ทฤษฎีพฤติกรรมวิทยาของ Lorenz และ Tinbergen ได้อธิบายเหตุการณ์นี้ว่า ทันทีที่เห็นไข่วางอยู่นอกรัง ระบบประสาทของแม่ห่าน ซึ่งมีชื่อเรียกว่า กลไกการปลดปล่อยที่ห่านมีมาตั้งแต่เกิด (innate releasing mechanism) จะสั่งให้สมองห่านทำงานโดยการพยายามกลิ้งไข่กลับรัง และห่านจะแสดงพฤติกรรมนี้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยใช้จะงอยปากกลิ้งไข่มาก่อนเลยตั้งแต่เกิด ผลงานที่โด่งดังของนักพฤติกรรรมวิทยาทั้งสองได้ชี้ให้ Wilson ใคร่ศึกษาว่า มดมีพฤติกรรมที่เห็นตั้งแต่เกิดเหมือนห่านหรือไม่ โดยทั่วไป มดเป็นสัตว์สังคมชนิดหนึ่งที่ชอบใช้ชีวิตเป็นฝูง อาณาจักรมดจะมีทั้งราชินีมด มดทหาร มดงาน และมดทาส ฯลฯ ซึ่งจะสื่อสารถึงกันตลอดเวลา เช่น บอกกล่าวเรื่องแหล่งอาหาร หรือรายงานเรื่องความก้าวหน้าของศัตรู เพราะรังมักอยู่ใต้ดินที่ไม่มีแสงอาทิตย์สาดส่องถึง และมดไม่มีหูที่จะได้ยินเสียง ดังนั้น Wilson จึงตั้งสมมติฐานว่ามดอาจใช้สารเคมีบางตัวในการสื่อสาร โดยให้ประสาทสัมผัสของมดรับโมเลกุลของสารเคมีไปกระตุ้นมดให้แสดงพฤติกรรม Wilson เริ่มค้นหาสารเคมีที่มดใช้ในการกระตุ้นนี้ และพบว่า ในกรณีมดคันไฟเวลาเห็นแหล่งอาหาร มันจะคลานกลับรังและย่อตัวต่ำตลอดทาง พร้อมกันนั้นก็จะขับสารเคมีออกมาเพื่อให้มดตัวอื่นๆ ได้รับสารเคมีและรู้ทิศที่แหล่งอาหารอยู่ ในที่สุด Wilson ได้พบว่า มดใช้สารเคมี pheromone ในการสื่อสาร และสารนี้มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมดตัวอื่นๆ โดยสารเคมีจะถูกขับออกไปเป็นระยะทางไกล และสัตว์อื่น ซึ่งอาจรวมถึงศัตรู ก็มิอาจใช้ประสาทสัมผัสรับสารเคมีที่ถูกขับออกมาได้ ส่วนมดชนิดเดียวกันเวลาได้รับ pheromone จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทันที เช่น ราชินีมดจะขับ pheromone ออกมาให้ประชากรมดในอาณาจักรของตนได้สูดดม เพื่อให้มดตัวเมียทุกตัวในอาณาจักรมดสูญเสียความสามารถในการสืบพันธุ์ ดังนั้น ราชินีมดจึงเป็นเพียงหนึ่งเดียวในอาณาจักรที่สามารถสืบพันธุ์ได้ นอกจากจะพบ pheromone ที่มดใช้ในการสื่อสารแล้ว Wilson ยังพบ pheromone ชนิดอื่นๆ ที่สามารถกระตุ้นให้สัตว์ต่างๆ แสดงพฤติกรรมต่างๆ ที่หลากหลายด้วย เช่น พบ pheromone ที่มดใช้ในการเตือนว่า กำลังจะมีศัตรูมารุกราน และยังได้พบอีกว่า มดบางสปีชีส์ใช้ pheromone ในการแสดงความเป็นมิตรด้วย ในช่วงที่เรียนปริญญาเอกนี้เอง Wilson ได้พบ Renee Kelley ซึ่งเข้าใจความฝันและความทะเยอทะยานของ Wilson ดี ทั้งสองได้เข้าพิธีสมรสกัน และหลังจากนั้น Wilson วัย 26 ปี ก็ได้รับตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Harvard เมื่อเริ่มชีวิตอาจารย์ Wilson สนใจชีวภูมิศาสตร์ (biogeography) ซึ่งเป็นวิชาที่ว่าด้วยการกระจายสิ่งมีชีวิตสู่บริเวณต่างๆ ของโลก ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดังนั้นการศึกษาวิชานี้จึงต้องมีการสังเคราะห์วิทยาการหลากหลายสาขา เช่น ชีววิทยา ธรณีวิทยา ฟิสิกส์ ดึกดำบรรพ์วิทยา เคมี ฯลฯ ในที่สุด Wilson ก็ได้พบว่า บริเวณของโลกที่ถูกตัดขาดจากบริเวณอื่น เช่น เกาะที่มีน้ำทะเลล้อมรอบ จึงไม่สามารถติดต่อทางกายภาพกับผืนแผ่นดินใหญ่เป็นเวลานานนับล้านปี การเป็นเอกเทศนี้จะทำให้สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนเกาะนั้นมีวิวัฒนาการ คือ เปลี่ยนแปลงไปโดยกระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ Wilson ยังได้พบอีกว่า แม้บริเวณสองบริเวณที่อยู่แยกกันจะมีสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกัน แต่พืชและสัตว์ในบริเวณทั้งสองอาจมีรูปร่างที่แตกต่างกันได้ และสิ่งมีชีวิตที่อยู่อาศัยในต่างบริเวณอาจมีรูปร่างคล้ายกันได้ เพราะสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่คล้ายกันได้ เช่น ตัว coyote ในทวีปอเมริกาเหนือ กับตัว jackal ในทวีปแอฟริกา ต่างมีรูปร่างและนิสัยที่คล้ายกัน และได้ปรับตัวไปกินสัตว์และซากสัตว์เหมือน ในสมัยโบราณที่เคยใช้ชีวิตในทุ่งหญ้าเดียวกัน Wilson จึงเสนอทฤษฎีชีวภูมิศาสตร์ของบริเวณที่เป็นเกาะ ซึ่งเป็นผลงานที่ Wilson ทำร่วมกับ Robert H. McArthur ในปี 1963 ทฤษฎีนี้ได้ทำนายเหตุการณ์บนเกาะไว้สามประการคือ (1) จำนวนสปีชีส์บนเกาะเป็นปฏิภาคโดยตรงกับขนาดของเกาะ (2) จำนวนสปีชีส์บนเกาะแปรผกผันกับระยะทางที่เกาะอยู่ไกลจากผืนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งตามปกติมักเป็นแหล่งอาศัยของสปีชีส์ที่แตกต่างออกไป และ (3) แม้จะมีสปีชีส์ใหม่ที่อพยพขึ้นเกาะ เพื่อต่อสู้กับสปีชีส์เก่าอย่างดุเดือด แต่จำนวนสปีชีส์ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็ยังคงตัว นั่นคือ จำนวนสปีชีส์ของสัตว์บนเกาะจะอยู่ในสมดุลตลอดเวลา เพื่อทดสอบความถูกต้องของทฤษฎีนี้ Wilson กับนิสิตชื่อ Daniel Simberloff ได้ใช้เกาะๆ หนึ่งในแถบ Florida Keys เป็นสถานทดลอง เพราะเกาะตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย Harvard มาก ดังนั้น Wilson จึงสามารถนำครอบครัวไปพำนักบนเกาะได้เป็นเวลานาน ผลการสำรวจและการติดตามอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี แสดงให้เห็นว่า ทฤษฎีชีวภูมิศาสตร์ของ Wilson กับ McArthur ถูกต้องและเป็นจริงทุกประการ Wilson กับ McArthur จึงตีพิมพ์ตำราเรื่อง The Theory of Island Biogeography ในปี 1967 ในความเป็นจริงทฤษฎีของ Wilson สำหรับเรื่องนี้สามารถนำไปประยุกต์กับพื้นที่อื่นได้ด้วย เพราะถ้าพื้นที่นั้นตั้งอยู่โดดเดี่ยว เช่น พื้นที่ขนาดเล็กในป่าซึ่งอยู่แยกอิสระจากป่าใหญ่ เป็นต้น ผลงานนี้จึงมีความสำคัญมากในการอนุรักษ์เชิงชีววิทยา และเชิงนิเวศวิทยา เพราะสามารถช่วยนักวางแผนสวนและนักอนุรักษ์ป่าให้ทำงานร่วมกันอย่างมีหลักการ คือทำให้รู้ว่า ถ้าป่ามีการเชื่อมโยงใดๆ กับสวน สปีชีส์ต่างๆ ของสัตว์และพืชจะได้รับการปกป้อง และอนุรักษ์ดีกว่ากรณีที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว และเมื่อที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าถูกทำลายโดยมนุษย์ตลอดเวลาเช่นนี้ Wilson จึงคิดว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้สปีชีส์ต้องสูญพันธ์ คือ ป่าที่มีพื้นที่เหลือน้อยจนไม่สามารถใช้เป็นแหล่งอาศัยให้สปีชีส์อื่นๆ เข้ามาดำรงชีวิตร่วมกันได้อีกต่อไป ดังนั้น Wilson จึงย้ำว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพยายามจัดให้พลเมืองที่มีรายได้น้อยในประเทศที่กำลังพัฒนา ไม่ตัดไม้ทำลายป่า หรือฟอกขาวแหล่งปะการัง และความเห็นของ Wilson ในเรื่องนี้ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากบรรดาประเทศด้อยพัฒนา โดยเฉพาะประเทศบราซิล ซึ่งได้ประกาศควบคุมการบุกรุก ตัดไม้ทำลายป่าอย่างเป็นทางการทันทีที่ Wilson เสนอแนะ Wilson ยังเห็นอีกว่า การสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพมีความสำคัญและมีคุณค่ายิ่งกว่าการมีแผนที่ genome ของมนุษย์ เพราะทุกวันนี้นักชีววิทยามีความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตไม่ถึง 10% ของจำนวนสิ่งมีชีวิตที่มีในโลก เมื่อทั่วโลกมีการตัดไม้ทำลายป่าตลอดเวลา นั่นหมายความว่า ในศตวรรษหน้า 50% ของสปีชีส์ที่มีในปัจจุบันจะสูญพันธุ์ ดังนั้น มนุษย์จึงต้องเข้าใจความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ และต้องพิทักษ์ความหลากหลายนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะถ้าสิ่งมีชีวิตใดสูญพันธุ์ไปโลกเราจะไม่มีทางเรียกมันกลับมาได้ และเพื่อให้วัตถุประสงค์นี้เป็นจริง Wilson จึงเน้นว่า นักนิเวศวิทยา และนักชีววิทยาทุกคนจะต้องร่วมมือกันทำงานอย่างเร่งด่วน นักชีววิทยาได้คำนวณโดยประมาณว่า ในปัจจุบันโลกมีสปีชีส์ตั้งแต่ 10 ถึง 100 ล้านสปีชีส์ แต่มีความรู้เกี่ยวกับสปีชีส์เพียง 2 ล้านสปีชีส์เท่านั้นเอง แต่ในเวลาเดียวกัน อัตราการสูญพันธุ์ของสปีชีส์ก็ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่ใครจะคิด และข้อมูลที่สาบสูญไปนี้ อาจมีความสำคัญเพราะสิ่งมีชีวิตบางสปีชีส์อาจมีกลไกภูมิต้านทานที่ดี จึงสามารถมีชีวิตรอดได้ ดังนั้น ถ้ามีการสกัดยาภูมิต้านทานได้ มนุษย์ก็อาจมีเภสัชภัณฑ์ที่มีประโยชน์ในการรักษาโรคนานาชนิด หรือใช้ในการสร้างพืชที่ไม่มีวัชพืชหรือแมลงมารบกวนก็ได้
|