ไปปีนเขา ที่เขาสก เหงื่อตกติ๋งๆ
แง๊ หน้าร้อนมาแล้ว พร้อมเหงื่อเหนียวๆ นั่งอาบมาได้ 3 วันเต็มๆ แล้วงั้นมาทำการบ้านอัพบล็อกท่องเที่ยวไทยอาบเหงื่อดีกว่า
อาทิตย์ก่อนหยุดยาวมีราชรถมาเกย ได้ร่วมทางกับ Trekkingthai Tour ฟรีๆเพราะอาเจ่ แจกอั่งเปาเป็นแพ็กเกจทัวร์ เขื่อนเชี่ยวหลาน เดินป่าเขาสก 3 วัน สองคืน เราก็ไม่ขัดศรัทธา ลางานสองวันครึ่งแต่ซ้อมลาตั้งแต่วันจันทร์แล้ว ฮี่ฮี่
งานนี้ปรากฏว่าเจอลูกทัวร์เบี้ยวหลายราย สุดท้ายสมาชิกผู้ทรงเกลียดเหลือแค่ 4 หน่อ เป็นที่อัศจรรย์ใจของคุณไกด์เป็นอย่างยิ่ง เป็นครั้งแรกที่ลูกทัวร์จำนวนน้อยขนาดนี้ แต่ไม่เป็นไรเพราะเราคุณภาพคับเสื้อ นั่งรอรถตู้มารับเกินเวลาเล็กน้อย เพราะรถที่จัดไว้มีปัญหา ก็เลยได้เปลี่ยนเป็นรถป้ายแดงคันใหญ่ ลูกทัวร์ก็นั่งหนาวกันไป ก็แอร์มันแรง
ออกตัวช้าไปนิด แต่ก็ไปถึงสุราษฏร์ตรงเวลา ตื่นมาทานข้าวต้ม ปาท่องโก๋ตอนประมาณ 6 โมงเช้า ซักแห้งเสร็จเรียบร้อย ก็ที่ร้านข้าวต้มนั่นแหละ อากาศวันไม่ทำงานนี่มันช่างสดชื่นดี เราอยู่ที่ทางเข้าเขื่อนรัชประภาพอดีเลย เป็นพระยาน้อยชมตลาด ซื้อของกินที่ตลาดนัดตอนเช้านิดหน่อยก็มุ่งหน้าเข้าเขื่อนกันเลย
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่มาที่นี่ เมื่อสี่ปีที่แล้วมาช่วงปลายฝนต้นหนาว อากาศจะเย็นๆ มีหมอกลงเรี่ยเขา เรานอนพักหน้าแพเลย แต่รอบนี้เป็นหน้าร้อน แดดได้ใจจริงๆ มาถึงคุณไกด์ก็พาเดินไปถ้ำน้ำทะลุกันเลย เอาวะ เดินแบบเปียกๆเราบ่ยั่น เป็นห่วงแต่ออมม่าเราเอง ก็เขาไม่อยากเปลี่ยนรองเท้าผ้าใบ กลัววันรุ่งขึ้นจะไม่มีรองเท้าแห้งๆใส่ ก็เลยให้ต้องออมม่าลากแตะยางเป็นเด็กแนว เทรกกิ้ง โรยตัว แช่น้ำ เดินป่ากันไป-กลับร่วม 3 ชั่วโมง ค่อยๆ กลิ้งกลุ๊กๆกันไป สนุกดี คุณไกด์บอกว่า หน้าร้อนน้ำไม่มากเท่าไหร่ แบบนี้ถือว่าผจญภัยแบบเบาะๆ ภายในถ้ำนั้นมืดมาก ดีที่ติดตัวเอาไฟฉายแถมถ่านมา 2 อัน ตอนนี้มันก็เสียชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ทำให้การเดินถ้ำสนุกสนาน ตายในหน้าที่สมที่เป็นไฟฉายแถมแล้วหละ
ถ้ำน้ำทะลุ อยู่ในหมู่เกาะ แต่จริงๆคือ ภูเขาที่จมน้ำ เมื่อตอนที่เขากั้นเขื่อน เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ทีเดียว เดินได้สบายๆไม่อึดอัด เหม็นกลิ่นอุนจิพี่แบทแมนเป็นพักๆ แต่เราเคยไปถ้ำผีแมนมาแล้ว ที่นี่ก็เลยชิวๆ พอหายใจเข้าได้ ที่นี่ก็มีหินงอก หินย้อย และแร่แคลไซท์กะเขาเหมือนกัน พอเป็นประกายแวววาว แต่ว่าไม่ได้เน้นการบรรยายประกอบเกี่ยวกับรูปร่างของหินเท่าไหร่ ไม่ฮาเท่ากะที่ถ้ำเชียงดาว ใครเคยไปคงขำกลิ้งกะมุกไกด์ท้องถิ่นที่นั่นไม่น้อย ที่นี่ก็คือ หินรันตู ครับพี่น้อง ผ่านไปไม่ได้ (ก็รูตันไง - -")
ที่ถ้ำน้ำทะลุนี้ เขาเน้นกิจกรรมเดิน ปีน ว่ายน้ำ ทะลุถ้ำมากกว่า สนุกดี ชอบมาก ตื่นเต้น ขอแนะนำเมนูนี้ เก็บภาพมาด้วย คุณไกด์ยังปลื้ม เพราะไม่ค่อยมีคนเอากล้องเข้ามากลัวจะสำลักน้ำ แต่กลุ่มเราน่ะสามารถ อ้อ เวลาเข้าไปชมถ้ำ อย่าเอามือไปแตะหินนะจ๊ะ เพราะไขมันจากมือ (หรือพุง T_T) เราจะทำให้ปฏิกริยาระหว่างแคลเซียมกับน้ำ หรือ ออกซิเจนเปลี่ยนไป หินก็อาจจะหยุดงอก หยุดย้อย กลายเป็นหินห้อย คอยเก้อนะจะบอกให้ ไกด์เขาเตือนมา
ขากลับก็เดินสบายๆ เจอผีเสื้อ นก หนู ตามข้างทาง อ้อ เจอต้นกระบากใหญ่เหมือนกับที่อุทยานตากสินเลย แต่ไม่ทราบอายุ เห็นในรูปช่วงหน้าฝนมีมอสขึ้นเขียวสด แต่ตอนนี้ขึ้นมาหรอมแหรมไม่ค่อยงามเท่าไหร่
คืนแรกพักที่ บ้านคลองคละ บ้านพักที่มาเล็งเอาไว้เมื่อสี่ปีก่อน มาตอนนี้สภาพภายนอกทรุดโทรมไปนิดหน่อย ตอนเรือวิ่งเข้าไปจอดหน้าท่า เห็นนกเงือกบินผ่านหัวไปร้อง แกร๊กๆ ต้อนรับเราซะด้วย ที่เกาะในเขื่อนมีนกเงือกอาศัยอยู่ไม่น้อย ชาวบ้านที่นี่เขาเข้าใจความเป็นอยู่ของมันดี อยู่ร่วมกันได้ คืนนี้เขาจะพาไปดูนกนอนหลับ อุอุ ไปลักขโมยดูนกมันหลับ แต่ขอไปเล่นน้ำก่อน ตั้งใจไว้ตั้งแต่สี่ปีก่อน จะได้ไม่ต้องมาอีกรอบ
กว่าจะลงไปเล่นได้ก็พักใหญ่ ตัวขี้เกียจขี่หลังอยู่ กว่าจะสะบัดลงได้ก็เย็นๆแล้ว วันนี้ได้รู้ความลับของชูชีพ ถ้าเราเอาขาใส่แทนแขนละก็ เราก็จะได้เก้าอี้ลอยน้ำดีๆนี่เอง ชอบมาก เหมือนเก้าอี้แมงกะพรุน ที่นี่มีเรือให้พายเล่น แต่เราเป็นผู้หญิงเหมาะจะยิงเรือมากกว่ากระมัง ซักพักโดนอาเจ่ไล่ให้ไปเล่นน้ำต่อเถอะ อย่ามาถ่วงเรือเจ่เลย
คืนนั้น อาหารจานเด็ด เป็นแกงส้ม หรือแกงเหลืองปลากด กับ ปลาแร่ดทอด อืมม อาหารเวลามาเที่ยวอุทยาน ก็ประมาณนี้หละ เจ้าหน้าที่มาแหย่ว่า เผ็ดหน่อยนะทำพริกหล่นไปสองโล ปากบานครับแต่งานนี้สู้ตายปลาสดมาก เขาเลี้ยงในกระชังในเขื่อนนี่แหละ พอจะกินก็ช้อนมาส่ง แม่ครัวที่นี่ทำอาหารอร่อย คุยเก่งด้วย กินไปคุยไป ทั้งอุทยาน วันนั้นมีทัวร์เพื่อนน้อยแค่เราเจ้าเดียว เออ อิ่มจัง หนังตาหย่อน พุงก็ป่อง ตะลึ่งตึงตึ๊ง
ไม่ทันไรเขาก็มาตามให้ไปส่องนก เอาเรือออกไปข้ามคุ้งเดียวก็ถึง เจอนกนอนหลับบนปลายไม้นับได้ก็หลายตัวอยู่ ถือว่าโชคดีของกรุ๊บเรา แต่โชคร้ายที่ไม่ได้เอาแว่นไปก็เลยเห็นแท่งอะไร เหลืองๆดำบนปลายไม้ เขาชี้นกก็ว่านกหละนะ ว่าแล้วก็ชี้ชวนกันดูดาว เอ๊า ชี้ดาวก็ว่าดาว วันรุ่งขึ้นไปกันต่อ ทานข้าวต้มหมูก่อนไปขึ้นจุดชมวิว งานนี้ต้องตุนเพราะเดินไกล ขึ้นเขาด้วย อร่อยอีกแล้ว แม่ครัวก็มาชวนคุยอีก น่ารักจริง เอาไว้มีโอกาสจะมาอีกนะ
นั่งเรือไปถึงเกาะที่จะขึ้นไปจุดชมวิว ก็เจอนกเหยี่ยวบินปาดหัวไปอีก ที่นี่ดูเป็นป่าอุดมดีแท้ วันนี้ ออมม่าขอเฝ้าเรือกะคุณไกด์เราสามคนกะพี่สตีฟไกด์ท้องถิ่นก็ขึ้นกันไปน่าจะเป็นกรุ๊บแรกของวันนี้เพราะยังไม่เที่ยงเลย วันนี้เราติดตัวถุงมือเอาไว้ปีนหินแหลมคมมาด้วย ออกตัวไปกัน หยุดเป็นพักๆ เพราะทางจะชันไปซักพัก ก็เป็นทางราบ สลับไปมาเหมือนขั้นบันได เดินไปซักเกือบชั่วโมงก็ได้ยินเสียงสวบสาบ อี๊ดๆ สตีฟผู้ใส่นันยางเดินป่ามาหลายเพลาโดยไม่ง้อไนกี้ บอกว่าเป็นลูกหมูป่ามันมาวิ่งเล่น ก็ทำเอาหมูบ้านตื่นเต้นไปด้วย ย่องๆตามพี่สตีฟไปเรื่อยๆ จนเจอกอไผ่มีร่องรอยตีนหมูสดๆ เฮ้อ หมูบ้านเกือบผจญหมูป่าซะแล้ว เอ มันหลงทางเหมือนหมูดำ พีจัง รึเปล่านะ 555
เหงื่อเริ่มตก เพราะอากาศเริ่มร้อน หยิบน้ำมาจิบ เดินต่อไปซักพักก็เจอหน้าผาหิน แสดงว่าเราใกล้จะถึงแล้ว หยิบถุงมือมาสวม เริ่มปีนกันละครับท่าน ลูกลิงอย่างเราชอบมากขอบอก งานนี้ชิวๆ ปีนไม่กลัว กลัวทางชัน ซักพักเล็กๆเราก็ถึงจุดชมวิว อืม ก็คุ้มเหนื่อยนะ เห็นแต่ละเกาะไกลออกไป คล้ายๆกับหมู่เกาะอ่างทอง แต่คงยังสูงไม่พอ มุมไม่กว้างขนาดนั้น กว่าจะกะดึ๊บๆไปนั่งจุดที่เค้าถ่ายรูปกันก็นานอยู่ เสียวๆกะความสูง เข้าใจแล้วว่าภาพที่เขาลงในเว๊บทำไมหน้าเซียวๆกัน มันคงแหยงๆแหละ ข้างล่างเป็นหินทั้งนั้น ว่าแล้วก็เอาขวดน้ำวางไว้ กลัวหล่นไปข้างล่าง มีเสียงดัวแครก พรืด ขวดน้ำที่อุตส่าห์แบกขึ้นมา หล่นลงรูตาจี๊ดไปซะแล้ว พี่สตีฟยังใจดีบอกว่าจะลงไปดูให้ แต่เอาเหอะให้ตาจี๊ดแกไปแล้วกันรูใหญ่ๆตั้งเยอะไม่หล่น ดันไปลงรูน้อยของแกเข้า สมน้ำหน้า หิวน้ำกันไป โทษทีนะเจ่ ขาลงก็เลยเร่งๆเหมือนกะเจ้าตาก ทุบหม้อทุบไหที่เมืองระยองไปซะแล้วนี่ หวังจะไปตีเมืองจันทร์กินข้าวกินปลากันที่โน่น เออ ว่าไปนั่น
ลงมาถึงเรือก็หิวงั่กเลย คุณไกด์เตรียมน้ำหวานไว้ให้ ได้น้ำตาลเข้าไป นึกว่าจะพอเรอะ ต้องข้าวกะเพราไข่ดาว กินไปเรือวิ่งไป ลมก็เย็น วิวก็สวย กะเพรากระจายรดเสื้อ รดหน้า น้ำหวานกระฉอก อร่อยได้อารมณ์เจงๆ สกปรก เอ๊ยสนุกกันพอแล้ว ก็ได้เวลาอำลา เขื่อนเชี่ยวหลาน กุ้ยหลินเมืองไทย เขาว่ากันว่าสวยกว่ากุ้ยหลินที่เมืองจีนอีกนะ คุณไกด์เขาบอก ใครยังไม่เคยไปก็ลองเที่ยวเมืองไทยดูนะ ไม่ไปไม่รู้ เฮ้อ อาลัยพี่สตีฟ กะแม่ครัวคนเก่งไม่น้อย ใครไปเที่ยวอย่าลืมถามหาเขาล่ะ
จากนั้นไปต่อที่เขาอุทยานแห่งชาติสก ที่นี่ก็เคยมาแล้ว แต่พอเจอทากก็ใจฝ่อ เผ่นไปเกาะสมุยซะคราวกระโน้น คราวนี้นอนรีสอร์ทหรู มีต่ะฝรั่ง มะม่วงเพื่อนน้อยกลุ่มเราก็หงอยไปเลย ขอบอกว่าที่นี่ทำอาหารห่วยมาก เราไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างต้มยำกับต้มข่าได้ นอกจากสีของซอสมะเขือเทศ ดีที่คุณไกด์กรุณาไปหาอาหารไทยจากรีสอร์ทคุ้นกันข้างๆมาได้ รอดกันไปมื้อนี้ อ้อ ขอโทษคุณหมุ่มสาวฝรั่งคูหนึ่งด้วยนะ เจอทัวร์บ้านหูแตกเข้าไป เค้าเลยต้องหนีไปทานข้างนอก แหม เสียดายวิวดีๆ ฮี่ฮี่
ที่นี่ก็สวยดี บ้านพักแบบไทยๆ มีหน้าต่างไม้แบบไม่มีมุ้งลวด แต่ต้องนอนในมุ้งเพราะยุงชุม บ้านก็อยู่ข้างลำธารหลังเขา พอดึกๆก็หนาวเหมือนกัน เพราะฝนเทมาเมื่อตอนเย็นๆ เราตัดสินใจว่าวันรุ่งขึ้นจะไม่ไปดูบัวผุด เพราะเขาบอกว่าทางชันแบบคอนตินิวอัส แปลว่าชันกันไปเรื่อยๆ ไม่มีทางราบ งานนี้ขอเป็นลูกกตัญญูอยู่เป็นเพื่อนแม่ จิบยาแก้ไอ แต่กาลกลับกลายเป็นว่า บัวมันเพิ่งผุดระหว่างทางไกลๆนั้นอ่ะ พี่สาวเราก็เลยได้เดินป่ายามเช้าชื่นชมบัวผุดแบบสดๆร้อนๆ เพิ่งบานเมื่อตอนตีสาม แบบพอเหงื่อซึม
งานนี้ก็เสียดายเพราะอากาศดีด้วย ได้รูปแสงลอดต้นไม้ยามเช้าๆมาให้เราอิจฉาเล่น ไอ้บัวผุดเราเฉยๆ ฟังคุณพี่นักข่าวท้องถิ่นแกโม้ให้ฟังก็พอตื่นเต้นอยู่ อาเจ่เราได้อัดเสียงสัมภาษณ์ซะด้วยไม่รู้จะได้ออกรายการส่องสัตว์ เอ๊ยส่องโลกรึเปล่า ทริปนี้ก็สบายๆ ทดสอบสมรรถภาพร่างกายในระดับหนึ่ง แต่ก็ดันมาถอดใจซะปลายทาง ให้เป็นที่เสียดายไม่น้อย แล้วก็ได้เวลาบอกตัวเองว่าต้องฟิตร่างกายเป็นครั้งที่ร้อยแล้วกระมัง ^ ^
Create Date : 13 มีนาคม 2550 |
|
14 comments |
Last Update : 13 มีนาคม 2550 20:43:08 น. |
Counter : 903 Pageviews. |
|
|
|
ขอบคุณที่ไปเยี่ยมบล็อกนะคะ