เหตุเกิดตอนอาหารกลางวัน (อีกแล้ว)ของวันศุกร์ที่ผ่านมา วันนี้ไม่มีเพื่อนร่วมโต๊ะเมาท์ระหว่างมื้อ เนื่องจากฉันออกไปทำธุระข้างนอก กว่าจะเสร็จก็เกือบเที่ยง ขากลับเลยแวะร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำระหว่างทางที่จะเข้า Office นั่นเอง เป็นที่พึ่งพิงยามยากนอกจากอาหารหลัก ซึ่งก็คือ ก๋วยเตี๋ยว แล้ว ภายในร้านยังมีขนมหวานไทยๆ ประเภท ข้าวเหนียวมะม่วง กล้วยบวชชี ข้าวเหนียวดำ เต้าส่วน อะไรเหล่านี้ไว้บริการลูกค้าด้วย ขนมหลายชนิดบรรจุในภาชนะสแตนเลสตั้งอยู่เรียงรายบนโต๊ะไม้เก่าๆที่ถูกปูทับด้วยผ้าพลาสติดลายดอกไม้สีหม่นๆ ดูจากปริมาณขนมที่เหลือแล้ว วันนี้คงยังขายไม่ได้มากเท่าไหร่นักคนขายเป็นหญิงวัยกลางคน ผอมบาง ใบหน้าซีดเซียวดูอิดโรยแต่แฝงรอยยิ้มเจือจาง คอยเดินเข้าไปถามลูกค้าที่มานั่งทานก๋วยเตี๋ยวแต่ละโต๊ะ 'รับขนมไม๊คะ'ในส่วนที่เป็นแผงตั้งขนม มีเด็กสาววัยรุ่น หน้าตาขาวซีดประมาณกัน อายุประมาณ 1ุ6-17 ปี ยืนประจำที่เพื่อคอยตักขนมเวลามี order คงจะเป็นลูกสาว ฉันนั่งมองท่าทีกระตือรือร้นของด็กหญิง เวลาตักขนมใส่ถ้วยและเดินเไปสริฟให้ลูกค้าตามโต๊ะโดยไม่อิดออดอย่างรู้สึกชื่นชมอยู่ในใจ เพราะส่วนมากฉันมักจะเห็นเด็กวัยรุ่นขนาดนี้ ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนมากกว่าที่จะมาช่วยผู้เป็นแม่ทำงาน
ก่อนออกจากร้าน ฉันสั่งขนมใส่ถุงจำนวน 15 ถุง เพื่อนำมาให้พนักงานใน Office สองแม่ลูกช่วยกันตักขนม และผู้เป็นแม่เดินหิ้วถุงขนมมาส่งใ้ห้ฉัน พร้อมกับบ่นพึมพำอะไรมาตามทาง จนถึงที่โต๊ะ จึงพูดว่า '175 บาทค่ะ..ใช่ไม๊' ทำหน้าลังเล พร้อมกับท่องสูตรคูณต่อไปอีกระยะ 'ถุงละ 15 บาท ...10 ถุง 150..อีก 5 ถุง 5..5..25..+++...175 บาทค่ะ'ฉันยื่นธนบัตรใบละ 500 บาทส่งให้ แม่ค้ารับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกล่าวขอบคุณระหว่างนั่งรอเงินทอน ฉันคิดคำนวณราคาค่าขนมใหม่ จึงพบว่า ที่ถูกต้องเป็น 225 บาท ไม่ใช่ 175 บาทอย่างที่แม่ค้าคิดให้ตอนแรกลูกสาวเป็นผู้นำเงินมาทอน ฉันจึงยื่นธนบัตรคืนเด็กหญิงไป 100 บาท เด็กหญิงทำหน้างงๆ ฉันจึงบอกว่า 'พี่ต้องให้เพิ่ม 50 บาท' เด็กหญิงรับเงินไปพร้อมกับต้องนำมาทอนฉันอีก 50 บาทคราวนี้ เด็กหญิงคนเดิม กลับมาพร้อมด้วยรอยยิ้มที่แจ่มใสมากขึ้น ยื่นเงินทอนให้ฉันและพูดว่า'ขอบคุณมากเลยนะคะ' ท่าทางดีใจอย่างเห็นได้ชัด
ฉันไม่รู้ว่า น้องคนนั้นขอบคุณที่ฉันช่วยซื้อขนม 15 ถุง หรือขอบคุณที่ฉันคืนเงิน 50 บาทที่แม่ของน้องคิดขาดไป อย่างไรก็ตาม ฉันรู้สึกว่า...ช่างเป็นคำขอบคุณที่เพราะเสียนี่กระไรสิ่งที่ฉันได้ยิน ไม่ใช่แค่คำขอบคุณ แต่คือคำ 'ขอบคุณมากเลยนะคะ' ที่ออกมาจากใจของผู้พูดจริงๆ ด้วยน้ำเสียง รอยยิ้ม และแววตาของน้องคนนั้นณ นาทีนั้น ฉันรู้สึกอิ่มเอมใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ฉันไม่ได้ทำอะไรที่ิพิเศษไปกว่าที่คนอื่นทำ การที่มีคนขายขนม ก็ต้องมีคนซื้อขนมเป็นของธรรมดา แต่สิ่งที่ฉันหยิบยื่นให้ เป็นโอกาสที่แม่้ค้าคนนั้นมีไม่เท่าฉัน ในเรื่องของการคิดคำนวณตัวเลข ทำให้แม่ค้าคำนวณผิดพลาด และอาจต้องเสียโอกาสในการได้ค่าตอบแทนจากการขายขนม ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเงินไม่มากมายนัก แต่มันก็เป็นสิ่งที่สองแม่ลูกควรจะได้รับมันเป็นความสุขเล็กๆของฉันในวันนี้ เพราะฉันคิดว่าฉันได้หยิบยื่นสิ่งดีๆให้กับสองแม่ลูกนั้น ถึงแม้จะมีมูลค่าทางการเงินไม่มากนัก แต่มันมีคุณค่าทางจิตใจ อย่างน้อย คำว่า 'ขอบคุณมากเลยนะคะ' และรอยยิ้มของเด็กสาวคนนั้น ก็เป็นเครื่องยืนยันกับฉันได้ระดับหนึ่ง..ฉันจึงนำเรื่องนี้มาบันทึกไว้ใน 'ธนาคารความดี' ของฉัน เป็นบันทึกหน้าหนึ่งซึ่งนานน๊าน (นานจริงๆ) จะได้บันทึกสักครั้ง..เกี่ยวกับสิ่งดีๆในชีวิต ที่ฉันเป็นผู้สร้างขึ้นมาเอง..
หากทุกคน ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน และหากทุกคนหยิบยื่นหรือให้โอกาสซึ่งกันและกัน โลกใบนี้คงจะมีความสุขขึ้นอีกไม่มากก็น้อย..
อ่านไปยิ้มไปค่ะ