเรื่องอะไร นายพอรู้ไหม”

มิวเอาแต่ส่ายหน้าท่าเดียว จนในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ 'ไว้ไปถามครูอ้อมเองก็ได้'

“ฉันไปก่อนนะ ขอบใจนายมาก”

มิวยืนยิ้มให้กับแผ่นหลังของเพื่อนที่กำลังเดินจากไป รอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาทั้งสองของเขามองเห็นเป็นเพียงรอยขีดเฉียงๆ สองเส้นบนใบหน้าอวบเท่านั้น

“สวัสดีครับ ครูอ้อม” เขาส่งเสียงทักเมื่อเปิดประตูห้องพยาบาล แล้วเดินเข้าไป มันเป็นห้องเล็กๆ ที่มีเตียงนอนสองเตียง ผ้าม่านที่ใช้กั้นแบ่งให้เป็นสัดส่วนถูกเปิดไว้ทั้งหมด ส่วนอีกด้านหนึ่งของห้องมีตู้ที่ใช้เก็บเครื่องมือสำหรับการปฐมพยาบาล กับกลิ่นเฉพาะตัวที่พบได้ตามสถานพยาบาลแทบทุกแห่ง ในห้องมีเพียงเขากับครูเพียงสองคน

“...เข้ามาก่อนสิ แล้วปิดประตูด้วย”

'ปิดประตู' เขาลังเลแต่ก็ทำตามที่ครูสั่ง 'วันนี้ครูมีท่าทางไม่ค่อยปกติ' เธอดูตื่นๆ พยายามหลบสายตา แถมดังดูเหมือนจะหน้าแดงอีกด้วย

“ไปข้างหลังบังตานั่น” ครูชี้ แล้วเขาก็เดินงงๆ ไปตามนั้น แต่คำสั่งที่ตามมาทำเอาเขาคิดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง

“...แล้วก็ แล้วก็...ถอด ถอดกางเกงออกด้วย”

“หา” เขาร้องลั่น หยุดเดิน แล้วหันกลับมา

“...ไม่ต้องอาย ครูเป็นครูของเธอ ไม่มีอะไรต้องอายทั้งนั้น” แต่เป็นตัวครูเองต่างหาก ที่กำลังหน้าแดงไปจนถึงใบหู เธอรู้สึกราวกับว่าใบหน้าของตนกำลังจะถึงจุดเดือด

ในท่ามกลางความเงียบที่เกิดขึ้นชั่วครู่ 'นั่นเสียงอะไร' เขาได้ยินเสียงเบาๆ ดังมาจากอีกด้านหนึ่งของประตูห้อง

“เธอเป็นนักเรียน ครูเป็นครู และครูต้องคอยช่วย...” เธอยังคงพูดอะไรไปเรื่อยๆ ในขณะที่เขาย่องกลับไปที่ประตู

“นั่นเธอ...” เขายกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปาก ครูมองดูลูกศิษย์ของตนอย่างไม่เข้าใจ

“...เขาถอดหรือเปล่า...”

“...ทำไมเงียบไป...”

“ชู่ว”

มันเป็นเสียงที่คุ้นเคย 'โดยเฉพาะเสียงหนึ่งในนั้น' เขากระชากประตูออกอย่างแรง หลายคนที่กำลังแนบหูอยู่กับบานประตูต่างตกใจวิ่งหนีหายไปคนละทิศละทาง พร้อมกับเสียงหัวเราะ หนี่งในนั้นคือ มิว และยังมีคนอื่นๆ อีก แต่มีอยู่สองคนที่เขาคุ้นเคยเป็นพิเศษ

'อะตอมกับพริม' เขาไม่อยากเชื่อ ที่ไม่อยากเชื่อคือมีเธอคนนั้นร่วมด้วย

“ครูจะไปบอกครูประจำชั้นของพวกนั้น” ครูอ้อมกำลังโมโห และ พอ รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

อะตอมมาบอกครูอ้อมว่า พอ มีปัญหาบางอย่างที่ไม่รู้จะไปปรึกษากับใครได้ โดยเฉพาะเมื่อปัญหานั้นอยู่ภายใต้กางเกงของเขา และ พอ อายเกินกว่าจะกล้ามาหาเธอตรงๆ เขาจึงทำหน้าที่เป็นผู้มาประสานเรื่องให้

'ครูเป็นครูของพวกเธอ มีเรื่องอะไรก็ปรึกษาได้ทั้งนั้น' เธอตอบไปอย่างมั่นใจ ตาเป็นประกาย และมันกลายเป็นเพียงเรื่องหลอกแกล้งกันเท่านั้นเอง

“อย่าเลยครับครู”

“ทำไมล่ะ เธอเองก็โดนพวกเขาแกล้งด้วยนะ” เธอสงสัย

“ให้เรื่องจบแค่นี้เถอะครับ”

“เธอกลัวว่าจะโดนพวกเขาแกล้งยิ่งกว่านี้ใช่ไหม ไม่ได้นะ ยิ่งเธอทำตัวยอมแบบนี้ พวกเขาก็จะยิ่งรุมแกล้งเธอมากกว่าเดิม” ครูพยายามอธิบาย

'ไปกันใหญ่แล้ว' เขาไม่รู้ว่าจะบอกครูอย่างไรดี แต่ทั้งหมดนี้คงเป็นเพราะอะตอมเพียงคนเดียวเท่านั้น และจริงๆ แล้ว เพื่อนของเขาก็ไม่ได้เป็นคนแบบนี้ 'แต่เขาก็ทำเกินไป' ตั้งแต่ที่สระว่ายน้ำแล้ว เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเพื่อนถึงต้องจงใจแกล้งเขาแบบนี้

และมีอีกคนที่เขาไม่อยากปักใจ ยังไม่อยากเชื่อว่าจะร่วมมือด้วย

“ก็ได้ แต่ถ้ามีแบบนี้อีกครั้ง ครูไม่ยอมแล้วนะ”

“ครับ” เขาลังเล “แล้วผมจะไปคุยกับพวกเขา ให้มาขอโทษคุณครูด้วย”

“ดี ครูจะรอ”

เขายังไม่รู้เหมือนกันว่าครูอ้อมจะต้องรอไปถึงเมื่อไร แต่อย่างน้อยก็คงต้องรอจนกว่าเขากับเพื่อนจะกลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรก พวกเขาเคยทะเลาะกันมาแล้วหลายสิบครั้ง นั่นเป็นเรื่องปกติ แต่ครั้งนี้เขารู้สึกได้ว่ามันไม่ธรรมดา เขาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกได้อย่างไร

เลิกเรียน เขายังคงต้องเดินกลับบ้านอย่างเดียวดาย แต่เมื่อผ่านประตูรั้วโรงเรียนออกมา ข้างนอกนั่น มีใครอีกคนกำลังยืนรอเขาอยู่


Create Date : 04 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2555 16:15:03 น. 1 comments
Counter : 774 Pageviews.

 
ใครยืนรอพอน่ะ


โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 4 พฤศจิกายน 2555 เวลา:21:27:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.