ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
2425262728 
 
8 กุมภาพันธ์ 2556
 
All Blogs
 

คนเฝ้าหนังสือ ตอนที่ 17

หนึ่งสุนัขกับสองคน เดินไปด้วยกันเงียบๆ ในใจของทั้งสามต่างมีอะไรมากมาย แต่เด็กทั้งสองนั้นยังไม่มีใครอยากที่จะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน ส่วนอีกหนึ่งตัวก็ไม่สามารถที่จะสื่อสารอะไรได้มากไปกว่าการมองตา หรือส่งเสียงเห่าที่ไม่มีความหมายสำหรับมนุษย์เท่านั้น

ท้องฟ้ามืดมิดลงแล้ว บนนั้นยังคงมีดวงดาวอยู่มากมาย แต่กลับไม่อาจมองเห็น ภายใต้กลุ่มหมอกควัน และแสงเมืองที่เรืองรองขึ้นจากพื้น มีเพียงจันทร์เสี้ยวลอยเด่นอย่างเดียวดาย เดียวดายทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ดวงดาวต่างๆ ก็ยังคงอยู่เคียงข้างเสมอ

บางทีท้องฟ้าเบื้องบนอาจเป็นเงาสะท้อนของเมืองที่ทอดตัวอยู่เบื้องล่างก็เป็นได้

ขนุนกำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความตื่น ครึ่งหนึ่งของที่มันแบ่งปันกับโลกในความฝัน มันเดินผ่านไปในกลิ่นต่างๆ รอบกายอันแสนคุ้นเคย กลิ่นที่ทำให้มันรู้สึกปลอดภัย แต่มันก็ยังอดคิดถึงโลกที่มีขอบคมนั้น โลกที่มันมีโอกาสได้สัมผัสเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ได้

โลกที่ไร้ชื่อ ไร้สิ่งซึ่งเรียกว่าเจ้านาย มันเป็นโลกที่น่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในยามที่มันกำลังย่ำเดินไปในโลกประหลาดใบนั้น ภายในตัวมันกลับไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความหวาดกลัวเลย มีเพียงแค่ชีวิต ทุกสิ่งเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องทำความเข้าใจ

มันจึงทั้งน่ากลัว และน่าสนใจในเวลาเดียวกัน

“...บ้านของขนุนต้องไปอีกทาง” อะตอมพูดขึ้นลอยๆ เมื่อถึงทางแยก

“อื้อ” พอ ตอบ โดยไม่เจาะจงถึงใคร

ทั้งสามกำลังจะแยกย้ายจากกัน ชั่วเวลาพริบตานั้น สายตาของเด็กชายทั้งสองก็มาพบกันเข้าพอดี

“...ขอบใจนะ” อะตอมว่า

“ไม่เป็นไร...” พอ ตอบ

ทั้งสองฝ่ายหันหลังให้กันก่อนก้าวเดินไปคนละทาง ทั้งคู่ต่างอดไม่ได้ที่จะเหลียวกลับไปมองฝ่ายตรงข้าม ในคนละช่วงเวลาราวกับนัดกันไว้ จึงได้เห็นเพียงแผ่นหลังของกันและกัน แต่ดูเหมือนภายในใจชองทั้งสองนั้นจะมีบางอย่างที่เปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งคู่ต่างคาดว่า การพบกันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ต้องมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นแน่

แม้แต่ขนุนเองก็ยังคิดเช่นนั้น

#####

พอ นั่งมองคนนั้นทีคนนี้ที บรรยากาศบนโต๊ะอาหารคืนนี้ชวนอึดอัดอย่างที่ไม่เคยเป็น คุณยายดูเป็นปกติมากเกินไป ในขณะที่ทั้งแม่ และพ่อต่างมีท่าทางไม่ปกติเลย 'มีบางอย่างเกิดขึ้น' ดูเหมือนว่าทั้งหมดตัดสินใจที่จะไม่พูดถึงมันต่อหน้าเขา แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงมองเห็นเงาสีดำลางๆ ล่องลอยอยู่เหนือโต๊ะตลอดเวลา

เงาที่มองดูคล้ายกับใบหน้าของสัตว์บางชนิด ใบหูใหญ่ ตาโตแวววาว พร้อมกับรอยยิ้มกวน 'ไม่ใช่หมาป่า' เขามั่นใจ มันมองดูเหมือนพร้อมที่จะปรากฎ หรือหายไปได้ตลอดเวลา เขาไม่แน่ใจว่ามันมีอยู่จริง 'ถ้าอย่างนั้นคนอื่นก็ต้องเห็นด้วยสิ' หรือมีอยู่เพียงในความคิดของเขา 'แล้วฉันไปเอาความคิดบ้าๆ ที่ไหนสร้างมันขึ้นมา'

แต่รอยยิ้มของมันไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด

“...ไปหาหมอมาวันนี้ เป็นอย่างไรบ้างครับคุณยาย” เขาตัดสินใจเอ่ยถามออกไป

เสียงช้อนกระทบจานดังขึ้นก่อนตามมาด้วยความเงียบช่วงระยะสั้นๆ

“ยายต้องทำการรักษาเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย แต่ก็ไม่มีอะไรหรอก” คุณยายเป็นคนตอบเองพร้อมด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่แม่ก้มมองจานข้าวตรงหน้า ส่วนพ่อก็หันมองไปทางอื่น

'มันต้องเกี่ยวข้องกับอาการป่วยของคุณยายแน่' เขามั่นใจ แต่ก็ตัดสินใจว่าจะไม่ถามอะไรเพิ่มเติมอีก เพราะตัวเขาเองก็มีเรื่องที่ต้องคิดเช่นเดียวกัน ผู้ใหญ่ต่างมีเรื่องราวของพวกเขา เด็กเองก็เช่นกัน ที่มีเรื่องราวของพวกตน

คืนนี้เขามีเรื่องที่คิดจะทำ นั่นคือการค้นห้องอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อหาหนังสือนิทานที่หายไปเล่มนั้น ยายเองก็มีเรื่องต้องคิดจนทำให้นอนลืมตาอยู่จนดึก พ่อกับแม่ก็มีเรื่องที่ต้องกระซิบกระซาบพูดคุยกันภายในห้องนอน ซึ่งมีทั้งการถกเถียง และเสียงร้องไห้ปะปนกันไป

#####

'จงระวัง หนังสือแท้นั้นมีชีวิต'

ข้อความจากเจ้าของร้านหนังสือฟูลยังคงล่องลอยอยู่ภายในหัว พอ พยายามจับความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากมัน จะเป็นคำขู่อย่างที่เขาเคยเข้าใจ จะเป็นคำเตือน หรือว่าที่จริงแล้วมันเป็นเพียงแค่ประโยคบอกเล่าธรรมดาเท่านั้น บางครั้งเมื่อไม่มี เสียงตะโกน กำปั้นที่ยกชู หรือท่าทางโกรธแค้นประกอบ มันก็คาดเดาได้ยาก

เขากำลังอยู่ในความฝันที่เหมือนจริงพวกนั้นอีกครั้ง อยู่ในนิทาน และเขาไม่แปลกใจเลยสักนิด เขายังคงค้นหาหนังสือเล่มนั้นไม่พบ และดูเหมือนเนื้อเรื่องของมันจะยังคงดำเนินต่อไป บางทีสิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำอาจเป็นเพียงแค่อ่านมันต่อไปในความฝันจนกว่าจะจบเท่านั้นก็เป็นได้

'ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ดี'

เขามั่นใจว่ามันจะต้องมีวัตถุประสงค์บางอย่าง เรื่องราวทั้งหมดนี้ต้องมีเป้าหมาย เพียงแต่เขายังไม่รู้เท่านั้น และเขากลัวว่าการไม่รู้คำตอบ อาจทำให้เกิดสิ่งที่เลวร้ายขึ้นได้ เหมือนกับที่มันเกือบจะเกิดขึ้นกับคุณยาย และเพื่อนของเขา หากเขาไม่ทันนึกว่าการถูกแกล้งทั้งหมดนั้นเป็นส่วนหนึ่งจากนิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ หรือไม่นึกสงสัยเรื่องขวานของคนตัดฟืนในหนูน้อยหมวกแดง

ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองคนนั้นกันแน่ เขาไม่อยากที่จะนึกถึงมันเลย

โลกสดใสรอบตัวเขาเหมือนมีเพียงความเงียบสงบ ทุ่งหญ้า ดอกไม้ หมู่บ้าน ปราสาท ก้อนเมฆ สายลม มันเป็นสภาพที่เหมาะสม แต่ยังไม่มีนิทานเรื่องใดๆ เกิดขึ้น

'นิทานยังไม่เกิด' เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่สำคัญถูกซ่อนอยู่ในประโยคสั้นๆ นี้

ในความจริงแล้วคงมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา มันต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นเสมอ เหมือนกับเวลาที่เขานั่งดูรายการข่าว และมันมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก บางสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยสักนิด บางสิ่งที่เกิดขึ้นในสถานที่แสนห่างไกล

มีพายุพัดที่นั่น แผ่นดินไหวที่โน่น ผู้คนเดินขบวน เหตุการณ์เลวร้าย การเฉลิมฉลอง กลางวัน กลางคืน และอะไรต่างๆ อีกมากมาย รวมถึงการที่มีคนเกิด และคนตายด้วย ทั่วทั้งโลกมีสิ่งต่างๆ มากมายเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน

หาก โลก หมายถึงการรับรู้ของแต่ละคน โลกคงเป็นเพียงสถานที่แคบๆ ที่ไม่กว้างไกลไปกว่า ระยะของสายตา การได้ยิน และความรู้สึกของคนคนนั้น ซึ่งก็คือขอบเขตการรับรู้ของเขา แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว สิ่งต่างๆ ก็ยังคงเกิดขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าตัวเขา หรือคนอื่นๆ จะรับรู้ถึงมันหรือไม่ก็ตาม แม้แต่ในป่าลึก หรือใต้ท้องทะเลที่ยังไม่เคยมีมนุษย์คนใดเหยียบย่างไปถึง

มันเหมือนกับเป็นโลกเล็กๆ นับแสน นับล้าน หลายล้านล้าน เป็นเศษชิ้นส่วนที่ถูกนำมาประสานรวมเข้าด้วยกัน และนั่นยังเป็นแค่เพียงโลกใบเล็กของเรานี้เท่านั้น

แล้วอวกาศอันเวิ้งว้างห่างไกลนั้นเล่า หากมันมีอยู่จริง ก็จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นอยู่เสมอ หรือบางทีมันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหากเราไม่เชื่อ เราก็ไม่อาจแน่ใจ ไม่มีหลักฐานอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ทั้งสิ้น

“สวัสดี พอ คนที่ผ่านทางมา” เสียงกระซิบแหบห้าว ดังออกมาจากในพุ่มไม้ 'ไม่เคยมีพุ่มไม้อยู่ตรงนี้มาก่อน' เขามั่นใจ ก่อนขยับถอยห่างออกมาอย่างลืมตัว เมื่อมองเห็นดวงตาสีแดงคู่นั้น

“...ลูฟ” เขาพึมพำ

“ช่าย นั่นคือชื่อของข้า ชื่อที่แบ่งแยกตัวข้าออกจากสิ่งอื่นๆ ชื่ออันแสนสำคัญ” มันยังคงกระซิบเหมือนเดิม จนเขาไม่แน่ใจในน้ำเสียงที่ได้ยิน ซึ่งทำให้ไม่แน่ใจในความหมายของประโยคที่พึ่งจบลง 'มันประชดประขันอะไรหรือเปล่า'

“เอ่อ มี...” เขากำลังจะถามว่ามันมาหาเขาด้วยเรื่องอะไร

“เงียบหน่อย ถึงข้าจะพึ่งได้กินแกะมาทั้งฝูง แต่ข้าก็ต้องอดกินของดีๆ ไปหลายอย่าง เพราะใครบางคน...” มันหยุดครู่หนึ่ง “ช่างเถอะ ตอนนี้เจ้าต้องอยู่เงียบๆ ให้ข้าก่อน”

ดวงตาสีแดงของมันช่างแวววาว และเมื่อเขาเผลอจ้องมองเข้า ก็ไม่อาจถอนสายตากลับมาได้ มันคงคล้ายกับที่เขาเคยได้ยินเรื่องงูที่จ้องมองเหยื่อ แล้วสามารถทำให้พวกมันหยุดนิ่งราวกับถูกสะกด

ก่อนที่งูจะกลืนกินมันลงไปทั้งเป็น

ห่างออกไปไม่ไกล มีอีกสิ่งกำลังเกิดขึ้น ใครสามคน หรือจะให้ถูกคือสามตัวเดินผ่านใกล้เข้ามา พวกมันกำลังพูดคุยปรึกษาอะไรบางอย่าง ทั้งสามควรเป็นพี่น้องที่แตกต่าง แต่กลับมองดูเหมือนกันราวกับเป็นตัวเดียวกัน

“มันเป็นข่าวร้าย ดูเหมือนคนตัดฟืนจะช่วยคุณยายไม่สำเร็จ” ลูกหมู 'มันไม่เหมือนลูกหมูสักนิด' ตัวแรกพูด

“น่าสงสารหนูน้อยหมวกแดง...ว่าแต่เธอเป็นพวกหมวกแดงรุ่นที่เท่าไรแล้วนะ ฉันจำไม่เคยได้สักที” ลูกหมูตัวที่สองว่า

“เธอคงต้องใช้เงินอีกมากโข เพื่อจัดการกับหมาป่าที่เหลือนั่น” ลูกหมูตัวสุดท้ายบอก

'หมาป่าที่เหลือ' ฟังดูทั้งพิลึก และน่ากลัวในเวลาเดียวกัน ซึ่งยังไม่รวมถึงการที่มีหมาป่าอีกตัวหนึ่ง 'หวังว่ามันจะมีครบทั้งตัว' แอบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ห่างออกไปเพียงไม่ไกล

“ได้ยินมาว่าเธอเองก็มีค่าใช้จ่ายต่างๆ มากมายอยู่แล้ว”

“ใช่ ใช่” ลูกหมูอีกตัวสนับสนุน ตอนนี้เขาเริ่มแยกพวกมันไม่ออกแล้ว “ยังมีเรื่องเรียนต่อของลูกชาย ที่จำเป็นจะต้องใช้เงินก้อนใหญ่นั่นอีก”

“ข้าวของต่างๆ ก็แพงขึ้น การงาน อนาคตยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน” พวกมันตัวหนึ่งบ่น และทำให้เขานึกถึงใครบางคน

ถึงตอนนี้มันเริ่มฟังไม่คล้ายกับนิทาน และเป็นอีกครั้งที่มันฟังดูทั้งพิลึก และน่ากลัวในเวลาเดียวกัน ใบหน้าของลูกหมูทั้งสามเคร่งเครียดจริงจัง

“หนูน้อยหมวกแดงจะตัดสินใจอย่างไรกันนะ มันคงเป็นเรื่องยาก ค่าใช้จ่ายมากมายสำหรับการรักษาที่ยังมองไม่เห็นอนาคต ไม่รู้ว่าจะหายหรือไม่ สุดท้ายมันอาจเป็นการนำเงินทั้งหมดที่มีไปโยนทิ้งน้ำก็เป็นได้”

“อา นั่นเป็นคุณแม่ที่น่ารักของเธอเองเชียวนะ” มันทำหน้าเศร้า

“แต่อีกด้านหนึ่งนั้น ก็เป็นอนาคตของครอบครัวเธอเองเหมือนกัน” อีกตัวถอนหายใจ “เป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยากนะ ว่าไหม”

ทั้งสามตัวต่างพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่พวกมันทั้งหมดจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นพร้อมๆ กัน จังหวะการก้าวเดินกลายเป็นการเต้นระบำ พวกมันทั้งสามเต้นผ่านพุ่มไม้ไปโดยไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย

'ดูเหมือนนิทานจะเริ่มขึ้นแล้ว'

“ฉันจะสร้างบ้านด้วยฟาง เพียงไม่นานทุกอย่างก็จะเรียบร้อย” ลูกหมูตัวโตว่า

“ฉันจะสร้างบ้านด้วยไม้ มันจะแข็งแรงกว่า แม้จะใช้เวลามากขึ้นอีกนิด” ลูกหมูตัวกลางบอก

“แต่ฉันจะสร้างบ้านด้วยก้อนอิฐ มันใช้เวลานานที่สุด แต่จะแข็งแรงทนทานยิ่งกว่าบ้านของพวกพี่ทั้งสอง” ลูกหมูตัวเล็กพูดอย่างมั่นใจ

“มันเสียเวลาเกินไป” พี่ใหญ่ว่า “มันไม่จำเป็นถึงขนาดนั้น” พี่กลางสนับสนุน

“แล้วถ้าเกิดมีหมาป่าบุกมาล่ะ” น้องเล็กยังไม่ยอมแพ้

“ก็ถ้ามันไม่มีเล่า” พี่ใหญ่ถาม “แค่บ้านไม้ก็พอแล้ว” พี่กลางย้ำ

“จริงอยู่ที่ว่า ถ้ามีหมาป่าบุกมา บ้านที่ก่อด้วยก้อนอิฐอาจแข็งแรงที่สุดก็จริง แต่ถ้าหมาป่าฉลาดมากพอ หากมันสามารถหาจุดอ่อนของบ้านจนพบเล่า ทั้งหมดก็เป็นการเสียแรงเปล่าอยู่ดี” พี่ใหญ่เถียง

“แล้วถ้าไม่มีหมาป่าก็ยิ่งแล้วใหญ่ จะสิ้นเปลืองกันไปเปล่าๆ เอาแค่บ้านไม้ก็ช่วยป้องกันอันตรายได้ระดับหนึ่งแล้ว” พี่กลางยืนยันคำเดิม

“ไม่ล่ะ คิดมากกันเกินไปใหญ่แล้ว บ้านฟางสร้างก็ง่าย อยู่ก็สบาย แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว เราจะดิ้นรนให้เกินตัวไปทำไม”

“แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้นะ”

“กังวลจนเกินเหตุไปแล้ว”

“แต่ใครจะรู้อนาคต”

“มันก็ต้องมีความพอเหมาะพอดี”

เสียงของทั้งสามดังสลับไปมา ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เถียงกันจนกระทั่งต่างเดินลับหายไปตามทาง หลงเหลือเพียงตัวเขา กับลูฟที่ซ่อนอยู่ในพุ่มไม้เพียงเท่านั้น

ณ เนินเขาห่างออกไปไม่ไกล เริ่มเกิดความเคลื่อนไหววุ่นวาย ดูเหมือนการก่อสร้างบ้านของลูกหมูสามตัวจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว พวกมันไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่า แผนการสร้างบ้านของแต่ละตัวได้ตกอยู่ในกำมือ เอ่อ อุ้งเท้าหน้าของหมาป่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหากพวกมันรู้เรื่องนี้ จะมีความเปลี่ยนแปลงในการสร้างบ้านของแต่ละตัวหรือไม่ ย่อมไม่มีใครรู้ได้

“เอาล่ะ” เสียงดังออกมาจากในพุ่มไม้เดิม “เจ้าคิดว่าข้าควรจะทำอย่างไรดี”

“ทำ ทำอะไรล่ะ” เขาตอบเมื่อร่างกายหลุดพ้นจากสายตาที่สะกดเอาไว้ พยายามใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว

“เจ้าเองก็ได้ยินแผนของพวกมันแล้ว ถ้าเจ้าเป็นตัวข้า เจ้าจะทำอย่างไรเพื่อ จัดการ กับลูกหมูทั้งสามตัวนั้น” คำว่า จัดการ นั้นให้รสแปลกหู มันเหมือนกับเสียงของคมเขี้ยวที่กัดลงบนก้อนเนื้อที่ชุ่มฉ่ำ เนื้อเสต็กกึ่งสุกกึ่งดิบแบบที่บางคนชอบรับประทาน เนื้อที่เวลากดมีดลงไปแล้วจะมีของเหลวสีเข้มไหลซึมออกมา

เขามีคำตอบอยู่แล้วภายในใจ เริ่มจัดการกับบ้านไม้ก่อนที่จะสร้างเสร็จ หลังจากนั้นก็เป็นคิวของบ้านอิฐที่ยังไม่มีทางเรียบร้อย สุดท้ายจึงค่อยย้อนไปจัดการกับบ้านฟางที่พังง่ายที่สุด

“เอ่อ ก็จัดการกับบ้านฟางก่อน” พี่ใหญ่จะได้หนีไปหาพี่กลาง “จากนั้นก็เป็นบ้านไม้” ทั้งสองก็จะหนีไปหาน้องเล็ก “แล้วค่อยจัดการกับบ้านอิฐทีหลัง...ก็ ถึงอาจจะพลาดหลังสุดท้าย อย่างน้อยก็ยังจัดการได้ถึงสองในสาม” ก็หวังว่าสองพี่น้องคงหลบหนีได้ทัน และบ้านอิฐจะแข็งแรงพอ

'เหมือนกับในนิทานที่ฉันเคยฟัง'

“เหรอ...” เสียงแหบห้าวนั้นลากยาว “แต่ข้าว่าแผนที่เจ้าคิดฟังดูดีกว่ากันเยอะเลย”

'แผนที่เจ้าคิด' มันหมายถึงแผนที่อยู่ในใจของเขาอย่างนั้นหรือ

“เอาเถอะ ข้าก็ถามไปอย่างนั้นเอง” มันพูดจายียวน “ความจริง ข้าสนใจสิ่งที่พวกมันพูดถึงก่อนหน้านั้นมากกว่า เรื่องของคุณยาย กับหนูน้อยหมวกแดง เจ้าเองก็คงคิดว่ามันน่าสนใจใช่ไหม”

มันพูดแทงใจดำ “...ก็ อาจจะ” เขาตอบเลี่ยงๆ ไป

ดวงตาสีแดงคู่นั้นจ้องมาจนเขารู้สึกกังวล

“บางที ข้าควรจะเริ่มหัดเป่าได้แล้วใช่ไหม เป่าให้สุดแรง เป่าให้บ้านพวกมันกระจายไปเลย” มันเริ่มส่งเสียงหัวเราะแหบห้าวพิลึกพิลั่นจน ใบไม้ พุ่มไม้นั้นเขย่าไปมา

'ตัวของมันที่ซ่อนอยู่ภายในมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่นะ' แล้วทำไมมันถึงไม่ยอมออกมาให้เขาได้พบเห็นตัวเลยสักครั้ง ทำไมเหล่าตัวร้ายถึงชอบหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังหน้ากาก ผ้าคลุมสีดำ หรือไม่ก็ในเงามืด บางทีทั้งหมดอาจมีบางสิ่งที่คล้ายกัน 'บางทีอาจคล้ายกับอนาคตก็เป็นได้' อาจฟังดูแปลก แต่เขาคิดว่าทั้งสองสิ่งนี้มีบางอย่างคล้ายกันจริงๆ

ทั้งความน่ากลัว และอนาคต ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองเห็น คาดเดาได้ยาก นั่นจึงทำให้พวกมันน่าหวาดหวั่นในแบบที่พวกมันเป็นอยู่

'ตื่นได้แล้วลูก'

ทุกสิ่งรอบตัวเขาค่อยๆ ลางเลือน เหมือนกับผิวน้ำที่เคยสงบนิ่งก่อเกิดเป็นระลอกคลื่น ครั้งนี้เขารู้สึกดีที่ความฝันทั้งหมดกำลังจะสิ้นสุดลง เขาจะได้ไปจากเจ้าหมาป่าเสียที

'เราจะต้องได้พบกันอีก' เสียงแหบห้าวนั้นฟังดูลางเลือน เหมือนลอยมาจากที่ห่างไกล

เขาลืมตาขึ้น

“เราจะพบกันอีก” เสียงแหบห้าวนั้นราวกับกระซิบอยู่ที่ข้างหู เขาสะดุ้งรีบลุกขึ้นนั่งมองไปรอบกาย เขาอยู่บนเตียง ในความมืด ภายในห้องของเขา และไม่มีสิ่งใดผิดปกติ

“ตื่นได้แล้ว...” แม่เปิดประตูเข้ามาเรียกอีกครั้ง “ถ้าตื่นแล้วก็รีบลุกมาอาบน้ำ วันนี้แม่จะต้องพาคุณยายไปข้างนอกอีก พ่อจะแวะส่งลูกที่โรงเรียน แล้วเย็นนี้ก็รีบกลับบ้านด้วยล่ะ” แม่หยุดไปเหมือนไม่อยากพูดต่อ

“...บางทีเย็นนี้เราอาจมีเรื่องต้องคุยกัน” แม่ปิดประตู ปล่อยเขาให้นั่งอยู่ในความมืดต่อไป

เขาคิดว่าหากนั่งอยู่เงียบๆ อีกสักพัก เขาอาจเริ่มได้ยินเสียงหายใจเบาๆ หรืออาจรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองออกมาจากเงาที่มืดที่สุดภายในห้องก็เป็นได้ เขารีบลุกไปจัดการกับธุระส่วนตัวในยามเช้า พร้อมกับนึกถึงความฝันไปด้วย

'ถ้าเรื่องที่ลูกหมูสามตัวพูดคุยกันในความฝันนั้นเป็นความจริง' เขาหมายถึงเรื่องของคุณยาย หนูน้อยหมวกแดง กับครอบครัวของเธอ และหมายถึงการที่มันเป็น 'ความจริง' เหมือนกับบางเรื่องที่เขาได้พบเจอมา ตอนนี้มันเริ่มเป็นเรื่องยากที่เขาจะไม่เชื่อเหมือนเมื่อก่อน

'แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป'

ที่สำคัญกว่านั้น หากเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากหนังสือนิทานที่หายไป มีสาเหตุมาจากร้านหนังสือฟูลแห่งนั้นจริง เขาควรจะทำอย่างไรต่อไป 'ฉันยังไม่รู้' แต่เขาต้องรู้ให้ได้ และควรจะเร็วที่สุดด้วย เขาต้องคิดแผน ลูกหมูที่ดียังต้องมีการวางแผนสร้างบ้านเพื่อรับมือกับหมาป่า

ไม่ว่ามันจะเป็นแผนการที่บ้าบอขนาดไหนก็ตาม




 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2556
4 comments
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2556 7:57:37 น.
Counter : 625 Pageviews.

 

แวะมาเยี่ยมบล็อคค่ะ
เดี๋ยวไปเมนท์ที่กระทู้ค่า

 

โดย: lovereason 8 กุมภาพันธ์ 2556 15:00:13 น.  

 

 

โดย: มาโซคิส 9 กุมภาพันธ์ 2556 10:21:58 น.  

 

อืม ยังติดตามอยู่ครับ
บางที ผู้ใหญ่นี่ก็แปลก ชอบให้เด็กไปรู้เรื่องราวจากคนอื่นแทนที่ปากของตนเอง

 

โดย: อาณาจักรแห่งเรา 11 กุมภาพันธ์ 2556 9:36:33 น.  

 

 

โดย: มาโซคิส 13 กุมภาพันธ์ 2556 23:19:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.